ปีศาจร้ายโผล่มาที่เดอร์รี่อีกครั้ง เมื่อผู้กำกับฯ แอนดี้ มุสเชียตติกลับมารวมตัวกับคลับพวกขี้แพ้ยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดในเรื่อง “IT CHAPTER TWO” ซึ่งเป็นบทสรุปของภาพยนตร์สยองขวัญที่กวาดรายได้สูงสุด
เวลาผ่านไป 27 ปีหลังจากที่กลุ่มพวกขี้แพ้ได้สยบเพนนีไวส์ เขากลับมายังเมืองเดอร์รีอีกครั้ง ตอนนี้พวกขี้แพ้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่หลังจากที่แยกย้ายกันไปเป็นเวลานาน ผู้คนในเมืองหายตัวไปอีกครั้ง ไมค์เป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ไม่เคยจากเมืองนี้ไปไหนจึงเรียกทุกคนกลับบ้าน ทุกคนต่างมีบาดแผลจากอดีตต่างต้องช่วยกันเอาชนะความกลัวที่ฝังลึกในตัว เพื่อทำลายเพนนีไวส์อีกครั้งและตลอดไป… ซึ่งตอนนี้เขากลายเป็นตัวตลกแปลงร่างได้ที่มีความโหดร้ายกว่าเดิม
ภาพยนตร์เป็นผลงานที่มุสเชียตติสร้างต่อจากผลงานปี 2017 ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และได้รับความนิยมในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกอย่างยิ่งใหญ่ เรื่อง “IT” กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 700 ล้านเหรียญ อีกทั้งยังเป็นการสร้างนิยามใหม่ให้กับหนังสยองขวัญจน “IT” กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวัฒนธรรมไปแล้ว
“IT Chapter Two” นำแสดงโดยเจมส์ แม็คอะวอย (ภาพยนตร์แฟรนไชส์ “X-Men”, “Split,” “Glass”) รับบทบิล ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar เจสสิก้า แชนเทน (“Zero Dark Thirty,” “Mama,” “Molly’s Game”) รับบทบีเวอร์ลี่ บิล เฮเดอร์
(ภาพยนตร์ทาง HBO “Barry,” “The Skeleton Twins”) รับบทริตชี่ ไอเซห์ มุสตาฟา (ภาพยนตร์ทางทีวี “Shadowhunters: The Mortal Instruments”) รับบทไมค์ เจย์ ไรอัน (ภาพยนตร์ทางทีวี “Mary Kills People”) รับบทเบ็น เจมส์ แรนโซน (ภาพยนตร์ทาง HBO “The Wire”) รับบทเอ็ดดี้ และแอนดี้ บีน (“Swamp Thing,” “Allegiant”) รับบทสแตนลีย์ ผู้กลับมารับบทเดิมของสมาชิกพวกี้แพ้ ได้แก่ จาเดน มาร์เทลรับบทบิล ไวแอ็ตต์ โอเลฟฟ์รับบทสแตนลีย์ แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์รับบทเอ็ดดี้ ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ดรับบทริตชี่ โซเฟีย ลิลลิสรับบทบีเวอร์ลี โชเซน จาคอบส์รับบทไมค์ และเจเรมี เรย เทย์เลอร์รับบทเบ็น บิล ซาร์สการ์ดกลับมารับบทเด่นอย่างเพนนีไวส์เช่นเดิม
มุสเชียตติกำกับฯ จากบทของแกรี่ ดาวเบอร์แมน (“IT,” “Annabelle: Creation”) สร้างอิงจากนิยายเรื่อง IT ของสตีเฟน คิงเรื่อง IT อำนวยการสร้างฯ โดยบาร์บารา มุสเชียตติ, แดน ลิน และ รอย ลี อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยริชาร์ด บรีเนอร์, เดฟ นูสแตดเตอร์, แกรี่ ดาวเบอร์แมน, มาร์ตี้ อีวิง, เซธ กราเฮม -สมิธ และ เดวิด แคตเซนเบิร์ก
ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพฯ เชคโค วารีซ (“The 33”) ผู้ออกแบบฉากเจ้าของรางวัล Oscar พอล เดนแฮม ออสเทอร์เบอร์รี่ (“The Shape of Water”) ผู้ลำดับภาพ เจสัน บอลแลนไทน์ (“IT,” “Mad Max: Fury Road”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่เข้าชิงรางวัล Oscar ลูอิส ซีเควียรา (“The Shape of Water,” “Mama”) ประพันธ์ดนตรีโดยเบ็นจามิน วอลฟิสช์ (“Shazam!,” “Blade Runner 2049,” “IT”)
นิวไลน์ ซีเนม่า นำเสนอภาพยนตร์จาก a Double Dream/Vertigo Entertainment/Rideback Production, an Andy Muschietti film เรื่อง “IT Chapter Two” ภาพยนตร์จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส www.IT-Movie.net https://www.facebook.com/ITMovieThailand/
รายละเอียดการถ่ายทำ
บางครั้งเราอาจลืมสิ่งที่ปรารถนา…
สิ่งที่เราพยายามทิ้งไว้ในอดีต…
ไม่มีวันถูกขังไว้ที่นั่น
บางครั้งมันก็กลับมาหาเรา
—ไมค์ แฮนลอน
ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง “IT” เมื่อปี 2017 ภาพยนตร์รวมความพลิกผันผลงานดัดแปลงจากนิยายสยองขวัญของสตีเฟน คิง เหล่าสมาชิกพวกขี้แพ้นั่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องสว่าง หลังจากที่พวกเขาเอาชนะเพนนีไวซ์ในท่อระบายน้ำด้านล่างได้ เขาคือความชั่วร้ายในเดอร์รีที่เกือบทำลายล้างเมือง พวกเขากล่าวคำปฏิญาณเอาไว้ว่าจะกลับมาหากความพยายามทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายนี้ไม่สำเร็จ ถ้าเพนนีไวซ์ยังวนเวียนกลับมา…
หลังจากนั้น 27 ปี มันก็กลับมา
สำหรับแอนดี้ มุสเชียตติ ผู้กำกับฯ “IT” ที่สร้างปรากฎการณ์เอาไว้ทั่วโลก ตอนนี้มาถึงบทสรุปครั้งใหญ่ของเรื่อง “IT Chapter Two” ที่มันไม่เคยจากเขาไป ในภาคแรกภาพยนตร์ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อย่างไม่ขาดสาย แฟนๆ พากันหลงรัก
และมีการสร้างสถิติจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์เกิดขึ้น มุสเชียตติมีความมุ่งมั่นตั้งแต่ก่อนการถ่ายทำตอนจบอย่างที่วางแผนว่าทั้งสองเรื่องจะเป็นการถ่ายทอดออกมาตามนิยายต้นฉบับของคิง
สำหรับความสำเร็จจากภาพยนตร์ภาคแรก ผู้กำกับฯ เล่าว่า “ผมอยู่กับโปรเจ็กต์นี้มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่เริ่มสร้างให้เป็นรูปร่าง ผ่านความท้าทายต่างๆ และรู้สึกสนุกกับมันมาก ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการถ่ายทำภาพยนตร์อย่างเต็มตัว เลยเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะมองการทำงานจากมุมอื่น แต่ที่แน่ๆ คือรู้สึกว่ามันน่าทึ่ง ผมรู้สึกมีความสุขกับมันมากเลย
มุสเชียตติเห็นถึงความเร่งรีบในการเดินทางกลับไปที่เดอร์รี เขาเล่าต่อว่า “ผลที่ตามมาจากเรื่องราวทั้งหมดมันเหลือเชื่อมากครับ ทุกคนพากันอินไปกับตัวละครและเรื่องราว จนมาถึงตอนจบของเรื่องที่เหมือนมีการให้สัญญาไว้ว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งถ้ามันกลับมาพวกขี้แพ้ก็จะกลับมาด้วย ผมร่วมแชร์ความต้องการของผู้ชมภาพยนตร์ที่อยากเห็นอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือของเรื่องซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบทสรุป เรื่องราวในภาคที่ 2 จำเป็นต้องถ่ายทอดออกมาไม่ต่างจากภาคแรก มรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้กระโดดมาร่วมงานและเริ่มนึกภาพว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน”
สำหรับแกรี่ ดาวเบอร์แมน ผู้เขียนบทฯ ทั้ง “IT” และ “IT Chapter Two” ที่มาร่วมงานในผลงานที่ดัดแปลงมาจากนิยายของคิง รู้สึกว่าเป็นการทำงานที่มีความต่อเนื่องค่อนข้างมาก ดาวเบอร์แมนยืนยันว่า “เราไม่เคยหยุดแลกเปลี่ยนไอเดียกัน และยังคุยเรื่องที่เราคุยกันไว้จากภาคแรกได้ต่อ เพราะผมคิดว่าเราอยากสานต่อพลังนั้น เราอยากสานต่อความเรียบง่ายในการทำงานจากภาคแรก และนั่นจะช่วยให้มีความสร้างสรรค์ในการทำงาน เราอยากได้อิสระในการแสดงออกทางความคิดเสมอแม้มันจะไม่เข้าท่าก็ตาม เพราะไอเดียนั้นอาจนำไปสู่สิ่งที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาก็ได้ แอนดี้และบาร์บาราเข้าใจเรื่องนั้นดี และนั่นทำให้เกิดการร่วมงานกันอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพในหลายๆ ด้าน”
บาร์บารา มุสเชียตติสร้างผลงานร่วมกับแดน ลินและรอย ลีได้กล่าวเสริมว่า “หนังสือมีความยาวมากกว่า 1,100 หน้า ในหนังภาคแรกของเราน่าจะครอบคลุมไปแล้วมากกว่า 300 หน้า เราเข้าใจดีว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและมีตัวละครเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า มีพวกขี้แพ้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่ในภาคนี้จะลงลึกขึ้น สนุกขึ้น น่ากลัวขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้นในทุกๆ ด้าน”
