วันเข้ฉาย 4 มีนาคม 2564
นักแสดง แฟรงค์ กริลโล, เมล กิบสัน, นาโอมิ วัตส์
แอนนาเบล วอลลิส, เคน จอง, มิเชล โหย่ว, วิล แซสโซ่, เซลิน่า หลัว, มีโดว์ วิลเลียมส์
เขียนบทโดย คริส บอเรย์, เอดดี้ บอเรย์ และ โจ คาร์นาฮาน
กำกับโดย โจ คาร์นาฮาน
ความยาว 100 นาที
เรื่องย่อ
BOSS LEVEL “บอสมหากาฬ ฝ่าด่านนรก” ภาพยนตร์เรื่องใหม่จากผู้กำกับและผู้เขียนบทขวัญใจนักวิจารณ์ “โจ คาร์นาฮาน” ผู้มีผลงานภาพยนตร์ที่แหวกแนวสะเทือนฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง เช่น Narc, Smokin’ Aces และ The Grey ครั้งนี้เขามาพร้อมกับภาพยนตร์แอคชัน-ดราม่าสุดมันส์ เรื่องราวของ รอย พัลเวอร์ (แฟรงค์ กริลโล) ซึ่งต้องตกอยู่ในเรื่องราวสุดโหดแบบไม่รู้จบ ทุกเช้าเขาต้องตื่นมาเพื่อโดนนักฆ่ามืออาชีพล่า และฆ่าในหลากหลายวิธี ทั้งโดนมัดระเบิด ตัดหัว โดนรุมยิง หรือโดนดาบแทงตาย โดยที่เขาไม่รู้เหตุผล รอยจึงต้องหาคำตอบนี้ให้ได้ว่าทำไมเขาจึงติดอยู่ในวงจรสุดโหดแบบนี้ รวมทั้งยังต้องหาทางช่วยชีวิตภรรยาเก่า (นาโอมิ วัตส์) กับลูกชายวัย 11 ปีไปพร้อมกัน และยังต้องหาคำตอบอีกด้วยว่า เวนเทอร์ นักวิทยาศาสตร์การทหารสุดชั่วร้าย (รับบทโดย เมล กิบสัน) ต้องการอะไรจากสิ่งลึกลับที่เขาเรียกว่า ‘กระสวยโอไซริส’ และ เพื่อการหาคำตอบเรื่องนี้ รอยจึงต้องรีเซ็ตตัวเองในทุกวัน และหาทางเอาตัวรอดจากการโดนล่าที่ไม่มีจุดสิ้นสุด อีกครั้ง.. และอีกครั้ง
เวลาไม่เคยรอใคร
มาถึงตอนนี้ ไอเดียอะไรใหม่สำหรับภาพยนตร์แอคชั่นคงไม่มีอีกแล้ว หนังแอคชันที่มีทั้ง หัวใจ เสียงหัวเราะ และความรุนแรงแบบไม่เหมือนใคร แต่ถ้าคุณเอาความหลุดโลกจาก INCEPTION แล้วใส่ความจริงจังแบบ BIG TROUBLE IN LITTLE CHINA ใส่การเล่นกับเวลาแบบ SOURCE CODE และ LOOPER หยิบความเท่ห์แบบหนังฮ่องกงเข้ามาอีกหน่อย แล้วใส่ความซับซ้อนกับภาพมันส์ๆแบบวิดีโอเกมส์เข้าไป กับความโหดแบบ GROUNDHOG DAY สุดท้ายใส่ความคมของบทเข้าไปอีกนิดคุณก็จะได้ผลลัพธ์เป็น ภาพยนตร์เรื่องใหม่ BOSS LEVEL จากฝีมือสุดล้ำของผู้กำกับ โจ คาร์นาฮาน (JOE CARNAHAN) ภาพยนตร์แอคชั่นที่ตัวเอกจะต้องตายในทุกวัน พร้อมโอกาสใหม่ๆ ในการกลับมามีชีวิตเพื่อค้นหาความจริง
และสลัดตัวเองให้หลุดจากวงจรสุดโหดนี้ที่เขาต้องเจอ…ทุกวัน!
กว่าจะมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเริ่มที่ผู้กำกับ โจ คาร์นาฮาน ได้อ่านบทที่เขาเห็นว่าน่าสนใจ แต่มันยังต้องมีการแก้ใหม่แบบยกเครื่อง
“ผมเห็นบทครั้งแรกในชื่อ ‘Continue’ ซึ่งเขียนบทโดยพี่น้องคริสและเอดดี้ บอรี่ย์ ผมอ่านแล้วรู้สึกเลยว่ามันเป็นอะไรที่ใหม่และฉลาดมาก ผมชอบเรื่องที่ตัวเอกเป็นพ่อคนที่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อ และความไซไฟในบทที่ทำให้ตัวเอกต้องติดอยู่ในวงจรที่ผลักดันให้เขาต้องพยายามเปลี่ยนตัวเอง เพื่อให้คนที่เขารักยอมยกโทษให้”
“ผมเริ่มแก้บท แล้วใส่ส่วนอารมณ์เข้าไป” โจเล่าต่อ “เพราะภาพยนตร์ที่ขาดหัวใจมันก็จะมีแต่ความเท่ห์ ประมาณว่าผู้ชายคนนี้ฟื้นจากความตายทุกวัน ..แล้วมันจะพาคนดูไปไหน คุณต้องใส่ส่วนอารมณ์เข้าไป”
บทเวอร์ชันใหม่ของโจเพิ่มความสมบูรณ์ให้ตัวหนังโดยเล่าเรื่อง รอย พัลเวอร์ (รับบทโดย แฟรงค์ กริลโล) อดีตกัปตันหน่วยเดลต้าที่ติดอยู่ในลูปเวลา ซึ่งเขาคิดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตภรรยาของเขา ดร. เจมมา เวลส์ (รับบทโดย นาโอมิ วัตส์ ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์) นักวิทยาศาสตร์ ที่ทำงานกับ พันโทไคลฟ์ เวนเทอร์ (Clive Ventor) (รับบทโดย เมล กิบสัน นักแสดงระดับรางวัลออสการ์) และรอยกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของ ไคลฟ์ ด้วยเครื่องจักรลึกลับที่เขาเรียกว่า ‘กระสวยโอไซริส’ Osiris Spindle เขาถูกตามฆ่าทุกวัน จากกลุ่มมือสังหารที่ส่งมาโดย เบรท ดีนาว Brett Dynow (รับบทโดย วิล แซสโซ่ WILL SASSO) หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของพันโทไคลฟ์ ซึ่งทุกคนออกติดตามรอย และทุกครั้งที่รอยถูกฆ่า เขาจะตื่นขึ้นมาเริ่มวันเดิมอีกครั้ง แต่จากการ “โดนพยายามฆ่า” ทุกครั้ง รอยจะต้องรวบรวมเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับความจริงสุดน่ากลัว และระหว่างหาทางออกจากลูปนรกนี้ เขาก็พบวิธีสร้างสัมพันธ์กับ โจ ลูกชายวัย 11 ปี (รับบทโดยริโอ กริลโล) ผู้ชอบเล่นวิดีโอเกมต่อสู้มากกว่าไปโรงเรียน
คำว่า “ระดับบอส” โจเล่า “เป็นคำที่ใครก็ตามที่เล่นวิดีโอเกมจะเข้าใจได้ทันที ว่าเราหมายถึง บอสระดับสูงสุด ซึ่งเป็นระดับความยากที่สูงที่สุดในเกมต่อสู้ และมันกลายเป็นจุดเริ่มของไอเดียที่รอย พัลเวอร์จะถูกฆ่าแล้วคืนชีพเพื่อหาทางไปสู้กับ พันโทไคลฟ์ เวนเทอร์ ซึ่งเป็นตัวบอสของเรื่องนี้; เขาคือความท้าทายสูงสุดหลังจากที่มือสังหารทั้งหมดถูกสังหาร ส่วนตัวผมชอบคำนี้เพราะมันค่อนข้างเท่ห์”
BOSS LEVEL มีหมัดเด็ดหลายอย่าง – ทั้งการพลิกเรื่องหลายตลบ, เครื่องยิงระเบิด, การยิงจากเฮลิคอปเตอร์, การจี้ด้วยไฟฟ้า, การตัดหัว, ความตายด้วยหม้อกาแฟ และความโหดในหลายรูปแบบ ที่จะต้องทำให้คณะกรรมการจัดเรทติ้งต้องปวดหัว ในขณะที่มือสังหารและทหารรับจ้างของไคลฟ์ ต้องตามล่ารอยทุกวันด้วยการสังหารแบบเหนือชั้น การต่อสู้ด้วยมือเปล่า และการไล่ล่าด้วยรถยนต์ ซึ่งผลลัพธ์ภาพยนตร์ซึ่งกริลโลชมว่ามันได้กลายเป็นจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเลย
“ผมคิดว่าสิ่งที่ BOSS LEVEL เล่นกับความเป็นภาพยนตร์แนวแอคชั่น คือ เอาสิ่งที่คนคาดหวังมาบิดมันให้หมด” แฟรงค์ กริลโลกล่าว “มันไม่ใช่หนังทริลเลอร์ทั่วๆไป และไม่ใช่หนังแอคชั่นที่เล่าเรื่องแบบที่คนดูคุ้นเคย มันเป็นภาพยนตร์แอคชั่นที่จะเรียกเสียงหัวเราะด้วยอารมณ์ขันสุดดาร์ก จากเรื่องราวของอดีตภรรยาของรอย และลูกชาย เราพยายามจะสร้างอะไรใหม่ๆ จนได้ออกมาเป็นภาพยนตร์ที่มีรสชาติสุดแตกต่างผสมกันอยู่”
ผู้กำกับผู้ยกระดับความยากของการสร้างภาพยนตร์
มีผู้กำกับไม่กี่คนในปัจจุบันที่เอาหนังโหดแบบนี้ได้อยู่หมัด ผู้กำกับ โจ คาร์นาฮาน โตมาในย่านแฟร์ฟิล รัฐแคาลิฟอร์เนีย เขาเริ่มเก็บเกี่ยวชื่อเสียงในวงการตั้งแต่กลางยุค 90 เพราะเขารู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นว่าเขาต้องได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับเท่านั้น ถึงจะได้สร้างบทภาพยนตร์ในแบบที่เขาสนใจจริงๆ และจุดเริ่มต้นก็คือ ภาพยนตร์เรื่อง Blood, Guts, Bullets and Octane (1995) แต่ภาพยนตร์ที่ทำให้ทุกคนหันมาสนใจเขาก็คือเรื่อง Narc (2002) และเรื่องพีคๆอย่าง Smokin’ Aces (2006) และ The A-Team (2010) จนมาถึงภาพยนตร์เรื่อง The Grey (2011) ที่แสดงนำโดยนักแสดงชื่อดัง เลียม นีสัน ในภาพยนตร์แนวเอาชีวิตรอด ที่ถามคำถามว่าชีวิตคนเราต้องผ่านความกล้าหาญ และความโหดร้ายแค่ไหน ซึ่งโชว์ความกล้าของผู้กำกับ และสร้างลายเซ็นที่ชัดเจนในแบบของโจเอง ถึงขั้นทำให้หลายคนเอา โจ ไปเปรียบเทียบกับผู้กำกับในตำนานอย่าง John Huston, Akira Kurosawa, James Ellroy, John Sturges และ Michael Mann แต่ความเป็นโจก็ไม่เหมือนใครอยู่ดี
และตอนนี้ หลังจากเขาได้สร้างภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง The Blacklist และ State of Affairs รวมถึงได้ร่วมเขียนบทเรื่อง El Chicano และร่วมโปรดิวซ์ ภาพยนตร์ทางเน็ตฟลิกซ์เรื่อง Wheelman ร่วมกับแฟรงค์ กิลโล ผ่านทางบริษัท Warparty Pictures ซึ่งทั้งคู่ร่วมกันก่อตั้ง โดยแฟรงค์รับบทคนขับรถที่เพิ่งผ่านค่ำคืนสุดโหดร้ายมา ตอนนี้ โจ คาร์นาฮาน ก็กลับมาทำงานหลังกล้องอีกครั้งในภาพยนตร์สุดระทึก เรื่อง BOSS LEVEL
“คนเราต้องหาอะไรท้าทายกับผลงานใหม่ และผมหวังว่าเรื่องนี้จะพาผมไปได้ไกลกว่าเดิม” โจเล่า “ผมว่าหนังเรื่องนี้เหมาะกับผม ผมชอบหัวเราะ ผมชอบหนังแอคชั่น และผมชอบหนังดราม่า”
“คนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องลองทำอะไรใหม่ๆ คือภรรยาผมเอง” โจเล่าต่อ “เธอบอกว่าเธอชอบหนังดราม่าที่ผมสร้างมากกว่าหนังแอคชันที่ผมชอบทำ” ผมจึงตั้งใจจะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อมีทั้งสองสิ่งให้เธอ ถ้าว่ากันแล้วการคุมโทนหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก เพราะมันเหมือนคุณกำลังไต่เชือกหาบาลานซ์อยู่ตลอดเวลา หลักๆเลยคือ คุณต้องรู้ว่าส่วนไหนกำลังมากไป ส่วนไหนกำลังน้อยไป แต่มันก็เป็นความท้าทาย ถ้าผลที่ออกมาเป็นอะไรที่น่าทึ่ง มันก็คุ้มที่จะทุ่มเทนะ”
เมล กิบสัน บอกว่าเขารักโจมาก ตั้งแต่ได้รู้จักมาหลายปี และถ้าเขาอยากทำอะไร เขาก็อยากจะมีส่วนร่วมด้วย
นาโอมิ วัตต์ เสริม ‘โจเป็นคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ซึ่งมันเหมาะกับการสร้างหนังอะไรแบบนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่เขาเป็นคนละเอียดมาก แต่เขาเป็นคนน่ารักด้วย ฉันชอบทำงานกับเขา’
วิล แซสโซ่เล่าต่อ ‘การได้ทำงานกับโจเป็นเรื่องดีมาก เพราะเราทุกคนรู้ว่าเขาเชี่ยวชาญในสิ่งที่เขาทำ นอกจากที่เขาเป็นผู้กำกับ – นักเขียนบทที่รู้วิธีการทำงานตั้งแต่หลังกล้องถึงหน้ากล้อง เขาเข้าใจบทในทุกจุด และมันเป็นความโชคดีของนักแสดงที่ได้เจอผู้กำกับที่รู้หนังตัวเองทุกจุด และตอบได้ทุกคำถาม’
แฟรงค์ กิลโล บอกเราว่า การที่เขาและโจร่วมมือกันตั้งบริษัท Warparty Pictures เพราะว่าเราเห็นการสร้างภาพยนตร์ไปในทิศทางเดียวกัน ‘มันไม่ใช่เรื่องการหาหนังทำเงิน และไม่ใช่การต้องมีดาราดังตลอดเวลา’ ‘แต่มันเป็นเรื่องของการเล่าเรื่องที่น่าสนุก และการสร้างบรรยากาศการถ่ายทำที่ทุกคนสนุกไปด้วย เราทั้งสองเห็นตรงกันและเริ่มทำธุรกิจนี้ด้วยกัน และตอนนี้ผมไม่แค่ได้ทำงานกับผู้กำกับคนโปรดของผม แต่ผมได้ร่วมงานกับหุ้นส่วนผมในคนเดียวกันด้วย’
งานสร้าง ภาพยนตร์เรื่อง Boss Level ที่แฟรงค์และโจได้ร่วมกันสร้าง มันออกมาเป็นภาพยนตร์แอคชันดราม่าที่เร้าอารมณ์คนดู และหักมุมจากงานเรื่องก่อนๆ ของทั้งคู่ โดยกลายมาเป็นส่วนผสมสุดอลัง ที่มีความตลก แม้คอนเซ็ปต์หลักจะมาจากความเป็นวิดีโอเกมส์หรือการ์ตูน แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังปักหลักมั่นคงในส่วนของอารมณ์ เพราะเมื่อตัวเอกเห็นความประหลาดในชีวิต เขาก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจกับตัวเองใหม่ว่า ชีวิตผู้ชายแบบเขายังขาดอะไรไป และนั่นแหละคือจุดที่หนังแอคชั่นต้องโดนพลิกมุม
เมล กิบสัน เล่าต่อ “BOSS LEVEL พาหนังแอคชันไปอีกขั้น ด้วยตัวเอกที่ต้องตื่นขึ้นมาทุกเช้าพร้อมกับมือสังหารที่พยายามเอามีดจ่อหน้า แต่หนังกลับมีความท้าทายทางความคิด ด้วยคำถามว่า ถ้าคุณทำสิ่งเดิมซ้ำ และแก้ไขข้อผิดพลาดที่คุณเคยทำ คุณจะกลับไปแก้ไขอะไรในชีวิตของคุณ? และมันยังเกี่ยวกับการวางแผนล่วงหน้าด้วย หากคุณมีโอกาสกลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำในอดีตได้ คุณจะทำอย่างไร เราหวังว่าจะทำให้ผู้คนได้ลองคิดดูสนุกๆ”
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเป็นหนังสุดโหด BOSS LEVEL เป็นหนังที่เต็มไปด้วยหัวใจ เพราะถ้าให้ผมสรุป หนังเรื่องนี้คือหนังที่คุณต้องถือปืนและขนมไว้ และวางทิชชู่ไว้ข้างหลัง
“ผมว่าผมโชคดีมากที่ได้สร้างภาพยนตร์ประเภทที่สามารถเป็นทั้งแอคชั่นดราม่า หรือเรื่องราวแบบผู้ชายที่ชวนใช้สมองคิดได้ด้วย” คาร์นาฮานกล่าว “ภาพยนตร์แนวนี้ทำให้ผมอ่อนไหวเสมอ – และเป็นอะไรที่ผมอยากดู ถ้าให้เลือก ผมจะเลือกดูภาพยนตร์เลือดสาดอย่าง Predator เป็นร้อยรอบมากกว่าหนังรัก นะ”
ความหลงใหลในบทภาพยนตร์ที่ฉลาดมีให้เห็นในหลายส่วน ทั้งเมื่อมือสังหารคนหนึ่งเรียก รอย ว่า Mr. Good Morning หรือฉากฟันดาบ ฉากตัดหัวจากมือสังหารกวนยิน (เซลิน่า หลัว) หรือมือสังหารที่รักระเบิดที่เรียกว่า คาบูม หรือมือสังหารสาวพลังไฟที่รอยตั้งชื่อให้ว่า Pam and Esmerelda หรือตัวละครที่หน้าตาเหมือนรอย ในนาม Roy #2 ซึ่งทุกคนต่างทำตามคำสั่งของ เบร็ตต์ ไดนาว หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเวนเทอร์ (รับบทโดย วิล แซสโซ่) เบร็ตต์ เป็นตัวละครสุดฉลาดที่หมกมุ่นกับวิธีการกำจัดศัตรู
“เบร็ตต์เป็นอดีตทหารที่ปัจจุบันทำงานให้กับ เวนเทอร์ เขาเป็นทหารรับจ้างฆ่า และมนุษย์ที่ชั่วร้ายสุดๆคนหนึ่ง” วิลเล่าด้วยรอยยิ้ม “การเล่นเป็นเบร็ตต์ ผมต้องเข้าสู่ด้านมืดของคน เพื่อให้แน่ใจว่าเขารู้สึกชั่วร้ายมากพอ ผมรู้สึกต้องสร้างภาพให้เขาน่ากลัวและน่ารังเกียจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต้องดูโกรธสุดๆ ในฉากที่เขากำลังฆ่าคน หรือเมื่อเขาวางแผนที่จะฆ่าคนหรือแม้กระทั่งตอนที่เขาคิดจะฆ่าคน”
วิล แซสโซ่ ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักจากบทบาทแนวตลกใน MadTV และ Shameless และในภาพยนตร์เรื่อง Moving Day, Army of One และ The Three Stooges (ซึ่งเขารับเป็น Curly Howard) “ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเครียดสำหรับผม เพราะปกติผมไม่ค่อยได้รับงานแบบนี้ หรือภาพยนตร์บัดเจ็ทใหญ่แบบนี้ และการได้ร่วมแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นของโจ คาร์นาฮาน ถือเป็นโชคแบบที่ผมไม่เคยคาดคิด และมันเป็นงานใหม่สำหรับผมเลย โดยเฉพาะความไซไฟ และมันยังมีความจริงจังแบบ ดราม่าของมันอีก”
นอกจากตัวร้ายแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้นักแสดงระดับตำนานภาพยนตร์แอคชั่น มิเชล โหย่ว มารับบทนักดาบชื่อ ไต้เฟิง (Dai Feng) ผู้ฝึกสอน รอย ให้ต่อสู้ด้วยดาบ และ มาธิลด้า โอลิเวอร์ (MATHILDE OLIVER) ในบท Gabrielle เพื่อนบาร์เทนเดอร์ ที่ชาญฉลาดของรอย; และ เคน จอง (KEN JEONG) (จากภาพยนตร์เรื่อง Hangover, TV’s Community) รับบทเป็น เชฟ เจค Chef Jake เจ้าของร้านอาหารที่เสิร์ฟเครื่องดื่มให้รอยทุกวัน และยังได้ อลิซ (รับบทโดย แอนนาเบล วอลลิซ ANNABELLE WALLIS) ซึ่งจุดประสงค์ของเธอในการไปรับรอยที่บาร์จะกระจ่างขึ้นเมื่อ “ความพยายามของรอย” มีความคืบหน้า เมื่อรวมกันแล้วตัวละครที่มีสีสันเหล่านี้จะทำให้เกิดฉากน่าจดจำในภาพยนตร์เรื่อง BOSS LEVEL
“สิ่งแรกที่คุณต้องทำในการสร้างภาพยนตร์ หรือการเล่าเรื่อง คือคุณต้องทำให้มันบันเทิง” เมล กิบสันกล่าว “นั่นเป็นหลักการเบื้องต้นที่สุด นั่นควรเป็นเหตุผลที่จะทำผลงานอะไรซักอย่าง หากคุณมีเหตุผลอื่นเสริมด้วยก็ดี และผมว่ามันมีอะไรหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้”
แฟรงค์ กริลโล เล่าว่า “ผมชอบที่จะให้ผู้ชมมีความรู้สึกแบบที่ผมเคยรู้สึก เมื่อได้ดูภาพยนตร์อย่าง Die Hard หรือ Lethal Weapon ซึ่งผมยังจำความรู้สึกตอนที่ได้ดูครั้งแรกได้อยู่เลย – ความคิดแบบว่า ‘ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยดูหนังแบบนี้มาก่อน!’ และผมคิดว่า BOSS LEVEL จะเป็นการพาทุกคนย้อนกลับไปสู่หนังแอคชั่นระทึกขวัญที่ยิ่งใหญ่แบบในยุค 80 เลย”
แน่นอนว่าทุกฉากการสังหารล้วนเป็นเหมือนในหนัง ในขณะที่รอยต้องเรียนรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงอะไร อย่างไร และเมื่อไหร่ อย่างแม่นยำ รอยก็จะสามารถหลบหลีกการโดนสังหารแบบรายวันได้ แต่ทุกวันรอยต้องเจอกับความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งโจ และแฟรงค์ ต่างก็มีฉากโปรดที่ให้คะแนนจากความยากในการถ่ายทำของทั้งคู่
โจบอกว่า ฉากที่แฟรงค์ต้องโดนยิงหัวกลางถนนเป็นฉากที่ท้าทายในการถ่ายทำมาก เพราะคุณต้องวางแผนเรื่องเวลาการถ่ายอย่างละเอียด และฉากที่เขาต้องกระโดดจากตึกแล้วโดนรถขนทรายชน ก็เป็นอีกฉากที่ผมทึ่งว่าเราถ่ายทำได้เสร็จในเทคเดียว เพราะมันยากมาก เราต้องเตรียมการถ่ายทำอย่างละเอียดยิบเลย
แฟรงค์เล่าว่าเขาชอบฉากที่ ‘Mr. Good Morning’ พยายามฆ่ารอยทุกวัน และฉากที่ยากสุดคือ ฉากกระโดดตึกที่มีความสูง 50 ฟุต เพราะแฟรงค์ไม่ชอบความสูงเลย เขาชอบพวกฉากฟันดาบ และฉากต่อสู้มาก มันเป็นอะไรที่เขาสนุกไปด้วย
