หลังจากทิ้งทุกสิ่งที่เธอรู้จักเอาไว้เบื้องหลัง ลาราได้ออกเดินทางค้นหาจุดหมายปลายทางสุดท้ายของพ่อเท่าที่มีข้อมูลอยู่ นั่นก็คือสุสานบนเกาะตามตำนานซึ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งนอกชายฝั่งญี่ปุ่น แต่ภารกิจของเธอครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แค่การไปให้ถึงตัวเกาะก็เป็นเรื่องเสี่ยงภัยมากอยู่แล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเดิมพันครั้งสำคัญของลารา แม้ต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ และมีอาวุธเป็นเพียงสติปัญญาอันแหลมคม ศรัทธาอันแรงกล้า และความเด็ดเดี่ยวดื้อรั้นมาแต่เดิม เธอต้องเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองขณะเดินทางไปสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก ถ้าเธอรอดจากการผจญภัยอันสุ่มเสี่ยงครั้งนี้ได้ เธอก็จะได้สร้างตัวตนขึ้นมา… จนนำไปสู่สมญานามว่า tomb raider
“Tomb Raider” ผลงานภาพยนตร์จาก Warner Bros. Pictures และ Metro-Goldwyn-Mayer Pictures บอกเล่าเรื่องราวซึ่งนำลารา ครอฟต์ที่อายุยังน้อยและเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นออกสู่หนทางการเป็นฮีโร่ระดับโลก หนังเรื่องนี้แสดงโดยผู้ชนะ
รางวัลออสการ์ อลิเซีย วิแคนเดอร์ (“Ex Machina”, “The Danish Girl”) ในบทบาทนำ ภายใต้การกำกับโดยรอร์ อูธัก (“The Wave”) โดยมีผู้ชนะรางวัลออสการ์ เกรแฮม คิง (“The Departed”) เป็นผู้อำนวยการสร้างในนามบริษัท GK Films
“Tomb Raider” ร่วมแสดงโดยโดมินิก เวสต์ (“Money Monster,” “300”), วอลตัน ก็อกกินส์ (“The Hateful Eight”, “Django Unchained”), แดเนียล วู (“Into the Badlands” ทางช่อง AMC) และผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ คริสติน สก็อตต์ โธมัส (“The English Patient”)
อูธักกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทภาพยนตร์โดย เจนีวา โรเบิร์ตสัน-ดโวเรต และอลาสแตร์ ซิดดอนส์ เรื่องโดย เอฟแวน โดเฮอร์ที และโรเบิร์ตสัน-ดโวเรต ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ แพทริค แม็คคอร์มิค, เดนิส โอซัลลิแวน และโนอาห์ ฮิวส์
ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพ จอร์จ ริชมอนด์ (“Mission: Impossible – Rogue Nation”), นักออกแบบงานสร้าง แกรี ฟรีแมน (“Maleficent”), ผู้ตัดต่อที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ สจ๊วร์ต แบร์ด (“Skyfall”, “Gorillas in the Mist”) และผู้ตัดต่อ ไมเคิล ทรอนิค (“Suicide Squad”), นักออกแบบเครื่องแต่งกายผู้ชนะรางวัลออสการ์ คอลลีน แอตวูด (“Fantastic Beasts and Where to Find Them”) และนักออกแบบเครื่องแต่งกาย ทิโมธี เอ วอนซิค (ผู้ช่วยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายใน “Free State of Jones”, “Iron Man 3”) ดนตรีโดย ทอม โฮลเคนบอร์ก หรือจังคี เอ็กซ์แอล (“Mad Max: Fury Road”)
Warner Bros. Pictures และ Metro-Goldwyn-Mayer Pictures (MGM) ขอเสนอผลงานการสร้างของ Square Enix และ GK Films เรื่อง “Tomb Raider” ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไปและโรงภาพยนตร์ระบบ IMAX จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Pictures บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment Company และจัดจำหน่ายในบางพื้นที่โดย MGM
www.tombraidermovie.net https://www.facebook.com/TombRaiderMovieThailand/
ข้อมูลงานสร้างภาพยนตร์
จุดเริ่มต้นของตำนาน
ภาพยนตร์เรื่อง “Tomb Raider” ซึ่งรับบทนำโดยอลิเซีย วิแคนเดอร์ ได้เผยเรื่องราวความเป็นมาครั้งใหม่ซึ่งไม่เพียงนำผู้ชมเข้าสู่การผจญภัยครั้งแรกของลารา ครอฟต์เท่านั้น แต่ยังดำดิ่งสู่ความคิดจิตใจของตัวละครซึ่งออกค้นหาที่ทางของตนบนโลกใบนี้ด้วยการเชื่อมโยงอนาคตเข้ากับอดีต ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงสำรวจทางเลือกของเธอ แต่ยังสำรวจเหตุผลที่เธอเลือกทำเช่นนั้นด้วย พร้อมกันนั้นเราก็จะได้ค้นพบว่าเธอกลายมาเป็นหนึ่งในตัวละครแอ็คชั่นฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่และได้รับความนิยมสูงสุดเท่าที่เคยมีมาได้อย่างไร
ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญจากวิดีโอเกมที่ได้รับการยกย่องและประสบความสำเร็จอย่างสูง “Tomb Raider” เมื่อปี 2013 นับเป็นวิดีโอเกมที่ขายดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ของแฟรนไชส์นี้ และกลายเป็นแรงบันดาลใจหลักให้ทีมผู้สร้างหนัง รวมทั้งนำเสนอรูปลักษณ์ที่ปรับปรุงใหม่ของตัวละครตัวนี้ด้วย ผู้กำกับ รอร์ อูธัก (Roar Uthaug) ซึ่งเติบโตมากับการเล่นเกมทุกเกมในแฟรนไชส์นี้กล่าวว่า “ผมทึ่งกับระบบการเล่น และแน่นอนครับว่าทึ่งกับตัวละครลารา ครอฟต์ หญิงสาวสุดเท่ที่ไขปริศนา หลีกเลียงกับดัก และตะลุยสุสานโบราณ แต่พอผมได้เห็นผลงานเกมเวอร์ชั่นปี 2013 ผมก็ตื่นเต้นที่ได้เห็นตัวละครนี้ได้รับการนำเสนอออกมาอย่างสมจริงเป็นธรรมชาติ และคิดว่ามุมมองนี้น่าจะถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ได้”
ผู้อำนวยการสร้างชั้นนำมากประสบการณ์อย่าง เกรแฮม คิง ได้ซื้อลิขสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์จากเกมนี้เอาไว้เมื่อหลายปีก่อน เขากล่าวว่าตัวเขาเองก็ยินดีที่จะได้นำประวัติความเป็นมาของตัวละครที่เพิ่มเติมขึ้นมานี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ “ลารา ครอฟต์ เป็นนางเอกที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จอย่างหาตัวจับยากในโลกแอ็คชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกภาพยนตร์ เราไม่ได้เห็นเธอในหนังมาพักใหญ่แล้วและผมคิดว่าช่วงเวลานี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่เราจะกลับไปสำรวจตัวละครและแนะนำความเป็นมาของเธอในรูปแบบที่สื่อสารกับโลกปัจจุบันได้ โทนเรื่องเปลี่ยนแปลงไป เรื่องราวมีความเป็นดรามาและถ่ายทอดอารมณ์มากขึ้น ควบคู่ไปกับฉากแอ็คชั่นที่ไหลลื่นต่อเนื่องน่าเหลือเชื่อ ผมคิดว่าผู้ชมยุคใหม่จะสนุกที่ได้เดินทางร่วมกับเธอเช่นเดียวกับที่ผู้เล่นเกมเคยสัมผัสมา”
ในวัยเด็กวิแคนเดอร์เองก็เคยเล่นเกมนี้และเป็นแฟนเกมนี้ด้วย “ตอนฉันยังเด็ก ฉันไม่มีวิดีโอเกมค่ะ ก็เลยตื่นเต้นเวลาไปบ้านเพื่อนที่มีเครื่องเล่น” เธอเล่า “ฉันจำได้ว่าเวลาเพื่อนๆ เล่น “ลารา ครอฟต์” สิ่งที่สะดุดใจก็คือฉันไม่เคยเห็นหญิงสาวเป็นตัวละครนำในเกมมาก่อนเลย เธอไม่ใช่แค่ผู้หญิงธรรมดา แต่เป็นคนที่ดุดัน เด็ดเดี่ยว และเก่งกาจ ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันสนใจเธอ แน่นอนว่าฉันอายุแค่สิบขวบ ส่วนใหญ่เวลาเล่นฉันก็เลยได้แต่ฝึกอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลครอฟต์”
