ข้าวทิพย์ ธิดาดิน นักร้องลูกทุ่งสาวเสียงใส จะมาเปิดชีวิตในวงการ 12 ปี โดนงัดห้องพัก เคยตกอับไร้งาน ไร้เงิน จนต้องหนีกลับบ้านนอกไปทำนา ก่อนจะกลับมาในวงการอีกครั้งในฐานะนักแสดงสุดปังมาร่วมพูดคุยในรายการ “คุยแซ่บSHOW” ที่มี “พีเค” ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร “หนิง” ปณิตา ธรรมวัฒนะและ “ธัญญ่า” ธัญญาเรศ เองตระกูล เป็นพิธีกร
@@ เป็นนักร้องอยู่แกรมมี่มากี่ปีแล้ว
ตอนนี้น่าจะ 13 ปีแล้ว ตอนนี้ยังอยู่แกรมมี่
@@ กำลังเป็นที่ฮือฮากับในละครเรื่อง สูตรรักแซ่บอีหลี
ก็ดีใจมากๆ ขอบคุณผู้ใหญ่ทางช่องวันที่ให้โอกาสข้าวทิพย์มาร่วมแสดงละครเรื่องนี้ ถือว่าเปลี่ยนคาแรกเตอร์ของข้าวทิพย์เลย คือที่ผ่านมาจะได้รับบทแก่นแก้ว เรียบร้อย แต่เรื่องนี้จะออกคอมเมดี้ เล่นยากมากๆ และเป็นเรื่องแรกที่โชว์เนื้อหนังมังสามากที่สุด ตัวจริงเป็นคนไม่เซ็กซี่ แต่งตัวธรรมดา อย่างไปเที่ยวกลางคืนก็จะใส่แค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์
@@ กว่าจะมาจุดนี้ในวงการบันเทิง ต้องใช้ความอดทน ความขยันขันแข็ง ความพยายามถึง 12 ปี
คุณพ่อคุณแม่มีอาชีพหลักคือทำนา อาชีพเสริมคือหมอลำ ตั้งแต่จำความได้คือเห็นคุณพ่อร้องหมอลำเลี้ยงเรา มันเป็นความทรงจำที่มีความสุขมากๆ มันเลยทำให้เราอยากฝึกร้องหมอลำ คือตั้งแต่เด็กๆ จะร้องหมอลำตามทุ่งนา เราก็ครูพักลักจำจากคุณพ่อ และจากทีวี หลังจากนั้นก็มีโอกาสไปร้องเพลงตามวงดนตรีต่างๆ ได้ร้องเพลง และได้เป็นแดนซ์เซอร์ เพลงที่ออกเพลงแรกคือ สาวม.ปลายยังอายฮัก ตอนนั้นยังไม่ได้เซ็นแกรมมี่ ออกรวมกับน้องใหม่ไต่ดาว โครงการหนึ่งรวมดาวที่ราบสูง เป็นนักร้องภาคอีสาน ตอนนั้นมีนักร้อง 5 คน ตอนนั้นเป็นบททดสอบของแกรมมี่ว่าจะให้ผ่านไหม จะได้เป็นนักร้องต่อหรือเปล่า ตอนนั้นแค่ได้มาออกเพลงกับแกรมมี่โกลด์ เรารู้สึกมันเกินฝันมากๆ ที่เด็กบ้านนอกจะได้มาออกอัลบั้ม ได้ทำเพลงร่วมกับนักร้อง ดีใจมาก
@@ ได้มาเซ็นกับแกรมมี่ คุณพ่อภูมิใจขนาดไหน
คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจมากๆ คือเห็นเราเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปประกวดตามที่ต่างๆ ได้ทำงานหาเงิน มาช่วยเหลือครอบครัว แค่นั้นท่านก็ดีใจมากๆ แล้ว พอเราได้มาทำเพลงกับแกรมมี่มันเกินฝันมากๆ ถ้าเป็นอัลบั้มรวมก็ 10 กว่าอัลบั้ม ถ้าเป็นอัลบั้มเดี่ยวก็ 2 อัลบั้ม
@@ กระแสหลังจากที่ได้ทำเพลงกับ GMM เป็นอย่างไรบ้าง