วิล แซสโซ่ บอกว่าความสมจริง และลำดับการเล่าเรื่องจะทำให้คนดูสนุกมากขึ้น เขาชอบหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ได้อ่านบท คือคนหลายคนอาจจะบอกว่าเรื่องนี้ก็เหมือน Groundhog Day ที่ใส่ความรุนแรง ซึ่งผมก็เรียกมันแบบนั้นเหมือนกัน ผมว่าตอนเอาไปขายในเอเชียผมจะตั้งชื่อหนังแบบนั้นไปเลยนะ
เวลาไม่เคยรอใคร จนกระทั่งเวลาได้เจอกับ แฟรงค์ กริลโล
แฟรงค์ กริลโล เกิดในนิวยอร์กซิตี้ เขาเคยเป็นนักมวยปล้ำตอนเรียนในระดับมัธยม และที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก แฟรงค์ กริลโล ทิ้งอนาคตในวอลล์สตรีท และตัดสินใจมาเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นภาพยนตร์อเมริกัน ด้วยรอยยิ้มสุดเท่ห์ที่ทุกคนจำได้ ความขาลุยแบบไม่เกี่ยง และความแข็งแกร่งที่ไร้ข้อกังขา และเชื่อถือได้ เขาเป็นคนที่ถ้าคุณรถติดหล่มตอนตี 3 เขาจะเป็นคนที่คุณจะโทรหาให้มาช่วยคุณขุดรถ แฟรงค์ กริลโล่ สร้างชื่อในช่วงสิบปี เขามีผลงานทางโทรทัศน์หลายเรื่อง ทั้ง “ Prison Break” “Blind Justice” และ “Kingdom” และภาพยนตร์เรื่อง Minority Report, Pride and Glory, Warrior, End of Watch และภาพยนตร์รางวัลออสการ์อย่าง Zero Dark Thirty
แฟรงค์ กริลโล ได้ร่วมงานกับ โจ คาร์นาฮาน เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์แอคชั่น ซึ่งได้รับคำชมอย่างมากในปี 2011 เรื่อง The Grey ก่อนที่เขาจะได้เขาร่วม Marvel Cinematic Universe ในบท Brock Rumlow หรือที่รู้จักกันในชื่อ“Crossbones” ในภาพยนตร์เรื่อง Captain America: The Winter Soldier, Captain America: Civil War และ Avengers: Endgame ซึ่ง ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก แฟรงค์ ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Wheelman ซึ่งเป็นผลงานการผลิตครั้งแรกของ Warparty ซึ่งเป็น บริษัท ของเขาและ โจ คาร์นาฮาน ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับมารวมตัวในเรื่อง BOSS LEVEL ซึ่งเป็นโครงการที่พวกเขาร่วมทำงานกันมาหลายปี
“ผมเขียนบทนี้ให้แฟรงค์โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาเหมาะกับมันมากๆ – ผมปรับแต่งทุกฉากให้เข้ากับตัวแฟรงค์” คาร์นาฮานกล่าว “มันเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้ง ที่ผมสร้างตัวละครสำหรับนักแสดงโดยเฉพาะ เขาและผม ทำโครงการนี้มาเกือบแปดปีแล้ว กว่าจะได้เริ่มสร้างจนสำเร็จ และมันให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในฐานะเพื่อน และเริ่มก่อตั้ง บริษัท Warparty ด้วยกัน ดังนั้นผมจึงรู้จักแฟรงค์เป็นอย่างดีตั้งแต่ตอนผมเริ่มเขียน และตอนนี้ผมรู้จักเขาดีขึ้นกว่าเดิม”
“ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นแฟรงค์ ในตัวละครของรอย พัลเวอร์” คาร์นาฮานเล่าเพิ่ม “ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้การแสดงของเขาออกมาอย่างยอดเยี่ยม ตัวละครรอย ก็คือแฟรงค์ แฟรงค์เป็นคนอ่อนไหวแต่ก็แข็งแกร่ง และฉลาดเป็นกรด ดังนั้นเขาจึงสามารถรับบท รอย ที่อาจจะดูเบลอและเฉื่อยชา แต่ยังดูเป็นคนกล้าหาญ และแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งได้แบบไม่ต้องพยายามมากอีกด้วย นั่นเป็นส่วนผสมที่ทำได้ยากในการแสดง แต่ แฟรงค์ ก็ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ”
แฟรงค์ กริลโล กล่าวว่า “การค้นหาความลึกในตัวละครของรอย พัลเวอร์ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะบทภาพยนตร์เขียนมาแบบสมบูรณ์แล้ว : BOSS LEVEL มีสัดส่วนของความตลกแบบดาร์ค และความดราม่า รอยเป็นผู้ชายที่กำลังอยู่ในช่วงของชีวิตที่เขาได้สูญเสียหลายอย่างที่สำคัญในชีวิตเขาไป หลังจากออกจากอาชีพทหาร ตอนนี้เขาไม่มีที่ให้ยึดถือ และตอนนี้เขาก็ได้สูญเสียภรรยาไป และยังห่างเหินกับลูกชาย ผู้ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารอยเป็นพ่อของเขา แต่หลังจากที่เขาได้ผ่านสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา รอยก็ตระหนักได้ว่าเขาได้รับความเสียหายขนาดไหนเ และนั่นทำให้เขาต้องแก้ไขตัวเอง เขาต้องการแก้ไขความผิดพลาดในชีวิต และผ่านสถานการณ์ที่บ้าคลั่งครั่งนี้ มันยังดีที่เขาได้รับโอกาสสุดประหลาดนี้”
เมล กิบสัน เล่า “ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ร่วมงานกับแฟรงค์ คือเรื่อง Edge of Darkness ในปี 2010 ผมคิดว่าผมยิงเขาพรุนในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนั้น และในภาพยนตร์เรื่องนี้เราได้ยิงกันอีกหลายร้อยนัด แฟรงค์มีพลัง และบุคลิกที่ดี และเขาก็เป็นคนตลกมาก”
แฟรงค์เล่าต่อว่าเขา ทำไมการเล่นบทสุดบ้าระห่ำใน BOSS LEVEL ทำให้เขาอยากเล่น นั่นเพราะว่า ‘ผมเป็นพ่อลูกสาม และผมเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ดังนั้นการได้เปลี่ยนชีวิตจากความเครียดไปทำอะไรแบบสุดเหวี่ยง บทของคนที่ดื่มเหล้าเพราะอยากดื่ม มีอะไรกับผู้หญิงทุกคน และสู้ได้สุดมันส์ บทของรอยคือบทที่สนุกที่สุดในชีวิตผมเลย’
เมล กิบสัน และนาโอมิวัตส์ : ผู้ร่วมงานที่ขาดไม่ได้
บทพลโทเวนเทอร์ ผู้ชั่วร้ายเแต่มีเสน่ห์ในเรื่องนี้ เวนเทอร์ เป็นคนสร้างองค์กรด้วยการครอบครองเครื่องกระสวยโอไซริสที่สามารถสร้างผลกระทบต่อเวลาและโลก ซึ่งอาจทำให้โลกพังได้ โจและแฟรงค์ ต้องการนักแสดงเบอร์ใหญ่ที่ไม่เพียงแค่เคยรับบทในหนังแอคชั่นชั้นเยี่ยมเท่านั้น แต่ต้องเคยเล่นหนังดราม่า หนังประวัติศาสตร์มาแล้ว พวกเขาต้องการนักแสดงที่ต้องแสดงได้ลึกซึ้งกว่าแค่ความตลก แต่ยังต้องแฝงไปด้วยความบ้านิดๆ แบบเชคสเปียร์ ซึ่งไม่มีใครจะเคยผ่านอะไรระดับนั้นนอกจาก เมล กิบสัน
เหตุผลที่เมลรับเล่นบทนี้ง่ายมาก
‘โจกับแฟรงค์ชวนผมมาเล่นเรื่องนี้ แล้วบอกว่ามันจะเป็นงานที่สนุกนะ’ เมล กิบสันเล่า ‘ผมว่าแค่นั้นก็เป็นเหตุผลที่พอแล้วที่จะทำให้ผมใส่สูทดำ และรับบทสุดชั่วร้ายนี้’ เมลเล่าพร้อมแสยะยิ้ม ‘เวนเทอร์เป็นคนชอบเล่าเรื่อง และเขาหลงรักเสียงของตัวเองนะผมว่า ซึ่งจุดนี้มันแอบยากสำหรับผม เพราะผมไม่สามารถมองตัวเองอย่างจริงจังได้เท่าไหร่ ผมว่าพวกคนที่อยากครองโลกส่วนใหญ่มักจะหมกมุ่นกับตัวเอง และทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวละครเวนเทอร์น่าสนใจ น่าค้นหา เขาไม่ใช่คนที่คุณจะมองออกในชั้นเดียว’
โจเล่าเพิ่ม ‘สิ่งที่ทำให้เราอยากชวนเมลมาเล่น ก็เพราะเขาเป็นเขา เขาคือ เมล กิบสัน คุณเห็นหน้าเขาคุณก็เห็นประวัติศาสตร์ภาพยนตร์กว่า 40 ปีแล้ว นอกจากนั้นเขายังเป็นนักสร้างภาพยนตร์มือดี เขาคือที่สุดในวงการคนนึงเลย’
‘นอกเหนือจากความชั่วร้ายของตัวละครนี้ ผมว่าตัวละครเค้ายังทำให้คนดูสงสารได้ด้วยนะ’ เมล เสริม ‘ผมอยากให้คนดูได้เข้าใจตัวเขา และนั่นต้องเริ่มจากการที่ผมเข้าใจตัวละครก่อน และนำเสนอให้ผู้ชมเข้าใจไปกับผมเอง ทำไมเขาทำแบบนี้ ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนแบบนี้ ซึ่งผมเข้าถึงตัวละครนี้ด้วยความตลก และนั่นช่วยให้ผมเข้าใจว่าทำไมตัวละครนี้ถึงโหดร้ายแบบนี้’ ผลก็คือ เมลกล่าวติดตลก ‘โจกับแฟรงค์บอกว่าตัวละครนี้เป็นคนชั่ว แต่ผมว่าเขาเป็นคนดีนะ แต่แค่โจ กับ แฟรงค์ไม่รู้’
โจ เล่าเสริม ‘ผมว่าความเป็นนักแสดงของเมล มันเห็นได้ในความจริงจังกับตัวละคร เขาจะไม่เล่นบทร้ายที่แค่เป็นคนชั่วโดยกำเนิด เมลจะใส่ความเป็นคนเข้าไปในบทบาทด้วย มันทำให้คนดูได้เจอกับบทตัวร้ายที่น่ากลัวแต่ก็สมจริง เราจะได้หาเหตุผลที่เขาเป็นคนแบบนั้น และนั่นต้องการนักแสดงมากฝีมืออย่าง .. เมล กิบสัน’
‘มันมีคำพูดหนึ่งในหนัง ที่เวนเทอร์เล่าเรื่องของงูยักษ์ใต้ต้นบันยัน ซึ่งผมเขียนบทนั้นให้เมลโดยเฉพาะ และมันเขียนด้วยความเป็นเขา ตอนที่เห็นเขาอ่านบทนั้นมันน่าทึ่งมาก’ โจเล่าต่อ
แต่เวนเทอร์ไม่ใช่แค่ตัวร้ายขี้คุย บทนี้ต้องโหดถึงระดับตัวต่อตัว เมล กิบสัน ผู้กำกับภาพยนตร์คลาสสิคทั้ง Braveheart, The Passion of the Christ, Apocalypto, และ Hacksaw Ridge และนักแสดงนำจาก Lethal Weapon และเรื่อง Braveheart, The Road Warrior, The Year of Living Dangerously, Bird on a Wire, Conspiracy Theory, The Patriot, และ We Were Soldiers ต้องมารื้อฟื้นความทรงจำทางกล้ามเนื้อเหมือนกัน