สำหรับเรื่อง “IT” ผู้สร้างภาพยนตร์เลือกที่จะเปลี่ยนสไตล์การเล่าเรื่องแบบนิยายของคิงทีมีการก้าวกระโดดข้ามเวลา เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับพวกขี้แพ้ที่ยังเด็กอยู่เท่านั้น ครั้งนี้บทภาพยนตร์ไม่ใช่แค่การรวมเรื่องราวที่ไม่ได้เล่าเอาไว้ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 1989 ซึ่งสะท้อนถึงเรื่องราวในอดีตของผู้ใหญ่ในปัจจุบัน แต่ยังมีการเติมเต็มความทรงจำที่พวกผู้ใหญ่ขี้แพ้เคยมีร่วมกันด้วย
ผู้กำกับฯ ได้ให้ความเห็นว่า “ผมรักบทภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ช่วงเวลาในหนังสือ และผมอยากรวบรวมมันเอาไว้ในภาคที่สอง ‘IT Chapter Two’ เป็นเรื่องราวของพวกขี้แพ้ที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วในอีก 27 ต่อมา แต่พวกเขาย้อนกลับไปหาความทรงจำของตัวเองที่มีความสำคัญมาก พวกเขาต้องไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร รวมถึงเรื่องความผูกพันที่มีร่วมกันอย่างเหลือเชื่อ”
นอกจากเรื่องการดัดแปลงโครงสร้างการถ่ายทอดเรื่องราวจากนิยายแล้ว มุสเชียตติยังได้ตอกย้ำเรื่องราวของคิงโดยการให้นักเขียนมาร่วมงานในเรื่องนี้เองด้วย เขาเล่าว่า “สตีเฟนเคารพเรื่องการดัดแปลงผลงานมาก และเราเริ่มคุยกับเขาในช่วงที่เราเกือบปิดกล้องภาพยนตร์ภาคแรก เราถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเพื่อเขา และเขาก็เข้าถึงเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ผมไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไปโดยที่เขาไม่มีไอเดียในภาคที่ 2 ของเรา”
คิงได้เล่าว่า “ผมตั้งความหวังไว้กับหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่า ‘IT’ จะดีขนาดนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้หนังภาคที่ 2 คือตอนที่ภาคแรกจบลงพร้อมกับมีตัวหนังสือโผล่ขึ้นมาว่า ‘IT ตอนที่ 1’ แล้วผู้ชมพากันปรบมือ พวกเขาอยากดูมันอีก ตอนนี้จะเป็นเรื่องราวส่วนที่เหลือ นี่ไม่ใช่หนังภาคต่อแต่เป็นครึ่งหลังจากเรื่องราวที่ยังเล่าไม่จบ
“ผมจำตอนที่กำลังจัดการกับเรื่องนิยายได้” ผู้เขียนเล่าต่อว่า “ผมกำลังเดินอยู่แล้วเห็นเด็กผู้หญิงนั่งอยู่ริมถนน วาดภาพและคุยกับตัวเองเรื่องภาพผู้คนที่กำลังวาดอยู่ ตอนนั้นผมคิดว่า ‘ถ้าผู้ใหญ่ทำอะไรแบบนั้นล่ะ?’ เราเข้าใจดีว่าเด็กๆ จะมีจินตนาการที่กว้างกว่า พวกเขามีอิสระในจินตนาการ และพอพวกเราโตขึ้นมันกลับเป็นเรื่องยากที่จะรักษาจินตนาการนั้นเอาไว้ ฉะนั้นสิ่งที่ผมอยากทำจริงๆ กับเรื่อง IT คือนำพวกเขาที่อยู่ในช่วงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วกลับมา ให้มาสัมผัสกับสิ่งที่เคยเจอตอนเป็นเด็ก พวกเขาคือคนกลุ่มเดียวที่มีโอกาสสัมผัสจินตนาการนั้นอีกครั้งและนำไปใช้แก้แค้นกับมัน”
บาร์บารา มุสเชียตติได้มาสัมผัสกับนิยายของคิงในฐานะของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนุกกับจินตนาการของตัวเองเวลาที่อ่านนิยาย เธอเล่าว่า “ฉันอ่านหนังสือด้วยความรู้สึกของเด็กวัย 15 ปี เรื่องราวของเด็กอายุ 13 ปีที่ต้องต่อสู้กับปีศาจร้ายที่มีความรุนแรงหลายด้านตัวนี้ทำให้ฉันรู้สึกตื่นตัวขึ้นมากเลยค่ะ”
ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องการรักษาประเด็นสำคัญเหล่านั้นจากหนังสือของคิงเอาไว้ในเรื่อง เธอเล่าต่อว่า “ความเป็นเดอร์รีแย่ลงกว่าเมื่อ 27 ปีที่แล้วอย่างที่เห็นในเรื่อง ‘IT’ มีทั้งความดันทุรัง ความเกลียดชัง ความโหดเหี้ยม.. มันตามไปอยู่ทุกที่โดยเราไม่ทันรู้ว่ามันเลวร้ายขนาดไหน มันคือคำสาป เมื่อเดินทางออกจากเดอร์รีทั้งความทรงจำและช่วงเวลาที่เราเคยอยู่ที่นั่นอาจเลือนลางหายไป แต่ถ้าเรายังใช้ชีวิตอยู่ทั้งชีวิตก็จะถูกมันกัดกินไปเรื่อยๆ มีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขาไม่ทันสังเกตมัน”
ความเลวร้ายอย่างหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนของคิงและแฟนหนังสือ ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์ได้ตั้งใจเก็บมันไว้เป็นบทสรุปของเรื่อง บาร์บารา มุสเชียตติเล่าว่า “ในเรื่องความเฉียบของคิงในการเขียนเรื่องราวขึ้นมาในฉากของงานเทศกาล เขาต้องการทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในรัฐเมน มีแฟนจำนวนมากตั้งคำถามว่า ‘จะมีการรวมฉากเอเดรียน เมลลอนเข้าไปด้วยหรือเปล่า?’ แน่นอนว่าเราไม่พลาดอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมันส่งผลกระทบมากและเป็นเรื่องยากที่สมองจะรับมือกับมันไหว มนุษย์จะรับมือกับเรื่องแบบนี้ยังไง หากต้องทำร้ายใครสักคนเพื่อคนที่เขารัก ซึ่งนั่นทำให้เข้าใจความเป็นเดอร์รีมากขึ้นว่ามันเต็มไปด้วยความคลั่งและความมืดมิดขนาดไหน”
ดาวเบอร์แมนได้เล่าว่า “นั่นเป็นความตั้งใจของเพนนีไวส์ แม้แต่ช่วงที่เขาดูจะหลับใหลไป จริงๆ แล้วเขาครอบงำเมืองนั้นเอาไว้แล้วในแบบที่เรามองไม่เห็นในภาคแรก มันดูสิ้นหวังมากขึ้นเหมือนเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเดอร์รีก่อนที่จะถูกมันกลืนกินไปอย่างเต็มตัว เมื่อพวกขี้แพ้เดินทางกลับมาเพนนีไวส์ก็ยิ่งอยากจัดการพวกเขามากขึ้น เพราะเขารู้ว่านั่นคืออุปสรรคเดียวในการครอบงำเดอร์รีได้อย่างเต็มตัว”
ผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มพวกขี้แพ้คือเจสสิก้า แชสเทน เธอร่วมงานกับครอบครัวมุสเชียตติครั้งแรกในปี 2012 ด้วยการแสดงในหนังสยองขวัญเรื่อง “Mama” หลังจากทั้งสามคนก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
นักแสดงหญิงสารภาพว่า “ฉันรักหนังภาคแรกนะคะและรู้สึกอินกับตัวละครเบเวอร์ลี มาร์ชที่โซเฟีย ลิลลิสแสดงเอาไว้มาก เธอแสดงออกมาได้อย่างมีพลังและมีหลายช่วงที่รู้สึกว่าเธอกล้าหาญมาก เธอผ่านความโหดร้ายในชีวิตหลายอย่าง และเพราะแบบนั้นเธอเลยไม่รู้สึกกลัวอะไรทั้งนั้น”
เจมส์ แมคอะวอยเพื่อนร่วมแสดงของแชสเทนได้ร่วมแชร์ความชื่นชมของเธอทั้งเรื่องหนังภาคแรกและนิยาย แมคอะวอยเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนคนสำคัญของคิง เขาไม่ได้ยอมรับแค่งานเขียนที่มีความยิ่งใหญ่แต่ยังรวมถึงประเด็นของเรื่องที่
เชื่อมโยงกันได้อย่างไม่ธรรมดาด้วย นักแสดงชายได้เล่าว่า “หนังสือบางเล่มของเขาทำให้เราอ่านได้ถึง 2-3 ครั้งเลย ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนที่ผมอ่านเรื่อง IT อายุแค่ 12 ขวบ มันเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างปีศาจที่มีมาอย่างยาวนานกับเด็กกลุ่มหนึ่ง พวกเขากลับมาต่อสู้กับมันอีกครั้งตอนโตแล้ว เด็กทั้ง 7 คนนี้เป็นกลุ่มที่มีความเหลือเชื่อ มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มตัว หากความเชื่อมั่นคือสิ่งเดียวที่จะผ่านทุกสิ่งไปได้ เด็กย่อมมีพลังความเชื่อมากกว่าผู้ใหญ่ ฉะนั้นก้ารกลับไปเผชิญหน้ากับเพนนีไวส์เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 27 ปี พวกขี้แพ้ต่างมีพลังลดลง เมื่อโตขึ้นพวกเขาไม่เชื่อเรื่องพลังวิเศษอีกแล้ว พวกเขาเชื่อแต่เรื่องปกติทางโลกมีทางเดียวที่พวกเขาจะเอาชนะมันได้คือต้องปลุกความเป็นเด็กในตัวเองขึ้นมา ต้องกลับไปเชื่อเรื่องปีศาจและท้าทายไปตามวิถีของมัน”