วิแคนเดอร์พัฒนาความสามารถในการเล่นเกมมากขึ้นเมื่อเธอเป็นวัยรุ่นและหลังจากนั้น เธอกล่าวว่า “ตอนที่ฉันได้ข่าวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ฉันออกไปซื้อเกมภาคใหม่ๆ เหมือนกันค่ะ มันยังคงความเป็นลาราจากเวอร์ชั่นก่อนๆ แต่ถึงตอนนี้เราได้ตามเธอกลับไปยังจุดเริ่มต้น สำหรับฉันเธอเหมือนซูเปอร์ฮีโร่และแอ็คชั่นฮีโร่ที่เรารัก พอเราได้เห็นเส้นทางที่ฮีโร่เหล่านี้ได้พัฒนาจนกลายมาเป็น ‘ซูเปอร์ฮีโร่’ เราก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดและเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมากยิ่งขึ้น”
เช่นเดียวกับในเกม ทีมผู้สร้างตั้งเป้าหมายให้แอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้มีความสมจริง และให้ผู้ชมได้รู้สึกราวกับว่าได้เข้าไปอยู่ในบรรยากาศจริงโดยสัมผัสเหตุการณ์ผ่านสายตาของลารา ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งเต็มสปีด ต่อสู้เต็มกำลัง ยิงธนูพร้อมกับหลบกระสุน เผชิญกับภยันตรายต่างๆ และแก้ปริศนาอันสลับซับซ้อนโดยมีเวลาเพียงไม่กี่วินาที ลาราต้องรวบรวมพละกำลัง ทักษะ สติปัญญา และความแข็งแกร่งทนทานของร่างกายเพื่อฝ่าฟันการผจญภัยสุดตื่นเต้น สิ่งนี้เองที่เป็นเหตุผลให้แฟนๆ ทั่วโลกรักเกมนี้ เพราะผู้เล่นเกมได้เข้าไปอยู่ตรงใจกลางของเหตุการณ์แอ็คชั่นและร่วมการเดินทางสุดเร้าใจไปกับเธอ
บทภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนโดยเจนีวา โรเบิร์ตสัน-ดโวเรตและอลาสแตร์ ซิดดอนส์ จากเนื้อเรื่องโดยโรเบิร์ตสัน-ดโวเรตและเอฟแวน โดเฮอร์ที “ผมเล่นเกม ‘Tomb Raider’ มาเกือบทั้งชีวิต และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ได้เห็นลารา ครอฟต์ ตัวละครซึ่งเป็นหัวใจของตำนานอันยิ่งใหญ่นี้ เติบโตมาเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมสมัยนิยมอย่างแท้จริง” ดอเฮอร์ทีกล่าว “จึงนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้ช่วยสร้างสรรค์ตัวละครนี้และแฟรนไชส์นี้ขึ้นมาใหม่ครับ”
ในหนังเรื่องนี้ การเดินทางของลาราเริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอต้องยอมรับการเสียชีวิตของพ่อ “อย่างเป็นทางการ” ขณะที่รู้สึกอับจนหมดหนทาง หญิงสาวผู้ดื้อรั้นกลับได้รับกล่องปริศนาใบสุดท้ายที่บรรจุเงื่อนงำเกี่ยวกับโชคชะตาของผู้เป็นพ่อ เธอจึงเชื่อว่าเรื่องราวทั้งหมดอาจยังไม่จบลง ในที่สุดสิ่งที่เธอค้นพบจะพาเธอไปไกลจากบ้านและไกลจนสุดขอบโลก
“ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเป็นแกนหลักในเรื่องราวของเรา” อูธักระบุ “เขาทอดทิ้งเธอ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอยังทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยเขาไป เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างรูโหว่ในจิตใจของลาราซึ่งเธอพยายามถมให้เต็ม และกล่องปริศนาใบสุดท้ายนี้ก็ได้มอบกุญแจเพื่อให้เธอเริ่มต้นสืบสวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ และนำเธอไปสู่ภารกิจครั้งยิ่งใหญ่นี้”
“ถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราเป็น และสิ่งที่เราถูกกำหนดไว้ให้เป็น”
ก่อร่างสร้างตำนาน
ความกล้าหาญ ความทรหดอดทน และความเด็ดเดี่ยวไม่ท้อทอยในการรับมือกับความท้าทาย บวกกับความฉลาด การยืนหยัดต่อสู้ ความมีเกียรติ ความอ่อนไหว ความอ่อนโยน…และการพร้อมลุยในทุกสถานการณ์ คุณสมบัติเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนที่ทีมผู้สร้างหวังว่าจะพบในตัวลารา ครอฟต์ และผู้กำกับอูธักก็ยืนยันว่าอลิเซีย วิแคนเดอร์มีคุณสมบัติเหล่านี้ทั้งหมดและมากกว่านั้นด้วย
“สำหรับผม สิ่งที่น่าสนใจในตัวลารา ครอฟต์ก็คือเวลาที่เธอล้ม เธอเจ็บก็จริง แต่เธอลุกขึ้นมาได้และยังคงต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการ” ผู้กำกับรายนี้ตั้งข้อสังเกต “ในหนังของเรา ข้อนี้เป็นความจริงไม่ว่าเธอจะอยู่บนเวทีมวย แข่งจักรยาน หรือต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด อลิเซียทุ่มสุดตัว เธอไม่ยอมท้อ เธอสร้างความสมจริงให้ทุกๆ ฉาก และกระตือรือร้นในการทำงานทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นฉากเน้นอารมณ์ ฉากตลก หรือฉากแอ็คชั่นอลังการ ทุกสิ่งที่เธอทำดูสมจริง”
วิแคนเดอร์เปิดรับโอกาสที่จะรับมือกับความท้าทายทั้งทางร่างกายและจิตใจผ่านตัวละครของเธอ บ่อยครั้งความท้าทายเหล่านี้ก็มารวมเข้าด้วยกันเมื่อลาราต้องผ่านความสับสนยุ่งยากครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉันประทับใจที่หนังเรื่องนี้แสดงคุณสมบัติทุกประการในตัวเธอที่คุณได้เห็นจากในเกม” นักแสดงหญิงรายนี้กล่าว “สำหรับเหตุการณ์ตอนนี้ เธอยังไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทั้งหมดที่เธอมี ประเด็นอยู่ที่ตรงนี้ค่ะ แล้วก็เป็นเรื่องดีที่ได้รับบทเป็นหญิงสาวที่กล้าเผชิญหน้า กล้า
แสดงออกอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันก็ไม่ปิดบังความอ่อนแอของตัวเอง เธอมีทุกอย่างพร้อมอยู่ในตัวเอง และเราก็จะได้ค้นพบไปพร้อมกับเธอ ขณะที่เธอตกอยู่ในสถานการณ์ซึ่งดึงเอาความกลัวและสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของเธอออกมา รวมถึงความเป็นนักรบในตัวเธอด้วย”
คิงกล่าวว่า “อลิเซียทำให้ทุกสิ่งดูสมจริง ตั้งแต่การไขปริศนาเพื่อค้นหาตำแหน่งสุดท้ายที่พบพ่อของเธอ ไปจนถึงการโหนตัวจากปีกเครื่องบินเก่าผุจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง แค่ผมยืนมองจอมอนิเตอร์อยู่เฉยๆ ระหว่างที่เธอถ่ายฉากนั้น ตัวผมเองยังรู้สึกกลัวเลยครับ เหมือนกับว่าเธอตกอยู่ในอันตรายจริงๆ และผมก็ได้สัมผัสประสบการณ์นั้นร่วมกับเธอด้วย”
วิแคนเดอร์ซึ่งเป็นชาวสวีเดนยินดีที่ได้ร่วมงานกับเพื่อนชาวสแกนดิเนเวียด้วยกันอย่างอูธักซึ่งเป็นชาวนอร์เวย์ “ฉันได้ดูหนังของรอร์มาหลายเรื่องและคิดว่าเขาเก่งมากค่ะ เขาหลงใหลหนังเฉพาะแนว (genre films) และองค์ประกอบคลาสสิกของหนังเหล่านั้น แต่เรื่องราวของเขาก็ยังสะท้อนอารมณ์ได้ดี” เธอกล่าว “ฉันรู้สึกร่วมไปกับตัวละครของเขาใน ‘The Wave’ และฉันก็ตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับเขาในหนังผจญภัย เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ทิ้งแง่มุมทางอารมณ์ของหนัง”
ในเรื่องนี้ ความรักและความเจ็บปวดของลารามาจากความผูกพันที่เธอมีต่อพ่อ ซึ่งเราจะเห็นจากภาพความทรงจำในวัยเยาว์ของเธอ วิแคนเดอร์กล่าวว่า “แม่ของเธอตายตั้งแต่ยังสาว เธอก็เลยเหลือแต่พ่อ แล้วทั้งสองก็ใกล้ชิดกันมาก พ่อเล่านิทานให้เธอฟัง สอนเธอยิงธนูและเล่นเกมล่าสมบัติ รวมถึงสอนการแก้ปริศนาด้วย แต่เมื่อเธอเริ่มโตขึ้น โลกภายนอกก็มาดึงเวลาของพ่อเธอไปและเธอก็เห็นว่าพ่อเอาแต่ทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ค่อยได้เจอกัน เธอคิดว่าอย่างนั้น จนวันหนึ่งเมื่อเธออายุ 14 พ่อก็เดินทางออกไปทำงานอีกครั้ง…แล้วไม่กลับมาอีกเลย