‘คุณรู้ไหมว่าฉากแอคชั่นไม่เคยเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผมเลยนะ แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องยากมาก ข้อเข่ามันก็ติดสนิมบ้างแหละ เมื่อก่อนผมกระโดดข้ามง่ายๆเลย แต่ตอนนี้ผมว่าถ้าเราได้สตั๊นท์แมนเก่งๆก็ดีนะ’
ในส่วนของบทบาท อดีตภรรยาของรอย ดร.เจมมา เวลส์ เราได้นักแสดงที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง นาโอมิ วัตส์ ซึ่งเธอจะได้นำเอาความสามารถทั้งจากประสบการณ์ในภาพยนตร์ดราม่า อย่าง 21 Grams, Mulholland Drive, The Impossible, Eastern Promises, Fair Game หรือภาพยนตร์รางวัลออสการ์อย่าง Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) และผลงานภาพยนตร์ตลกเรื่องดังอย่าง St. Vincent และ While We’re Young มาไว้ในบทบาทเรื่อง BOSS LEVEL ซึ่งนักแสดงความสามารถหลากหลายอย่างนาโอมิ ได้เคยฝากผลงานในภาพยนตร์ทุนใหญ่ ในบทที่ทุกคนรักอย่าง The Ring, The International, Insurgent และ King Kong มาแล้ว
‘ฉันชอบความท้าทาย’ นาโอมิ วัตส์ เล่าด้วยความตื่นเต้น ‘ฉากแรกที่ฉันต้องถ่ายทำคือวันที่ 15 ของกองถ่าย และตอนฉันเดินเข้ามามันเหมือนฉันเข้ามาในแก๊งผู้ชาย ซึ่งเป็นเรื่องดีนะ หนังที่บ้าระห่ำแบบนี้ต้องการบรรยากาศแบบนี้แหละ’
‘BOSS LEVEL ไม่ใช่หนังแบบที่ฉันเคยเล่นเลย’ เธอเสริม ‘แต่บทมันดีมาก และการถ่ายทำก็ทำให้มันสนุกมากด้วย’
โจเล่าเพิ่มว่า ‘นาโอมิคือนักแสดงที่ดีที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบันเลย และเธอยังมีใบหน้าที่เหมาะกับภาพยนตร์มากด้วย เพราะมันสื่ออารมณ์ได้หลากหลายมาก และเธอยังเป็นคนที่ทุ่มเทสุดๆ ที่จะสร้างตัวละครนี้ขึ้นมา คุณจะเห็นทั้งความหวาดกลัว ความมั่นใจ ความรัก ความสูญเสีย และความเศร้า ในตัวละครตัวนี้ นาโอมิสร้างและนำเสนอมันออกมาได้อย่างน่าทึ่ง แบบที่เธอไม่ต้องพยายามมากเลย เธอมีความธรรมชาติในการแสดง และความเข้าใจที่เธอมีต่อบท ทำให้มันออกมาในแบบที่ผมคิดไว้เลย’
‘นาโอมิเข้าใจความเป็น เจมม่า อย่างดี’ โจเล่าต่อ ‘ผมขอให้เธอใช้สำเนียงพูดของเธอเอง ไม่ใช่สำเนียงอเมริกัน หนังเรื่องนี้มันมีความสากล และผู้ชายแบบรอยน่าจะได้ไปมาทั่วโลก และอาจจะได้เจอเจมม่าสักที่ในโลก นาโอมิเข้ามาทำให้หนังเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เธอทำได้ดีมาก และทำให้หนังเรื่องนี้ก้าวไปอีกขั้น’
แฟรงค์ ผู้เคยร่วมงานกับนาโอมิในเรื่อง Once Upon a Time in Staten Island เล่าว่า ‘การได้ร่วมงานกับนาโอมิในเรื่องนี้มันเกินคาดมาก เพราะเธอได้เพิ่มความลึกให้กับตัวละคร และเป็นนักแสดงที่มีความสามารถจริงๆ’
เกี่ยวกับนักแสดง
แฟรงค์ กริลโล (รับบท รอย พัลเวอร์ และเป็นโปรดิวเซอร์)
แฟรงค์ กริลโล เป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ซึ่งคนดูจะจำเขาได้ในความเป็นธรรมชาติ น่าเชื่อถือ และเขามักสร้างความลึกของตัวละคร ด้วยผลงานการแสดงหลายสิบปี เขามีบทบาทที่ทุกคนจดจำได้จากภาพยนตร์เรื่อง WARRIOR, DISCONNECT, END OF WATCH, THE GREY, INTERSECTION, EDGE OF DARKNESS และ ZERO DARK THIRTY
แฟรงค์ กริลโล ได้รับบทตัวร้ายที่แฟนๆ ชื่นชอบ อย่าง “Crossbones” ที่มีบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง Marvel’s CAPTAIN AMERICA: CIVIL WAR ซึ่งทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และเขาเป็นที่จดจำจากภาพยนตร์ชุด Purge ของ Universal ในบท จ่า ลีโอ บาร์นส์ ใน THE PURGE: ANARCHY และ The PURGE: ELECTION YEAR. ภาค ELECTION YEAR ทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 114.2 ล้านเหรียญและกลายเป็นภาคที่ทำรายได้มากที่สุด แฟรงค์ยังร่วมแสดงในนภาพยนตร์จีนเรื่องดัง WOLF WARRIOR II ซึ่งเขารับบทเป็นทหารรับจ้างชาวอเมริกันผู้โหดเหี้ยมประกบกับ Celina Jade, Hans Zhang และ Wu Gang ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศมากมายในประเทศจีน และตอนนี้ครองตำแหน่งภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับสองตลอดกาลในตลาดเดียวด้วยรายรับประมาณ 874 ล้านดอลลาร์
นอกจากผลงานภาพยนตร์ เขายังนำความเข้มแบบแฟรงค์มาสู่จอเล็ก โดยเขารับบทนำในซีรีส์ ทางช่อง DirecTV เรื่อง KINGDOM ทั้งสามซีซั่น ซึ่งเขาได้นำความเชี่ยวชาญในชีวิตจริง อย่างการชกมวย และศิลปะการต่อสู้มาสู่บทบาทการแสดงที่ได้รับคำชื่นชมมากมาย
ในเดือนสิงหาคม ปี 2016 แฟรงค์ ได้ก่อตั้ง บริษัทโปรดักชั่น ร่วมกับผู้อำนวยการสร้าง / นักเขียน / ผู้กำกับ โจ คาร์นาฮาน ในบริษัทชื่อ WARPARTY ซึ่งพัฒนาบทจากหลายแหล่ง ทั้งหนังสือ นิตยสาร และบทภาพยนตร์ และได้ผลิตภาพยนตร์ 3-5 เรื่องต่อปี รวมถึงภาพยนตร์ที่มีศักยภาพในการสร้างภาคต่อ ล่าสุด WARPARTY ร่วมมือกับ Starlight Entertainment Group เพื่อทำข้อตกลงร่วมในการพัฒนาบท การร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ WARPARTY ในการขยายกิจการการผลิตภาพยนตร์ และก้าวเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งในฮอลลีวูด และต่างประเทศ และจากการร่วมมือครั้งนี้ เราก็ได้ภาพยนตร์เรื่อง WHEELMAN ที่เข้าฉายทาง Netflix ในเดือนตุลาคม 2017 และได้รับการตอบรับที่ดี โดยมี แฟรงค์ กริลโล ร่วมแสดง และทำหน้าที่โปรดิวซ์เป็นครั้งแรกกับภาพยนตร์แอ็คชั่นระทึกขวัญ ตามมาด้วยเรื่อง EL CHICANO แฟรงค์ร่วมอำนวยการสร้างกับ ลอเรนโซ ดิ โบนาเวนทูรา และซีรีส์สารคดีเรื่อง FIGHT WORLD ทาง Netflix เช่นกันที่ได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง โดยสารคดีเรื่องนี้เป็นเล่าเรื่องวัฒนธรรมการต่อสู้ทั่วโลกที่ แฟรงค์อำนวยการสร้าง และร่วมแสดง ผลงานอื่นคือโปรเจกต์ความร่วมมือกับ XYZ ในการนำภาพยนตร์แอคชั่นสุดฮิตจากชาวอินโดนีเซียเรื่อง THE RAID มาสร้างใหม่โดย แฟรงค์ จะร่วมอำนวยการสร้างและแสดงนำเองด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา
WARPARTY ยังมีอีกหลายโครงการที่พร้อมเปิดตัว เริ่มที่เรื่อง POINT BLANK ภาพยนตร์แอคชั่นระทึกขวัญที่มี แฟรงค์ และ แอนโธนี แมกกี้ นำแสดง ซึ่งจะออกฉายทาง Netflix ในวันที่ 12 กรกฎาคม เรื่อง INTO THE ASHES ซึ่ง แฟรงค์ อำนวยการสร้างและแสดงร่วมกับ โรเบิร์ต เทย์เลอร์ และ เจมส์ แบดจ์ เดล กับบริษัท RLJE Films จะเข้าฉายอีกสัปดาห์ถัดมาในโรงภาพยนตร์วันที่ 19 กรกฎาคม และภาพยนตร์เรื่อง BOSS LEVEL หนังแอคชั่นไซไฟระทึกขวัญ นำแสดง โดย แฟรงค์ กริลโล, เมล กิบสัน และนาโอมิ วัตส์ จะเข้าฉายในเดือนมีนาคมนี้
แฟรงค์เพิ่งผ่านความสำเร็จกับภาพยนตร์เรื่อง DONNYBROOK หนังบู๊ – ระทึกขวัญที่ แฟรงค์ แสดงร่วมกับ เจมมี่ เบล และมากาเร็ต ควาลลีย์ ที่ได้เป็นภาพยนตร์เปิดเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโต และเข้าฉายในช่อง IFC ในเดือนกุมภาพันธ์และเขายังมีโปรเจกต์อีกมากมายที่ได้เข้าฉายในปี 2019 ทั้งเรื่อง Screen Gems ‘BLACK AND BLUE ที่เขาแสดงร่วมกับ นาอมิ แฮริส, เรด สก๊อต, โบ นับ และไทรีส กิบสัน ที่เข้าฉายเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม, ภาพยนตร์ HELL ON THE BORDER แนวแอ็คชั่น / ระทึกขวัญจาก ผู้กำกับ เวส มิลเลอร์ ที่เขาร่วมแสดงกับ รอน เพิร์ลแมน,และภาพยนตร์ภาคต่อ THE HITMAN’S WIFE’S BODYGUARD ที่เขาแสดงร่วมกับ ไรอัน เรย์โนลด์ (Ryan Reynolds), ซามูแอล แจ๊คสัน (Samuel L. Jackson), แซลมา ฮาเย็ก (Salma Hayek), แอนโทนิโอ แบนเดอรัส (Antonio Banderas) และมอร์แกน ฟรีแมน (Morgan Freeman) และเรื่อง THE NIGHT 3 ของเจสัน บลูม ที่แฟรงค์ได้แสดงร่วมกับ นาโอมิ วัตส์ และบ็อบบี้ แคนนาเวล สร้างโดยค่าย Universal