บิล เฮเดอร์เรียกตัวเองว่าเป็นแฟน “ระดับเนิร์ดของสตีเฟน คิง” จำได้ว่า “ผมรู้สึกตกใจกับ ‘IT’ ตั้งแต่ฉากเปิดตัวที่มีจอร์จี ผมคิดว่ามันดูมีสีสันสะดุดตาและน่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ มีการเล่นกับอารมณ์และมีความสนุกสนาน แถมยังมีความน่าสงสารมากด้วย ส่วนนักแสดงเด็กก็แสดงออกมาได้อย่างเหลือเชื่อและมีการสื่อความหมายบางอย่างออกมาได้ดี แอนดี้แสดงออกมาได้ดีเยี่ยมมากครับ จนสุดท้ายที่พวกเขาสัญญาว่าจะกลับมาถ้ามันกลับมาด้วย ผมคิดว่า ‘มันไม่ธรรมดาแล้ว! เรามีหนังต่อคิวรอแน่ๆ!’” เขาพูดจบพร้อมเสียงหัวเราะ “ผมไม่เคยคิดไปไกลกว่า ‘อดใจรอดูไม่ไหวแล้ว!’ เลยครับ”
ผู้ที่มาร่วมแสดงกับแมคอะวอย แชสเทนและเฮเดอร์ในบทพวกผู้ใหญ่ขี้แพ้คือไอเซห์ มุสตาฟา, เจย์ ไรอัน, เจมส์ แรนโซน และ แอนดี้ บีน ผู้กลับมารับบทเดิมของพวกเด็กขี้แพ้ นอกจากลิลลิสแล้วยังมีแจเดน มาร์เทล, ไวแอตต์ โอเลฟ, แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์, ฟินน์ วูลฟ์ฮาร์ด, โชเซน จาคอบส์ และ เจเรมี เรย์ เทย์เลอร์ โดยบิล ซาร์สการ์ดจะกลับมารับบทเพนนีไวส์อีกครั้ง
แอนดี้ มุสเชียตติเล่าว่า “นักแสดงทุกคนต่างแสดงพลังของตัวเองออกมา รวมถึงความเข้าใจที่มีต่อตัวละครต่างๆ ในภาคแรกเราพบกับกลุ่มเด็กๆ ที่มีความใสซื่อและเหมือนผ้าขาว ซึ่งใน 27 ต่อมาตัวละครเหล่านี้ล้วนมีบาดแผล แม้ว่าพวกเขาจะ
ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตในสังคม แต่ลึกๆ ก็ยังมีบาดแผลอยู่ พวกเขามีปฎิกิริยาต่างกันไปตอนที่ไมค์บอกทุกคนว่า ‘กลับบ้าน’ บางคนแสดงออกทางร่างกายเลยก็มี แต่มีกลิ่นอายแห่งความทรงจำบางอย่างที่ชักนำพวกเขาสู่การผจญภัย”
คิงเรียกสิ่งนั้นว่า “ศรัทธา” เมื่อเรากลายเป็นผู้ใหญ่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง พวกขี้แพ้จึงเกิดความลังเลขึ้นเป็นธรรมดา มันยากที่จะทิ้งชีวิตของตัวเองไปและคว้าโอกาสนี้ไว้ แต่พวกเขาไม่ได้มีแค่ศรัทธาในกันและกันเท่านั้น แต่ยังศรัทธาในคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ตอนเป็นเด็กด้วย เวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรามองไม่เห็น ถ้าเราไร้ศรัทธาก็ไม่น่ารอด”
พลังที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนและความเป็นหนึ่งเดียวกันของการเป็นพวกขี้แพ้คือสิ่งที่อยู่ในใจมุสเชียตติมาโดยตลอด เขาเองก็เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ตอนเป็นเด็ก “มันเป็นเรื่องราวที่คล้ายกับประสบการณ์ของผมเลยครับ มันสะท้อนถึงความลังเลและไม่มั่นใจทุกอย่างในช่วงวัยนั้นออกมา พอได้อ่านเรื่อง IT อีกครั้งตอนโต เราจะเข้าใจมันในอีกมุมหนึ่ง มันกลายเป็นจดหมายรักที่เขียนถึงวัยเด็กและมีการพูดถึงทุกเรื่องที่มีความหมายในช่วงวัยนั้น เช่น จินตนาการและควาวมเชื่อมั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสูญเสียไปเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ นั่นคือเหตุผลที่เด็กพิเศษผู้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้วตอนนี้คือความหวังของเรื่อง”
พวกขี้แพ้ทุกคนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
กลับบ้าน
กลับบ้าน
กลับบ้าน
ก่อนตอนที่ 2 จะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ขั้นตอนการคัดเลือกนักแสดงมารับบทพวกขี้แพ้ที่โตเป็นผู้ให่แล้วคือขั้นตอนที่ต้องมีการพิจารณาอย่างหนัก บางคนก็ได้แรงผลักดันมาจากนักแสดงเด็กที่รับบทพวกขี้แพ้ ผลที่ได้คือผู้สร้างภาพยนตร์มีรายชื่อนักแสดงจำนวนมากที่อยากให้มารับบทผู้ใหญ่ที่ต้องกลับไปยังเดอร์รี เพื่อทำตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้ตั้งแต่เด็ก
บาร์บารา มุสเชียตติเล่าว่า “ตั้งแต่ตอนที่เราคัดเลือกตัวนักแสดงภาคแรก เราไม่เคยหยุดคิดเลยว่าถ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วควรจะเป็นใครดี มันมี 2 ทางเลือกระหว่างเลือกนักแสดงชื่อดัง กับอีกทางเลือกคือนักแสดงที่มีหน้าตาเหมือนกับนักแสดงเด็ก ผมคิดว่าเราได้กลุ่มของพวกผู้ใหญ่ขี้แพ้ที่เหมาะสมลงตัวมาก”
เมื่อผ่านเรื่องรูปร่างหน้าตาไปแล้ว พวกผู้ใหญ่ขี้แพ้ส่วนใหญ่กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอันห่างไกลจากเดอร์รี ไม่ว่าจะเป็นบิล เดนโบรห์ที่เป็นทั้งนักเขียนและผู้เขียนบทผลงานสยองขวัญที่มียอดขายสูงสุด ส่วนเบเวอร์ลี มาร์ชเป็นเจ้าของสินค้าแฟชั่นร่วมกับสามของเธอ ริชชี่ โทเซียร์เป็นนักแสดงเดี่ยวคอมเมดี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และเบ็น ฮานส์คอมทำงานด้านสถาปัตยกรรมทางการค้าของตัวเอง เอ็ดดี้ แคสพ์แบรคเป็นผู้ประเมิณความเสี่ยงระดับอาวุโสในนิวยอร์ค และสแตนลีย์ อู
ริสเป็นนักบัญชี มีเพียงคนเดียวที่ต่างจากเพื่อนคือไมค์ แฮนลอนที่ไม่เคยย้ายออกไปไหน อาศัยอยู่ในหอนาฬิกาด้านบนห้องสมุดที่เขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยห้องสมุด
แค่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่สามารถทำให้เห็นภาพทั้งหมดได้ชัดเจน ดาวเบอร์แมนเล่าว่า “ตอนที่เราแนะนำพวกขี้แพ้อีกรอบจะเห็นความไม่สมบูรณ์แบบในตัวพวกเขาอย่างชัดเจน พวกเขาลืมไปแล้วว่าต่างเป็นชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่จะเป็นรูปร่างขึ้นมาได้เมื่อมารวมตัวกันเท่านั้น พวกเขาต่างมี ‘สิ่ง’ ที่ขาดหายไป และสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้คือสิ่งที่ขาดหายไปนั้นอยู่ในตัวแต่ละคน เมื่อพวกเขาถูกเรียกให้กลับไปรวมตัวกันที่เดอร์รี ทุกคนรู้สึกเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกันทันทีอีกครั้ง… ได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ได้เป็นอย่างที่ควรจะเป็นแต่ต้องพลาดโอกาสนั้นไปอย่างยาวนาน”
เจมส์ แมคอะวอยเล่าถึงช่วงเวลาสำคัญที่บิล เดนโบรห์ ตัวละครของเขาได้รับสายจากไมค์ แฮนลอนว่า “สายไหนที่รับแล้วเป็นสายที่แย่ที่สุด? ลูกเกิดอุบัติเหตุ พ่อแม่เสียชีวิต รวมทุกเรื่องเอาไว้และคูณไปอีกร้อยเท่าได้เลย เขาจำไมค์และเดอร์รีไม่ได้ด้วยซ้ำ เขารู้ว่าตัวเองมาจากที่นั่นแต่มันเลือนรางมาก ไมค์บอกเขาว่ามีบางสิ่งกลับมา บิลไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร แต่รู้แค่เขาต้องกลับไป และมันทำให้เขานึกถึงเรื่องน่ากลัวที่ฝังลึกอยู่ในตัวเขามานานหลายปีได้อย่างทันที สิ่งที่ฝังใจและความรู้สึกไร้ความหมายเป็นแรงผลักดันทุกเรื่องในชีวิตบิล ซึ่งไม่รู้ว่าต้นเหตุมาจากไหน เขาเป็นนักเขียนระดับล่าง? เป็นสามีที่แย่? ตอนนั้นเขาจำจอร์จีและความรู้สึกของเขาตอนที่น้องชายตายได้ มันเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมากเท่าที่เขาเคยรู้สึกมา”
แมคอะวอยได้รับคำแนะนำให้มารับบท บิล โดยเจสสิก้า แชสเทน ทั้งคู่ถ่ายทำโปรเจ็กต์ที่ 2 ร่วมกันตอนที่นักแสดงหญิงทิ้งความสงสัยไว้ในบทสนทนา แมคอะวอยจำได้ว่า “เราพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและเรื่อง ‘IT’ ก็เข้ามาเป็นประเด็น เจสพูดบางอย่างว่า ‘แอนดี้ มุสเชียตติเป็นเพื่อนฉันเอง เราร่วมงานในหนังด้วยกัน’ เธอทำให้ผมเกิดความสนใจขึ้นมาเลย แล้วเธอพูดต่ออีกว่า ‘เขาอยากให้ฉันรับบทเบเวอร์ลี มาร์ชในภาคต่อไป…สนใจจะมารับบทบิลมั้ยล่ะ?’ ผมไม่ได้คิดทบทวนอะไรก่อนจะ
พูดออกไปว่า ‘ผมจะลงมือทันทีที่อยู่ในนิวยอร์ค’ หลายเดือนต่อมาผมได้รับโทรศัพท์จากแอนดี้และมีการเฟสไทม์กัน เขาเปิดประเด็นว่าทำไมเขาถึงคิดว่าผมเหมาะกับบทบิล เขาดูใจดีและน่าเคารพมากครับ ซึ่งผมก็ได้พบว่าทั้งเขาและบาร์บาราเป็นคนที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานมาด้วยเลย”
เจสสิกา แชสเทนเข้ามาอยู่ในความคิดของผู้สร้างภาพยนตร์อย่างรวดเร็วสำหรับบท เบเวอร์ลี ตอนที่โซเฟีย ลิลลิสเข้ามาในห้องออดิชั่นปี 2016 แชสเทนเล่าว่า “แอนดี้ฝากโซเฟียส่งรูปของฉันมาให้และถามว่า ‘คิดว่าดูคล้ายใคร?’ ตอนที่ฉันได้ดูหนังภาคแรก ฉันอยากรู้ว่าตัวเองจะเหมาะกับการรับบทเบเวอร์ลี มาร์ชตอนโตมั้ย ฉันอยากเห็นว่าตอนเป็นเด็กเธอเป็นยังไงในจินตนากรของแอนดี้”