“ตอนที่เราได้พบเธอในช่วงต้นของหนัง” เธอกล่าวต่อ “เวลาผ่านไปราวเจ็ดปีนับตั้งแต่เธอได้พบพ่อเป็นครั้งสุดท้าย แต่เธอก็ยังไม่สามารถไว้อาลัยให้การจากไปของพ่อได้ เธอยังทำใจไม่ได้ถ้ายังไม่ได้รับคำตอบ”
แม้ว่าลาราจะเก็บรักษาความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเอาไว้อย่างดี แต่เธอหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพ่อ เช่น บ้านที่เธอเติบโตมาและบริษัทของพ่อ เพราะในสายตาเธอ การเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่พ่อทิ้งเอาไว้โดยไม่มีพ่ออยู่ด้วยนั้นย่อมหมายถึงการยอมรับความตายของพ่อนั่นเอง
“ลารา ถึงพ่อของคุณจะจากไปแล้ว แต่คุณก็สามารถสานต่อสิ่งที่พ่อทำมาได้
มันอยู่ในสายเลือดของคุณนะ”
อานนา มิลเลอร์ ผู้บริหารที่รับตำแหน่งมายาวนานของบริษัทครอฟต์โฮลดิงส์กล่าวกับลาราไว้เช่นนี้…ขณะที่เธอประกันตัวหญิงสาวออกมาจากเรือนจำ อานนาซึ่งรับบทโดยคริสติน สก็อตต์ โธมัส เป็นคนมีการศึกษาและมีบุคลิกอันงดงาม และเธอก็ไม่ซ่อนความผิดหวังเรื่องที่ว่าลาราไม่เป็นอย่างเธอ แต่อานนายังมีความหวัง เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักลารามานานพอจนสามารถมองทะลุผ่านฉากหน้าที่ลาราสร้างขึ้นมา ขณะที่ต้องสู้ชีวิตและยืนกรานไม่ยอมรับการตายของพ่อรวมถึงมรดกที่มาพร้อมกันด้วย อานนาเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ลูกสาวและทายาทของริชาร์ด ครอฟต์ ซึ่งบัดนี้มีอายุ 21 ปี จะก้าวเข้ามารับตำแหน่งแทนพ่อ ลารารีบยืนยันกับอานนาว่าเธอ “ไม่ใช่คนตระกูลครอฟต์แบบนั้น”
เมื่อมองจากภายนอก ลาราก็พูดถูก
สิ่งที่ทั้งสองไม่รู้ก็คือแท้จริงแล้วลาราเป็นคนตระกูลครอฟต์แบบเดียวกันกับพ่อทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งสองรู้จักแต่ผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจที่เป็นเจ้าของบริษัทน้อยใหญ่ทั่วโลก และคุณพ่อผู้มอบความรักให้ลูกสาวตัวน้อยซึ่งเขาชอบเรียกว่า “สเปราต์” (เจ้าต้นกล้า) แต่ริชาร์ดได้ซ่อนความสนใจที่แท้จริงของเขาเอาไว้ และการค้นหาที่ทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่วโลกนั้นสำคัญมากพอที่จะทำให้เขาทิ้งลูกคนเดียวไว้เบื้องหลังโดยไม่คาดฝันมาก่อนว่าตัวเองจะไม่ได้กลับมา และวันหนึ่งเธอจะออกเดินตามรอยเท้าพ่อแม้จะเป็นรอยเท้าที่เลือนรางก็ตาม
ริชาร์ด ครอฟต์ เริ่มต้นค้นหาหลักฐานของสิ่งเหนือธรรมชาติหลังจากภรรยาของเขา แม่ของลารา ได้เสียชีวิตไป สิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวสายสัมพันธ์กับเธอเอาไว้ได้กลายมาเป็นเป้าหมายในชีวิตซึ่งเขาปิดบังไว้ไม่ให้ใครรู้แม้แต่ลารา เป้าหมายนี้สำคัญยิ่งกว่าการประชุมผู้บริหารและข้อตกลงทางธุรกิจ และดูเหมือนว่ามันได้เอาชีวิตเขาไปด้วย
อูธักอธิบายว่า “ทุกคนนึกว่าริชาร์ด ครอฟต์เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตในชนบทของอังกฤษ ซึ่งเขาเป็นอย่างนั้นก็จริง แต่เขายังมีแง่มุมลึกลับที่ไม่มีใครรู้ซ่อนอยู่ด้วย”
ลาราพบเงื่อนงำแรกว่าอาจมีข้อมูลเกี่ยวกับพ่อมากกว่าที่เธอรู้หลังจากเธอได้พบกับมิสเตอร์แยฟฟ์ ทนายของบริษัทครอฟต์โฮลดิงส์ แยฟฟ์ซึ่งรับบทโดยเดเรค จาโคบี เคยเป็นคนสนิทของริชาร์ดและเข้าใจดีถึงความทุกข์ของลารา เมื่อลารา
ยอมรับความตายของพ่อตามกระบวนการทางกฎหมายแล้ว เธอจะได้รับมรดกเบื้องต้นซึ่งดูเหมือนของขวัญเชิงสัญลักษณ์ แต่กล่องปริศนาแบบญี่ปุ่นใบนี้นี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้ลาราไขปริศนาการหายตัวไปของผู้เป็นพ่อ
โดมินิก เวสต์ รับบทเป็นคุณพ่อผู้อ่อนโยนแต่หัวแข็งซึ่งอาจจากลูกสาวไปแล้ว แต่เธอก็ได้ค้นพบว่าเขาทิ้งข้อความเป็นวิดีโอเอาไว้ให้เธอและข้อความนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของเธอไปโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับวิแคนเดอร์ เวสต์สนใจความซับซ้อนของตัวละครท่ามกลางเรื่องราวแอ็คชั่นที่ตื่นเต้นเร้าใจ
“ผมมีลูกสาวสามคน” เขากล่าว “ก็เลยคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นแก่นสำคัญที่ทำให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้ตอนที่ได้อ่านบท ผมทึ่งที่ได้เห็นความลึกซึ้งทางอารมณ์จากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาวในหนังแอ็คชั่นฟอร์มใหญ่แบบนี้”
ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ เวสต์พบว่าแง่มุมที่ยากที่สุดในการเข้าถึงตัวละครก็คือ “การทำความเข้าใจว่าคนคนนี้ทิ้งลูกสาวของตัวเองไปได้อย่างไร ทั้งที่ลูกก็สูญเสียแม่ไปคนหนึ่งแล้ว ต้องมีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้เขาตัดสินใจแบบนั้น ผมก็เลยพยายามลองจินตนาการความรู้สึกแบบนั้นดู”
เมื่อลาราสำรวจแง่มุมลึกลับในชีวิตของริชาร์ด ครอฟต์ รวมถึงสิ่งที่กลายเป็นงานสำคัญในชีวิตของเขา เธอจึงได้ทราบเรื่องโครงการโบราณคดีซึ่งพ่อของเธอเชื่อว่าเป็นภัยคุกคามอันร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ในบันทึกวิดีโอ เขาได้เตือนเธอถึงอันตรายนี้ และบอกให้เธอทำลายทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเธอเอง “แม้เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ แต่ลาราก็ได้รู้จากข้อความและไฟล์ของริชาร์ดว่าเขาเลือกที่จะจากไปก็เพราะเป็นห่วงอนาคตของลูกเป็นอันดับแรก รวมถึงเป็นห่วงอนาคตของโลกใบนี้ด้วย” เวสต์กล่าว
อันที่จริง “Tomb Raider” ไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่เวสต์เล่นร่วมกับวิแคนเดอร์ “ผมเคยเล่นเป็นพ่อของอลิเซียมาแล้วด้วยซ้ำ” เขายิ้มเมื่อเอ่ยถึงงานของทั้งสองในหนังปี 2014 เรื่อง “Testament of Youth” ซึ่งเป็นหนังดรามายุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง “ตอนที่ผมได้รับการติดต่อให้มาเล่นบทนี้ ผมดีใจมากครับ ผมรับงานนี้ด้วยความกระตือรือร้นเลยละ”
ที่น่าแปลกคือการได้รู้ว่าพ่อเดินทางไปไกลแค่ไหนในการเดินทางเที่ยวสุดท้ายยิ่งทำให้ลารารู้สึกใกล้ชิดพ่อมากยิ่งขึ้น ลูกสาวผู้กตัญญูรายนี้กลับไม่สนใจความประสงค์ของบิดา เธอออกเดินทางเพื่อค้นหาคนสุดท้ายที่ได้พบพ่อตอนยังมีชีวิตอยู่
การเดินทางในช่วงแรกนำลาราไปยังฮ่องกงเพื่อค้นหาชายที่ชื่อ ลู เรน เธอได้พบเขา…คล้ายจะเป็นอย่างนั้น ลู เรน ที่ลาราได้พบนั้นแท้จริงแล้วเป็นลูกชายของคนที่พ่อของเธอเคยติดต่อด้วย แต่สำหรับลารา จะเป็นลู เรน คนไหนก็ช่าง ตราบใดที่เขาสามารถแล่นเรือเพื่อพาเธอไปยังเกาะยามาไต จุดหมายปลายทางสุดท้ายของพ่อเท่าที่เธอรู้