ผลงานต่อไปของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง NO MAN’S LAND ที่เขาจะแสดงร่วมกับ แอนดี แมคโนเวล (Andie McDowell) และ จอร์จ โลเปซ (George Lopez) จากผู้กำกับ คอเนอร์ แอลลิน (Conor Allyn), ภาพยนตร์เรื่อง JIU JITSU ภาพยนตร์อินดี้แอคชั่นแนวศิลปะการต่อสู้ ที่เขียนบทและกำกับโดย ดิมิทรี โลโกเทซิส (Dimitri Logothetis) ที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนที่มีชื่อเดียวกัน ร่วมกับ นิโคลาส เคจ (Nicolas Cage), ภาพยนตร์เรื่อง PANAMA ซึ่งเขารับบทเป็นอดีตทหารเรือที่ได้รับการว่าจ้างจากผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศให้เดินทางไปยังปานามาเพื่อทำข้อตกลงเรื่องอาวุธ และเรื่อง BIG NICKEL ซึ่งเขียนบทและกำกับโดย ทอม ชิลโค้ท (Tom Chilcoat) ประกบ ลุค เบรซีย์ (Luke Bracey) และ บริทนีย์ สโนว์ (Britney Snow) และ THE GATEWAY ซึ่งเป็นหนังแนวนีโอนัวร์ หนังระทึกขวัญจากผู้กำกับ มิเชล ซิเวทต้า (Michele Civetta) และเขียนบทโดย อเล็กซานเดอร์ เฟลิก (Alexander Felix) ร่วมกับ บรูซ เดิร์น (Bruce Dern) และโอลิเวีย มันน์ (Olivia Munn)
เมล กิบสัน MEL GIBSON (รับบท พันโท ไคลฟ์ เวนเทอร์)
เมล กิบสัน เกิดที่ทางเหนือของรัฐนิวยอร์ก แต่เขาย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียกับครอบครัวเมื่ออายุ 12 ปี หลังจากจจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย เมลเข้าเรียนต่อที่สถาบันศิลปะการละครแห่งชาติออสเตรเลีย ซึ่งเขาได้เรียนการแสดงละครแบบคลาสสิกของอังกฤษ และได้ร่วมแสดงละครเวทีหลายเรื่อง Death of a Salesman และ Waiting for Godot.
เมื่อปี 1979 กิบสันได้รับความสนใจจากผู้กำกับ จอร์จ มิลเลอร์ (George Miller) และได้รับเลือกให้แสดงนำใน ภาพยนตร์เรื่อง Mad Max ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำให้เขาโด่งดังระดับโลก และเขาได้รับบท Tim ในเรื่อง Tim ในบท ชายหนุ่มพิการซึ่งเขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Australian Film Institute (AFI)
ชื่อเสียงในระดับนานาชาติของ เมล กิบสัน ยิ่งมีมากขึ้นเมื่อเขาได้แสดงในภาคต่อทั้ง 2 เรื่อง ทั้ง Mad Max – The Road Warrior (1981) และ Mad Max Beyond Thunderdome และเรื่อง Peter Weir’s Gallipoli ซึ่งทำให้ Gibson ได้รับรางวัล AFI Best Actor Award ครั้งที่สอง ในปี 1982 ผู้กำกับ ปีเตอร์ เวียร์ และกิบสันได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในเรื่อง The Year of Living Dangerously
ในปี 1984 กิบสันเปิดตัวในภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง The River ร่วมแสดงกับ ซิสซี่ สเปเชก (Sissy Spacek) และตามมาด้วยเรื่อง The Bounty ที่เขาได้แสดงร่วมกับ แอนโทนี่ ฮอปกินส์ (Anthony Hopkins) และ ลอว์เรนซ์ โอลิเวียร์ (Laurence Olivier) และผลภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เช่น Mrs. Soffel, Tequila Sunrise, Bird on a Wire, Air America แต่ภาพยนตร์ที่สร้างปรากฎการณ์และส่งให้เมลกลายเป็นดาราแถวหน้าคือเรื่อง Lethal Weapon (1, 2, 3 และ 4) หลังจากความสำเร็จนี้ Gibson ได้ก่อตั้งบริษัท Icon Productions ซึ่งมีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่อง Hamlet ซึ่งกำกับโดย ฟรานโก้ เซฟฟิเรลลี (Franco Zeffirelli) บทบาทจากเรื่องนี้ทำให้กิบสันได้รับรางวัลวิลเลียมเชกสเปียร์ จากโรงละครโฟลเจอร์ในวอชิงตันดีซี กิบสันเปิดตัวผลงานการกำกับครั้งแรกของเขาในปี 1993 กับภาพยนตร์เรื่อง The Man without a Face ผลงานสร้างของ Icon เรื่องอื่นที่เขาร่วมแสดงได้แก่เรื่อง Immortal Beloved และ Airborne
ในปี 1995 กิบสันอำนวยการสร้าง กำกับ และแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Braveheart ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งและชนะรางวัลออสการ์ 5 รางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม จากการเสนอชื่อเข้าชิง 10 รางวัล ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม และรางวัลผลงานพิเศษด้านการกำกับภาพยนตร์จาก National Board of Review รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก NATO / ShoWest ปี 1996 และรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จาก Broadcast Film Critics Association
ในปี 1996 กิบสันแสดงนำในเรื่อง Ransom ซึ่งกำกับโดย รอน โฮเวิร์ด (Ron Howard) สำหรับค่าย Touchstone Pictures ของ Disney ซึ่งบทนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ (ดราม่า) รวมถึงได้รับรางวัล People’s Choice Award สาขานักแสดงภาพยนตร์ยอดนิยม ในเดือนสิงหาคมปี 1997 กิบสันแสดงในภาพยนตร์แนวโรแมนติก – ทริลเลอร์ Conspiracy Theory ร่วมกับ จูเลีย โรเบิร์ตส์ และกำกับโดย ริชาร์ด ดอนเนอร์ จากวอร์เนอร์ บราเธอร์ส และกิบสันแสดงใน Lethal Weapon 4 ซึ่งเปิดตัวในปี 1998 ทำรายได้เกือบ 300 ล้านเหรียญทั่วโลกและจากนั้นในปี 1999 เมลได้อำนวยการสร้าง และร่วมแสดงในภาพยนยนตร์เรื่อง Payback
ในปี 2000 กิบสันได้เป็นนักแสดงคนแรกในประวัติศาสตร์ มีผลงานแสดงในภาพยนตร์ที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ถึงสามเรื่องในปีเดียวกัน จากการแสดงในภาพยนตร์ผจญภัยที่เต็มไปด้วยอารมณ์เรื่อง The Patriot ซึ่งเขียนบทโดย โรเบิร์ต โรดัต Robert Rodat (Saving Private Ryan) และกำกับโดย โรแลนด์ เอ็มเมอริช Roland Emmerich; ในฤดูใบไม้ร่วง เมล พากย์เสียงให้ภาพยนตร์ตลกแนวผจญภัยจากค่ายดรีมเวิร์ค เรื่อง Chicken Run; และสุดท้ายเขาได้แสดงในภาพยนตร์ค่าย Paramount Pictures / Icon Productions เรื่อง What Women Want ภาพยนตร์แนวโรแมนติก คอมเมดี้ กำกับโดย แนนซี่ เมเยอร์ส Nancy Meyers และร่วมแสดงโดย เฮเลน ฮันต์ (Helen Hunt) ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงลูกโลกทองคำสาขา “นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมสาขาภาพยนตร์ตลก”
ในปี 2002 กิบสันแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง We Were Soldiers ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือ We Were Soldiers Once … And Young ซึ่งเล่าเรื่องราวของการสู้รบครั้งแรกระหว่างกองทัพสหรัฐฯ และกองทัพเวียดกง ซึ่งนายทหาร 400 นายต้องหนีขึ้นเฮลิคอปเตอร์ และถูกล้อมด้วยกองทัพศัตรู 2,000 นาย ต่อมาในปีนั้นเขาได้แสดงในภาพยนตร์ระทึกขวัญของ M. Night Shyamalan เรื่อง Signs จากค่าย Disney ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้าง สถิติรายได้เปิดตัวบนบ็อกซ์ออฟฟิศถึง 60 ล้านดอลลาร์ และทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นประวัติการณ์มากกว่า 400 ล้านดอลลาร์
ในปี 2004 เมลได้ อำนวยการสร้างร่วมเขียนบทและกำกับ The Passion of The Christ นำแสดงโดย Jim Caviezel, Maia Morgenstern และ Monica Bellucci ภาพยนตร์จาก The Ash Wednesday เข้าฉายในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และสร้างสถิติรายได้ห้าวันแรกสูงสุด สำหรับภาพยนตร์ที่เข้าฉายในวันพุธ The Passion of The Christ มีรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกรวม 610 ล้านเหรียญ และกลายเป็นภาพยนตร์เรท R ที่ทำรายได้สูงสุด และเป็นภาพยนตร์อิสระที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสามรางวัลออสการ์
ในปี 2006 เมล กิบสันได้นำเสนอภาพยนตร์มหากาพย์เรื่องใหม่กับเรื่อง Apocalypto ซึ่งเขาอำนวยการสร้าง ร่วมเขียนบท และกำกับภาพยนตร์ระทึกขวัญ ที่เล่าเรื่องชายคนหนึ่งที่ต้องเดินทางผ่านป่าดึกดำบรรพ์เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเขา Apocalypto เปิดอันดับหนึ่งในช่วงสุดสัปดาห์ที่เปิดตัวด้วยรายได้ 15.2 ล้านดอลลาร์และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ถึงสามรางวัล
เมล กิบสัน กลับมากับบทบาทการแสดงอีกครั้งในปี 2009 ด้วยเรื่อง Edge of Darkness ของค่าย GK Films และ เรื่อง The Beaver กำกับโดย Jodie Foster ในปี 2012 กิบสันได้อำนวยการสร้างร่วมเขียนบทและร่วมแสดงใน Get the Gringo และร่วมแสดงในภาพยนตร์จากค่าย Open Roads Film เรื่อง Machete Kills และ The Expendables 3 ต่อมาในเดือนสิงหาคมปี 2016 เขาร่วมแสดงในเรื่อง Blood Father ซึ่งกำกับโดย Jean-François Richet ซึ่ง นำแสดงโดย William H. Macy