ช่วงกลางดึกคืนหนึ่งบีเวอร์ลีได้รับสายจากไมค์ ในช่วงแรกเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่บรรยายออกมาไม่ได้
นักแสดงหญิงเล่าว่า “27 ปีต่อมาบีเวอร์ลีลืมเรื่องในวัยเด็กไปนานมากแล้วตั้งแต่จากเดอร์รีไป ความทรงจำทุกอย่างของเธอทั้งเรื่องเพนนีไวส์ บิล เบ็น และพวกขี้แพ้หายไปหมดรวมถึงความเข้มแข็งของเธอด้วย เธอเจอแต่ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายเหมือนที่เธอเคยเจอตอนเป็นเด็กกับพ่อของเธอเอง มีบางอย่างที่ดึงเธอออกมาจากจุดนั้นในช่วงแรกของเรื่อง จนเธอคิดได้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากลับสิ่งที่อยู่ที่บ้านแล้ว เธอจึงกลับไปยังเดอร์รีเพื่อแก้ไขเรื่องนั้น”
สำหรับการแก้ไขปมนั้นแชสเทนเล่าว่ามันคือการพาตัวละครของเธอไปเผชิญหน้ากับมัน รวมถึงผลที่ตามมาจากการถูกเลี้ยงดูของเธอด้วย “บีเวอร์ลีไม่ได้รับการปกป้องจากพ่อแม่ เธอเหมือนคนโดดเดี่ยวจนกลายเป็นคนขี้แพ้ การเข้าร่วมกลุ่มนั้นมันก็ช่วยให้เธอได้รู้จักคำว่าครอบครัว เพราะพวกเขากลายเป็นครอบครัวของเธอ สำหรับฉันแล้วในหนังมีหลายช่วงที่เบฟได้รู้จักกับความรักในหลายด้านต่างกันไป ตั้งแต่ความสัมพันธ์ที่มีกับพ่อ ความรักเหมือนเรื่องที่ยากเย็น เต็มไปด้วยปัญหาและ
ความวุ่นวาย ไม่เคยพบกับความรู้สึกที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง สิ่งที่ฉันปรารถนาในตัวเบฟคือขอให้เธอพบกับความสงบสุขในตัวเธอ ทำให้เธอรักตัวเองในสิ่งที่เป็น… และไม่จำเป็นต้องต่อสู้หรือเจอกับเรื่องร้ายๆ ในความรัก”
สมาชิกพวกขี้แพ้อย่างริตชี่พบว่ามันง่ายขึ้นมากที่จะจัดการกับความรู้สึกเวลาถูกเมินเฉย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องรุนแรงขนาดไหนขึ้นก็ตาม เขาอาศัยมุกตลกในการแสดงเดี่ยวคอมเมดี้มาช่วยเยียวยา สำหรับคนที่มีความสามารถหลากหลายอย่างบิล เฮเดอร์ การผจญภัยในบทริตชี่คล้ายกับการมีไมค์จ่อสัมภาษณ์ เฮเดอร์เล่าว่า “มีเพื่อนส่งข้อความมาหาผม เพราะผมไม่ได้เล่นพวกโซเชียลมีเดีย พวกเขาบอกว่า ‘เฮ้ รู้จักฟินน์ที่เป็นเด็กในเรื่อง Stranger Things มั้ย” เขาเพิ่งบอกว่าอยากให้นายมารับบทริตชี่ในเรื่อง “IT” ของภาคต่อไป’ ผมคิดว่า ‘ฟังดูดีมากเลยแต่มันคงไม่เหมาะแน่’ หลังจากนั้นตัวแทนของผมก็โทรมา ‘มีนักแสดงหนุ่มที่ชื่อฟินน์ เขาแสดงในเรื่อง “IT” เขาเสนอมาว่าอยากให้คุณมาเล่นบทเขาในเวอร์ชั่นผู้ใหญ่’ ตอนนั้นผมคิด ‘โอเคเลย’ แล้วตัวแทนของผมก็บอกว่า ‘คุณต้องไปทานมื้อเที่ยงกับแอนดี้ มุสเชียตติ ผู้กำกับฯ’ ผมรู้สึกว่าอะไรนะ? จะได้เรื่องหรอ? ผมได้เจอแอนดี้และเขาบอกว่า ‘รู้มั้ยเหตุผลที่เรามาอยู่ตรงนั้นกันเพราะฟินน์อยากให้คุณมารับบทริตชี่’ และเหตุผลที่ผมมาแสดงในเรื่อง ‘IT Chapter Two’ ก็เพราะฟินน์ให้สัมภาษณ์เอาไว้ ซึ่งทุกคนก็สนใจมัน ผมต้องให้ความสนใจกับโลกอินเตอร์เนตมากกว่านี้”
ความรู้สึกของริตชี่เมื่อถูกเรียกตัวกลับบ้านต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เฮเดอร์เล่าว่า “เขารู้สึกเอียนกับบรรยากาศทั่วทุกแห่ง นั่นคือฉากแรกของผม แอนดี้กับผมคุยกันเยอะมากในช่วงแรกเกี่ยวกับการที่ริตชี่เหมือนตัวแทนของผู้ชม อย่างน้อยเขาก็แสดงออกชัดเจนเหมือนเป็นตัวแทนของผู้ชม ‘ตัวตลกฆาตกรกลับมาหรอ? ดูสิ รถของฉันอยู่นี่!’ ผมอินกับริตชี่เพราะเขาเหมือนกับผมในมุมนั้น ผมสงสัยตลอดว่าทำไมตัวละครชอบไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เสี่ยงตาย และริตชี่ก็ถูกปฏิเสธหลายต่อหลาย
ครั้ง เรื่องราวในอดีตของเขามากมายและเขาไม่อยากไปเจอมันอีก ฉะนั้นแน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เพนนีไวส์วางแผนเอาไว้ โดยธรรมชาติแล้วเขาควรจะวิ่งหนี แต่เขากลับอยู่ที่นั่นแม้จะรู้สึกกลัว เพราะพวกขี้แพ้ต้องอยู่ด้วยกันไว้”
มีขี้แพ้เพียงคนเดียวที่ไม่เคยวิ่งหนีหรือลืมเรื่องราวในอดีตคือไมค์ แฮนลอน ชีวิตของเขาก็ถูกจับตามองเช่นกัน ห้องใต้หลังคาในหอนาฬิกาของเขาเต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของเดอร์รี ข้าวของและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุที่เขายังอยู่ที่นี่ เขาอยากรู้ว่าเพนนีไวส์จะกลับมาเมื่อไหร่และอยากมีแผนการรับมือกับมัน
ไอเซห์ มุสตาฟาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบในช่วงหลายเดือนของการคัดเลือกตัวนักแสดง เขาต้องเดินทางบินระหว่างโตรอนโตและลอส แองเจลิส หลังจากที่มีการออดิชั่นหลายครั้งเกิน 4 เดือน ผู้สร้างภาพยนตร์อยากพบเขาเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นการบอกล่วงหน้าเพียง 5 ชั่วโมงก่อนที่เขาต้องเดินทางออกจากเมืองไปงานแต่งของตัวเอง แต่ด้วยความเห็นด้วยของว่าที่เจ้าสาวทำให้เขาต้องเลื่อนไฟลท์ไปอีก 1 วัน เพื่ออ่านบทครั้งสุดท้ายและบินไปงานแต่งในวันถัดมาพร้อมของขวัญงานแต่งล่วงหน้าซึ่งเป็นบทไมค์ แฮนลอน
การเตรียมตัวรับบทนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความรับผิดชอบของเขาที่ต้องอ่านหนังสือของคิงถึง 4 รอบและฟังออดิโอบุคไปด้วย “ผมอยากได้ยินเรื่องนี้ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้แน่ใจว่าผมเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องได้หมด” มุสตาฟากล่าว “ผมคิดว่าความแตกต่างสำคัญระหว่างไมค์กับพวกขี้แพ้คนอื่นคือความทรงจำที่มีต่อมัน คนอื่นๆ จากบ้านไปไกล ใช้ชีวิตของตัวเองและลืมเรื่องต่างๆ ส่วนเขายังอยู่ที่เดอร์รีและจดจำทุกเรื่องได้ดี มันกลายเป็นเรื่องที่ฝังใจเขา เขาหาข้อมูลเกี่ยวกับมันมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปี การรวบรวมข้อมูลพวกนั้นทำให้เขาไม่เคยห่างไกลจากเดอร์รี ทุกความตั้งใจย่อมมีราคาของมัน ทุกปีที่เฝ้าตามหาคำตอบ จากบทสัมภาษณ์ของคนในเมือง จากหนังสือและเรื่องราวต่างๆ การค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เนตทำให้ไมค์ต้องสูญเสียบางอย่างไป
“เขาไม่เชื่อว่าเพนนีไวส์ตายไปแล้วจริงๆ เขาเชื่อว่ามันยังคงอยู่เงียบๆ ในบางรูปแบบ” มุสตาฟากล่าว “ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนรูปร่างได้ตั้งแต่มาถึงเดอร์รีเมื่อนานมาแล้ว จากการค้นคว้าของเขาทำให้พบว่ามีเคยกลุ่มคนที่ต่อสู้เพื่อเอาชนะเพนนีไวส์มาก่อน เขาหวังว่าเขาและพวกขี้แพ้คนอื่นๆ จะทำได้ดีกว่านั้นและยุติวงจรของมันลงได้”
ช่วงที่เจย์ ไรอันเข้าร่วมชิงบทของเบ็น เขาได้รับสายจากตัวแทนของเขาที่มีข้อเสนอไม่ธรรมดา ไรอันเล่าว่า “พวกเขาขอรูปจากผมตอนอายุ 11 ขวบ พวกเขาอยากเห็นว่าผมคล้ายเจเรมี เรย์ ไทเลอร์ขนาดไหน ซึ่งผมก็โตมากแล้ว ผมรู้สึกเข้าถึงเบ็นตอนเป็นเด็กในวัยนั้นตามหนังสือได้ ผมคิดว่าหลายคนโตขึ้นมาพร้อมกับเรื่องราวในวัยเด็กที่ทำให้รู้สึกไม่มั่นคง เรื่องสำคัญอย่างคนนี้จะชอบฉันมั้ย? ฉันทำให้รู้สึกประทับใจได้หรือเปล่า? เราจะได้เห็นคนที่ผ่านเรื่องแบบนั้นและเอาชนะความกลัวมาได้ คนที่สุดท้ายประสบความสำเร็จจนน่าชื่นชม ผมอยากถ่ายทอดมันออกมาให้ดี แต่ถึงเขาจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของเขา เขาก็ยังเข้ากับใครไม่ได้เลย เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านหลังใหญ่กับสุนัขตัวนึง ซึ่งผมให้เขาเสริมตรงนั้นเข้าไปเพราะอยากให้เขามีอะไรสักอย่างหน่อย”
