ร่วมสัมผัสอีกหนึ่งเรื่องราวชีวิตของ “บิลลี่ ฮอลิเดย์” สุดยอดศิลปินแจ๊สผิวดำชาวอเมริกัน ผู้เลือกใช้เสียงเพลงต่อสู้ขับขานความยุติธรรมต่อต้านการเหยียดผิวจนก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมครั้งยิ่งใหญ่ในอเมริกาและทั้งโลก ผ่านภาพยนตร์ “THE UNITED STATES VS. BILLIE HOLIDAY” ที่จะพาผู้ชมสำรวจลงลึกถึงชีวิตและบาดแผลในจิตใจ พร้อมสำรวจเบื้องลึกของเหตุการณ์ที่ทำให้เธอตกเป็นเป้าหมายการสอบสวนของรัฐบาลกลางสหรัฐ รวมถึงความเป็นมาของบทเพลงต้องห้ามอย่าง Strange Fruit ที่ในยุคนั้นเปรียบเสมือนกระบอกเสียงในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของคนผิวดำ
‘ราชินีเพลงแจ๊ส’
เคยทำงานเป็นโสเภณี ติดยาเสพติด โด่งดังมีชื่อเสียงในฐานะศิลปิน ‘ราชินีเพลงแจ๊ส’ แต่สุดท้ายกลับถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตราหน้าว่าเป็น ‘นักร้องขบถ’ นี่คือเรื่องราวของ ‘บิลลี ฮอลิเดย์’ สุดยอดศิลปินหญิงระดับตำนาน เจ้าของฉายา ‘เลดี้ เดย์’ ผู้เลือกใช้บทเพลงต่อสู้ขับขานความยุติธรรมต่อต้านการเหยียดผิว ที่เราอยากจะพาคุณไปสำรวจและทำความรู้จักเส้นทางชีวิต ของเธอให้มากขึ้นกัน
‘บิลลี ฮอลิเดย์’ เด็กสาวผู้เกิดมาท่ามกลางความลำบาก’
7 เมษายน ค.ศ. 1915 คือวันที่ เอลินอร์ แฮร์ริส หรือที่โลกรู้จักกันในนาม บิลลี ฮฮลิเดย์ ลืมตาขึ้นดูโลก ตอนที่เธอเกิด พ่อของเธออายุเพียง 16 ปี และแม่ของเธอมีอายุ 18 ปีเท่านั้น ด้วยฐานะยากจน เธอจึงมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก มีปัญหากับทางโรงเรียน และในวัย 11 ปีก็เคยถูกเพื่อนบ้านข่มขืน
เริ่มต้นทำอาชีพ ‘โสเภณี’ ด้วยวัย 14 ปี
ฮฮลิเดย์ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ และเริ่มต้นทำอาชีพโสเภณีในวัย 14 ปี ซึ่งช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่เธอได้รู้จักกับดนตรีและเพลงแจ๊ส ไม่ว่าจะเป็นเพลงของ หลุยส์ อาร์มสตรอง หรือ เบสซี สมิธ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอก้าวสู่เส้นทางการเป็นศิลปิน
สู่ ‘ราชินีเพลงแจ๊ส’ และเพลง ‘Strange Fruit’
‘บิลลี ฮอลิเดย์’ คือชื่อที่เธอใช้ในฐานะศิลปินเพลงแจ๊ส โดยเริ่มต้นจากการร้องเพลงในคลับ และได้เซ็นสัญญาออกแผ่นเสียงในวัย 18 ปี ก่อนจะสั่งสมประสบการณ์ชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ และมาโด่งดังสุด ๆ จากเพลง Strange Fruit ซึ่งเนื้อหาของเพลงมุ่งเน้นไปที่การต่อต้านการเหยียดผิวในขณะนั้น และการแสดงของเธอในเพลงนี้ถือเป็นสุดยอดโชว์ที่ตรึงผู้ชมได้อยู่หมัดเสมอ
อย่างไรก็ตาม เธอกลับต้องพบกับปัญหาการเหยียดสีผิวอยู่ตลอดเวลา เช่น โดนไม่ให้เข้าพักในโรงแรมเดียวกับคนขาว ไม่ได้รับการเสิร์ฟอาหาร หรือกระทั่งถูกให้ไปใช้ลิฟท์ขนของ แทนที่ลิฟท์โดยสารปกติ
เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งเป็นแรงผลักดันทำให้เธอต้องการร้องเพลง Strange Fruit ซึ่งเปรียบเสมือนเสียงสะท้อนของคนผิวดำที่ถูกเหยียดผิวและเลือกปฏิบัติ แม้จะถูกทั้งรัฐบาลและค่ายเพลงขัดขวาง หรือพยายามเซ็นเซอร์ตัวเอง เพราะมองว่าเพลงนี้เป็นเพลงต้องห้าม
‘ยาเสพติด’ และการบ่อนทำลาย
ช่วงที่ฮอลิเดย์เริ่มงานร้องเพลงตามคลับ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เธอเริ่มเสพยา ก่อนจะเข้าสู่วังวนของยาเสพติดหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านสามีคนแรกอย่าง จิมมี มอนโร และเคยถูกจับข้อหามียาเสพติดในครอบครอง และเข้ารับการบำบัด
‘นักร้องขบถ’ ในสายตาของรัฐบาลสหรัฐฯ
แม้เธอจะเป็นที่รักของคนผิวดำในอเมริกา และเป็นศิลปินเพลงแจ๊สผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ กลับมองเธอเป็นบุคคลอันตราย โดยเฉพาะในสายตาของ แฮร์รี่ เจ. แอนสลิงเกอร์ หัวหน้าสำนักงานปราบปรามยาเสพติด ซึ่งใช้ปัญหาเรื่องยาเสพติดมาโจมตีเล่นงานฮอลิเดย์
อวสาน ‘เลดี้ เดย์’
17 กรกฎาคม ปี 1959 คือวันที่ บิลลี ฮอลิเดย์ เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจากสุขภาพที่ย่ำแย่ และโรคตับแข็งกับโรคหัวใจ โดยช่วงที่อยู่ที่โรงพยาบาล เธอยังคงเสพยา นั่นทำให้เธอถูกแจ้งข้อหา และโดนใส่กุญแจมือ พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้า
แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ความสำเร็จในแง่ศิลปินของฮอลิเดย์ การันตีด้วยการถูกบรรจุชื่อใน Grammy Hall of Frame, ได้ 4 รางวัลในสาขา Best Historical Album และรางวัล Grammy Lifetime Achievement Award รวมถึงเพลง Strange Fruit ยังคงเป็นเพลงอมตะที่สะท้อนปัญหาการเหยียดผิวและการต่อสู้ของคนผิวดำมาจนถึงทุกวันนี้
การต่อสู้ของเธอจะปรากฏใน THE UNITED STATES VS. BILLIE HOLIDAY
และในปีนี้ เรื่องราวของนักร้องขบถ เสียงเพลงกบฎ ที่ทั้งโลกอยากฟังอย่าง ‘บิลลี ฮอลิเดย์’ กำลังจะถูกถ่ายทอดออกมาอีกครั้งผ่านภาพยนตร์ “THE UNITED STATES VS. BILLIE HOLIDAY บิลลี ฮอลิเดย์ เสียงเพลงสู้อเมริกา”
โดยหนังได้ศิลปินสาวชาวอเมริกันผู้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่อย่าง แอนดรา เดย์ มารับบทเป็นบิลลี ฮอลิเดย์ ซึ่งด้วยการแสดงชั้นเยี่ยมของเธอ ทำให้เธอคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงปีล่าสุด
พิสูจน์เรื่องราวของนักร้องขบถ ผู้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรมพร้อมกันใน #TheUnitedStatesVSBillieHoliday
#บิลลีฮอลิเดย์เสียงเพลงสู้อเมริกา 6 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างภาพยนตร์
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