ผลงานกำกับครั้งล่าสุดของ เมล กิบสัน คือเรื่อง Hacksaw Ridge ซึ่งเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนปี 2016 และนำแสดงโดย แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ Andrew Garfield ในบท เดสมอนด์ ดอส ทหารที่ได้รับเหรียญ Medal of Honor จากผลงานของเขาในสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์สองรางวัลในสาขาการตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และมิกซ์เสียงยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์รวม 6 รางวัล รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ เมลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม
เมล กิบสัน มีผลงานแสดงเรื่องล่าสุดในเรื่อง Dragged Across Concrete คู่กับ วินซ์ วอนช์ Vince Vaughn ในปี 2018 และผลงานเรื่องต่อไปคือภาพยนตร์เรื่อง Boss Level ซึ่งมีกำหนดฉายในเดือนสิงหาคมปี 2019 ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของเมล มีเรื่อง Waldo, Force of Nature และ Rothschild และ เมลจะทำหน้าที่กำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์คลาสสิกปี 1969 เรื่อง The Wild Bunch
นาโอมิ วัตส์ NAOMI WATTS (รับบท เจมมา เวลส์ Jemma Wells)
นักแสดงที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงสองครั้ง และได้รับรางวัลด้านการแสดงตลอดการทำงานในวงการ นาโอมิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่อง 21 Grams ผลงานกำกับจาก อเลฮานโดร กอนซาเลซ อิญาริตุ Alejandro Gonzalez Iñarritu ซึ่งเธอแสดงร่วมกับ เบนนิซิโอ เดล โทโร่ Benicio Del Toro และ ฌอน เพน Sean Penn ซึ่งบทบาทนี้ยังทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลด้านการแสดงจากเวที SAG Awards®, BAFTAs, Broadcast Film Critics และ Golden Satellite รวมถึงรางวัลแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากหลายเวทีนักวิจารณ์ เธอได้รับรางวัลขวัญใจผู้ชมจาก เทศกาลภาพยนตร์เวนิซ และตัวภาพยนตร์เองได้รับรางวัลภาพยนตร์จากเวที Independent Spirit Awards หลังจากความสำเร็จครั้งนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้งจากเรื่อง The Impossible ซึ่งเธอแสดงร่วมกับ ยวน แมกเกรเกอร์ Ewan McGregor ซึ่งบทบาทนี้ยังทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลด้านการแสดงจากเวที ลูกโลกทองคำ, SAG Awards® Critics Choice Award และได้รางวัล Desert Palm จาก Palm Springs International Film Festival นอกจากนี้เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลด้านการแสดงจากเวที SAG Awards® จากเรื่อง St. Vincent จากการแสดงคู่กับบิล เมอเร่ Bill Murray และเธอยังได้แสดงในภาพยนตร์ที่ชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์เรื่อง Birdman ด้วย
ผลงานเรื่องต่อไปของเธอคือเรื่อง Showtime’s The Loudest Voice ที่เธอจะแสดงร่วมจอกับ รัสเซลล์ โครว์ Russell Crowe, เรื่อง Ophelia คู่กับ เดซี่ ริดลี่ย์ Daisy Ridley และเรื่อง Luce ร่วมกับ ทิม รอธ Tim Roth และ ออคทาเวีย สเปนเซอร์ Octavia Spencer และนาโอมิเพิ่งถ่ายทำเรื่อง The Wolf Hour เสร็จไปและได้เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2019 รวมทั้งเรื่อง Once Upon a Time In Staten Island และเรื่อง Boss Level ที่เธอได้แสดงร่วมกับ เมล กิบสัน และ แฟรงค์ กริลโล ผลงานอื่นๆของเธอ มีทั้ง ซีรี่ย์ Twin Peaks จากผู้กำกับ David Lynch, ภาพยนตร์เรื่อง The Book of Henry จากผู้กำกับ Colin Trevorrow, Gypsy ทาง Netflix และ The Glass Castle ที่เธอจะแสดงร่วมจอกับ บรี ลาร์สัน Brie Larson และ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน Woody Harrelson
นาโอมิ วัตส์ มีผลงานภาพยนตร์ที่น่าทึ่ง เริ่มตั้งแต่บทแจ้งเกิดจากเรื่อง Mulholland Drive ของ David Lynch ซึ่งเธอได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากนักวิจารณ์หลายแห่งรวมถึง National Board of Review และ National Society of Film Critics นอกจากนั้น เธอได้ร่วมแสดงใน KingKong ฉบับรีเมคของ ปีเตอร์ แจ็คสัน รวมทั้งเรื่อง J. Edgar ของผู้กำกับ Clint Eastwood, Fair Game ของผู้กำกับ Doug Liman, Woody Allen’s You Will Meet a Tall Dark Stranger, Mother and Child ของผู้กำกับ Rodrigo Garcia ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Independent Spirit Award, เรื่อง Tom Twyker’s The International; We Don’t Live Here Anymore, The Assassination of Richard Nixon, David O. Russell’s I (Heart) Huckabee’s; Gore Verbinski’s The Ring และ ภาคต่อ The Ring 2, Merchant-Ivory’s Le Divorce, John Curran’s The Painted Veil, Eastern Promises ของผู้กำกับ David Cronenberg; และเรื่อง Funny Games ของผู้กำกับ Michael Haneke
ผลงานเรื่องล่าสุดอื่นๆ ได้แก่เรื่อง 3 Generations, Chuck ซึ่งเข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ และ Tribeca, Shut In, Demolition ซึ่งเปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต, ภาพยนตร์ เรื่อง Sea Of Trees ของ Gus Van Sant ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และเรื่อง Noah Baumbach’s While I’ve Young และเธอยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ชุดเรื่อง Divergent
นอกจากรางวัลต่างๆ ที่ได้รับแล้ว นาโอมิยังได้รางวัล Montecito Award จากเทศกาลภาพยนตร์ซานต้าบาบาร่า จากบทบาทในเรื่อง King Kong และได้รับการยกย่องจากบทบาทในเรื่อง 21 Grams จากเทศกาลภาพยนตร์ปาล์มสปริง และได้รับการเสนอชื่อใน Female Star of Tomorrow จาก ShoWest และรางวัลดาราหน้าใหม่จาก Hollywood Film Festival จากการแสดงในเรื่อง Mulholland Drive และเธอยังได้รับรางวัลเกียรติยศจากเทศกาลภาพยนตร์เดอวิล อีกด้วย
มิเชล โหย่ว (MICHELLE YEOH) รับบท ไต เฟิง (Dai Feng)
มิเชล โหย่ว คือ หนึ่งในนักแสดงจากตะวันออกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง ผู้ชมเพิ่งได้ชมเธอในภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Crazy RIch Asians และ ในซีรี่ส์ STAR TREK: DISCOVERY
อดีต สาวบอนด์ โด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง CROUCHING TIGER, HIDDEN DRAGON 1 & 2 ผลงานของผู้กำกับ อั้งลี่ หรือ MEMOIRS OF A GEISHA จากผู้กำกับ ร็อบ มาเชลล์ หรือ TOMORROW NEVER DIES จากผู้กำกับ Roger Spottiswoode และ เรื่อง SUNSHINE จากผู้กำกับ Danny Boyle มิเชลยังรับบทในภาพยนตร์เรื่อง THE LADY ที่เธอได้รับคำชมมากมาย และเธอได้ให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์อนิเมชั่นจาก ดรีมเวิร์ก เรื่อง KUNG FU PANDA 2
ผลงานเรื่องต่อไปของมิเชลคือเรื่อง LAST CHRISTMAS ผลงานของผู้กำกับ Paul Feig ร่วมกับนักแสดงชื่อดังอย่าง เอมิเลีย คาร์ก และ เฮนรี โกลดิ้ง, เรื่อง BOSS LEVEL จากผู้กำกับ โจ คาร์นาฮาน และ ภาคต่อ ภาพยนตร์เรื่อง AVATAR จาก เจมส์ คาเมรอน
เคน จอง (KEN JEONG) รับบท เชฟ เจค (Chef Jake)
เคน จอง โด่งดังจากบท มิสเตอร์โชว ในภาพยนตร์ตลกเรื่องคลาสสิกอย่าง The Hangover ซึ่งเขาได้รับบทในภาคต่อทั้งสองภาคด้วย และเมื่อปีก่อนเขาได้รับบทในภาพยนตร์ตลกเรื่องดังอีกเรื่องอย่าง Crazy Rich Asians ซึ่งส่งให้เขาชนะรางวัล ทีมนักแสดงยอดเยี่ยม จาก National Board of Review ผลงานเรื่องถัดไปของเคนคือเรื่อง MY SPY ร่วมกับ เดฟ บัลติสต้า และ เรื่อง EL TONTO ซึ่งนำแสดง และกำกับโดย ชาลี เดย์ เมื่อปี 2019 เคนได้กลับไปทำงานที่เขาถนัดอย่างเดี่ยวไมโครโฟนทางเน็ตฟลิกซ์ “Ken Jeong: You Complete Me, Ho.”