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ไรอันเคยทำงานเป็นตัวตลกตอนที่เขาเป็นวัยรุ่น เขาต้องแสดงกลที่นิวซีแลนด์บ้านเกิดของเขาและ “ทำลูกโป่งรูปสัตว์ให้เด็กๆ ที่ส่งเสียงร้องในซูเปอร์มาร์เก็ต ผมยังทำรูปหมีน่ารักได้อยู่เลย” เขาเล่าว่าเบ็นจำไม่ได้ว่า “ความทุกข์ทรมานจากเผชิญหน้ากับเพนนีไวส์ทำให้เขาจดจำแต่เรื่องดีๆ ความสนิทที่เขามีกับคนอื่นๆ ในกลุ่มขี้แพ้คือสิ่งที่เขาจะไม่มีวันรู้สึกอีกแล้ว แต่เบ็นก็เฝ้ารอที่จะถูกเรียกตัวกลับไปเดอร์รีมานานแสนนาน สำหรับผมแล้วเพนนีไวส์เหมือนการรวมทุกเรื่องเลวร้ายที่เราผ่านพ้นในชีวิต ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรมันก็เข้าถึงความกลัวที่อยู่ระดับลึกที่สุดของเราได้ อันที่จริงพวกขี้แพ้ต้องมีเพนนีไวส์เพื่อเตือนให้พวกเขานึกถึงความเข้มแข็งที่อยู่ในตัวเอง”
บาร์บารา มุสเชียตตินึกถึงเจมส์ แรนโซนและแจ็ค ดีแลน กเรเซอร์ นักแสดงใหม่ที่มารับบทเอ็ดดี้ทั้งตอนเด็กและตอนโตว่า “ระดับความเร็วในการพูดและคิดของพวกเขา รวมถึงลักษณะท่าทางของพวกเขามีความคล้ายกัน พวกเขาต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ เราเล่นมุกกันตอนที่พวกเขามาเจอกันว่าพวกเขาเหมือนกันเลย” ซึ่งพวกเขาต่างได้รับคำชื่นชมโดยแรนโซนได้กลายเป็นคนคอยให้คำชี้แนะของเกรเซอร์
นักแสดงจำความรู้สึกตอนเด็กที่มีต่อเพนนีไวส์ได้ว่า “เรื่อง IT ทำให้ผมกับน้องชายกลัวมากตอนเป็นเด็ก ผมดึงรูปหน้าปกหนังสือออก และก็เอาไปถ่ายเอกสาร ขยายภาพใหญ่และเอาไปติดข้างเตียงนอนของน้อง มันทำให้ขเกลัวมากและไม่มีวันอภัยให้ผมได้เลย เขาเอาเรื่องนี้มาพูดตอนที่ผมได้เล่นบทนี้ด้วย
“พอได้อ่านหนังสือตอนนี้” แรนโซนเล่าว่า “ความน่ากลัวกลับไม่ใช่พวกสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ แต่เป็นตัวละครทั้งหมดที่เดินทางมาถึงช่วงวัย 40 ปี ทุกคนไม่หลงเหลือความเป็นเด็กอีกต่อไป ในช่วงแรกของเรื่องเด็กๆ เหล่านี้มีความสามารถและมองภาพในอนาคตได้อย่างไร้ขีดจำกัด จากนั้นเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้ได้ตีกรอบพวกเขา เวลาคืบคลานเข้ามาหาพวกเขาและทำให้ความสามารถที่มีหายไป พวกเขาจะเป็นอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ นั่นคือสิ่งที่ผมทิ้งมันมา ยิ่งมารับบทเอ็ดดี้ สิ่งที่ผมให้ความสนใจที่สุดคือการอินไปกับความเป็นแจ็ค ดีแลน เกรเซอร์”
แอนดี้ บีนผู้มารับบทสแตนลีย์ตอนโตรู้สึกคุ้นชินกับผลงานสยองขวัญของคิงเป็นอย่างดี บีนเล่าถึงตอนนั้นว่า “สัตว์ประหลาดที่น่าสยองทุกตัวทั้งในหนังสือและในหนัง เพนนีไวส์ทำให้ผมกลัวมากที่สุดตอนเป็นเด็ก ผมไม่กล้านอนนานหลายเดือนเลย”
ขณะที่ความทรงจำเรื่องตัวตลกสยองยากที่จะทำให้บีนตัวสั่น ซึ่งตัวละครของเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง บีนเล่าว่า “สแตนลีย์ลืมมันได้อย่างสนิทใจ เขากับภรรยาใช้ชีวิตได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะเขามักจะผิดหวังเวลาที่อะไรๆ
ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ เวลาที่มันไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ตอนที่เขาเป็นเด็กมักชอบถามซ้ำๆ เพื่อเป็นการเช็คแล้วเช็คอีกว่า ‘แน่ใจหรอ? แน่ใจจริงๆ ใช่มั้ย?’ นั่นเป็นสิ่งที่แสดงออกชัดเจนตอนเขาเป็นผู้ใหญ่ เวลาที่อะไรไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ พอไมค์โทรมาเหมือนเขาพยายามจะซื้อเวลา และเขาตั้งคำถามกลับไปหลายอย่าง มันไม่เป็นไปตามแผนของเขา เหมือนเขากลัวโทรศัพท์สายนี้มานาน 27 ปี ซึ่งเขารู้ดีว่ายังไงมันก็ต้องเกิดขึ้นสักวัน”
เมื่อมีการย้อนเวลาไปในปี 1989 มุสเชียตติเล่าว่าเป้าหมายของเขาคือการผสมผสานความเป็นอดีตเอาไว้ด้วย “ประเด็นสำคัญและการผจญภัยของพวกขี้แพ้แต่ละคน มันไม่ได้มีแค่ธีมของตัวละครแต่ละราย เช่น เราเห็นเบ็นเป็นเด็กโดดเดี่ยว กลัวการอยู่อย่างลำพัง เราก็จะเห็นภาพของบีเวอร์ลีที่เธอรักพ่อ แม้ว่าเขาจะทำร้ายเธอ พฤติกรรมเหล่านี้เห็นได้ชัดตลอดในตัวพวกเขา ซึ่งมันจะวนเวียนจนแย่ลงเรื่อยๆ แต่พวกเขามีจุดเริ่มต้นที่ต่างกันไป บางเรื่องเราไม่รู้เกี่ยวกับพวกขี้แพ้ตอนเป็นเด็ก และบางเรื่องเราก็ไม่เคยเห็นมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้”
ซึ่งนั่นแน่นอนว่าต้องมีการเรียกตัวพวกขี้แพ้ตอนเด็กกลับมาด้วย แต่ไม่ได้ดูเด็กลงแค่ 3 ปี บาร์บารา มุสเชียตติเล่าว่า “โดยทางร่างกายแล้วพวกเขามีความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน เรารู้ว่าต้องอาศัยเทคนิคที่ทำให้ดูย้อนวัยไปช่วงนั้น “พวกเขาเป็นเด็กที่มีความน่าทึ่งทุกคนเลยค่ะ” เธอกล่าว “เช่น เฟอร์ราริสที่มีความว่องแวแลฉลาด พวกเขาได้รู้จักกันในภาคแรก การที่พวกเขากลับมาทำให้เราเห็นภาพพวกเขาตอนเป็นเด็ก 13 ขวบได้ ตอนนี้พวกเขาเป็นวัยรุ่นที่มีอาชีพมั่นคงแล้ว แต่เวลาที่มาอยู่ด้วยกันกลับย้อนไปช่วงซัมเมอร์นั้นและกลายเป็นเด็กได้ มีการเรอใส่กันและทำอะไรสนุกๆ กัน ฉันรักตรงนั้นและหวังว่าพวกเขาจะไม่ทำมันหายไปค่ะ”
ตัวแทนของพวกขี้แพ้วัยเด็กอย่างโซเฟีย ลิลลิสได้เล่าว่า “เราทุกคนจำตอนที่ถ่ายทำภาคแรกได้เป็นอย่างดีค่ะ มันไม่ใช่แค่หนังสตูดิโอเรื่องแรกของฉัน เพราะมันเป็นหนังเรื่องแรกของทุกคนเลย ไม่เคยมีใครเจออะไรแบบนั้นเพียงลำพัง ทุกคน
อยู่ด้วยกันตลอด พวกเราได้เรียนรู้การทำงานร่วมกัน มันเป็นเรื่องที่ดีและพวกเรามีความสุขมากค่ะ ตอนนี้พวกเราจะออกมาในเวอร์ชันผู้ใหญ่และบอกว่า ‘หวังว่าคุณจะทำให้เราออกมาดูดี’ พวกเราคิดเหมือนในภาคแรกเลยค่ะ เราไปทำงานอย่างทุ่มเทและทำหน้าที่ของเรา เราหวังว่าเราจะทำออกมาได้ดี ฉันคิดว่าเหตุผลที่ทำให้เราผูกพันกันอย่างที่เห็นบนหน้าจอ เพราะมันเป็นความแปลกใหม่ของเราทุกคน ได้ร่วมแชร์ความรู้สึกนี้ร่วมกันและผ่านประสบการณ์ที่มหัศจรรย์แบบนี้มาด้วยกันค่ะ”
หลังการถ่ายทำเรื่อง “IT” นักแสดงวัยรุ่นยังคงมีการติดต่อกันอยู่ ฟินน์ วูลฟ์ฮาร์ดผู้กลัมารับบทริตชี่จำได้ว่า “เราได้ยินมุกตลกที่ชอบเล่นกัน นั่นเป็นสิ่งที่นำเรากลับมาหากันได้ ต่อมาเราไปทานมื้อเย็นกันพร้อมกับแอนดี้และบาร์บารา พวกเขายืนยันว่าเราจะได้เล่นภาคสอง ซึ่งไม่มีรายละเอียดมากกว่านั้น จากนั้นก็มีคนหนึ่งเห็นแอนดี้ที่ต้องมาอยู่ในฉากกับพวกเรา เราไปไหนด้วยกันจนกระทั่งได้รับอีเมล์อย่างเป็นทางการ ฉากของเราจะมีการย้อนไปถึงอดีตที่เล่าเรื่องตัวละครมากขึ้น มีเรื่องที่ผู้ชมไม่เคยรู้มาก่อนจนถึงภาค 2 แน่นอนว่ามันดีมากที่เราได้กลับมาร่วมฉากด้วยกัน แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือเราจะได้เล่าเรื่องราวในซัมเมอร์นั้นมากขึ้น”
ไวแอตต์ โอเลฟผู้รับบทสแตนลีย์ตอนเด็กคิดว่า “ผมคิดในมุมของเด็ก 12-13 ปีที่เป็นพวกขี้แพ้ส่วนใหญ่ก่อนจะเจอเพนนีไวส์ ส่วนใหญ่ก็จะมีความกลัวในวัยนั้นอยู่แล้ว ทุกคนจะมีความเป็นเด็กและไม่กังวลคิดอะไรมาก แต่พอพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบมากขึ้น มีสิ่งให้สูญเสียมากขึ้น พวกเขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงในชีวิต ก่อนหน้านั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องการเอาตัวรอด เมื่อพวกเขากลับมารวมกันก็ต้องเสี่ยงทุกอย่าง เป็นเพราะคำปฏิญาณที่เคยให้ไว้ตอนอายุ 13 งั้นหรอ? มันเป็นเรื่องที่มีพลังมากครับ”
ความรู้สึกที่ได้อยู่ในกลุ่มพวกขี้แพ้คือสิ่งที่กำหนดเส้นทางชีวิตของสมาชิกทั้ง 7 คน แอนดี้ มุสเชียตติเล่าว่า “‘พวกขี้แพ้ดูมีอะไรบางอย่างในช่วงที่ตัวละครมาพบเจอกัน แต่พวกเขาเลือกที่จะเรียกตัวเองว่ากลุ่มพวกขี้แพ้ เพื่อสื่อถึงการรวมตัวกันและ
แบ่งปันความแข็งแกร่งให้กัน เมื่อผู้ใหญ่กลับมารวมตัวกันหลังจาก 27 ปีของการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว พวกเขาออกไปใช้ชีวิตและมีหน้าที่การงาน พวกเขารู้ว่าไม่มีอะไรจะมีความหมายและมีค่าทางความรู้สึกเท่ากับการอยู่ในกลุ่มนั้นแล้ว นั่นคือความหมายของตอนที่พวกเขาพูดว่า ‘เราคือพวกขี้แพ้…และจะเป็นแบบนั้นตลอดไป”
มันกลับมาแล้ว
ออกมาเล่นกันเถอะ พวกขี้แพ้!