แดเนียล วู รับบทเป็น ลู เรน ชายซึ่งเป็นเจ้าของเรือก็จริง แต่ทั้งเขาทั้งเรือกลับดูไม่เหมาะแก่การออกทะเลพอๆ กัน “เขาอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนักตอนที่ลาราไปพบ” วูกล่าว “ที่จริงคือเขาเมาเละอยู่นั่นละครับ และเรือของเขาที่ชื่อ เอ็นดัวร์แรนซ์ ก็เป็นเรือผุสนิมขึ้น แต่เราก็ได้รู้ว่าพ่อของเขาก็หายตัวไปเมื่อเจ็ดปีก่อนเหมือนกัน ทิ้งให้ลูกชายเป็นหนี้และต้องดูแลกิจการของครอบครัว ทั้งธุรกิจทัวร์ ทัศนาจร ขนของเถื่อน อะไรก็ตามที่จ่ายหนี้ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรที่เขาอยากทำเลย ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะตามหาพ่อ แต่ลาราไม่เป็นอย่างนั้น”
แต่สำหรับลู เรน ขอแค่มีเงินจ่ายก็พอ ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้คิดว่าเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวที่จะต้องร่วมทางไปกับเธอ แต่ลาราก็ตอบแทนเขาอย่างคุ้มค่า “เธอจ้างเขาให้พาเธอไปยังสถานที่ซึ่งคล้ายสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาในแบบเอเชีย และเขาก็ร้อนเงินมากจนยอมตกลงรับข้อเสนอนี้” วูกล่าว
เช่นเดียวกับวิแคนเดอร์ วูเป็นนักเล่นเกมมานานหลายปี “ผมติดตามเกมนี้มาตลอดครับ” เขากล่าว “คุณสามารถรับบทเป็นแอ็คชั่นฮีโร่หญิงได้ และแฟนผมในตอนนั้น ซึ่งตอนนี้เป็นภรรยาของผม ก็เล่นเกมนี้บ่อยมาก ผมสนใจงานหนังเรื่องนี้ทันทีที่รู้ว่าอลิเซียร่วมเล่นด้วยและเป็นเรื่องราวความเป็นมาของลารา แถมยังถ่ายทำในแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญสำหรับผมด้วย ผมแต่งงานที่นั่นครับ”
ที่จริงแล้วทั้งตัวสถานที่จริง รวมถึงสถานที่ซึ่งทีมงานจำลองออกมาให้เป็นฉากที่ลู เรนพบลาราเป็นครั้งแรกนั้น ล้วนมีความหมายเป็นการส่วนตัวสำหรับวู วิแคนเดอร์เล่าว่า “เราถ่ายทำฉากแรกๆ กันในฮ่องกง ‘ปลอม’ ที่สร้างขึ้นในเคปทาวน์ ฉันประทับใจฉากนี้นะคะ แต่แดเนียลประทับใจยิ่งกว่าเพราะเขาเคยอยู่ที่นั่น เป็นเรื่องดีมากที่ได้ฟังเขาเล่าเรื่องราวต่างๆ ขณะที่เราเดินไปทั่วฉาก”
วูตื่นเต้นยินดีที่ได้ร่วมทีมนักแสดงจากหลายประเทศและทำงานกับทีมงานจากหลายวัฒนธรรม รวมถึงได้ร่วมงานกับอูธัก เขาเองก็เป็นแฟนของ “The Wave” เช่นกัน และกล่าวว่า “หนังเรื่องนั้นเป็นสมดุลที่พอดีระหว่างเรื่องราวดรามากับเหตุการณ์ใหญ่ในหนัง การนำสองส่วนมารวมกันต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและรอร์ก็ทำได้” นักแสดงรายนี้ยังได้กล่าวถึงสไตล์การกำกับของอูธักด้วย “เขาเป็นคนพูดน้อยแต่สื่อสารได้ชัดเจนตรงประเด็น ดังนั้นการทำงานร่วมกับเขาจึงเยี่ยมมากครับ”
อูธักอยากแสดงให้เห็นอีกด้านหนึ่งของวู ซึ่งเป็นนักแสดงที่คุ้นเคยกับฉากแอ็คชั่น หลังจากเคยเล่นฉากบู๊ในภาพยนตร์ต่างๆ มาแล้วมากมายตลอดการเป็นนักแสดง “เขาไม่ได้มาออกท่ากังฟูเหมือนที่เราเคยเห็นมาจนชิน” ผู้กำกับรายนี้กล่าว “แต่เขาก็ยังเป็นขาลุยอยู่ดีครับ!”
เช่นเดียวกับลารา ลู เรน ต้องปกป้องตัวเองและผู้อื่นเมื่อเดินทางมาถึงยามาไต เกาะแห่งนี้เป็นเกาะหนึ่งในจำนวนราว 6,000 เกาะที่กระจายอยู่ตามชายฝั่งประเทศญี่ปุ่น และได้ถูกยึดครองโดยโครงการสำรวจซึ่งใช้เวลานานหลายปีและได้รับทุนจาก ออร์เดอร์ ออฟ ทรินีตี องค์กรในรูปแบบกองกำลังที่ต้องการควบคุมพลังเหนือธรรมชาติเพื่อจะได้กุมชะตาของมนุษยชาติ ทุกคนบนเกาะยามาไต แม้กระทั่งผู้สั่งการ ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากพื้นที่จนกว่าภารกิจนี้จะเสร็จสมบูรณ์
มัทธีอัส โวเกล เป็นผู้นำอันโหดเหี้ยมของกลุ่มทหารรับจ้างซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในการขุดค้นสุสานอายุ 2,000 ปี โดยคาดกันว่าภายในนั้นเป็นที่เก็บรักษาพระศพของราชินีฮิมิโกะหรือ “มารดาแห่งความตาย” ตามสมุดบันทึกของริชาร์ด ครอฟต์ สิ่งที่เก็บไว้ในสุสานนั้นจะนำมาซึ่งภัยคุกคามอันเกินหยั่งถึง อย่างไรก็ดี ในช่วงเจ็ดปีที่พวกเขาติดอยู่บนเกาะแห่งนี้ โวเกลและคนของเขาก็ได้บังคับให้ชาวประมงที่โชคร้ายถูกพัดมาขึ้นฝั่งที่เกาะนี้ให้ขุดสุสานหาทางเข้าไปเพื่อที่จะได้กลับบ้าน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า โวเกลก็แทบจะเป็นบ้าเพราะดูเหมือนงานที่ทำมาจะสูญเปล่า
งานนั้นสูญเปล่าจริงๆ จนกระทั่งครอฟต์คนลูกมาถึง โวเกลยอมรับกับลาราว่าเขาเป็นคนสังหารพ่อของเธอด้วยตัวเอง ซึ่งการทำเช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ทิ้งข้อมูลใดๆ ก็ตามที่ริชาร์ดอาจล่วงรู้เกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งที่ชัดเจนของสุสาน โวเกลยังได้ถือวิสาสะค้นบันทึกของริชาร์ดซึ่งเขาดึงออกมาจากกระเป๋าเป้ของลาราอย่างง่ายดาย
วอลตัน ก็อกกินส์รับบทเป็นโวเกลผู้ไร้ความปราณี ก็อกกินส์ต่างจากอูธัก วิแคนเดอร์ และวู ตรงที่ว่า “ผมไม่เคยเป็นนักเล่นเกมเลย ผมว่าเกมสุดท้ายที่ผมเล่นคือ Donkey Kong ผมฆ่ามันครับ แหงอยู่แล้ว” เขาหัวเราะ “แต่ผมมารับงานนี้โดยไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ ‘Tomb Raider’ และผมก็ชอบที่ไม่ต้องแบกความกดดันจากการมองสิ่งต่างๆ ผ่านมุมมองของคนเล่นเกม เป็นการตีความใหม่เลยสำหรับผม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโวเกลมีอยู่ในเกมหรือเปล่าและผมก็ไม่ได้ถาม ผมรู้ว่าทีมงานให้เกียรติงานต้นฉบับในหลายๆ แง่ ส่วนตัวผมในฐานะนักแสดงและคนเล่าเรื่อง ผมมองว่าตัวละครของผมเป็นมนุษย์ที่มีมิติจริงๆ และเริ่มต้นทำงานจากจุดนั้น”
“วอลตันเป็นนักแสดงที่จริงจังหนักแน่น ขณะเดียวกันเขาก็ทำให้กองถ่ายสนุกสนานด้วย” อูธักกล่าว “เขาเหมาะสมอย่างยิ่งในการรับบทตัวร้าย เขานำความเป็นมนุษย์มาให้ตัวละครโวเกล เช่นเดียวกับลารา ตัวละครนี้มีเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง เพียงแต่เขาต้องการสิ่งตรงกันข้ามกับที่เธอต้องการเท่านั้นเอง”
วิแคนเดอร์เสริมว่า “วอลตันเป็นนักแสดงที่ทุ่มเทมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ฉันเคยพบมาค่ะ เขามาทำงานในแต่ละวันด้วยพลังเต็มร้อย ด้วยความรักและความใส่ใจที่เขามีต่อบทบาทและทุกคนในกองถ่าย เขาไม่เพียงคอยดูแลให้ตัวละครของเขาออกมาดี แต่ต้องให้ฉากนั้นออกมาดีสำหรับทุกคน เขาทำให้มัทธีอัส โวเกล เป็นตัวร้ายอย่างที่ควรจะเป็น ตัวร้ายประเภทที่ชอบเล่นเกมกับความคิดของคุณและจู่โจมคุณโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งน่ากลัวมากค่ะ”
“สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้ผมสนใจบทนี้ นอกเหนือจากบรรดาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว” ก็อกกินส์กล่าว “ก็คือโอกาสหายากที่จะได้พบตัวละครซึ่งไม่ได้อยู่ในจุดเริ่มต้นหรือจุดสูงสุดของการเดินทาง ผมคุยกับรอร์และเกรแฮมแต่แรกแล้วว่า ผมมองว่าคนคนนี้เหมือนทำงานอยู่ในวันพุธที่ย่ำแย่ที่สุดในสัปดาห์ที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเขา เขาจมปลักอยู่กับความเฉื่อยชาจากการทำงานซ้ำซาก เขาแทบจะเป็นคู่ตรงข้ามกับริชาร์ด ครอฟต์ ในแง่ที่ทั้งคู่ต่างก็ยอมสละครอบครัวของตัวเองเพื่อค้นหาสุสานนี้ แม้ว่าเหตุผลจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่มันก็ทำลายชีวิตของทั้งสองคน