ช่วงนั้นกระแสดีมากๆ ตามคลื่นวิทยุก็เปิดเพลงเรา เราก็รู้สึกว่า เพลงเราได้ออกอากาศ มีคนก็ทักมาว่าชอบเพลงเรา แค่นั้นเราก็รู้สึกดีใจมากๆ แล้ว แล้วได้เดินสายตามวิทยุและทีวี แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว
@@ เงินที่ได้จากการออกอัลบั้มตอนนั้นเอาไปทำอะไร
เงินก้อนแรกเอาไปปลดหนี้ให้ครอบครัว คือข้าวทิพย์มีพี่สาวอยู่ 2 คน แล้วตอนนั้น พี่สาวคนโตเรียนปริญญาตรี ส่วนพี่สาวคนที่สองเรียนมัธยม เราก็เรียนมัธยม แต่การจะมีเงินก้อนไปจ่ายค่าเทอมมันเป็นเรื่องยาก เราขายข่าวก็ได้กำไรแค่ 8000 คุณแม่ก็เลยไปกู้ธนาคารส่งพี่สาวเรียน ตอนนั้นก็เป็นจังหวะที่เราได้เงินก็เอาไปปลดหนี้ ธกส.ไปประมาณครึ่งล้าน
@@ พอมาเป็นศิลปินแล้ว ทำไมเราไม่ซื้อรถ
เวลาเราไปห้างหรือไปซื้อของใช้ เราก็นั่งสองแถวได้ ที่ไม่ซื้อรถเพราะคิดว่าเอาเงินไปใช้หนี้ให้ครอบครัวดีกว่า แล้วเวลาไปคอนเสิร์ตบริษัทก็มีรถตู้ให้อยู่แล้ว รถตู้ก็จะไปรับแล้วก็ส่งเรา แล้วเราไม่ค่อยออกไปเที่ยวด้วย ไม่ค่อยได้ใช้เงิน เวลาจะไปไหนเราก็ไปสองแถวบ้าง แท็กซี่บ้างสลับกัน
@@ รถไม่ซื้อเราพอเข้าใจแต่ที่พักล่ะทำไมไม่ซื้อ ทำไมถึงไปเช่าแมนชั่น
เป็นทั้งข้าวทิพย์และทางผู้ใหญ่ด้วย จริงๆเริ่มต้นจากข้าวทิพย์เข้ามาเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ แล้วมันมีแมนชั่นที่มันใกล้ห้องอัด แมนชั่นราคาเดือนละ 2900 บาท
@@ ด้วยราคานี้เลยเป็นเหตุให้มีคนเข้ามาพยายามทำมิดีมิร้าย
ก็อยู่มา 11 ปี ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราเพิ่งกลับมาจากห้องอัดตอนเที่ยงคืน แล้วเราเพิ่งไกด์เพลงใหม่มา เราก็กลับมากับน้องสาวคือน้องสาวอยู่ห้องข้างๆ กัน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาเคาะห้อง ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นน้องสาว เราก็เอะใจเพราะน้องสาวเคยเข้ามาห้องข้าวทิพย์แล้วบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในห้องน้องสาว แล้วมาค้นใต้เตียง น้องสาวก็บอกว่าเข้ามาทำไมเขาก็บอกว่าหลงห้อง ก็ดีที่ว่าเราเอะใจที่มีคนในห้องอัดพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ข้าวทิพย์ก็เลยส่องตาแมว ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งถือขวดเบียร์ อยู่ข้าง ๆ ก็เลยโทรหาพี่สาวที่มาเยี่ยม พี่สาวเลยไปถามว่ามาทำไม เขาบอกว่ามาหาเพื่อนที่ห้อง ซึ่งมันไม่ใช่ แล้วเขาก็บอกว่าพอดีเคาะห้องผิดแล้วเขาก็รีบไป เราก็เลยโทรหาอาจารย์ที่ห้องอัดพอดีมีเพื่อนอ.