—เพนนีไวส์
มีหลากหลายเหตุผลที่ทำให้พวกขี้แพ้ให้ความสนใจในการโทรมาของไมค์และเดินทางกลับบ้าน มุสเชียตติรู้ว่าเพนนีไวส์อยากให้พวกเขากลับไปด้วยเหตุผลที่โบราณที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ผู้กำกับฯ เล่าว่า “เขาอยากให้ทุกคนกลับไปเพื่อการแก้แค้น ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง ไมค์ได้ยินว่าเกิดเหตุฆาตกรรมใกล้สะพาน เขาไปที่นั่นและเห็นข้อความ ‘กลับบ้าน’ ที่เขียนด้วยเลือด 3 ประโยคเหมือนเพนนีไวส์แหย่พวกเขา ในภาคสองมันยังดูเป็นตัวละครลับอยู่ แต่จะเห็นมันได้ชัดเจนขึ้นและมันกลับมาเพื่อล้างแค้น”
บาร์บารา มุสเชียตติเล่าว่า “เขาเฝ้ารอมาตลอดหลายปี แต่รู้ว่าทุกคนต้องกลับมาเพราะเขารู้ว่าความกล้าหาญทำให้เขาพ่ายแพ้ในภาคแรก ระหว่างที่พวกเขาห่างหายไป เขาได้วางแผนบางอย่างไว้แล้ว …”
การกลับมาของเพนนีไวส์ยังหมายถึงการปรากฎตัวอีกครั้งของบิล ซาร์สการ์ดที่มารับบทอันโหดร้ายและเป็นที่จดจำในเรื่อง “IT” ด้วย มุสเชียตติเล่าว่า “ครั้งนี้เราผลักดันให้บิลทำเต็มที่เลย ซึ่งเขาก็ยอมรับและทุ่มเทกับมันมากขึ้น เพนนีไวส์ปรากฏตัวในหลายรูปแบบและหลายครั้ง เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว ซึ่งบิลก็ไม่ได้ยั้งฝีมือเลย เขามีการแสดงที่คาดเดาไม่ได้ในบทนั้นเสมอ บางครั้งเขาก็ทำให้ผมเดาไม่ถูกด้วย แม้แต่ตัวเขาเองก็เดาไม่ถูก แต่เราไว้ใจกันและมิตรภาพที่เริ่มเกิดขึ้นในเรื่อง ‘IT’ ก็ยังดำเนินต่อไป”
เมื่อซาร์สการ์ดและแอนดี้ มุสเชียตติเริ่มคุยกันเรื่องเพนนีไวส์ก่อนการถ่ายทำเรื่อง “IT” ทั้งนักแสดงและผู้กำกับฯ ไม่เคยหยุดคุยกันเรื่องตัวละคร และภาพลักษณ์ของเขาในทั้งสองภาค มีหลายไอเดียทยอยเกิดขึ้นในบทของดาวเบอร์แมนเพื่อหนังทั้งสองภาค
สำหรับช่วงเวลาที่ห่างหายจากการรับบทตัวละครนี้ ซาร์สการ์ดเล่าว่า “ผมอยู่ที่แอล.เอ.ด้วยเหตุผลส่วนตัว แอนดี้อยากให้ผมมาทดลองการแสดงที่จะมีการใช้ในหนังเรื่องใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลายเดือนก่อนจะเริ่มถ่ายทำ ผมคิดว่าผมต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้และต้องแสดงอะไร แต่นั่นคือฉากที่อยู่ในบทอย่างเต็มตัวเลย ผมโผล่ออกไปและแอนดี้ก็พูดว่า ‘แอคชั่น!’ แล้วเพนนีไวส์ก็โผล่ออกมา ผมเดาว่าเขาไม่ได้หายไปไหนเลย เขายังอยู่ในตัวผม ยิ่งมากวนใจมากขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยการแต่งหน้าด้วยซ้ำ ผมรู้สึกช็อคมากที่เขายังชัดเจนขนาดนี้ และเขาพัฒนาตัวละครต่อได้อย่างน่าทึ่งด้วย
“สิ่งที่เปลี่ยนในตัวเขาคืออยากให้ทุกคนกลับมา” นักแสดงชายกล่าว “เรื่องราวส่วนใหญ่ในอดีตคือการสร้างความกลัวให้เด็กๆ หนีไป แต่ตอนนี้เขาต้องการให้ทุกคนกลับมา เพราะเขาคิดถึงทุกคนในแบบที่เขาเป็น ผมคิดว่านั่นทำให้ตัวร้ายดูแข็งแกร่งขึ้น ความกลัวคืออาวุธของเขาได้เสมอ เขาแทรกซึมความกลัวที่อยู่ในตัวมนุษย์ แต่เขาไม่เข้าใจมันจนกระทั่งเจอพวกขี้
แพ้และกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาเอง ผมคิดว่าความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น เขาได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกัน หลังจากที่เวลาผ่านไปนานความปรารถนาของเขาเลยพัฒนากลายเป็นความคิดถึงขึ้นมา”
ผู้กำกับฯ ได้พูดถึงความสามารถด้านการแปลงร่างที่มีการพัฒนาว่า “การเผชิญหน้ากับเด็กช่วงแรกๆ ในเรื่องนี้ เราจะนึกออกได้เลยในฉากกระจกว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับจอร์จี้ แต่ตอนนี้มันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น เขามีความเจ้าเล่ห์และท้าตายรุนแรงขึ้น เอาจริงเอาจังและอันตรายมากขึ้น หลอนสุดๆ เลย”
บาร์บารา มุสเชียตติเล่าว่า “การโผล่มาของเพนนีไวส์ครั้งนี้คิดขึ้นโดยแอนดดี้และบิลทั้งนั้น พวกเขาช่วยกันคิดหลายอย่าง และรู้ว่าทุกคนให้ความร่วมมือกันขนาดไหน มันเป็นการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง และความแตกต่างที่สำคัญระหว่างภาคแรกกับภาคสอง คือในภาคแรกทุกคนตามหาเพนนีไวส์ ส่วนในภาคนี้ทุกคนรู้ดีว่าเพนนีไวส์คือใคร และเขาเป็นตัวร้ายที่ฉลาดมากขึ้น เขาวางแผนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเขาจะแสดงมันให้ทุกคนได้เห็น”
นักแสดงจำนวนมากของมุสเชียตติที่มาช่วยทุ่มเทในการเผชิญหน้ากันระหว่างพวกขี้แพ้กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพนนีไวส์ ได้แก่ โจแอน เกร็กสันในบทคุณเคิร์ช หญิงชราที่อาศัยอยู่ในอาร์ตเมนท์เก่าของมาร์ช ผู้มาต้อนรับบีเวอร์ลีด้วยความวุ่นวาย และทีช แกรนท์ในบทเฮนนรี โบเวอร์สตอนโตที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ตั้งแต่มีการถูกจับกุมตัวเมื่อครั้งที่นายอำเภอผู้เป็นพ่อของเขาเสียชีวิตลง
เมืองที่ถูกหลงลืม
มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอเมื่อเดินทางไปจากเมืองนี้
ยิ่งไปไกลก็ยิ่งดูมืดหม่น
—ไมค์ แฮนลอน
สำหรับการกลับไปยังเดอร์รี แอนดี้ มุสเชียตติได้ร่วมงานกับทีมผู้ชำนาญและดีไซน์เนอร์ที่น่าระทับใจ รวมถึงหัวหน้าแผนกต่างๆ ที่เขาเคยร่วมงานด้วย เช่น ผู้กำกับภาพเชคโค วารีซ ผู้ลำดับภาพเจสัน บาลานไทน์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายลูอิส ซีเควียรา และผู้ประพันธ์ดนตรีพอล ออสเทอร์เบอร์รี บาร์บารา มุสเชียตติกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เราเฝ้ารอที่จะได้ร่วมงานกันมาอย่างยาวนาน… ก่อนที่เขาจะได้รับรางวัลออสการ์ด้วยซ้ำ”
สำหรับการสร้างภาค 2 ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาในฉากระหว่างปี 1989 และปัจจุบัน ต้องมีการสร้างฉากและใช้สถานที่ต่างๆ อย่างที่เคยใช้ในเรื่อง “IT” รวมถึงการสร้างความแตกต่างให้เห็นเมื่อเวลาผ่านไป 27 ปี นอกจากนั้นในเนื้อเรื่องยังมีบรรยากาศที่แปลกใหม่ มีการอาศัยภาพวิชวลและฉากหลังสำหรับการเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้ายระหว่างพวกขี้แพ้และเพนนีไวส์
ในภาคที่แล้ววารีซได้แสดงเอาไว้ตรงตามมาตรฐาน ซึ่งเรามีการอิงจากฟุตเทจเพื่อสานต่อภาพลักษณ์ของเรื่อง “IT” ให้มีฉากที่ย้อนภาพกลับไปในอดีต ส่วนฉากในปัจจุบันจะมีทั้งความรู้สึกและโทนสีที่ต่างออกป เขามีการใช้เลนส์ลักษณะต่างๆ
ตั้งแต่เลนส์กลม MiniHawks ที่ทำให้เกิดโบเคห์สำหรับภาพในอดีต และเลนส์กลมที่ใช้สำหรับภาพปัจจุบันเพื่อสร้างความแตกต่างของช่วงเวลาให้เห็น
ตากล้องยังสร้างความแตกต่างของ 2 ช่วงเวลาให้เห็นโดยการจัดแสงไฟอีกด้วย “มันจะมีโทนที่ดูมืดลง” วารีซอธิบายถึงโลกของพวกขี้แพ้ที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว “และมีอารมณ์ที่หม่นหมองขึ้น ตัวละครเหล่านี้ล้วนมีสิ่งที่พวกเขาแบกรับเอาไว้ สำหรับชีวิตของพวกเขาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต่างต้องพบกับฝันร้ายและต้องแบกรับมันเอาไว้ เราอยากให้มีแสงสว่างขึ้นมาในฝันร้าย” สำหรับการสร้างความรู้สึกขึ้นมาด้วยบรรยากาศ วารีซรีบเล่าให้ฟังว่า “พวกเขายังแสดงมุกตลก ความรัก ความอิจฉา และความสนิทแน่นแฟ้นออกมาได้ดีอีกด้วย”
แอนดี้ มุสเชียตติเล่าว่า “ภาพวิชวลที่น่าสนใจในภาคนี้อยู่ที่การเปลี่ยนภาพ เราจะเปลี่ยนภาพจากปัจจุบันสู่อดีตและย้อนจากอดีตสู่ปัจจุบันอย่างไร สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องของสไตล์ แต่มันก็สนุกมากเลยครับ เพราะเราต้องเลือกว่าจะให้มันเกิดภาพนั้นช่วงไหนและต้องถ่ายทอดมันออกมาผ่านภาพต่างๆ”