ก็อกกินส์สนุกกับการถ่ายทอดความบ้าที่ถูกเก็บกดอยู่ในตัวโวเกล ตรงข้ามกับความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่วิแคนเดอร์ปลดปล่อยออกมาผ่านลารา “อลิเซียเป็นนักแสดงที่มีพลังเต็มเปี่ยมครับ” เขากล่าว “ผมเคยพบเธอมาก่อนและคิดเสมอว่าถ้าเรามีโอกาสได้ร่วมงานกันก็คงจะวิเศษมาก และพอเราถ่ายทำเทคแรกในเต็นท์ของโวเกล เราต่างก็มองกันและพูดว่า ‘ใช่เลย มันจะต้องออกมาดีแน่นอน’”
แม้ว่าลาราแวดล้อมด้วยผู้คนซึ่งดูเหมือนต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเธอ ตั้งแต่ค่าโรงยิมและค่าเช่าบ้าน ไปจนถึงการให้เธอรับผิดชอบชีวิตตัวเองและการเอาชีวิตเธอ แต่ยังมีคนคนหนึ่งที่เธอคุยด้วยได้ นั่นก็คือเพื่อนร่วมห้อง โซฟี เพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้รายนี้เป็นเหมือนครอบครัวสำหรับเด็กกำพร้าอย่างลารา ตัวละครนี้รับบทโดยฮานนาห์ จอห์น-เคเมน
อูธักให้ความเห็นว่า “สิ่งหนึ่งที่ผมพอใจในหนังเรื่องนี้ก็คือการที่เราได้นักแสดงที่มีความสามารถ ตั้งแต่อลิเซียไปจนถึงนักแสดงทุกคนไม่ว่าในบทเล็กหรือใหญ่ เราได้นักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาร่วมทีมของเรา”
“นี่แหละการผจญภัย!”
กว่าจะมาเป็น ลารา ครอฟต์
เมื่อวิแคนเดอร์เดินทางมาเริ่มต้นการถ่ายทำหลัก เธอก็ผ่านการฝึกอันเข้มงวดมาแล้วและมีร่างกายฟิตเต็มที่ อย่างไรก็ดี อดีตนักเต้นอาชีพรายนี้ก็ยังต้องอุทิศทุ่มเทและวินัยอย่างสูงทั้งก่อนและระหว่างการถ่ายทำเพื่อให้มีสภาพร่างกายแข็งแกร่งพอที่จะรับบทลารา ครอฟต์ได้ นักแสดงรายนี้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเพื่อมารับบทที่ต้องอาศัยทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อเริ่มต้นการเดินทางซึ่งท้าทายไม่แพ้การเดินทางของตัวละครที่เธอรับบท
“ไม่มีใครแกร่งไปกว่านักเต้นบัลเล่ต์” แม็กนัส เลดบาค ครูฝึกผู้มีชื่อเสียงและผู้ริเริ่มแนวทางแม็กนัสเมธอด ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพที่แข็งแรงกับการฝึกกายและจิต “ผมร่วมงานนี้โดยตั้งความหวังเอาไว้สูงกับอลิเซียและเธอก็ทำได้ เธอสร้างลารา ครอฟต์ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาครับ”
“บัลเล่ต์เป็นกีฬาที่โหดค่ะ” วิแคนเดอร์เลิกเต้นบัลเล่ต์ไปกว่าสิบปีแล้วแต่ยังคงความสามารถในการรักษาระเบียบของร่างกายเอาไว้ “มีความคล้ายคลึงกันอยู่ระหว่างการฝึกบัลเล่ต์ของฉันเมื่อก่อนนี้กับการฝึกสำหรับ ‘Tomb Raider’” การฝึกในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลต่อเนื่องในชีวิตเธอหลังจากถ่ายทำหนังเสร็จไปแล้วด้วย “ระหว่างทำงานในหนังเรื่องนี้ฉันเริ่มฝึกปีนเขาแล้วฉันก็ติดใจค่ะ” เธอเผย
ด้วยการแนะนำของเลดบาค วิแคนเดอร์ได้เข้าโปรแกรมการฝึกและการควบคุมอาหารนานเจ็ดเดือนก่อนเริ่มการถ่ายทำและเพิ่มการฝึกร่างกายให้หนักขึ้นเมื่อผ่านไปได้ครึ่งทางของโปรแกรมเริ่มต้น การออกกำลังกายนั้นมีทั้งการยกน้ำหนักหลักสูตรเข้มข้นและกิจกรรมทั่วไปอย่างเช่นการปีนเขาใน “ช่วงวันหยุด”
“เมื่อคุณพบลาราในช่วงต้นเรื่อง เธอเป็นหญิงสาวธรรมดาที่อาศัยอยู่ในอีสต์ลอนดอน แต่เราต้องการให้ผู้ชมรู้ว่าเธอเป็นคนมีร่างกายแข็งแรง คุณเห็นเธอต่อยมวยกับเพื่อนที่ค่ายฝึก MMA และเธอก็เป็นคนส่งของทางจักรยานที่ชอบออกไปปั่นตามท้องถนน เธอเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงและเรื่องราวก็วางโทนไว้อย่างนั้นตั้งแต่แรก” วิแคนเดอร์เล่า “แล้วต่อมาเราก็ได้เห็นเธอปีนป่าย ต่อสู้ ดำน้ำ…ฉันไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสลองอะไรใหม่ๆ มากมายขนาดนี้ได้ยังไงถ้าไม่ใช่เพราะมารับบทนี้! เป็นบทที่ช่วย
สร้างความมั่นใจได้มากเลยค่ะ สำหรับคนที่ตัวเล็กและไม่สูงนัก การเพิ่มน้ำหนักกล้ามเนื้อขึ้นมาอีกห้ากิโลถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากอยู่เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเป็นผู้หญิงน้อยลงเลย”
เลดบาคไม่เคยสงสัยในความทุ่มเทของนักแสดงสาว “คนมักถามผมอยู่เสมอว่า ต้องควบคุมอาหารกับออกกำลังกายอย่างละ 50-50 ใช่ไหม ในความเป็นจริง โดยเฉพาะสำหรับบทแบบนี้ มันต้องเป็น 100 เปอร์เซ็นต์กับ 100 เปอร์เซ็นต์ครับ” เขายืนยัน “และอลิเซียก็ไปไกลกว่านั้นอีก เธอทุ่มเทเต็มที่ ถ้าผมบอกให้เธอเล่น 15 ครั้ง เธอก็จะทำ 16 ครั้ง และถ้าผมบอกว่า 20 เธอจะทำอย่างน้อย 21”
แม้ว่าจะมุ่งมั่นทุ่มเทเต็มที่เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัด วิแคนเดอร์ก็ยอมรับว่าบางครั้งเธอก็รอคอยให้ถึง “วันกินพิซซ่า” “แม็กนัสรักในงานที่เขาทำ แต่มันเป็นเรื่องของการนำแนวทางเหล่านี้มาใช้ในชีวิตปกติด้วย โปรแกรมที่เราใช้สำหรับงานนี้เป็นโปรแกรมในเวลาจำกัดเพื่อสร้างร่างกายให้เป็นไปตามที่กำหนด แต่คุณสามารถดัดแปลงเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน”
ระหว่างการถ่ายทำ วิแคนเดอร์ฝึกนาน 45 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงทุกๆ เช้าก่อนเดินทางไปยังกองถ่าย โดยฝึกในโรงยิมที่สร้างขึ้นพิเศษบนรถบรรทุกความยาว 24 เมตร
อาหารของเธอที่เชฟเลสลีย์ ทัคเกอร์ เตรียมให้ทุกวันตามแนวทางอันเคร่งครัดที่เลดบาคกำหนดไว้นั้นเน้นคาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมช้า (slow carb) และโปรตีนไร้ไขมัน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ควินัว และเส้นก๋วยเตี๋ยว ส่วนแหล่งโปรตีนหลักนั้น ได้แก่ แซลมอน ทูนา และไข่เป็นส่วนใหญ่ อาหารโปรดของวิแคนเดอร์คือไข่ลวก สลัดปลาดิบ และอาหารเอเชียแบบฟิวชั่น โดยใช้น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพและเครื่องเทศมากระตุ้นต่อมรับรส เธอกินอาหารวันละห้ามื้อโดยเว้นช่วงห่างกันสามชั่วโมง
“แม็กนัสทำงานกับอลิเซียได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยให้เธอพร้อมรับทุกสถานการณ์ที่เราเตรียมไว้ให้เธอ” อูธักกล่าว “เธอฝึกหนักนานหลายเดือนเพื่อรับมือกับคิวบู๊ซึ่งปรากฏในแทบทุกฉาก”
ผู้ประสานงานสตันท์ แฟรงคลิน เฮนสัน เห็นด้วยอย่างยิ่งและยืนยันว่า “อลิเซียเป็นนักกีฬาระดับสุดยอดครับ เธอทุ่มเทจิตใจลงไปในทุกสิ่งที่เธอทำ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ต้องห้อยตัวด้วยลวดสลิง งานใต้น้ำ การยิงปืน งานกลางอากาศ การต่อสู้ การไล่ล่า… หนังเรื่องนี้มีทุกอย่างและรอร์ก็ท้าทายให้เราคิดอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาด้วย และอลิเซียก็มีส่วนร่วมด้วยเสมอ”
มีนักแสดงแทนมาช่วยในคิวบู๊บางฉากเช่นเดียวกับในหนังทุกเรื่อง แต่แฟรงคลินกล่าวว่า “อลิเซียเล่นเองเยอะมากเท่าที่เราจะยอมให้เธอเล่นได้ เธอเล่นเองแม้กระทั่งในฉากการแข่งขันต่อยมวย เธอขึ้นไปบนเวทีและลุยแหลกเลยครับ!”
สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้ความแข็งแกร่งทางร่างกายของลารา ครอฟต์ก็คือรูปร่างหน้าตาของเธอ วิดีโอเกมเมื่อปี 2013 ได้ปรับรูปลักษณ์ของเธอใหม่ และนักออกแบบเครื่องแต่งกาย คอลลีน แอตวูดและทิโมธี วอนซิคก็ทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อนำรูปลักษณ์นั้นมาสร้างให้เกิดขึ้นจริง ด้วยการประสานงานกันระหว่างเคปทาวน์ ลอนดอน และลอสแองเจลีส นักออกแบบคู่นี้สื่อสารกันตลอดเวลาผ่าน Skype และโทรศัพท์มือถือ
“เคปทาวน์เป็นชุมชนริมทะเลที่น่ารักครับ แต่เราไม่สามารถหาสิ่งที่เราต้องการที่นั่นได้” วอนซิคระบุ “เราประสานงานกันไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราปรึกษาเรื่องการซื้อเสื้อผ้าผ่านทางโทรศัพท์และส่งของให้กันไปมา ผมคงไม่มีทางหาเพื่อนร่วมงานที่ช่วยกันแก้ปัญหาได้ดีไปกว่าคอลลีนอีกแล้ว
“สิ่งสำคัญคือเราและผู้กำกับจะต้องทำให้ลารา ครอฟต์ ดูเหมือนลารา ครอฟต์ในเกม เพราะนั่นเป็นสิ่งที่แฟนๆ คาดหวัง” เขากล่าวต่อ “เราเริ่มต้นจากจุดนั้น ปรับแต่งเครื่องแต่งกายให้เหมาะกับการเล่นฉากบู๊ นำผ้ายืดมาใช้บริเวณตะเข็บกางเกงเพื่อช่วยให้อลิเซียสามารถกระโดด เตะ และออกท่าออกทางในฉากบนเกาะได้ ตั้งแต่เธอถูกซัดมาขึ้นที่ชายหาด ก็มีแต่แอ็คชั่นต่อเนื่องไม่มีหยุดเลยครับ”
สำหรับชุดพร้อมลุยของตัวละคร ทีมงานต้องเตรียมชุดทั้งสำหรับวิแคนเดอร์และนักแสดงแทน โดยได้ตัดกางเกงคอมแบตสีกากีไว้ 48 ตัวในสภาพต่างๆ กันสี่แบบตั้งแต่สะอาดไปจนถึงสกปรก นอกจากนี้ยังมีเสื้อสีกากี 100 ตัวที่มีความเก่าต่างกันห้าระดับ และรองเท้าบู๊ต 14 คู่ที่มีสภาพการชำรุดแตกต่างกันสามระดับ และเนื่องจากลาราบาดเจ็บในบางช่วงของเรื่อง ทีมงานจึงต้องทำผ้าพันแผลไว้สามผืน สำหรับบริเวณมือ ต้นแขน และขาอย่างละผืน ซึ่งผ้านี้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นประจำจากการใช้งานและเพื่อแสดงให้เห็นการต่อสู้ดิ้นรนอย่างต่อเนื่องของลารา
ในบางโอกาสนักออกแบบได้จัดเสื้อฮู้ดให้เธอใส่ทับชุดพร้อมลุยและใส่สำหรับฉากบางฉากในลอนดอนและฮ่องกง และใต้ชุดพร้อมลุยของเธอนั้น วิแคนเดอร์ได้ใส่แผ่นกันกระแทกไว้ที่เข่า คาง และสะโพกในหลายๆ ช่วง และใส่ชุดดำน้ำแนบเนื้อสำหรับฉากในน้ำ
ในเรื่องราวส่วนใหญ่ของหนัง ลาราใส่เสื้อกล้ามพอดีตัว ซึ่งการออกแบบเสื้อนี้กลายเป็นความท้าทายที่ไม่ธรรมดา “เสื้อกล้ามนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากชุดรัดรูปที่อลิเซียใส่ตอนเป็นนักเต้นในวัยเด็ก มันต้องด้านหน้ากับด้านหลังที่สมมาตรกัน” วอนซิคอธิบาย “เราให้เธอลองชุดหลายๆ แบบ จนกระทั่งจู่ๆ คอลลีนก็หันมาหาผมแล้วพูดว่า ‘ช่วยอะไรฉันหน่อยเถอะ หยิบเสื้อพวกนี้ไปห้องตัดเย็บ แยกชิ้นออก แล้วเย็บด้านหน้าของเสื้อสองตัวเข้าด้วยกันหน่อย’ ผมก็เลยหยิบไปให้ช่างเย็บผ้า แล้วเธอก็ทำเสร็จออกมาอย่างรวดเร็ว ผมนำมันกลับมาให้อลิเซียใส่ แล้วมันก็ใช่เลย! สุดท้ายเราเลยซื้อเสื้อกล้าม 220 ตัวเพื่อทำเสื้อกล้ามออกมา 110 ตัว ย้อมสีให้ตรงตามที่ต้องการ และแน่นอนว่าต้องทำให้มันดูผ่านสภาพการใช้งานมาในระดับต่างๆ กันเพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องราวในหนัง”
อย่างไรก็ดี ความท้าทายครั้งสำคัญที่สุดของแอตวูดและวอนซิคไม่ได้มาจากการออกแบบเครื่องแต่งกาย แต่เป็นการเตรียมชุดให้พอดีตัว วอนซิคกล่าวว่า “ผมได้ยินเสียงจากกองถ่ายตลอดเวลาว่า ‘กางเกงเธอไม่พอดี!’ ผมนึกว่าเธอคงน้ำหนักลด แต่ทีมงานยืนยันว่าไม่ใช่ ผมเดินไปดูอลิเซียแล้วถึงได้รู้ว่าการฝึกทำให้รูปร่างเธอเปลี่ยน ช่วงต้นขาของเธอใหญ่ขึ้นแต่เอวกับสะโพกเล็กลง ครูฝึกของเธอ แม็กนัส เข้ามาขอโทษแล้วพูดว่า ‘ผมบอกคุณแล้วว่าจะเป็นแบบนี้’ เราก็เลยต้องเก็บเอวกางเกงให้เล็กลงทุกสองสามวัน สุดท้ายเราต้องลดขนาดเอวกางเกงลงไปรวมสามนิ้วในช่วงหกสัปดาห์จนกระทั่งรูปร่างเธอหยุดเปลี่ยนแปลง”
แม้ว่าวิแคนเดอร์ใส่ชุดเดิมๆ อยู่เกือบตลอดทั้งเรื่อง แต่ไม่ใช่แค่เธอคนเดียว ทหารรับจ้างและคนขุดสุสานบนเกาะนี้ก็น่าจะใส่ชุดเดิมๆ กันมาตลอดเจ็ดปี นักออกแบบสร้างเครื่องแต่งกายให้กองกำลังบนเกาะนี้จากชุดทหารแบบเก่าหลายๆ แบบ โดยใช้กางเกงของรัสเซียช่วงยุค 1960 เสื้อของกองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส รวมถึงเข็มขัดและรองเท้าบู๊ตที่เลือกมาจากร้านขายของมือสองเพื่อเป็นชุดเครื่องแบบตั้งต้น
สำหรับคนขุดสุสานนั้น วอนซิคกล่าวว่า “ผมไปควานหาของเก่าในลอสแองเจลีส และส่งเสื้อผ้าจากยุค 70 และ 80 ไปเป็นตู้คอนเทนเนอร์เลยครับ เรานำเสื้อผ้าเหล่านี้มาแยกชิ้นส่วน ย้อม และใช้โซเดียมทำรอยเปื้อน เราต้องทำให้คนเหล่านี้ดูเนื้อตัวสกปรกเปรอะเปื้อน เพราะพวกเขามีเสื้อให้ใส่ตัวเดียวตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะ”
“ถ้าโวเกลเปิดสุสานนั้น คำสาปของฮิมิโกะจะถูกปลดปล่อยออกมาสู่โลก!”