ส่วนผลงานทางโทรทัศน์ เคนกำลังจะมีผลงานทางช่อง Fox ในรายการ “The Masked Singer.” และซีรี่ส์เรื่อง “Dr. Ken,” ซึ่งเคนเป็นหนึ่งในผู้สร้างเองด้วย นอกจากงานแสดง เคนยังเป็นอาสาสมัครในโครงการ Stand Up 2 Cancer ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่เขาตั้งใจช่วยเหลือ
ปัจจุบัน เคน อาศัยในลอสแองเจลลีส กับภรรยาและลูกสาวแฝด
แอนนาเบลล์ วอลลิส ANNABELLE WALLIS (รับบท อลิซ (Alice))
แอนนาเบลล์ วอลลิส กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงชาวอังกฤษที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในวงการ ด้วยผลงานทั้งภาพยนตร์และโทรทัศน์ซึ่งเธอได้แสดงความสามารถในหลากหลายบทบาท
ผลงานเรื่องล่าสุดของ แอนนาเบลล์ คือซีรี่ส์เรื่อง THE LOUDEST VOICE ทางช่อง Showtime ซึ่งเล่าเรื่องการเติบโตและการล้มเหลวของอดีตประธานและซีอีโอของช่อง Fox News, Roger Ailes และซึ่งจะออกอากาศในวันที่ 30 มิถุนายน โดย แอนนาเบลล์ รับบทเป็น ลอว์รี่ ลูน (Laurie Luhn) อดีตพนักงานช่อง Fox ซึ่ง โรเจอร์ ปลุกปั้นจนได้เป็นหัวหน้าฝ่าย Fox News แต่ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นของ โรเจอร์ ลอว์รี่ เริ่มความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับเขามาเป็นเวลานาน โดยเธอจะเปลี่ยนจากผู้ล่วงละเมิด ไปเป็นผู้จัดหาผู้หญิงคนอื่นที่นำมาสู้เรื่องราวสุดฉาว
แอนนาเบลล์ เพิ่งถ่ายทำภาพยนตร์อิสระเรื่อง THE SILENCING ของผู้กำกับ Robin Pront เสร็จ หนังเล่าเรื่องราวของนักล่าสัตว์กลับตัว (Nikolaj Coster-Waldau) ที่อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งได้เข้ามาอยู่ในเกมส์ล่าที่อันตราย เมื่อเขา และนายอำเภอท้องถิ่น (วอลลิส) ออกเดินทางเพื่อติดตามฆาตกรร้ายที่อาจลักพาตัวลูกสาวของเขาไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อต้นปีนี้เธอได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง WARNING กำกับโดย Agata Alexander ภาพยนตร์เรื่องเล่าเรื่องอุบัติเหตุในอนาคต และชวนสำรวจความหมายของชีวิต เมื่อชีวิตที่หลากหลายต้องมาอยู่ด้วยกัน
เมื่อเดือนมีนาคมปี 2018 แอนนาเบลล์ ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง BOSS LEVEL ร่วมกับ Mel Gibson และ Frank Grillo ซึ่งเขียนบท และกำกับโดย โจ คาร์นาฮาน ซึ่งเล่าเรื่องราวของนายทหารกองกำลังพิเศษ รอย พัลเวอร์ (กริลโล) ที่เกษียณอายุ แต่มาติดอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุดในวันที่เขาเสียชีวิต แอนนาเบลล์ รับบทเป็นอลิซ ทันตแพทย์ที่เกลียดฟัน แต่หลงรักคนไข้ของเธอ รอย และเพราะตัวละครรอยต้องใช้ชีวิตวันเดิมซ้ำๆ ทำให้อลิซกลายเป็นตัวละครหลักในเรื่องไปด้วย
เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2018 แอนนาเบลล์ ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกของวอร์เนอร์บราเธอร์ส เรื่อง TAG ประกบกับ เจเรมี เรนเนอร์ Jeremy Renner จอน แฮมม์ Jon Hamm อิสลา ฟิชเชอร์ Isla Fisher และเอ็ด เฮล์มส์ Ed Helms ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทที่เล่นเกมนี้เป็นประเพณีทุกปี แอนนาเบลล์ รับบทเป็น “รีเบคก้า” นักข่าวที่เข้ามาทำข่าวประเพณีนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย 15 มิถุนายน 2018 และในฤดูร้อนปีเดียวกันนั้นเธอยังได้รับบทสมทบ ร่วมกับ ชาร์ลี ฮุนนัม Charlie Hunnam ในเรื่อง KING ARTHUR: LEGEND OF THE SWORD เธอรับบทเป็น ‘Maid Maggie’ ร่วมกับนักแสดงชื่อดัง จูด ลอว์ Jude Law และ ไอเดน กิลเลี่ยน Aiden Gillan
และ เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2017 แอนนาเบลล์ ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง THE MUMMY คู่กับ ทอม ครูซ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคแรกของซีรีส์ ‘Monster’ ของค่าย Universal ซึ่งกำกับโดย Alex Kurtzman แอนนาเบลล์ รับบท “เจนนี่” นักโบราณคดีที่เชี่ยวชาญผู้ด้านอียิปต์วิทยา
เดือนพฤศจิกายนปี 2016 แอนนาเบลล์ ได้แสดงคู่กับ แอรอน พอล Aaron Paul ในซีรีส์แอคชั่น/ระทึกขวัญที่กำกับโดย แซค เวดัน (Zach Whedon) เรื่อง COME AND FIND ME ซึ่งเธอรับบทเป็นผู้หญิงที่หายตัวไปเพียงเพื่อให้สามีของเธอค้นพบว่าเธอไม่ใช่คนที่เขาคิดว่าเธอเป็น นอกจากนี้ แอนนาเบลล์ ยังได้ร่วมงานกับ อาร์มี แฮมเมอร์ Armie Hammer ในภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวจิตวิทยาเรื่อง MINE จากนักเขียน – ผู้กำกับ Fabio Guaglione และ Fabio Resinaro
ผลงานก่อนหน้านี้ของ แอนนาเบลล์ วอลลิส มีทั้งซีรี่ส์เรื่องดัง PEAKY BLINDERS ซึ่งเขียนโดย สตีเวน ไนท์ Steven Knight (จากเรื่อง EASTERN PROMISES, LOCKE) และออกฉายในปี 2013 ทางช่อง BBC 2 แอนนาเบลล์ ได้แสดงร่วมกับ ซิลเลี่ยน เมอฟี่ Cillian Murphy, เฮเลน แมคคอรอย Helen McCrory และ แซม เนล Sam Neill กับซีรี่ 6 ตอน แอนนาเบลล์รับบท ‘Grace Burgess,’ หญิงสาวสวยที่มีอดีตอันลึกลับ และกุมความลับสุดอันตราย
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 แอนนาเบลล์ ได้ร่วมแสดงบท ‘Lina Smit’ ในหนังตลกสายลับเรื่อง THE BROTHERS GRIMSBY ของ ซาชา บารอน โคเฮน (Sasha Baron Cohen) ร่วมแสดงกับ มาร์ค สตรอง Mark Strong, อิสลา ฟิชเชอร์ Isla Fisher และ เรเบล วิลสัน Rebel Wilson
ในปี 2014 แอนนาเบลล์ รับบทนำในหนังระทึกขวัญแนวจิตวิทยาจากค่ายวอร์เนอร์บราเธอร์ส/นิวไลน์ ที่ทำรายได้มากมายอย่างเรื่อง ANNABELLE ภาพยนตร์เรื่องเล่าเรื่องในปี 1970 โดยบอกเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของตุ๊กตา ‘Annabelle’ ซึ่งโด่งดังเมื่อปี 2013 จากเรื่อง THE CONJURING
ในช่วงต้นปีเดียวกันนั้น แอนนาเบลล์ ยังได้แสดงในซีรีส์ชีวประวัติสี่ตอนเรื่อง FLEMING ทางช่อง Sky Atlantic ซึ่งเป็นเรื่องราวของ เอียน เฟลมมิ่ง เธอรับบท ‘มูเรียล’ ผู้หญิงที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เฟลมมิงสร้างตำนาน ‘สาวบอนด์’ ซีรี่ส์เรื่องนี้กำกับโดย Mat Whitecross, แอนนาเบลล์ ร่วมแสดงกับ โดมินิก คูเปอร์ Dominic Cooper, ซามูเอล เวส Samuel West และ ลาร่า พัลเวอร์ Lara Pulver
ผลงานเรื่องอื่น ๆ ของ แอนนาเบลล์ มีทั้ง ซีรีส์ทางช่อง Showtime เรื่อง THE TUDORS กับบท “Jane Seymour” ที่เธอแสดงร่วมกับ โจนาธาน รีส มายเออร์ Jonathan Rhys Meyers และ เฮนรี่ คาวิล Henry Cavill ในปี 2009 และซีรีส์ทางช่อง ABC เรื่อง PAN AM ในปี 2012
เกี่ยวกับทีมผู้สร้าง
โจ คาร์นาฮาน JOE CARNAHAN (ผู้กำกับ, เขียนบท และอำนวยการสร้าง)
โจ คาร์นาฮาน เป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ และผู้กำกับชาวอเมริกัน ผลงานล่าสุดของเขาเขียนบทและกำกับเรื่อง ‘Boss Level’ นำแสดงโดย Frank Grillo, Mel Gibson และ Naomi Watts