ด้วยพื้นฐานของวารีซที่เคยเป็นช่างภาพข่าวในข่าวและภาพยนตร์สารคดี เขามีความถนัดด้านการใช้กล้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในฉาก ระหว่างที่ถ่ายทำฉากพวกผู้ใหญ่ขี้แพ้เข้าไปอยู่ในที่เก็บน้ำ ที่บีเวอร์ลีเคยอยู่ตรงนั้นตอนเป็นเด็กแล้วถูกแสงไฟสาดส่องจนสว่างจ้า ตากล้องได้มีการใช้กองไฟแทนไฟฉายที่อยู่บนถุงมือของเขา มีการใช้แสงไฟเฉดต่างๆ ตั้งแต่ขาวไปจนถึงเทาเพื่อสาดส่องไปที่นักแสดงแต่ละคน โดยมีข้อกำหนดในฉากนั้นว่าพอเชคโคลงไปอยู่ในน้ำ ทุกคนต้องลงไปอยู่ในน้ำด้วย
ทุกฉากที่ถ่ายทำและการเลือกใช้แสงจัดฉากถูกคำนวณออกมา โดยที่ยังรักษาความสอดคล้องระหว่างวิชวลกับการถ่ายทอดเรื่องราวในจินตนาการของมุสเชียตติเอาไว้ วารีซเล่าว่า “ผมเห็นทุกการทำงานในแบบที่ผมรู้เลยว่าจะจัดการเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ยังไง พวกเขายกเทคโนเครนขนาด 50 ฟุตข้ามประตู กำแพง และผู้คนเพื่อถ่ายทำในแบบที่แอนดี้ต้องการ ทั้ง
โดรน เครน สไลเดอร์ กล้องแฮนด์เฮลด์ต้องลุยไฟ ลุยน้ำ อยู่บนผิวน้ำและในน้ำ มีทั้งการถ่ายโคลสอัพและระยะมาโคร ‘เข้าใกล้อีกนิดได้มั้ย’ ‘คุณครับ ตาดำของนักแสดงอยู่ใกล้กับเลนส์แล้ว’ ‘โอเค งั้นเราคงเข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว’”
จินตนาการส่วนใหญ่ของผู้กำกับฯ ในขั้นแรกจะเกิดขึ้นในช่วงวาดภาพร่าง มุสเชียตติถือว่าเป็นผู้ชำนาญอีกคนหนึ่ง เขาจะมีการสำรวจตัวละครช่วงแรกด้วยภาพร่าง จากนั้นจะมีการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบด้วยผู้ชำนาญด้านคอนเซปต์ โดยระหว่างการถ่ายทำเขาจะมาที่ฉากทุกเช้าพร้อมกับสตอรี่บอร์ดของตัวเอง ที่เหมือนกับบลูปรินท์สำหรับการถ่ายทำแต่ละฉากในวันนั้น
วารีซกล่าวเสริมว่า “แอนดี้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง และเขาการที่เขาชำนาญด้านสตอรี่บอร์ดช่วยให้เข้าใจฉากต่างๆ ได้มากขึ้น มันทำให้เรามีแบบอย่างที่ดีสำหรับการเริ่มต้น และจากนั้นเราจึงเริ่มทำการพัฒนาผลงานต่อ”
ผู้ออกแบบฉากฯ ออสเทอร์เบอร์รีเริ่มทำงานในเรื่อง “IT Chapter Two” ด้วยการพาตัวเองไปอยู่กับภาค 1 นอกจากนั้นยังดูภาพอ้างอิงจากแหล่งต่างๆ ตั้งแต่ศิลปะของชาวอิตาเลียนในยุคศตวรรษที่ 18 และงานคานิวัลที่ผ่านมาของชาวอเมริกัน ออสเทอร์เบอร์รีเล่าว่า “สิ่งที่ชอบมากในภาคแรกคือมีการสื่อถึงเมืองเล็กๆ เมืองนั้นในรัฐเมนให้เห็นอย่างชัดเจน สีสันมีความน่ารัก น่าตื่นเต้นมากที่จะได้พามันไปสู่ก้าวต่อไปและถ่ายทอดเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นออกมา”
ช่วงก่อนการถ่ายทำดีไซน์เนอร์ยังได้เดินทางไปเยือนพอร์ท โฮพในออนทาริโอ ซึ่งใช้ถ่ายทำเป็นเมืองเดอร์รีในรัฐเมนทั้ง 2 ภาค เขาต้องใช้ความสามารถในบทบาทของนักสถาปนิกด้วยการสังเกตโครงสร้างของหอนาฬิกาที่น่าสนใจด้านบนของห้องสมุดในเมือง หลังจากเข้าไปด้านในกับมุสเชียตติเขาได้โน้มน้าวให้ย้ายไมค์ แฮนลอนจากอพาร์ทเมนท์เดิมตามบทฯ มาอยู่ในห้องใต้หลังคาและหอนาฬิกาโดยไม่เสียค่าเช่า (ต่อมาได้มีการจำลองและสร้างขึ้นมาในโรงถ่าย ทั้งตัวห้อง หอนาฬิกา ห้องควบคุมนาฬิกาและทุกอย่าง)
ก่อนจะสร้างฉากต่างๆ ที่พวกขี้แพ้กลับไปเยือนขึ้นมา บางฉากได้มีการปรับปรุงหรือสร้างขึ้นมาใหม่ โดยส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาที่ผ่านไปหลายปี ทั้งในช่วงเวลานั้นของเดอร์รีและในช่วงเวลาจริง ตั้งแต่ปี 2017 ในเมืองนั้นมีร้านขายยาเกิดขึ้น กองถ่ายต้องจัดการสถานที่เพื่อให้ดูสอดคล้องกับในเรื่อง “IT” ก่อนหน้านี้อพาร์ทเมนท์ของมาร์ชเป็นสถานที่ที่เข้าไปถ่ายทำได้ แต่สำหรับตอนนี้ต้องมีการจำลองขึ้นมาใหม่ในโรงถ่าย เพื่อให้บีเวอร์ลีสามารถกลับไปนั่งจิบชากับคุณเคิร์ชได้ รูปปั้นของพอล บันแยนที่สวนสาธารณะในเมืองก็มีการเปลี่ยนแปลงจนตอนนี้มีความสูงถึง 21 ฟีต
ในการทำงานต้องมีการแกะผลงานซากปรักหักพังของโรมันจากศิลปินชาวอิตาเลีนจิโอแวนนี แบททิสตา พิราเนซี ออสเทอร์เบอร์รีต้องออกแบบด้านในอ่างเก็บน้ำขึ้นมาใหม่ โดยใช้แทงก์น้ำในโรงถ่ายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 75 ฟีต ในเรื่อง “IT Chapter Two” พื้นที่ด้านในจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตั้งแต่เพดานและกำแพง ระดับบน้ำจะสูงขึ้นกว่าในปี 1989 ที่ได้เจอกับเพนนีไวส์ และรถเข็นละครสัตว์ของเขาที่มีขนาดเล็กลงยังคงรายล้อมไปด้วยของเด็กเล่นสภาพเน่าๆ พอเติมน้ำร้อนที่ผ่านการกรองแล้วเข้าไป 180,000 แกลลอน นักแสดงที่มารับบทผู้ใหญ่ขี้แพ้ต้องพบกับสภาพน้ำที่มีความมืดมิดและมีความลึก 4 ฟีตครึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่ทำให้นั่งร้านจมลงได้ เท่ากับว่าทีมงานจะสามารถยืนแช่น้ำระหว่างถ่ายทำเพียง 1 ฟุต
ฉากที่สำคัญในช่วงแรกหลังจากที่ทุกคนแยกตัวกันไปหลายปี พวกขี้แพ้มานัดเจอกันในร้านอาหารจีน โดยจำลองร้าน Jade of the Orient ขึ้นมา ซึ่งเป็นร้านอาหารจริงที่เป็นสาขาเล็ก มีการตกแต่งเป็นห้องอาหารส่วนตัวที่ทุกคนใช้สำหรับการกลับมาพบกัน และยังมีห้องที่ Derry Town House ที่มีการผสมผสานกันระหว่างด้านนอกพอร์ท โฮพ และด้านในแมนชั่นปี 1880 ที่ฮามิลตัน แถบด้านนอกโตรอนโต ส่วนที่ตั้งของ Henry Bowers ตั้งแต่ปี 89 คือโรงพยาบาลร้างมาเป็นเวลานานแล้วจึงเหมาะสำหรับการรื้อถอนสถานที่เพื่อการถ่ายทำ
หนึ่งในฉากใหม่ที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดคืองานคาร์นิวัลใกล้เมือง เพื่อฉลองงานเทศกาล Canal Days Festival ที่จัดขึ้นทุกปี มุสเชียตติเล่าว่า “งานคาร์นิวัลเป็นความสยองครั้งใหม่ที่มักจะรวมเรื่องร้ายๆ ของเดอร์รีเอาไว้ ท่ามกลางความสุข สีสัน และเสียงดนตรีนั้นเราจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ โดยมีหน้าของตัวตลกขนาดใหญ่ชวนหลอนที่มองเห็นได้ทั่วทั้งงาน”
ในฉากส่วนใหญ่ยังมีขบวนพาเหรดและสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ พร้อมด้วยบ้านหรรษาขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ออสเทอร์เบอร์รีสังเกตการณ์ออกแบบบ้านหรรษาในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา มันจะต้องมีหัวตัวตลกที่คอยมองจ้อง ทางเข้าจะอยู่ตรงบริเวณปาก รวมถึงมีห้องถุงลมตัวตลกและห้องกระจก
แฟนนิยายของคิงจะรู้สึกปลื้มกับคลับเฮาส์ของพวกขี้แพ้ ที่สร้างขึ้นโดยเบ็นในโพรงที่อยู่ใต้ดินอีกด้วย เด็กๆ ใช้เวลาอยู่ที่นั่นกันช่วงซัมเมอร์ปี 1989 ส่วนสิ่งก่อสร้างอื่นๆ สำหรับภาคนี้จะอยู่ที่โรงถ่ายทั้ง 6 แห่งรอบโตรอนโต
สิ่งก่อสร้างทั้งหมดทำให้มุสเชียตติและทีมงานมีโอกาสถ่ายทอดเรือ่งราวผ่านกล้องได้อย่างเต็มที่ แล้วนำมาเพิ่มขนาดหรือความยิ่งใหญ่ภายหลัง โดยจะใช้การถ่ายทอดจริงก่อนให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้นจะใช้วิชวชเอ็ฟเฟ็กต์สำหรับสิ่งที่เกินกว่าจะสร้างขึ้นมาได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือฉากที่มีเจสสิก้า แชสเทน เมื่อตัวละครของเธอต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่ฝังลึกตั้งแต่เด็ก ในเรื่อง “IT” บีเวอร์ลีเห็นช่องที่อยู่ในห้องน้ำโรงเรียน เธอเคยถูกพวกที่ทำตัวเจ๋งกลั่นแกล้งและเยาะเย้ยเธอ ตอนนี้เพนนีไวส์จะพาเธอย้อนไปยังจุดนั้นและเป็นฉากที่ดูหลอนมากขึ้น