การสร้างโลกของ TOMB RAIDER
นอกจากฉากที่ถ่ายทำตามส่วนต่างๆ ในลอนดอน อันได้แก่ ย่านแฮคนีย์และชอร์ดิตช์ รวมถึงบริเวณด้านนอกของวิลตันเฮาส์ บ้านชนบทแบบอังกฤษที่วิลตัน ใกล้เมืองซอลส์เบรีในวิลต์เชียร์ ซึ่งใช้เป็นฉากภายนอกคฤหาสน์ตระกูลครอฟต์ การถ่ายทำหลักของ “Tomb Raider” ปักหลักอยู่ภายในและใกล้เมืองเคปทาวน์ แอฟริกาใต้
“ผมสนใจหนังแบบที่รอร์และเกรแฮมต้องการทำออกมาครับ” นักออกแบบงานสร้าง แกรี ฟรีแมนกล่าว “เป็นความท้าทายอันน่าตื่นเต้นที่ได้เดินทางจากวัฒนธรรมที่ค่อนข้างฮิปปี้ในย่านศิลปะของลอนดอน ไปยังท่าเรือที่คึกคักในฮ่องกง ไปจนถึงเกาะที่ไม่ได้รับการสำรวจในญี่ปุ่นซึ่งมีบรรยากาศลึกลับคล้ายยุคดึกดำบรรพ์ นอกจากนี้ ยังมีเฮลิคอปเตอร์รุ่น NH90 อันล้ำยุค เรืออวนลากที่มีลำเรือเป็นเหล็ก และเครื่องบินทิ้งระเบิดยุคสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งหงายท้องลงไปในน้ำตก ทั้งหมดในหนังเรื่องเดียว เรียกได้ว่ามีความหลากหลายทีเดียวครับ”
ทั้งหมดนี้ รวมถึงการสร้างสุสานแห่งแรกที่ตัวละครอันโด่งดังอย่างลารา ครอฟต์จะได้บุกเข้าไปในหนังเรื่องนี้ ได้ช่วยให้ฟรีแมนและทีมงานได้รับโอกาสในการสร้างสรรค์มากมาย
ฉากท่าเรือฮ่องกงนั้นถ่ายทำกันที่เฮาท์เบย์ เมืองชาวประมงอันมีเสน่ห์ซึ่งอยู่หากจากเคปทาวน์ไป 20 นาที อูธักกล่าวว่า “เราตกแต่งสถานที่ด้วยทางเดินลอยน้ำ ร้านอาหารลอยน้ำ และตัวประกอบมากมาย เรามีกล้องที่ลอยไปมาโดยแขวนไว้กับลวดสลิง และการถ่ายทำฉากนั้นก็สนุกดีครับ”
อูธักพูดถึงกล้องสไปเดอร์แคมของผู้กำกับภาพจอร์จ ริชมอนด์ ซึ่งเขานำมาด้วยจากสหราชอาณาจักร กล้องตัวนี้ช่วยให้ทีมงานสามารถกำหนดจุดการวางกล้องได้คล้ายกับกล้องเคเบิล แต่สามารถถ่ายทำในทิศทางใดก็ได้ในแบบสามมิติ รวมถึงการถ่ายทำหลายช็อตที่ระยะความสูงต่างๆ กันจากด้านบน ทำให้ใช้งานได้หลากหลายกว่าการใช้เครน ช่างไฟของริชมอนด์ยังสามารถควบคุมความสว่าง ทิศทาง และอุณหภูมิสีในการจัดแสงจากแท็บเล็ตได้อีกด้วย ทำให้การปรับแสงซึ่งปกติเป็นเรื่องยากลำบากนั้นสามารถทำได้ในเวลาไม่กี่นาที
แดเนียล วู นักแสดงซึ่งกลับไปอยู่ที่ฮ่องกงเป็นบางช่วงนั้นกล่าวว่า เขาทึ่งเมื่อได้เห็นท่าเรือของฟรีแมน “เราพักอยู่ห่างจากหมูบ้านชาวประมงนี้ออกไปราวสิบนาที พอเรามาถึงฉากนี้ รายละเอียดทุกอย่างโดยเฉพาะของประกอบฉาก ตั้งแต่ตะเกียบไปจนถึงโปสเตอร์ที่ติดภายในร้านทำให้ผมนึกว่าตัวเองอยู่บ้านเลยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวประกอบ 300 คนที่เดินไปมาพูดภาษาจีนกัน แม้กระทั่งอากาศร้อนของฤดูร้อนในเคปทาวน์ก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนอากาศร้อนในฮ่องกง ทุกอย่างน่าประทับใจและสมจริงสมจังมาก”
ลาราใช้เวลาอยู่ในฮ่องกงไม่นานนัก เธอไปที่นั่นเพียงเพื่อหาตัวลู เรน และได้พบเขาอยู่บนเรือที่ชื่อ เอ็นดัวร์แรนซ์ ฟรีแมนทำการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อออกแบบเรือลำนี้โดยรู้ดีว่าเรือลำนี้มีหน้าที่อย่างไรในบทภาพยนตร์ “เราคิดกันว่าเรือประเภทไหนจะเหมาะกับพื้นที่แถบนี้ เหมาะกับตัวละครลู เรน และแน่นอนว่าตามทฤษฎีแล้วมันจะต้องเดินทางจากฮ่องกงถึงเกาะในญี่ปุ่นเป็นระยะทาง 500 ถึง 600 ไมล์ผ่านน่านน้ำที่มีคลื่นลมแรง ตอนแรกเราคิดว่าจะซื้อเรือหรือเช่าเรือมา แต่ช่วงนั้นเป็นฤดูจับปลาทูน่าในเคปทาวน์และไม่มีเรือให้เช่าเลย เราออกแบบเรือที่วางอยู่บนทุ่นลอย เพราะฉะนั้นมันจึงลอยได้เมื่ออยู่ในแท็งค์และโคลงเคลงไปมาเมื่อจอดอยู่ในอู่ มันจะไม่อยู่นิ่งๆ มันยังต้องไปวางอยู่บนแท่นหมุนแบบห้าแกนและรับน้ำเป็นตันๆ ในฉากที่เกิดเหตุวิกฤติด้วย”
แท็งก์สำหรับเรือ เอ็นดัวแรนซ์ นั้นสร้างขึ้นที่สตูดิโอเคปทาวน์ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำฉากท่าเรือเพิ่มเติมในส่วนที่ต้องใช้บลูสกรีน เช่น ฉากการไล่ล่าของลาราที่ท่าเรือ ส่วนฉากอื่นๆ ที่ถ่ายทำที่นั่น ได้แก่ ฉากพายุรุนแรงบนชายหาดยามาไต และฉากลาราห้อยโหนจากปีกเครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่นเหนือน้ำตก ฉากที่สร้างขึ้นในสตูดิโอดังกล่าว ได้แก่ ห้องค็อกพิตของเครื่องบินทิ้งระเบิด ห้องใต้ดินของตระกูลครอฟต์ ห้องทำงานลับของริชาร์ด ครอฟต์ โลงหินในสุสาน และบ่อฝังศพ
เมืองเล็กอันงดงามอย่างเมืองพาร์ลในเคปไวน์แลนด์สเป็นสถานที่อันเหมาะสมสำหรับฉากการไล่ล่าในป่าหลายฉาก ค่ายของโวเกล และทางเข้าสุสาน ความท้าทายประการสำคัญที่สุดในการถ่ายทำที่นั่นก็คือการขับรถนานหนึ่งชั่วโมงจากตัวเมืองผ่านถนนลูกรังฝุ่นคลุ้งที่คดเคี้ยวขรุขระไปยังจุดถ่ายทำทุกๆ วัน พาร์ลยังเป็นภูมิภาคที่มีอากาศร้อนที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย ด้วยอุณหภูมิสูงถึง 113 องศาฟาเรนไฮต์ทั่วทั้งพื้นที่ ความร้อนเป็นประเด็นใหญ่ตลอดการถ่ายทำ พยาบาลประจำกองถ่ายจะต้องติดครีมกันแดดเอาไว้ตลอดเวลา
“การถ่ายทำในพื้นที่ผลิตไวน์ของแอฟริกาใต้ฟังดูเป็นความคิดที่เข้าท่าจนกระทั่งเราพบว่าต้องไปอยู่ในเหมืองหินร้อนระอุที่มีแมงป่องอยู่ทุกที่” อูธักหัวเราะ โชคดีที่กองถ่ายจ้างนักจับงู (และแมงป่อง) มาเคลียร์พื้นที่ให้ปลอดภัย ถึงเขาจะช่วยเรื่องแดดไม่ได้ก็ตาม