ที่เป็นตำรวจอยู่ด้วยพอดี เขาเลยมาตามหา ตอนนั้นผู้ชายคนนั้นกำลังจะปีนหนี พอจับตัวได้ก็ค้นตัว ก็พบว่าเขามีซีดีโป๊ มีเทปกาว มีอวัยวะปลอมของผู้ชาย แล้วก็ยาปลุกเซ็กซ์ ตอนนั้นกลัวมาก เราโชคดีที่เพื่อนอาจารย์ในห้องอัดเป็นตำรวจอยู่แล้ว เขาก็เลยส่งโรงพัก คือเราก็คิดว่าเป็นโชคดีของเราที่มีญาติ มีคนรอบข้าง มีครู อาจารย์ที่ดี ที่คอยดูแล ช่วยเหลือเวลาที่เราเจอปัญหาต่างๆ ก็เลยไม่อยากไปพักไกลๆ ก็อยากให้มีญาติอยู่ด้วยกันจะได้ช่วยแก้ปัญหา
@@ หลังจากเจอเหตุการณ์นั้นเราย้ายหรือยัง
หลังจากวันนั้นก็เริ่มคิดที่จะย้ายปีกว่า ตอนนี้ก็ย้ายออกมาแล้ว คือช่วงนั้นงานก็เริ่มน้อยแล้ว เราก็คิดจะหาธุรกิจที่จะทำได้เอง ก็เลยขายผ้าไทยผ่านออนไลน์ ก็เลยปรึกษากับน้องว่าหรือว่าจะเปิดอีกห้องหนึ่ง แต่ก็อยู่ที่เดิม แต่ถ้าเป็นอย่างนี้รายจ่ายจะเพิ่มขึ้น ก็เลยคิดกับน้องว่าหรือจะมองเป็นทาวเฮ้าส์ที่มีหลายๆ ชั้น เก็บผ้าได้ด้วย จัดส่งได้ด้วย ซึ่งราคาก็อยุ่ประมาณ 15000 บาท ก็เลยคิดว่าจะซื้อเป็นบ้านดี คือเราคิดนานเพราะซื้อบ้านก็เป็นเรื่องใหญ่ กำลังทรัพย์ต้องเยอะ
@@ แล้วทำไมถึงตัดสินใจกลับบ้าน
คือช่วงนั้นเป็นรอยต่อหลายๆ อย่างรุมเร้า คือสัญญาก็ใกล้หมด งานจ้างก็เริ่มน้อย เพลงก็ล่าช้า แล้วน้ำก็ท่วมด้วย เป็นช่วงปี 2554-2558 ซึ่งเงินที่เราเก็บไว้ก็ใช้ไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่มีงาน แล้วเงินก้อนอีกก้อนหนึ่ง เราก็ช่วยญาติเพราะเขาจะขายที่เอาไปซื้อรถ เราก็เลยเอาเงินตรงนี้ไปซื้อที่เขาก่อนเผื่อเขาจะเอาที่ไปทำอะไรก่อน ตอนก่อนกลับต่างจังหวัดก็เหลือเงินประมาณหลักหมื่น คือเราดูแลตัวเองดูแลน้องได้ ถ้าเป็นระยะสั้นๆ แต่ถ้าเป็นระยะยาวมันไม่ได้ อยู่ไม่รอดแน่ก็เลยตัดสินใจกลับบ้าน แม่ก็บอกว่าถ้าไม่ไหวก็กลับมานะ แม่จะเลี้ยงเอง ตอนนั้นเราน้ำตาซึมมาก ตอนกลับไปต่างจังหวัดถามว่าลำบากไหม คือถ้าเรามีข้าวกิน มีปู ปลา ไก่ กิน เราก็สามารถอยู่ได้แล้ว เพราะใช้เงินไม่เยอะ ซื้อพวกน้ำปลา พริก เกลือ ก็อยู่ได้แล้ว เพราะบ้านเราก็ทำนา ที่บ้านก็ปลูกผักเราก็ไม่ได้ใช้เงินมากมาย ตอนนั้นมีหลานตัวเล็กๆ พอดีเพิ่งคลอดก็เลยไปเลี้ยงหลาน แล้วก็ไปช่วยพ่อแม่ทำนา ปลูกผัก
@@ กลับไปบ้านแล้วเราไปทำอะไร
คือข้าวทิพย์เห็นคุณพ่อคุณแม่ทำนามาตั้งแต่เด็ก หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน เห็นหลังคุณแม่พองเวลาดำนา แล้วต้องเอาน้ำที่ดำนามาลูบหลัง ตอนเห็นตอนนั้นเราอยากให้คุณพ่อคุณแม่สบาย มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราไปเห็นเถียงนาที่รั่ว เราก็เลยอยากทำตามฝัน
@@ เคยคิดจะไม่ต่อสัญญากับแกรมมี่ไหม
ก็เคยคิดเหมือนกัน แต่การเป็นนักร้องเป็นความฝันของเราและครอบครัว แล้วแฟนๆ ของเราจะไม่คิดถึงเราเหรอ เราก็คิดเหมือนกัน แล้วก็เสียดายโอกาสและความฝันที่ทำมา
@@ ช่วงที่กลับบ้านคนเม้าท์ว่าเราตกอับรู้สึกอย่างไร
ข้าวทิพย์พยายามคิดบวกแม้เราจะไม่ได้ต่อทางด้านนักร้องแล้ว แต่เราก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่ที่ยังให้กำลังใจเรา เรายังมีนาที่เราสามารถทำได้ เราจะปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่เราก็ทำได้ ส่วนแฟนคลับ แม้จะชอบที่เราเป็นนักร้องก็จิรง แต่ส่วนใหญ่ ก็รักในความที่เราเป็นตัวเรา เราเป็นลูกชาวนาน เราไปปักดำนา เราเป็นตัวแทนของคนอีสาน เป็นคนสู้ชีวิตที่ไปสู้ชีวิตในเมืองใหญ่ถ้าไม่ได้ต่อทางสายนักร้อง เราก็อยู่กับทุ่งนาได้ คนก็รักในความเป็นเราที่เราเป็นแบบนี้
@@ เขาโทรมาเรียกให้ไปเล่นละครตอนนั้นเราทำอะไรอยู่
ตอนนั้นกลับไปอยู่ต่างจังหวัด 3 เดือน ตอนนั้นก็เลี้ยงหลานอยุ่ แล้วพี่พีอาร์ก็โทรมาบอกว่า พอดีทางพอดีคำสนใจติดต่อเราไปเล่นละครนายฮ้อยทมิฬ รับบท บัวเขียว ตอนนั้น ตกใจ เพราะไม่คิดว่าเราจะได้เล่น เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องการแสดงมาก่อนเลย ก็ถามกลับไปว่าจิรงเหรอ คือไม่เชื่อ ตอนนั้น ทางพี่ทางบริษัทดูแลให้ ตอนนั้นทางบริษัทก็เล่าว่าเขาก็ส่งรูปนักร้องแกรมมี่หลายๆ คนให้ทางพอดีคำเลือก แล้วเขาก็เลือกเรา คือวันที่ฟิตติ้งเราก็ไม่เชื่อเพราะเราหน้าตาบ้านนอกมากๆ หนูคิดว่าฟิตติ้งแล้ว เขาก็เปลี่ยนตัวได้ แล้วถ้าเราเล่นไม่ดีเขาก็เปลี่ยนตัวได้ คือเราไม่มั่นใจเลย
@@ แล้วรู้ไหมว่าแต่ละตอนได้ค่าตัวเท่าไหร่
ไม่รู้เลย เราให้บริษัทดูแล ถามว่าเล่นเรื่องแรกจบเราได้เงินเป็นก้อนไหม ก็เยอะอยู่สำหรับเรา เงินตอนนั้น ก็ยังเก็บไว้ก่อน แล้วบ้านหลังเดิม เรายกให้พี่สาวไป แล้วเราก็มาอยู่ทุ่งนากับพ่อแม่ มานอนที่เถียงนา บางทีเห็นหลังคารั่ว ก็เลยคิดว่าน่าจะดีถ้าเราสร้างบ้านดีๆ ให้พ่อแม่อยุ่ที่เถียงนา พอเรากลับไปก็จะไปอยู่กับพ่อแม่ ก็เลยเอาเงินไปสร้างบ้านให้พ่อแม่ที่อำนาจเจริญ ตอนนี้ก็มีละครเรื่อยๆ ตอนนี้ก็มีเรื่องสูตรรักแซ่บอีหลี เล่นเป็นแก้วตา
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.30-14.30 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์ ข้าวทิพย์ ธิดาดิน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