เพื่อเป็นการเลี่ยงเทคนิคดิจิตัล กองถ่ายต้องใช้ “เลือด” มากถึง 5,000 แกลลอน (โดยใช้ส่วนผสมระหว่างเมธิลเซลลูโลสกับสีแดง) ที่ได้จากบริษัทผลิตเอ็ฟเฟ็กต์ในแคลิฟอร์เนียในโตรอนโต มีการทดลองหลายครั้งเพื่อความแน่ใจว่านักแสดงหญิงจะไม่ถูกย้อมสีกลายเป็นสีชมพู เพื่อให้ได้เอ็ฟเฟ็กต์เลือดท่วมตัวอย่างที่มุสเชียตติต้องการ จึงต้องมีการผลิตระบบ
ท่อที่มีความกว้างขึ้นมา 10 ท่อ และต้องระบายเลือดได้ 2 ตันครึ่ง เมื่อถึงเวลาถ่ายทำจริงระบบนั้นใช้งานได้ดี และเชสเทนต้องมีการถ่ายทำแยก 2 ครั้ง ทั้งตกลงไปในนั้นและว่ายลงไ ส่วนอีกครั้งเธอต้องนับถึง 5 ก่อนค่อยถ่ายทำฉากสำรองเอาไว้
“มันน่าขยะแขยงมากค่ะ” นักแสดงยอมรับพร้อมหัวเราะ “มันเข้าไปในตา หู จมูก เราต้องถ่ายทำกันทั้งคืน แอนดี้พูดตอนนั้นว่า ‘มันดูดีมากเลย ผมมีความสุขจัง’ ส่วนฉันตอบ ‘โอเค คุณรู้แล้วว่าตัวเองมีความสุขขนาดไหน!’ จนช่วงท้ายของการถ่ายทำฉันเข้าไปกอดแอนดี้กับบาร์บาราแน่นมาก พวกเขาเอารูปนั้นส่งมาให้ฉันด้วย กลายเป็นทุกคนเต็มไปด้วยเลือดนี่ แต่พวกเราก็มีความสุขกันมากค่ะ”
เพื่อนร่วมแสดงบางคนของแชสเทนถึงกับนึกถึงช่วงที่ตัวเองเคยถ่ายทำฉากต่อสู้ในหนัง เช่น เจมส์ แมคอะวอยสารภาพว่า “ผมผ่านหนังแอ็คชั่นมาบ้างแล้ว บางเรื่องฉากแอ็คชั่นคือสิ่งที่ให้ความสำคัญมาก แต่ไม่มีเรื่องไหนเสียงดังเท่าเรื่องนี้ แอนดี้ชอบตะโกน ‘คัท!’ และพูดว่า ‘มันเพอร์เฟ็กต์มาก เพอร์เฟ็กต์ที่สุด เป็นฉากที่ดีที่สุดของเราเลย… โอเค ขออีกรอบ’ แล้วผมก็รู้สึกว่า ‘เดี๋ยวนะ เพอร์เฟ็กต์แล้วจะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ยังไง?’ ‘แน่นอน มันเพอร์เฟ็กต์ แต่ขออีกรอบนะ ได้โปรด’ แต่ผมต้องยอมรับว่าตัวเองชอบการทารุณ ผมรู้สึกสนุกกับมัน” เขากล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มว่า “แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาที่เรามีคนวัย 40 กลุ่มหนึ่งวิ่งอยู่รอบตัวเพื่อถ่ายทำหนังแอ็คชั่น”
บิล เฮเดอร์เล่าว่า “ผมไม่ต้องแสดงอะไรหลุดโลกเลย ผมเคยกระโดดข้ามโต๊ะ แต่ไม่ใช่ถูกตัวตลกยักษ์วิ่งล่า พีเจ [แรนโซน] เจมส์, ไอเซห์และเจย์ต้องกลิ้งตก มีการตีลังกา และโดนกระแทก ส่วนผมมีกล้ามขาขึ้นมาเลยเพราะต้องวิ่ง”
แชสเทนให้เหตุผลว่า “ฉันรู้ตั้งแต่ตอนแสดงในเรื่อง ‘Mama’ แล้วค่ะ เวลาร่วมงานกับแอนดี้มันจะกลายเป็นวันที่ยาวนาน สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรที่เขารักไปมากกว่าการอยู่ในกองถ่าย เขามีความอยากรู้อยากเห็นในตัวแบบเด็ก เขารู้สึก
ตื่นเต้นมากและทำให้คนอื่นตื่นเต้นไปด้วย ส่วนบาร์บาราเป็นผู้สร้างฯ เพียงคนเดียวที่นำหนังแบบนี้มาประกอบเข้ากันได้ เหตุผลที่เรามีหนังที่ดูดีอย่างที่แอนดี้สร้างขึ้นมา เพราะเรามีการร่วมงานกันระหว่างเขากับบาร์บารา”
ระหว่างการถ่ายทำที่มีทั้งการแทง ความหวาดกลัว และเป็นวันที่ยาวนาน ทั้งผู้สร้างภาพยนตร์ ทีมงาน และนักแสดงพบกับวิธีผ่อนคลายด้วยการเล่นมุกตลกและการเล่นดนตรี ระหว่างช่วงถ่ายทำแอนดี้ มุสเชียตติจะชอบเล่นเปียโนบ่อยๆ ส่วนแชสเทนก็เป็นนักร้องที่มีพรสวรรค์
จากเสียงดนตรีสู่การกลับมาในฉากภาพยนตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ระหว่างพวกขี้แพ้กับเพนนีไวส์ เบ็นจามิน วอลฟิสช์กลับมารับหน้าที่แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์อีกครั้ง เขาอธิบายว่า “จากการคุยกันช่วงแรกกับแอนดี้ คือเราจะนำสิ่งที่สร้างไว้นาคแรกทำให้มันมีอะไรมากขึ้นและมีความยิ่งใหญ่มากขึ้นได้ยังไง เพื่อสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของหนัง ในช่วงเริ่มงานเราใช้วงออร์เคสตร้าและคณะประสานเสียงที่มีขนาใหญ่ขึ้นด้วยซ้ำ และยังสร้างดนตรีหลายแนวขึ้นมา เวลาที่เรากลับไปย้อนถึงเพลงจากภาคแรก เราได้ทำการบันทึกเสียงขึ้นมาใหม่ให้มีความซับซ้อนและมีการเรียบเรียงที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เหมือนตัวดนตรีเองก็ผ่านช่วงเวลาแห่งการเจริญเติบโต 27 ปีด้วยเช่นกัน
“แต่สิ่งที่ท้าทายที่สุด” วอลฟิสช์อธิบายว่า “คือทำนองจากต้นฉบับที่พัฒนาและมีการสร้างความแปลกใหม่ขึ้นมาในท่วงทำนอง ดนตรีต้องมีการใส่ลูกเล่นลงไปมากขึ้น ซึ่งทำให้มีโอกาสพัฒนาทำนองต้นฉบับให้มีความเร้าอารมณ์ลึกซึ้งขึ้น สื่อถึงการต่อสู้ของคลับพวกขี้แพ้กับปีศาจที่อยู่ข้างในจากอดีตและความทรงจำอันเลวร้าย และการมารวมตัวกันเพื่อเผชิญหน้ากับความกลัวครั้งสำคัญของพวกเขา ในครั้งนี้เพนนีไวส์ปรากฏตัวชัดเจนขึ้น ดนตรีต้องมีการสะท้อนจุดนั้นด้วยการเพิ่มความดหู่มากขึ้น ขณะเดียวกันต้องไม่ทิ้งอารมณ์แห่งการผจญภัยและอารมณ์ที่เป็นประเด็นสำคัญของหนังไป”
ความรู้สึกของการผจญภัยคือสิ่งที่ดึงบาร์บารา มุสเชียตติมาสู่การดัดแปลงนิยายชื่อดังของคิง และเป็นสิ่งที่อยู่กับตัวเธอจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เธอจดจำได้ว่า “เวลาที่เรานึกได้ว่าเราจะถ่ายทำฉากสุดท้ายแล้ว แอนดี้จะสร้างแกขึ้นมาอีกเพราะไม่มีใครอยากให้มันจบลง เราเฝ้าดูเด็กๆ เหล่านี้เติบโตและกลายเป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้เราเหมือนครอบครัวเดียวกัน เรากิน หายใจ และนอนหลับด้วยกัน หนังสือที่น่าทึ่งเล่มนี้ใช้เวลา 4 ปีสำหรับการสร้างหนัง 2 เรื่องที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราขึ้นมา ตัวละครต่างๆ เกี่ยวกับกับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเวลาที่เราได้ยินเด็กคุยกันเรื่องพวกขี้แพ้ และเวลาพวกเขาเห็นใครในฉากที่สามารถอินกับความรู้สึกไปด้วยได้ สำหรับผมนั่นคือเหตุผลที่เราสร้างหนังขึ้นมาสักเรื่อง”
คิงยืนยันว่า “สำหรับเรื่อง ‘IT’ แอนดี้สร้างเป็นหนังสยองขวัญ แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจตัวบุคคลและเด็กๆ เป็ฯอย่างแรก ในเรื่อง ‘IT Chapter Two’ จะเป็นเรื่องราวระหว่างพวกผู้ใหญ่ขี้แพ้กับเด็กที่คล้ายพวกเขาและพาย้อนกลับไปหาอดีต มีการเน้นหลายช่วงจากหนังภาคแรก ซึ่งในการย้อนไปหาช่วงเวลาเหล่านั้น เราจะเห็นมุมมองที่กว้างขึ้นในแบบผู้ใหญ่ โดยแอนดี้ยังคงเน้นไปที่ตัวละครเป็นหลักก่อน ผลลัพธ์ที่ได้คือประสบการณ์แห่งการสร้างหนังสยองขวัญที่มีความเสี่ยงสูงในเรื่องนี้”
แอนดี้ มุสเชียตติกลับมาสู่ขั้นตอนการถ่ายทำภาพยนตร์ที่เขารักอีกครั้งตอนที่เล่าว่า “การทำหนังสักเรื่องเหมือนการออกกำลังกายท่ามกลางความวุ่นวาย และต้องเตรียมตัวอย่างเต็มที่เพื่อเผชิญหน้ากับความวุ่นวายนั้น ขณะเดียวกันเราก็ต้องพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในวันนั้นด้วย มันสำคัญมากที่เราต้องเข้าใจเป็นอย่างดีในทุกจังหวะ ทุกฉาก ตัวละครต้องเจอกับอะไรในช่วงนั้น ผมเปิดรับข้อสงสัยตลอดเวลา มีหลายครั้งที่นักแสดงต้องการให้เราช่วยทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องระดับลึกลงเรื่อยๆ
“สำหรับโปรเจ็กต์นี้” เขากล่าวสรุปว่า “มาถึงในระดับที่ผมไม่เคยนึกฝันมาก่อน การได้รับความไว้ใจในเรื่องราวที่มีความยิ่งใหญ่ และสามารถถ่ายทอดออกมาในหนังได้ถึง 2 เรื่องเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากครั ผมดีใจมากที่ผู้ชมอินกับมันและเฝ้ารอมันขนาดไหน เช่นเดียวกับผมที่จะได้เห็นจุดจบของการเดินผจญภัยว่าเป็นยังไง ผมเชื่อว่าคุณจะต้องกลัวสุดๆ แต่คุณจะออกจากโรงภาพยนตร์ไปด้วยความรู้สึกที่ดี”
เป็นเวลา 27 ปีที่ฉันคิดถึงเธอ
ฉันต้องการเธอ
ฉันคิดถึงเธอ!