ก่อนหน้านั้นเขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง ‘Wheelman’ และ“ Point Blank’ เพื่อเข้าฉายทาง Netflix ซึ่งรวมทั้ง ซีรีส์สารคดีเรื่อง ‘ FightWorld กับ แฟรงค์ กิลโล หุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา เมื่อปี 2015 เขาได้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง ‘Stretch’ ร่วมกับ Patrick Wilson, Chris Pine, Ed Helms, Jessica Alba, Ray Liotta และ James Badge Dale ก่อนหน้านั้นเขาเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งในบ็อกซ์ออฟฟิศและได้รับคำชื่นชมอย่างมากเรื่อง ‘The Grey’ นำแสดงโดย เลียม นีสัน
ซึ่งทั้งคู่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในปี 2010 กับภาพยนตร์รีเมกเรื่อง ‘The A-Team’ และเขาได้สร้างภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกเมื่อปี 2007 เรื่อง ‘Smokin’ Aces ‘ และภาพยนตร์ตำรวจเรื่องดังอย่าง’ Narc ‘ซึ่งได้รับเกียรติให้เปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปี 2002 และส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเวที Independent Spirit Award ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา คือเรื่อง “Blood, Guts, Bullets and Octane” ซึ่งเขาเขียนบท กำกับและนำแสดง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับทุนสร้าง และเปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เมื่อปี 1998
ในส่วนผลงานทางโทรทัศน์ โจ คาร์นาฮาน ได้ร่วมกำกับซีรี่ส์เรื่อง ‘The Blacklist’ และรับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง และที่ปรึกษาสำหรับการถ่ายทำ ตอนที่เขากำกับ ‘Luther Braxton’ สร้างสถิติเป็นตอนที่เรตติ้งสูงสุดในประวัติศาสตร์ของซีรีส์เรื่อง โดยมีผู้ชมประมาณ 30 ล้านคน และ โจ คาร์นาฮาน ยังได้ร่วมสร้างซีรี่ส์ทางช่อง NBC เรื่อง State of Affairs นำแสดงโดย Katherine Heigl
ก่อนที่เขาจะมีผลงานทางโทรทัศน์ โจ คาร์นาฮาน ได้ทำงานเขียนบท และกำกับภาพยนตร์สั้นทางอินเทอร์เน็ตเรื่อง The Hire: Ticker อำนวยการสร้างโดย Ridley Scott และนำแสดงโดย Clive Owen, Don Cheadle, Ray Liotta, และ F. Murray Abraham สำหรับแบรนด์ BMW ในปี 2002 ผลงานการเขียนบทของ โจ คาร์นาฮาน รวมไปถึง ภาพยนตร์เรื่อง ‘Death Wish’ ที่นำแสดงโดย บรูซ วิลลิส และภาพยนตร์เรื่อง ‘Pride and Glory’ สร้างโดยค่ายวอร์เนอร์บราเธอร์ส และนำแสดงโดย คอลลิน ฟาร์เรล และ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน และเรื่อง ‘Bad Boys 4 Life’ ที่นำแสดงโดย วิล สมิธ และ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ และอำนวยการสร้างโดย เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์
โจ คาร์นาฮาน ได้รับการทาบทามให้เขียนภาพยนตร์แอคชั่น / คอมเมดี้เรื่องใหม่ของ เมล กิบสัน ให้สตูดิโอ STX และเขาเพิ่งเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์แอคชั่นดราม่าเรื่อง ‘El Chicano’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ Superhero ละตินเรื่องแรก และเป็นผลงานการสร้างร่วมของ WarParty และ Briarcliff
ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ใน ปาซาดีน่า คาลิฟอร์เนีย
เอดดี้ และคริส บอเรย์ (ร่วมเขียนบท)
เอดดี้ และคริส บอเรย์ เคยมีบทภาพยนตร์บน Black List เมื่อปี 2017 เอดดี้ บอเรย์ มีผลงานเขียนละครเวทีเรื่อง CHRISTMAS IN HANOI ที่ชนะรางวัลและได้รับการสร้างโดย East-West Players ใน ลอสแอนเจลีส เอดดี้ จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทางด้านงานเขียนสร้างสรรค์ และประวัติศาสตร์จีน ส่วนคริสจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และ มหาวิทยาลัยลอสแอนเจลีส ทั้งคู่ร่วมเขียนบทที่หลากหลาย ทั้งดราม่าประวัติศาสตร์ สยองขวัญจิตวิทยา และไซไฟ
ทั้งคู่กำลังร่วมเขียนบทภาพยนตร์ สยองขวัญจิตวิทยาเกี่ยวกับเมืองที่ไม่มีใครรู้จักในอเมริกา
แรนดัล เอ็มเม็ท RANDALL EMMETT (อำนวยการสร้าง)
แรนดัล เอ็มเม็ท (ผู้อำนวยการสร้าง) หนึ่งในผู้ผลิตภาพยนตร์ที่มีผลงานมากที่สุดในอุตสาหกรรมบันเทิง เขาได้ผลิตภาพยนตร์มามากกว่า 100 เรื่อง นับตั้งแต่การเริ่มเป็นผู้ช่วยของ มาร์ก วอลเบิร์ก เมื่อปี 1990 เขาผสมความรู้ทางการเงิน เข้ากับความสร้างสรรค์ แรนดัล เป็นหุ้นส่วนและผู้ร่วมก่อตั้งร่วมกับ จอร์จ เฟอร์ล่า ในนาม Emmett / Furla Films ซึ่งเป็น บริษัทผลิตภาพยนตร์ ที่เน้นการพัฒนา จัดหาเงินทุน และผลิตภาพยนตร์ด้วยเงินทุน
ทศวรรษที่ผ่านมา แรนดัล ได้รวมเอานักแสดง และผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมกันและสร้างความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศหลายครั้ง และทำรายได้รวมมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ แรนดัล ยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับซีรีส์ทีวีเรื่องดังของ Starz เรื่อง POWER ซึ่งได้รับรางวัล NAACP สาขาละครยอดเยี่ยม และกำลังฉายซีซั่นที่ 6 ผลงานเรื่องต่อไปของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง BOSS LEVEL ที่หลายคนรอคอย นำแสดงโดย Mel Gibson, Naomi Watts และ Frank Grillo กำกับโดย Joe Carnahan
ผลภาพยนตร์ที่ผ่านมามีทั้ง ภาพยนตร์เรื่องฮิต LONE SURVIVOR ที่นำแสดงโดย มาร์ค วอลเบิร์ก และกำกับโดย ปีเตอร์ เบิร์ก THE IRISHMAN กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี เรื่อง END OF WATCH เขียนและกำกับโดย เดวิด อาเยร์ นำแสดงโดย เจค กิลเลนฮัล และ ไมเคล เปย่า, SILENCE กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี และ เรื่อง EVEREST กำกับโดย บาลทาซา คอร์มาคู
แรนดัล เอ็มเม็ท เกิดและเติบโตในไมอามี เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศิลปะการแสดงที่ได้รับการยอมรับอย่าง New World School of the Arts สำหรับการศึกษาระดับปริญญาตรีเขาเข้าศึกษาที่สถาบัน The School of Visual Arts ในนิวยอร์คซึ่งเขาค้นพบตัวเองว่าเขาต้องการเป็นโปรดิวเซอร์
จอร์จ เฟอล่า GEORGE FURLA, P.G.A. (อำนวยการสร้าง)
หลังจากจบการศึกษาจาก University of Southern California ด้านปริญญาด้านบริหารธุรกิจ จอร์จ เฟอล่า ทำงานผู้ค้าหุ้นกับ Cantor Fitzgerald ตั้งแต่ปี 1982 ถึง 1985 และ Jones and Associates ตั้งแต่ปี 1985 ถึง 1988 และเขาได้ออกมาตั้งกองทุนบริหารความเสี่ยงของตัวเองมาสิบปี โดยเขาเชี่ยวชาญด้านการเก็งกำไรความเสี่ยง และการซื้อขายตราสารทุน จากนั้นเขาได้ก่อตั้ง บริษัทผลิตภาพยนตร์ร่วมกับ แรนดัล เอ็มเม็ท นอกจากประสบการณ์ด้านการเงิน และภูมิหลังแล้ว จอร์จ ยังสามารถใช้ประสบการณ์ด้านการบริหารความเสี่ยงในการจัดหาเงินทุนสร้างภาพยนตร์ และลดความเสี่ยงของการบริหาร
ผลงานที่จอร์จและพันธมิตร แรนดัล เอ็มเม็ท ทำร่วมกัน พวกเขาได้ผลิตภาพยนตร์มากกว่า 100 เรื่อง ที่ทำรายได้มากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ นอกจากนี้ จอร์จ ยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่อง เช่น LONE SURVIVOR ที่นำแสดงโดย มาร์ค วอห์ลเบิร์กและกำกับโดย ปีเตอร์ เบิร์ก THE IRISHMAN กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี เรื่อง END OF WATCH เขียนและกำกับโดย เดวิด อาเยร์ นำแสดงโดย เจค กิลเลนฮัล และ ไมเคล เปย่า, SILENCE กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี และ เรื่อง EVEREST กำกับโดย บาลทาซา คอร์มาคู