เมื่อมาถึงการถ่ายทำเกาะยามาไตซึ่งเป็นสถานที่สมมติในเรื่องและสุสานบนเกาะนั้น ฟรีแมนกล่าวว่าสิ่งสำคัญที่อูธักคำนึงถึงคือต้องให้ภาพออกมาสมจริงที่สุด “ทางเข้าสุสานเป็นเหมืองหินแกรนิตร้างที่เราบังเอิญไปพบ ซึ่งผมคิดว่าไม่ได้ใช้มานาน 80 ปีแล้ว สภาพพื้นที่ตรงนั้นดีมาก ดูน่าสนใจ แล้วก็ยังมีร่องรอยจากการขุดหินแกรนิตด้วย ทีนี้ถ้าคุณจะจินตนาการว่าเมื่อหลายพันปีก่อนมีคนสร้างเจดีย์อันใหญ่เอาไว้ใต้ดิน คุณก็คงต้องคิดว่า ‘แล้วพวกเขาเข้าไปได้ยังไง พวกเขาออกมาได้ยังไง ร่องรอยการขุดก็เลยกลายเป็นประโยชน์สำหรับเรา เราทำให้พื้นที่ดูรกชัฏด้วยการเพิ่มไม้เลื้อยและสุมทุมพุ่มไม้ให้ปกคลุมบริเวณนั้น แล้วมันก็ออกมาดูดี”
ฉากภายในสุสานฮิมิโกะถ่ายทำกันที่สตูดิโอแอตแลนติกฟิล์มทางตะวันตกของเคปทาวน์ ฟรีแมนศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเลือกแนวทางการออกแบบ “เรากำลังทำงานกับยุคที่น่าสนใจในสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น” เขาระบุ “ไม่ใช่ยุคของเจดีย์แบบคลาสสิกอย่างที่คุณเห็นในหนังซามูไร เราต้องการสร้างงานแบบโบราณที่ดูแปลกตา เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเข้ามาภายในสุสาน คุณจะเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย เราต้องการความลึกลับและไม่ฟุ้งเฟ้อ มีแต่ความเรียบง่าย เคร่งขรึม เป็นรูปทรงเรขาคณิตโดยไม่เน้นรายละเอียดพื้นผิว เราดูตัวอย่างจากสุสานแบบจีนซึ่งมีการบันทึกข้อมูลไว้ละเอียดกว่าและช่วยให้เราได้รูปแบบตั้งต้นมา จากนั้นเราก็นำรูปทรงสมมาตรตามแบบญี่ปุ่นมาใช้และเพิ่มความทันสมัยลงไปเล็กน้อย แทบจะคล้ายกับสถาปัตยกรรมแบบบรูทัลลิสต์ แต่เรียบกว่าและคมกว่า
“ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะของแสงและบรรยากาศที่สื่ออารมณ์เป็นสำคัญครับ” ฟรีแมนกล่าวต่อ “จอร์จจัดแสงได้สวยมากจนรูปปั้นนกน้ำญี่ปุ่นแบบแปลกๆ ซึ่งผมทำขึ้นมาและไม่น่าจะน่ากลัวเลยนั้นกลับออกมาดูน่าสะพรึงกลัว ช่วยเพิ่มความสยองซึ่งตัวละครทุกตัวสัมผัสได้เมื่อเข้าไปข้างใน”
“แกรีกับฝ่ายศิลป์สร้างฉากที่น่าทึ่งให้หนังเรื่องนี้ ผมจำได้ตอนเดินเข้าฉากสุสานเป็นครั้งแรก ผมแทบจะหยุดหายใจเลย มันเต็มไปด้วยกับดัก ประตูลับ ปริศนา” อูธักกล่าว เขาพอใจอย่างยิ่งกับผลงานที่ฟรีแมน ริชมอนด์ และทีมงานมากความสามารถได้สร้างขึ้น
“ฉากนั้นน่าทึ่งจริงๆ ค่ะ” วิแคนเดอร์กล่าว “มีหลายครั้งที่ฉันเดินเข้าไปแล้วแทบจะต้องหยิกตัวเองว่าฝันไปรึเปล่า เพราะฉันเป็นแฟนหนังผจญภัยและไม่เคยคาดฝันว่าจะได้เดินเข้ามาในฉากที่สมจริงขนาดนี้ พื้นที่ภายในสุสานที่ทีมงานได้สร้างขึ้น โลงศพหิน…และทุกๆ อย่าง เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ยังอยู่ในตัวฉันตื่นเต้นดีใจมากค่ะ มันน่ามหัศจรรย์จริงๆ”
นักแสดงหญิงรายนี้รักฉากนี้มาก เธอบอกให้เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมระหว่างการถ่ายทำพาลูกๆ มาด้วย “ฉันอยากมอบประสบการณ์นี้ให้เด็กๆ” เธอยิ้ม “ฉันอยากสัมผัสฉากนี้ผ่านมุมมองของเด็กๆ ด้วย เพราะรู้ดีว่าเด็กๆ จะต้องตื่นเต้นไม่แพ้ตัวฉันเองตอนเป็นเด็กเหมือนกัน”
รายละเอียดอันมีเอกลักษณ์บางส่วนในหนังสร้างขึ้นโดยผู้จัดหาของประกอบฉาก พอล เพอร์ดี ซึ่งชิ้นสำคัญที่สุดคือกล่องปริศนาอันประณีตงดงามแบบญี่ปุ่นซึ่งลาราและพ่อของเธอใช้ และสุดท้ายมีส่วนสำคัญต่อเนื้อเรื่องบนเกาะ ทีมงานของเพอร์ดียังได้หาพลั่วเจาะแบบเดียวกับในเกมด้วยการตามหาผู้ผลิตดั้งเดิมซึ่งเหลือเพียงสามรายในโลกและให้ผู้ผลิตทำขึ้นมาใหม่ หลายชิ้นผลิตเพื่อให้ตรงตามความต้องการในฉาก โดยมีทั้งแบบจริง แบบแข็ง แบบนุ่ม และแบบ “ไม่มีหัว” ของประกอบฉากที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ กุญแจประจำตระกูลครอฟต์ สมุดบันทึกของริชาร์ด และแผนที่ใส่รหัสของยามาไต รวมถึงคันธนูและลูกธนูอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของลาราด้วย
นักแต่งเพลง ทอม โฮลเคนบอร์ก หรือจังคี เอ็กซ์แอล ถ่ายทอดพลังและความหนักแน่นแบบเดียวกับในเกมส์ผ่านดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้ โดยช่วยเสริมบรรยากาศความอันตรายและความน่าตื่นเต้นของแอ็คชั่น พร้อมกับขับเน้นเรื่องราวส่วนตัวและอารมณ์ภายในของลารา
“ก็เหมือนกับหนังผจญภัยคลาสสิกที่ฉันชอบ” วิแคนเดอร์กล่าว “หนังเรื่องนี้มีฉากใหญ่โต ประตูลับที่เปิดออกมาได้ และความลึกลับที่ซ่อนอยู่และผันแปรไปเรื่อยๆ ขณะที่คุณสัมผัสการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น ขณะเดียวกันในการเดินทางเดียวกันนี้ ฉันก็ชอบความอยากรู้อยากเห็นของลารา รวมถึงความดื้อรั้น ความหลงใหลทุ่มเท และการที่เธอกล้าเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และเชื่อในสิ่งมหัศจรรย์ ฉันหวังว่าผู้ชมจะได้รู้จักลารา ครอฟต์คนนี้ รับรู้การต่อสู้ดิ้นรนและความเจ็บปวดที่เธอได้พบไปพร้อมกับเธอ และคอยเอาใจช่วยเธอเช่นเดียวกันกับฉันค่ะ”
คิงเห็นด้วยกับนักแสดงนำรายนี้โดยเสริมว่า “หนังเรื่องนี้เป็นหนังสำหรับผู้ชมทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ชายหรือผู้หญิง เพราะมันพูดถึงสายใยอันเหนียวแน่นภายในครอบครัวซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหนังที่ยิ่งใหญ่ อัดแน่นด้วยแอ็คชั่น และมีฮีโร่ผู้กล้าหาญ”
“เมื่อลารา ครอฟต์เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ เธอยังไม่พร้อมรับสิ่งที่เข้ามาหาเธอ” อูธักให้ความเห็น “เธอจะต้องรับมือกับความท้าทาย และหลังจากผ่านบททดสอบมากมาย เธอจะได้ค้นพบว่าเธอสามารถเป็น ทูม เรเดอร์ ผู้พร้อมรับการผจญภัยที่กำลังจะมาถึง ผมคิดว่าผู้ชมจะเพลิดเพลินกับการได้เห็นลาราค้นหาว่าตัวเองเป็นใครและแท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไรครับ”