ภาพยนตร์จากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส เรื่อง “King Richard” สร้างอิงจากเรื่องจริงที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ทั้งโลก เรื่องราวการเดินทางของริชาร์ด วิลเลียมส์ คุณพ่อผู้ไม่ย่อท้อต่อการเลี้ยงดู 2 นักกีฬาผู้มีพรสวรรค์พิเศษ จนได้กลายเป็นผู้เปลี่ยนแปลงวงการกีฬาเทนนิสตลอดกาล วิลล์ สมิธ ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar มาแล้วถึง 2 ครั้ง (“Ali,” “The Pursuit of Happyness,” “Bad Boys for Life”) รับบทริชาร์ด ภายใต้การกำกับฯ ของเรนัลโด มาร์คัส กรีน (“Monsters and Men”)

ทั้งคู่ได้แรงผลักดันจากพ่อผู้เห็นภาพอนาคตของพวกเขาอย่างชัดเจน และเลือกใช้วิธีที่ต่างจากแบบแผนทางสังคม ริชาร์ดวางแผนว่าจะพาวีนัสและเซเรน่า วิลเลียมส์ออกจากคอมป์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนียสู่การเป็นผู้มีชื่อเสียงแห่งตำนานระดับโลก ภาพยนตร์เต็มไปด้วยความซาบซึ้งที่ถ่ายทอดให้เห็นพลังของครอบครัว ความพยายาม และความเชื่อมั่นที่นำไปสู่ความสำเร็จในเรื่องที่ยากจะเป็นไปได้ และมีอิทธิลพลต่อทั้งโลก

อวนจานู เอลลิส (“If Beale Street Could Talk,” ภาพยนตร์ทางทีวี “Quantico”) รับบท ออราซีน “แบรนดี้” วิลเลียมส์ คุณแม่ของสองสาว, ซาไนยา ซิดนีย์(“Hidden Figures,” “Fences”) รับบท วีนัส วิลเลียมส์, เดมี่ ซิงเกิลตัน (ภาพยนตร์ทางทีวี “Godfather of Harlem”) รับบท เซเรน่า วิลเลียมส์ ร่วมด้วยโทนี่ โกลด์วิน (ซีรีส์ “Divergent”, ภาพยนตร์ทางทีวี “Scandal”) รับบท โคชพอล โคเฮน และ จอน เบิร์นธัล (ภาพยนตร์ที่กำลังจะฉาย “The Many

Saints of Newark,” “Ford v Ferrari”) รับบท โคช ริค แมคซี่ ทีมนักแสดงยังรวม อินดี้ บีน (“IT Chapter Two”), เควิน ดันน์ (ภาพยนตร์ “Transformers”, ภาพยนตร์ทาง HBO “Veep”) และเครก เทต (“Greyhound”)

กรีนกำกับฯ “King Richard” จากบทภาพยนตร์ที่เขียนโดยแซค เบย์ลิน อำนวยการสร้างฯ โดยทิม ไวท์ และ เทรเวอร์ ไวท์ ภายใต้บริษัท Star Thrower Entertainment ของพวกเขา และวิลล์ สมิธ ภายใต้บริษัท Westbrook ของเขา อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย ไอชา ไพรซ์, เซเรน่า วิลเลียมส์, วีนัส วิลเลียมส์, เจมส์ แลสซิเตอร์, จาดา พินเค็ตต์ สมิธ, อดัม เมริมส์, ลินน์ แฮร์ริส, อัลลัน แมนเดลบวม, จอน โมน และ ปีเตอร์ ดอดด์

ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัล Oscar โรเบิร์ต เอลส์วิต (“There Will Be Blood”) ผู้ออกแบบฉาก วินน์ โธมัส (“Da 5 Bloods,” “Hidden Figures”) และวิลเลียม อาร์โนลด์ (“The Hate U Give”) ผู้ลำดับภาพที่เคยเข้าชิงรางวัล Oscar พาเมล่า มาร์ติน (“The Fighter”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเข้าชิงรางวัล Oscar มาแล้วถึง 2 ครั้ง ชาเร็น เดวิส (“Dreamgirls,” “Ray”) ดนตรีโดยนักประพันธ์ดนตรีผู้เข้าชิงรางวัล Oscar คริส บาวเออร์ส (“Space Jam: A New Legacy,” “A Concerto is a Conversation”)

ภาพยนตร์จาก A Warner Bros. Pictures Presentation, A Star Thrower Entertainment Production, A Westbrook Production, A Keepin’ It Reel Production เรื่อง “King Richard” มีกำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกเริ่มวันที่ 18 พฤศจิกายน 2021

รายละเอียดการถ่ายทำ

 

“หากวางแผนล้มเหลว เท่ากับเราวางแผนสู่ความพ่ายแพ้”

ริชาร์ด วิลเลียมส์

สำหรับนักแสดงภาพยนตร์และผู้อำนวยการสร้างฯ วิลล์ สมิธ เรื่องราวของ “King Richard” คือเรื่องราวเกี่ยวกับ “ความฝันที่เป็นไปไม่ได้ โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเราล้วนมีความฝันที่เป็นไปไม่ได้กันทั้งนั้น เรามีสิ่งที่เราจะลงมือทำหากรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้ สิ่งที่เราจะทำหากมีความเชือ เรื่องราวของริชาร์ดและครอบครัวนี้เหมือนกับความฝันของชาวอเมริกันโดยสวนใหญ่ มีคนที่เหมือนวีนัสและเซเรน่าเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้ ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือการอยากเป็นคนที่ดีที่สุด และบางครั้งสภาพแวดล้อมของเราก็อาจไม่เอื้ออำนวยต่อสิงนั้น มันต้องอาศัยความแข็งแกร่งทางจิตใจที่จะก้าวข้ามสิ่งต่างๆ รอบตัวไปให้ได้ มันเหมือนการเติมเต็มความปรารถนาที่อยู่ในใจเราทุกคน”

ผู้กำกับฯ เรนัลโด มาร์คัส กรีน ได้เห็นถึงพลังของครอบครัวที่ส่งต่อถึงกันในการร่วมมือที่จะทำฝันนั้นให้สำเร็จ “เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว ในการพูดคุยกับสมาชิกครอบครัววิลเลียมส์ พวกเขาพูดถึง ออราซีน แม่ของพวกเธอที่ต้องทำงานเสิร์ฟควบ 2 เวลา ส่วนริชาร์ดต้องทำงานหลายอย่าง แต่พี่สาวทุกคนทั้งอิช่า ลินเดรีย ทันดี ต้องไปอยู่ที่สนามกับวีนัสและเซเรน่า พวกเธอคอยเก็บลูกบอล ถือป้ายสัญลักษณ์ และไปที่สนามหลัง

เลิกเรียนจนกระทั่งไฟทุกดวงมืดลง พวกเธอคือพี่สาวที่คอยดูแลน้องๆ ตอนยังเป็นเด็ก พอผมได้ยินแล้วรู้สึกทึ่งมาก ทุกเรื่องจำเป็นต้องอยู่ในบทภาพยนตร์และถ่ายทอดออกมาสู่หน้าจอ”

ช่วงที่พี่น้องวิลเลียมส์ตัวจริงไม่ได้อยู่ที่สนาม จะเป็นช่วงของฉากโปรเทนนิสยุคกลางถึงปลายปี 90 อย่างทิม ไวท์ ซึ่งเป็นนักเทนนิสคนหนึ่งเช่นกัน ได้ยินเรื่องที่ริชาร์ด วิลเลียมส์เขียนไว้ก่อนที่วีนัสและเซเรน่าจะเกิดมา ฉะนั้นในปี 1999 ที่พี่น้องวิลเลียมส์ได้อยู่ในการแข่งขัน Lipton Championships (ตอนนี้คือ Miami Open) รอบสุดท้าย ผู้อำนวยการสร้างฯ ทิม ไวท์ จดจำได้ว่า “เขาคือคุณพ่อของลูกสาว 2 คนนี้ และทุกคนมองเขาด้วยความคิดหลากหลาย แต่สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจผมคือเรื่องราวของชายคนนี้ที่มีความฝันในแบบที่ทุกคนรอบตัวต่างมีข้อกังขา ตอนนี้พวกเธอกำลังเล่นในรอบสุดท้าย และเขาได้ชูป้ายที่เขียนข้อความเอาไว้ว่า ‘เคยบอกแล้วไง!’ จนสุดท้ายทุกสิ่งที่เขาเคยพูดและทำนายเอาไว้ล้วนกลายเป็นเรื่องจริง ผมมองว่าเขาเป็นตัวละครที่มีความน่าทึ่ง พร้อมเรื่องราวที่ต้องถ่ายทอดออกมาให้ได้ และนั่นคือช่วงเวลาในหนังที่สร้างบันดาลใจได้มาก”

ในช่วงปี 2015 ทิมและผู้ร่วมอำนวยการสร้างฯ จาก Star Thrower Entertainment และพี่น้องของเขา เทรเวอร์ ไวท์ เริ่มพิจารณ์เรื่องราวของริชาร์ด วิลเลียมส์อย่าจริงจัง ทั้งการเลี้ยงดูของเขาทางตอนใต้ของจิม โครว์ในชรีฟพอร์ท รัฐหลุยเซียน่า การสอนตัวเองและ ออราซีน ภรรยาของเขาเกี่ยวกับเกมเทนนิส รวมถึงความชอบด้านการเขียนแผนที่วางไว้สำหรับชวงเวลาต่างๆ รวมถึงแผนที่ลูกสาวของพวกเขาจะเป็นผู้ชนะในวงการเทนนิสด้วย

ผู้อำนวยการสร้างฯ เทรวอร์ ไวท์ เล่าว่า “ทิมมองว่ามันมีโอกาสสร้างเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสอนที่ดีมากเท่าที่เขาเคยถ่ายทอดออกมาได้ ผมรู้เรื่องของริชาร์ดเพียงน้อยนิด แค่จากมุมนอกว่าบางครั้งสื่อได้ทำให้เขาดูเป็นคนชอบมีปากเสียงอยู่ข้างสนาม พอเราเริ่มตั้งใจมองว่าจริงๆ แล้วริชาร์ดคือใคร เรากลับเห็นคนที่มุ่งมั่นจะนำความสำเร็จ

มาสู่ครอบครัว และพวกเขาได้เลี้ยงดูวีนัสและเซเรน่าให้กลายมาเป็นผู้หญิงที่มีความโดดเด่นและกลายเป็นแชมป์ได้อย่างไร”

สมิธอธิบายว่า “ผมคิดว่าสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผมได้มากที่สุด ก่อนที่ผมตัดสินใจจะถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมา คือริชาร์ดวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาได้ดูเกมการแข่งขันและเกมที่เวอร์จิเนีย รูซิซี่ได้รับเงินรางวัล 40,000 เหรียญ และ 2 ปีก่อนที่ลูกสาวของเขาจะเกิด ริชาร์ดได้เขียนแผนเส้นทางอาชีพของพวกเธอเอาไว้หมดแล้ว เขาเล่าความฝันนี้ให้ออราซีนฟังอย่างจริงจัง และพวกเขามีลูก 2 คนที่กลายเป็นนักเทนนิสมือวางอันดับ 1 และ 2 ตลอดกาล จนผมรู้สึกว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ มันไม่ใช่เรื่องจริงแน่’ พอผมกลับไปหาข้อมูลก็ได้พบกับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความศรัทธา ความรัก ครอบครัวและพระเจ้า”

ผู้สร้างภาพยนตร์รู้ดีว่าต้องการให้เรื่องเน้นความสำคัญที่ริชาร์ด ออราซีน และลูกสาวของพวกเขา โดยมีเรื่องราวพื้นฐานของคุณพ่อที่ปกป้องครอบครัวตัวเองด้วย ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2017 พวกเขาได้พบกับ แซค เบย์ลิน ผู้เขียนบทในอีกโปรเจ็กต์หนึ่ง เขาเล่าว่ากำลังจะเดินทางไปร่วมงาน US Open in Flushing Meadows รัฐควีนส์ เมืองนิวยอร์ค

ทิม ไวท์เล่าว่า “ตอนนั้นผมพูดว่า ‘นั่งลงก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกันสั้นๆ’ เพราะเห็นชัดเจนว่าเขาชอบเทนนิส เราเล่าไอเดียคร่าวๆ เกี่ยวกับริชาร์ด วิลเลียมส์และตัวละครต่างๆ ในเรื่อง เห็นได้ทันทีว่าเขาสนใจและพูดว่า ‘ขอเวลาผมดูบทวันนึง และผมจะติดต่อไป’ วันต่อมาเขาส่งอีเมล์มาหาผมเกี่ยวกับประเด็นสำคัญของหนัง และเรื่องราวในอีก 4 ปีต่อมา ซึ่งสิ่งที่เขาเล่าก็มาอยู่ในหนังจริงๆ”

เทรเวอร์ ไวท์เล่าว่า “แซคคือคนที่จุดประกายให้เห็นบางอย่างตอนนั้น ทั้งช่วงเวลาสำคัญเป็นเวลาหลายปีของครอบครัวที่คอมป์ตัน การเป็นโคชคนแรกของพอล โคเฮน ช่วงปีแรกของวีนัสตอนยังเป็นเด็ก และการเดินทางไปยังฟลอริด้าเพื่อร่วมโปรแกรม Rick Macci โดยที่ไม่รู้ว่าวีนัสจะได้เป็นนักเล่นมืออาชีพหรือไม่ ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญของครอบครัว ความฉลาดอย่างแท้จริงคือการพาวีนัสร่วมแข่งระดับมืออาชีพครั้งแรก ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและเล่าออกมาได้สนุกสนาน”

เบย์ลินเล่าว่า “ในช่วงนั้นผมรู้เรื่องราวเพียงคร่าวๆ แต่ไม่รู้ถึงรายละเอียด ผมรู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม และรู้ว่าผมมีขอบเขตในการถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดที่มีทั้งความตื่นเต้นและการสร้างแรงบันดาลใจ ผมเริ่มอ่านแผนที่วางไว้ และการฝ่าฟันของครอบครัว ได้พบกับอุปสรรคหลายเรื่อง อย่างแรกคือช่วงการเริ่มเดินทางของริชาร์ดเขาพยายามข้ามผ่านเรื่องความเข้าใจของผู้คนในสิ่งพิเศษที่เขาทำเพื่อลูกสาว จากนั้นต้องพยายามต่อสู้กับเรื่องความยากลำบาก จนสุดท้ายเป็นเรื่องการตัดสินใจให้วีนัสเป็นนักกีฬามืออาชีพ”

เทรเวอร์ ไวท์ได้เน้นย้ำว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องราวความน่าทึ่งในสิ่งที่ริชาร์ดทำเพื่อซูเปอร์สตาร์สาวในวันนี้ มันเป็นเรื่องของสิ่งที่ริชาร์ดมองเห็น และความร่วมมือกันของครอบครัวทั้งเขา ออราซีน และพี่น้องคนอื่นๆ ที่ช่วยกันสร้างมันขึ้นมา มันคือเรื่องราวของทั้งครอบครัวไม่ใช่ผู้ชายเพียงคนเดียว”

เพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ยากจะเหลือเชื่อ เบย์ลินได้เล่าว่า “แทบทุกสิ่งในบทภาพยนตร์ล้วนเป็นเรื่องจริง ผมจำได้ตอนที่ส่งไปให้ผู้จัดการอ่าน ตอนนั้นเขาไม่รู้เรื่องราวสักเท่าไหร่นัก ความเห็นแรกที่ผมได้รับกลับมาคือ ‘เรืองทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง.. ใช่มั้ย?’ ‘เปล่า นั่นคือเรื่องจริงทั้งหมดเลย’ พวกเขาผ่านช่วงเวลาที่เหลือเชื่อ เพราะริชาร์ดเป็นตัวละครที่น่าทึ่งมาก มันเหมือนเรื่องราวความฝันของชาวอเมริกันที่มี

ความโดดเด่นเฉพาะตัว และเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของผมที่ต้องถ่ายทอดเรื่องราวสำคัญพวกนี้ รวมถึงปฏิกิริยาต่างๆ ที่คาดไม่ถึงอีกด้วย”

เมื่อทั้งสองผู้อำนวยการสร้างฯ ได้บทภาพยนตร์ที่ลงตัวแล้ว คนแรกที่พวกเขาร่วมแชร์บทด้วยคือวิลล์ สมิธ ผู้เป็นตัวแทนแห่ง “ความฝัน” ของทั้งคู่ ทุกคนเริ่มแลกเปลี่ยนความเห็นกันโดยผู้สร้างภาพยนตร์ได้ให้สมิธเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ คนที่ 3 และนักแสดงเจ้าบทบาทได้ถ่ายทอดความเป็นวิลเลียมส์ออกมาได้อย่างชัดเจน

สมิธกล่าวว่า “ผมคิดว่าความงดงามของเรื่องนี้และครอบครัวนี้อยู่ที่หัวใจสำคัญของเรื่องความศรัทธา ออราซีน ‘แบรนดี้’ มีศรัทธาต่อริชาร์ดซึ่งนับว่าเป็นแก่นสำคัญ และริชาร์ดเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นสู่ความฝัน ทั้งคู่เป็นทีมที่ดูน่าประทับใจ สิ่งเดียวของครอบครัวนี้คือเรื่องของจุดมุ่งหมาย มันทำให้พวกเขามีความมั่นใจในสิ่งที่กำลังทำ เหนือสิ่งอื่นใดคือพระเจ้า รองลงมาจึงเป็นครอบครัว การศึกษา และเรื่องเทนนิส นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่ามันมีความพิเศษมาก และพวกเขารักษามันเอาไว้ได้ดี”

สำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ที่ตอนนี้มีสมิธมาร่วมงานด้วย อีกสิ่งที่สำคัญคือการชวนครอบครัวมาร่วมงานด้วย ทิม ไวท์เล่าว่า “โดยเริ่มจากอิชา ไพรซ์ พี่สาวของวีนัสและเซเรน่า เธอทำหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้างบริหารฯ เธอเป็นคนช่วยถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และประเด็นสำคัญพิเศษ ทำให้เรื่องราวของครอบครัวดูมีน้ำหนักและสมจริงมาก”

เทรเวอร์ ไวท์ ได้เล่าว่า “เราคงทำไม่ได้หากไม่มีการสนับสนุนจากครอบครัว อิชา ไพรซ์ มีบทบาทสำคัญในทุกย่างก้าว หลังจากที่เราได้วิลมารวมงาน เธอคือคนที่เข้ามาช่วยเหลือในช่วงแรกเพื่อพัฒนาบทต่อ รายละเอียดทุก

ส่วน ความถูกต้อง และเรื่องส่วนตัวที่เธอเล่าให้ฟัง เราไม่สามารถหาอ่านหรือหาข้อมูลเองได้ มันช่วยเพิ่มสีสันให้โปรเจ็กต์ของเรา อิชาและคนอื่นๆ ในครอบครัวคือผู้ร่วมงานที่ยอดเยี่ยมมากครับ”

ผู้ร่วมอำนวยการสร้างบริหารฯ อิชา ไพรซ์ ยอมรับว่า “ฉันไม่ได้อ่านบทเลยสักนิดเป็นเวลานานมาก เพราะฉันพบกับสิ่งที่ผู้คนคิดเกี่ยวกับครอบครัวของฉันมาเยอะมาก สำหรับเราแล้วความสมจริงและความซื่อตรงคือเรื่องสำคัญว่าเราจะสร้างโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมาได้ จนสุดท้ายหลังจากได้อ่านบทฉันถึงกับหัวเราะออกมานิดนึง มันเต็มไปด้วยความลุ่มหลงและเรื่องที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ เราพูดคุยกันตามประสาครอบครัว และตัดสินใจว่าเราจะเดินหน้าไปด้วยกัน โดยที่ให้ฉันรับหน้าที่สร้างความสมบูรณ์ของเรื่อง เพื่อให้ดูสมจริง ซึ่งจะต้องมีความจริงใจและตรงตามสิ่งที่เราเป็น นั่นคือสิ่งที่สำคัญมากค่ะ ไม่งั้นมันก็เป็นแค่คนอื่นมาเล่าเรื่องของเรา

“การมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ทำให้เราได้เล่าเรื่องของเราเอง ได้แชร์ถึงใครอีกหลายคนที่ยังไม่รู้” ไพรซ์เล่าต่อว่า “ฉันคิดว่ามันช่วยจับประเด็นและถ่ายทอดช่วงเวลาที่เหลือเชื่อออกมาได้ มันคล้ายกับการตีตราอนุญาตเลยค่ะ มันไม่ใช่แค่เรื่องที่มีคนสร้างขึ้นมา แต่มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง”

และสำหรับการถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้แรงผลักดันจากครอบครัว ผู้อำนวยการสร้างฯ ได้ขอความช่วยเหลือจากเรนัลโด มาร์คัส กรีน เพื่อทำหน้าที่กำกับ โดยเทรเวอร์ ไวท์ได้เล่าว่า “เรเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีความพิเศษ มีจินตนาการที่เหลือเชื่อและใส่ใจรายละเอียด ผมคิดว่าเขามีความเข้าใจดีกว่าผู้สร้างภาพยนตร์อีกหลายคน เขาปล่อยให้นักแสดงได้เป็นตัวของตัวเองอยู่บ้าง และเพิ่มความสมจริงลงไปในเนื้องาน ภาพยนตร์ของเขาจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สมจริง ไม่ได้ดูหลอกตา สำหรับหนังเรื่องนี้เราอยากถ่ายทอดเรื่องราวของครอบครัวให้ตรงกับความจริงมากที่สุด ไม่ใช่แค่ให้นักแสดงมารับบทบุคคลที่มีชื่อเสียง นั่นคือความอันตรายในหนังแนวนี้ ด้วยความร่วมมือจากเร

เรารู้สึกว่าได้ร่วมงานกับคนที่ไว้ใจได้ คนที่มีความเข้าใจและทำให้สัมผัสได้ถึงความสมจริง มีสีสัน และสร้างแรงบันดาลใจออกมาได้ ทุกรายละเอียดอยู่ในหนังเรื่องนี้หมดเลย”

สมิธได้เล่าว่า “จาดาและผมคุยกันเรื่องเร และความสวยงามในการพบเขาครั้งแรก ผมอินไปด้วยทันทีเลยเมื่อเขาพูดถึงความผูกพันที่เขามีต่อพ่อ เขาเคยเป็นนักบาสเก็ตบอลมืออาชีพ เขาเล่าตั้งแต่ตอนเป็นเด็กที่มีความผูกพันคล้ายกับพ่อของเขา เขาเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งจนทำให้ผมทึ่งไปเลย”

ผู้กำกับฯ กรีน อธิบายว่า “มันมีหลายเรื่องราวที่คล้ายกับสิ่งที่เราอยากนำเสนอ โดยเฉพาะการที่ผมไม่ใช่นักเทนนิสที่เก่งที่สุดตลอดกาล แต่พ่อของผมได้ปลูกฝังเรื่องบาสเก็ตบอลในช่วงชีวิตครึ่งแรก เขาช่วยให้เราได้ร่วมเล่นได้เกมสำคัญ และผมได้ไปต่ออีกไกล ได้เล่นอีก 2 เกมใหญ่ ได้เล่นให้มหาวิทยาลัย แต่ผมไม่ได้เลือกเส้นทางนั้นต่อเพราะมาอยู่เบื้องหลังกล้อง ผมไม่ได้โตที่แคมป์ตัน แต่ผมโตในย่านที่ไม่สะดวกสบาย ผมเกิดปีเดียวกับเซเรน่า พอถึงตอนที่ผมไปนำเสนอรายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดของผม ผมใช้เวลาอยู่นานมาก และพวกเขาก็พูดว่าเรื่องราวที่เหลืออยู่ในประวัติศาสตร์”

สำหรับกรีนแล้วความรับผิดชอบในเรื่องการสร้างความสมจริงของครอบครัวเกี่ยวข้องกับตัวละครหลักเป็นอย่างมาก ผู้กำกับฯ ได้ “ยึดมั่นในตัวตนที่แท้จริงของเขา มันมีฟุตเทจมากมาย เขาเคยเขียนหนังสือด้วย เห็นได้ชัดว่าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ลินเดรีย ไพรซ์ก็มาดูแลเรื่องเสื้อผ้า ส่วนวีนัสและเซเรน่าก็มีส่วนร่วมด้วย เราได้ผู้ช่วยที่รู้เรื่องราวของครอบครัวเป็นอย่างดี เราไม่ได้ตั้งใจทำให้ริชาร์ดดูเพอร์เฟ็กต์ เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ผมคิดว่าตัวละครที่มี 3 มิติในหนังทุกเรื่องคือสิ่งที่ผู้ชมรัก พวกเขารักคนที่ถ่ายทอดมุมต่างๆ ของตัวละครออกมาได้ และผมคิดว่าวิลทำ

ออกมาได้ดีเหลือเชื่อ เขาไม่ได้แสดงอะไรเกินจริงเลย เขาจะเข้าสู่มุมมืดก็ได้หากจำเป็น จากนั้นก็ถอยกลับมาถ่ายทอดด้านที่สดใส ผมคิดว่าเราถ่ายทอดความจริงของริชาร์ดในแบบที่เรารู้ได้ออกมาดีที่สุดแล้ว”

ในส่วนบทบาทของอันจานู เอลลิสผู้มารับบทออราซีน วิลเลียมส์ เป็นการสวมบทบาทภรรยา/คุณแม่ที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จของครอบครัว เอลลิสได้เล่าว่า “เมื่อได้รู้เรื่องราวฉันคิดว่าเธอเหมือนเชียร์ลีดเดอร์ของลูกๆ อย่างที่แม่ทุกคนควรจะเป็นเลยค่ะ เธออยู่ในเกมการแข่งขันและอยู่เคียงข้าง คอยสนับสนุนในสิ่งที่ริชาร์ดวาดภาพเอาไว้ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ต้องทำหน้าที่คุณนายวิลเลียมส์ไปด้วย สำหรับฉันมันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากค่ะ จริงอยู่ที่เรียกว่า ‘คิง ริชาร์ด’ แต่ก็รวมถึง ‘ควีน ออราซีน’ ด้วยค่ะ ฉันตื่นเต้นที่ทั้งโลกจะได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ที่พวกเขาเห็นบนสแตนคือโค้ชของพวกเธอ ซึ่งอยู่ในสนามกับพวกเธอ คอยฝึกฝน จัดการวางแผน ฝึกและออกแบบการเล่นเทนนิสที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำโดยที่ไม่ได้รับชื่อเสียงใดๆ ฉันตื่นเต้นที่ตอนนี้ทุกคนจะได้รู้เรื่องนี้ค่ะ”

เบย์ลินเล่าเสริมว่า “กีฬาคือสิ่งที่น่าสนใจรองลงมาในเรื่อง แต่เราจะได้เห็นเรื่องราวดราม่าที่สร้างแรงบันดาลใจของครอบครัวไปพร้อมกับฉากของเกมกีฬาที่สนุก”

ทิม ไวท์อธิบายว่า “มาถึงตอนนี้ชายผิวสีและครอบครัวของเขาที่ไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายอะไร ทั้งพ่อและแม่ต่างก็ไม่ใช่นักเทนนิส แค่มีความคิดว่าจะฝึกสองสาวให้เป็นคนเก่งของโลกได้มั้ย? มันอาจเป็นเรื่องน่าหัวเราะและดูเป็นไปไม่ได้ แต่ริชาร์ดและออราซีนได้สอนเทนนิสให้ลูกๆ และมีส่วนร่วมในการสร้างเทคนิคอันน่าทึ่ง จนนำไปสู่ชัยชนะในเกมการแข่งขันทั้งหมด”

 

การคัดเลือกตัวนักแสดง: ตามหาครอบครัว

 

วิลล์ สมิธไม่เคยเห็นเรื่องราวของครอบครัววิลเลียมส์ในมุมที่ต้องก้าวข้ามอุปสรรค หรือฝ่าฟันกับสิ่งที่อยู่รอบตัวมาก่อน วิลเล่าว่า “ผมไม่คิดว่าพวกเขาเคยถูกล้อมกรอบอยูที่ไหน เพราะจินตนาการของพวกเขาเป็นอิสระ และนั่นคือหัวใจสำคัญแห่งศรัทธาและความเชื่อมั่นที่พวกเขามีในตัวเอง พวกเขารู้สึกว่าไม่ถูกล้อมกรอบโดยสิ่งใด เว้นแต่ความรับผิดชอบ การทุ่มเทอย่างหนัก และความรักที่มีให้กัน นั่นคือระบบความเชื่อที่ทรงพลังและกอให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง ผมคิดว่าเราไม่สามารถกักขังจิตวิญญาณแบบนั้นได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม”

การร่วมงานกับสมิธคือความปรารถนาแรกที่สำคัญของผู้สร้างภพายนตร์ และการเชื่อมโยงเรื่องราวของคุณพ่อที่มีการปกป้องอย่างเด็ดเดี่ยวได้อย่างงดงาม กรีนอธิบายว่า “ทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับริชาร์ด วิลเลียมส์คือสิ่งที่เราเห็นจากสื่อ และการวาดภาพของมนุษย์ในรูปแบบ 3 มิติขึ้นมาประกอบด้วยหลายหลายบทบาท ทั้งการเป็นคุณพ่อ สามี และคนที่ใส่ใจลูกสาวรวมถึงการเติบโตของพวกเธออย่างเต็มที่ รวมถึงการปกป้องพวกเธอในช่วงที่เป็นวัยรุ่น ในฐานะของคุณพ่อที่มีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 1 คน วิลเข้าถึงเรื่องนั้นเป็นอย่างดีมาก เขาถ่ายทอดความนอบน้อมอ่อนโยน การปกป้อง และความสมดุลที่พ่อแม่จะให้ความสนใจผู้ชายคนนี้ที่อยู่บ้านกับครอบครัว”

สำหรับการเข้าถึงตัวละคร สมิธมองลึกลงไปมากกว่าความคล้ายผู้ชายคนนั้น สมิธเผยความลับว่า “ผมพยายามทำตามแบบเดียวกับที่ริชาร์ดทำ เขาไม่รู้เรื่องเทนนิสมาก่อนเลย เขาและออราซีนเรียนรู้เกี่ยวกับเทนนิสเอง 2 ปีก่อนที่วีนัสจะเกิด และพวกเขาก็ศึกษาเรื่องกีฬาด้วยกัน พวกเขาเรียนรู้กันตามประสาครอบครัว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความแปลกใหม่ ริชาร์ดคิดว่าตัวเองเป็นนักกีฬาที่เก่งคนหนึ่ง และรู้สึกว่าจะทำให้พวกเธอเล่นอย่างมืออาชีพได้ ซึ่ง

ก็เป็นเรื่องนั้น ส่วนหนึ่งคือการได้ประสบการณ์จากลูกๆ ของเขา แต่ก่อนที่เขาจะมองมันในมุมของพ่อแม่ เขามองมันเหมือนเด็กคนหนึ่งและเรียนรู้มันไป”

สำหรับการแสดงที่ถ่ายทอดออกมา สมิธได้เล่าว่า “มันเป็นขั้นตอนที่ประหลาดมากในฐานะของนักแสดง เวลาที่เราสังเกตมันเพื่อทำความเข้าใจ โดยที่เราไม่มีวันรู้เลยว่าอะไรจะช่วยให้เราเข้าถึงตัวละครได้ หากเรารับบทตำรวจ มันก็จะมีช่วงที่เราเหน็บปืนไว้ที่สะโพกและเดินไปมาจนเริ่มเข้าใจความรู้สึก แต่สำหรับริชาร์ดผมเข้าถึงตัวละครนี้ได้ผ่าน วิลโลว์ ลูกสาวของผมเอง ผมใช้ความผูกพันที่มีต่อเธอเพื่อหาความรู้สึกที่ริชาร์ดมีต่อวีนัสและเซเรน่า มันไม่ใช่การกดดันแต่เป็นการผลักดัน มีเรื่องหนึ่งที่วีนัสเล่าให้ฟังตอนที่พวกเธอโตขึ้นมาและสร้างเรื่อง การถูกทำโทษคือการห้ามเล่นเทนนิส ริชาร์ดมีแนวคิดที่ดีว่าเขาจะไม่กดดัน แต่ปล่อยให้พวกเธอได้มีความฝันอย่างที่เลือกในแบบครอบครัวเดียวกัน”

ผู้ที่ไม่ได้รับความสนใจมากนักแต่มีความมุ่งมั่นไม่แพ้สามีคือ ออราซีน “แบรนดี้” วิลเลียมส์ รับบทโดยอันจานู เอลลิส สมิธเล่าให้ฟังว่า “อวนจานูมีทักษะมาแล้ว มันอยู่ที่เธอจะคิดถึงฉากไหน คิดอย่างไรถึงความสัมพันธ์นั้น เรานั่งอยู่กับออราซีนเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการวางแผนและครอบครัว สิ่งหนึ่งที่อวนจานูเข้าใจได้ดีคือคอนเซ็ปต์ที่ออราซีนเล่าเรื่องพลังที่ยิ่งใหญ่กว่า”

กรีนเห็นด้วยว่า “อวนจานูเก่งมากจริง เธอสามารถสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้ ในฉากที่มีแต่ความเงียบของเธอก็สร้างความตรึงใจขึ้นมาได้ เธอเป็นนักแสดงหญิงที่น่าทึ่งมาก เป็นคนช่างจินตนาการ มีพลัง และหลักการทำงานของเธอคือความทุ่มเทอย่างงเต็มที่ เธอมีความจริงใจมาก กล้องจับภาพได้เวลาที่เราโกหกอะไร ซึงเธอถ่ายทอดทุกช่วงเวลาออกมาได้ดีเยี่ยม”

สำหรับการรับบทที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการผสมผสานกันไป เอลลิสได้เล่าว่า “ริชาร์ดมีภาพในสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้วค่ะ คือการเลี้ยงดูให้โตขึ้นเป็นนักเทนนิสดาวรุ่ง พอพวกเขามีลูกก็สามารถปั้นเป็นนักเทนนิสดาวรุ่งได้ คุณออราซีนฝึกตัวเองให้เป็นโค้ชสอนเทนนิส และขณะเดียวกันยังต้องทำงานด้วย คุณวิลเลียมต้องใช้จินตนาการมากหน่อย เขามีทั้งความคิดและความฝันทั้งหลาย คุณออราซีนเหมือนเครื่องจักรภาคสนามของโปรเจ็กต์นี้ เธอรู้ว่าต้องทำอะไร เธอรู้ว่าตัวเองต้องทำงาน รู้ว่าต้องสอนตัวเองเล่นเทนนิส และเธอรู้ว่าต้องสอนลูกๆ ด้วย ซึ่งเธอจะไม่มีวันยอมแพ้กับมัน ตลอดเวลามีแต่ความท้าทายที่เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เขาถอดใจ ไม่ถึงกับว่า ‘เราทิ้งความฝันไม่ได้นะ’ แต่เหมือน ‘เราจะล้มเลิกความรับผิดชอบที่มีต่อสาวๆ ไม่ได้’ มากกว่า และอีกสิ่งเกี่ยวกับเธอคือคำมั่นสัญญาที่เหนือกว่าชีวิตการแต่งงานของพวกเขา เธออุทิศตนเพื่อศาสนาและนั่นคือตัวตนของเธอค่ะ ตอนนี้เราจะเห็นผลลัพธ์ที่ได้ในสนามของการแข่งวิมเบิลดัล”

หลายปีก่อนที่ความพยายามของครอบครัวจะปรากฎในสนาม ได้มีสองสาวนักเล่นมือใหม่ผู้จะมาสร้างประวัติศาสตร์ในวงการเทนนิส ผู้สร้างภาพยนตร์รู้สึกว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการหานักแสดงที่จะมารับบทวีนัสและเซเรน่าตอนเป็นเด็ก ทิม ไวท์เล่าว่า “ความน่าสนใจคือซานีย์ยาและเดมี่ต่างเป็นคนที่เราเคยเห็นตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อนที่สตูดิโอจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยซ้ำ เราละพวกเธอออกจากความคิดไปไม่ได้ พอเรเข้ามามีส่วนร่วมและช่วยเรื่องเทปออดิชั่นทั้งหลาย ผมคิดว่าเขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าทั้งคู่เป็นผู้หญิงและนักแสดงที่มีความไม่ธรรมดา และเรารู้สึกโชคดีสุดๆ ที่ได้เจอพวกเธอ”

กรีนเล่าว่า “วีนัสเคยบอกว่าเธอยอมโดดเกมการแข่งเพื่อไปดูน้องสาวเล่น และเราคุยกันถึงเรื่องแมตช์สำคัญกัน เราได้เห็นว่าพวกเธอสนิทกันขนาดไหนทั้งในและนอกสนาม ซึ่งนั่นคือสิ่งสำคัญของเรื่อง มันเป็นความผูกพันของ

พวกเธอในแบบครอบครัว มันไม่ใช่เรื่องที่สร้างขึ้นมา มันคือเรื่องจริงที่เราเห็นจนถึงวันนี้ และเราโชคดีที่ซาไนยา ซิดนีย์และเดมี่ ซิงเกิลตันต่างมีเคมีตรงกันอย่างเป็นธรรมชาติ พวกเธอโตพอควรแล้วและเป็นนักแสดงที่มีความสดใสมากด้วย ทุกอย่างจะปรากฏให้เห็น พวกเธอถ่ายทอดความเป็นครอบครัวออกมาได้ดีเยี่ยม แต่เรื่องเคมีคือสิ่งที่เรานับว่าเป็นความโชคดี”

ไพรซ์เห็นด้วย “วีนัสมีความแกร่งสูงมาก ส่วนเซเรน่าจะมีอารมณ์รุนแรง การหานักแสดงที่ไม่แสดงท่าทางนั้นตลอดเวลา เพราะมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบุคลิกเป็นเรื่องสำคัญมาก เราไม่อยากให้ใครแสดงออกมามากเกินไป ซานีย์ยาและเดมี่กลายเป็นเพื่อนซี้กันในฉาก เพราะบุคลิกของพวกเธอลงตัวเข้ากันได้เป็นอย่างดี”

เอลลิสคือคนที่ออราซีนมองว่ามีความสำคัญพอๆ กับริชาร์ดสำหรับการวางแผนสู่ความสำเร็จ “มันมีฉากที่ออราซีนและริชาร์ดมีความเห็นขัดกัน ความงดงามคือออราซีนมั่นใจในตัววีนัสและเซเรน่าในเรื่องที่ริชาร์ดไม่มั่นใจ เขาอยากบงการพวกเธอ และลูกๆ รู้ดีว่าตัวเองพร้อมรับมือกับทุกความท้าทายแล้ว ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงการเข้าสู่เกมการแข่งขัน มันมีการยื้อกันระหว่างพ่อแม่ จากนั้นยังมีอีกมุมหนึ่งของโลกที่พวกเธออยากก้าวเข้าไปมีส่วนร่วมในนั้น ซานีย์ยาและเดมี่ต่างเป็นสาวที่มีความพิเศษ ครั้งแรกที่เข้าฉากกับพวกเธอคือตอนที่ต้องปล่อยให้เธอเป็นตัวของตัวเอง ส่วนฉันได้แต่อยู่เคียงข้าง มันเหมือนกับบทพิสูจน์ของพวกเธอ พวกเธอถ่ายทอดความลึกซึ้งนี้ออกมาได้อย่างงดงามมาก”

สำหรับการเข้าไปสวมบทบาทของวีนัสไม่ใช่เรื่องง่ายของซีดนีย์หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืนเลย เธอเล่าว่า “เดมี่กับฉันใช้เวลาร่วมกับอิชานานมาก พวกเรานั่งคุยกันเรื่องเซเรน่าและวีนัส ทำความรู้จักพวกเธอในฐานะคนธรรมดาไม่ใช่นักเทนนิส ได้เรียนรู้เรื่องราวชีวิตของเธอ เธอเป็นคนเงียบขนาดไหน มีความถ่อมตัวตั้งแต่อายุ

ยังน้อย ฉันได้เรียนรู้สิ่งที่เธอทำในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ทำประจำ เช่น ริชาร์ดจะให้พวกเธอจดไดอารี สิ่งที่เธอทำทุกวันนี้คือสิ่งที่เรียนรู้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก มันวิเศษมากที่ได้รู้ว่าเธอมีความน่ารัก ใจดี ใจกว้างขนาดไหน ฉันได้สัมผัสเธอในมุมของมนุษย์คนหนึ่ง เธอน่าทึ่งมากค่ะ”

ต่อมาเมื่อนักแสดงและนักเทนนิสชื่อดังได้พบกันระหว่างถ่ายทำ ยังคงมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างพวกเธอ ซิดนีย์เล่าถึงบทของผู้หญิงที่เธอเล่นว่า “เธอเป็นคนตลก ชอบขำ และสนุกสนานค่ะ ซึ่งพวกเราก็เป็นแบบนั้น เธออธิบายการเล่นของเธอในสนามมากขึ้น รวมถึงความรู้สึกในระหว่างได้คะแนน วิธีรับมือกับตัวเองระหว่างเล่น เธอไม่อวดตัวว่าเก่ง ทุกอย่างจะเก็บไว้อยู่ข้างใน เราจะเห็นได้จากใบหน้าของเธอ ในแววตาที่เหมือน ‘เสือ’ ของเธอ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เธออธิบายให้เราฟัง เราคุยกันเรื่องความผูกพันที่มีต่อเซเรน่า มันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันทำลายลงได้ มันยิ่งช่วยให้ฉันรู้วิธี ‘เทคแคร์’ เดมี่ที่เป็นเหมือนพี่น้องของฉัน เธอยังเล่าด้วยว่าเธอรักกีฬาขนาดไหน”

สำหรับซิงเกิลตันผู้รับบทเซเรน่าแล้ว นั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอทึ่งมาตลอด เธอเล่าว่า “มันรู้สึกเหมือนฝันเลยค่ะ เธอคือตำนานที่มีตัวตนจริง ฉันดีใจมากที่ได้สวมบทเธอและถ่ายทอดเรื่องราวออกมา ขณะเดียวกันก็กังวลด้วย เพราะฉันรู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น แต่ฉันต้องคิดว่ามันคืองาน สิ่งที่ฉันต้องทำออกมาให้ดีที่สุดคือการถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเธอออกมา เพราะไม่ค่อยมีเรื่องรวของพวกเธอให้พบเห็นมากนัก เรารู้แค่ว่าทั้งคู่คือนักเทนนิสที่เก่งเหลือเชื่อ แต่เราไม่รู้ว่าพวกเธอโตขึ้นมาแบบไหน ฉันเลยรู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือเราต้องถ่ายทอดออกมาให้ถูกต้อง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของพวกเธออย่างเหมาะสม”

ซิงเกิลตันรู้จักทั้งเซเรน่าและวีนัสครั้งแรกตอนอายุ 23 ซึ่งเป็นช่วงแชมป์ Grand Slam เธอเล่าถึงตอนนั้นว่า “เธอกับวีนัสคุยกันหลายเรื่องมาก พวกเธอทำอะไรกันบ้างตามประสาพี่น้อง และเซเรน่าชอบสร้างความปั่นป่วนให้คน

อื่นอยู่เรื่อย!” เธอหัวเราะ “มันน่าทึ่งมากที่พวกเธอสนิทกันขนาดนั้น และวิเศษมากที่ได้รู้จักพวกเธอในฐานะคนธรรมดา เพราะเรารู้จักพวกเธอในฐานะคนดัง การได้พูดคุยกับเธอคือสิ่งที่มีค่ามากค่ะ”

โทนี่ โกลด์วิน แคสต์พอล โคเฮนมารับบทโค้ชมืออาชีพคนแรกของวีนัส และยังได้ความโชคดีเรื่องข้อมูลอีกด้วย โกดล์วินเล่าว่า “พอลเป็นโค้ชมือหนึ่งช่วงยุค 70 80 และ 90 ตอนที่เขาได้ร่วมงานกับจอห์น แม็คเอ็นโร และ พีท แซมพราส เขายังเป็นโค้ชให้กับนักกีฬาจูเนียร์ที่ประสบความสำเร็จอีกหลายคน ริชาร์ด วิลเลียมส์เคยเห็นเขาบนนิตยสารเทนนิสตอนที่เป็นโค้ชของแม็คเอ็นโร เรส่งข้อมูลที่พบมาให้ผมเยอะมาก แต่ผมได้ติดต่อเขาด้วยตัวเอง ผมส่งอีเมล์ไปหาเขาและเล่าเรื่องโปรเจ็กต์ ซึ่งเขาให้ความช่วยเหลือและใจดีมาก เขาเป็นคนที่อัจฉริยะอย่างไม่ธรรมดาเลย ผมไม่ได้คุยเรื่องบทกับเขามากนัก แต่สิ่งที่ผมอยากได้ยินจากเขาคือเรื่องชีวิต มุมมอง และตัวตนที่แท้จริงของเขา

“ในภาพยนตร์จากมุมของพอล” นักแสดงชายเล่าต่อว่า “บุคลิกของริชาร์ดมีความัดเจน และมีไอเดียที่มุ่งมั่นว่าทุกอย่างควรเป็นไปตามทิศทางไหน ริชาร์ดจัดการทุกอย่างตามสัญชาตญาณตัวเองเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก แน่นอนว่าไม่ได้รู้อะไรอย่างที่พอลรู้ แต่พอลยอมรับว่าริชาร์ดทำทุกอย่างจากความรักและการสนับสนุน อย่างไรก็ตามเขาคือคนทำให้สาวๆ ไปถึงจุดที่พวกเธออยู่ ต้องนับถือตรงจุดนั้นอย่างมาก แม้ว่าพอลต้องทำหน้าที่จัดการควบคุมริชาร์ด แต่ทั้งหมดเป็นไปด้วยความเคารพ”

จอน เบิร์นธัลรับบท ริค แม็คซี่ กูรูในวงการเทนนิสแห่งตำนาน นักแสดงชายพบว่าตัวเองมีความผูกพันกับเนื้อเรื่องในหลายระดับ เบิร์นธัลอธิบายว่า “ผมคิดว่าอาจมีหลายเรื่องที่ผมเข้าใจริชาร์ด วิลเลียมส์ ในฐานะของพ่อแม่ที่ให้ความทุ่มเทสนใจด้านกีฬา เพราะผมเองก็เป็นพ่อของนักกีฬา มันแทบเป็นสิ่งที่อยู่ในลมหลายใจ มันมีหลายเรื่องทั้งลูกๆ การเล่นกีฬา หน้าที่ของพ่อ ความกดดัน ซึ่งเรกับผมเข้าใจประเด็นนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการ

ทำหน้าที่พ่อ นันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของผมเลย และเราเลี้ยงดูลูกๆ ที่เป็นนักกีฬาของเรา เราต้องนึกภาพว่าแบบไหนถึงจะออกมาดีที่สุด กีฬาทำให้ลูกๆ มีโอกาสเรียนรู้บทเรียนชีวิตที่น่าทึ่งหลายอย่าง ได้พบกับมิตรภาพที่ลึกซึ้งและมีความหมาย ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้

“ริคได้พบกับความพิเศษอย่างเหลือเชื่อ ไม่ใช่แค่สิ่งที่อยู่ในตัวสาวๆ แต่รวมถึงครอบครัวนี้ด้วย” เบิร์นธัลเล่าต่อว่า “สัญชาตญาณ ความมุ่งมั่น และวิธีการทำงานของพวกเธอ ความรักที่มีให้กัน สมาคมของริคมีความเป็นครอบครัวสูงมาก เขามอบความรักและความสนใจให้กับทุกคนที่นั่น ตั้งแต่เด็ก 4 ขวบไปจนถึง 20 ขวบ ผมอยากทำให้เขาดูเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองเช่นเดียวกับริชาร์ด สำหรับผมแล้วมันเหมือนการทำสมาธิในการสวมบทของพ่อ และบทบาทของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยยอมแพ้ ทำหน้าที่ของพ่อแม่อย่างมุ่งมั่นชัดเจน ผมว่ามันเป็นเรื่องที่งดงามและอยากมีส่วนร่วมในนั้น”

และสิ่งสำคัญในเรื่องครอบครัวนี้คือ “บรรดาพี่สาว” ของวีนัสและเซเรน่า ผู้สร้างภาพยนตร์เห็นภาพนั้นในตัวของไมเคย์ลา ลาเช บาร์โธโลมิว, แดเนียล ลอว์สัน และเลย์ลา ครอว์ฟอร์ด ผู้มารับบททูนเด อิชา และลินเดรีย ไพรซ์ ส่วนดีแลน แม็คเดอร์ม็อตต์ รับบท จอร์จ แม็คคาร์เธอร์ ตัวแทนผู้มีส่วนร่วมด้านกีฬา

ผู้กำกับฯ กรีนพูดติดตลกว่า “ผมคิดว่า ‘ผมไม่เคยเห็นสาวผิวสี 5 คนบนรถ V.W. มาก่อนเลย’ และมันรู้สึกน่าทึ่งมากที่ถ่ายทอดภาพนั้นสู่หน้าจอได้ การที่มีนักแสดงทีมนี้ทำให้ครอบครัวนี้เป็นรูปร่างขึ้นมาได้ สาวๆ รักกันและคอยปกป้องกันและกัน นั่นคือความรู้สึกเดียวกับที่ผมมีต่อพี่น้อง ผมมีความสุขที่ได้มีส่วนร่วมและได้ถ่ายทอดภาพนี้ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาได้”

 

เทนนิส: การสร้างเกมการแข่งขันขึ้นจริง

 

สำหรับการถ่ายทอดเกมการแข่งขันเทนนิสของพวกเขาขึ้นมาบนหน้าจอ ผู้สร้างภาพยนตร์รู้สึกอินไปกับโปรแกรมการฝึกฝนนักแสดงวัยรุ่นของพวกเขา สมิธอธิบายว่า “สำหรับซานีย์ยา เธอต้องรับหน้าที่หลายอย่าง เธอไม่ใช่คนเล่นเทนนิส เธอเข้ามาร่วมงานและต้องเรียนรู้วิธีเล่นเทนนิส และในฐานะนักแสดงสิ่งที่ทำให้ผมทึ่งในตัวซานีย์ยาคือการใช้มือซ้าย เธอไม่ได้เรียนรู้แค่วิธีการเล่นเหมือนนักเทนนิสที่เก่งสุด แต่ต้องเรียนรู้วิธีการใช้มือด้วย ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากครับ”

ซิดนีย์และซิงเกิลตันอยู่ในสนามร่วมกับ อีริค ไทโน ผู้มาร่วมงานในฐานะของที่ปรึกษาด้านเทนนิส อดีตผู้เล่นในเกม ATP Tour และเอาชนะโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ได้ ทิม ไวท์เองก็มีส่วนช่วยทำความเข้าใจด้านเทคนิคเทนนิสของเขา ในช่วงแรกซิดนีย์ต้องฝึกซ้อมร่วมกับไทโนเป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์

ไพรซ์กล่าวเน้นย้ำ “ในการเข้าถึงเลเวลเดียวกับน้องสาวของฉัน ต้องอาศัยเวลาฝึกฝนนานนับหลายปีค่ะ ฉะนั้นการมีนักเทนนิสตัวจริงมาแสดงแทนคือสิ่งสำคัญ ฉันคิดว่าไม่มีหนังเกี่ยวกับเทนนิสในอดีตเรื่องไหนจำเป็นต้องถ่ายทอดเส้นทางสู่การเป็นนักกีฬาแบบนี้มาก่อน ทุกคนดูการเล่นเทนนิสและคิดว่า ‘มันก็แค่การตีลูกบอล…’ จนกระทั่งพวกเขาได้จับไม้เทนนิสถึงคิดว่า ‘เดี๋ยวก่อนนนะ ต้องมีวิธีการควบคุมด้วยใช่มั้ย? ต้องเล่นให้อยู่ในช่องนั้นใช่มั้ย? และต้องใช้แรงด้วยใช่มั้ย? แล้วถ้ามันลงมาด้านล่างล่ะ? ฉันต้องใช้ท็อปสปินใช่มั้ย? นั่นแค่เรื่องทางร่างกาย ฉันยังต้องใช้ความคิดในสนาม ต้องวิ่งและทำทุกอย่างในเวลาเดียวกันหรอ?’”

กรีนเล่าความเห็นว่า “แม้ว่าพวกเธอจะไม่ใช่นักเทนนิสแต่แรก ซานีย์ยาและเดมี่ก็เป็นนักกีฬา และเราสามารถใช้เรี่ยวแรงความสามารถที่เป็นธรรมชาติของพวกเธอดไ พวกเธอวิ่ง หวดและถือไม้เทนนิสในระดับที่ทำให้ดูน่าเชื่อถือได้ เราพบกับนักแสดงแทนที่เก่งอย่างที่หนังทุกเรื่องควรจะมี เพื่อทำให้เกมการเล่นดูสมจริงได้มากที่สุด พวกเธอเป็นนักกีฬาอาชีพและต่างได้แรงบันดาลใจจากวีนัสและเซเรน่า แต่สาวๆ ทุกคนทำให้เราเซอร์ไพรส์กับฝีมือที่เก่งของพวกเธอเอง”

ซิดนีย์หัวเราะ “ในช่วงแรกมันค่อนข้างแย่ค่ะ ต้องเรียนรู้ด้านกีฬาบวกกับฉันถนัดมือซ้ายด้วย มันต้องอาศัยระยะเวลานาน แต่ฉันดูวีดีโอย้อนหลังแล้วก็เห็นว่าตัวเองมาไกลขนาดไหน”

ซึ่งไม่น่าเสียใจเลยที่ได้ความเห็นต่างๆ จากวีนัส วิลเลียมส์โดยตรง ซิดนีย์เล่าต่อว่า “เธอแสดงให้ดูว่าเธอตีแบบไหน การใช้ข้อมือด้วยท่าแบ็คแฮนด์ การยืดแขนออกไปเวลาตีหงายฝ่ามือ ลักษณะท่าเดินของเธอ ฉันต้องเรียนรู้ทุกอย่าง การที่มีเธออยู่ตรงนั้นด้วยมันช่วยได้มากเลยค่ะ หน้าที่ของฉันคือต้องศึกษาทุกอย่าง ถ้าสงสัยอะไรก็ถามได้ ‘ถ้าเป็นแบบนี้วีนัสจะทำอย่างไร?’ ซึ่งเธอก็อยู่ตรงนั้นคอยทำให้ฉันเข้าใจ ขอบคุณมากเลย!”

ทิม ไวท์กล่าวสนับสนุน “อีริคกับผมต่างเป็นนักเล่นเทนนิส และอิชาก็มาจากครอบครัวนักเทนนิสที่มีความสำคัญมาก แน่นอนว่ามันมีความกดดันเรื่องการถ่ายทอดความถูกต้อง ซึ่งผมคิดว่าเราทำได้นะ”

ด้วยแต่ละช่วงวัยของสาวๆ และเรื่องราวต่างๆ ในภาพยนตร์ พวกเขาพบว่าตัวเองประสบความสำเร็จในการหาสนามเทนนิสได้ดี เทรเวอร์ ไวท์อธิบายว่า “ในเรื่องนี้มีเรื่องราว 3 ส่วน: ลอสแองเจลิส แคมป์ตันและคันทรี่คลับเทนนิสเวิล์ด Rick Macci Academy ในฟลอริด้า และมีโปรทัวร์”

ทิม ไวท์เล่าว่า “สำหรับที่ฟลอริ้ด้า เราถ่ายทำกันที่ Racquet Club of Irvine เราโชคดีที่พบสนามแห่งนี้ Dignity Health Sports Park ที่คาร์สัน ด้วยขนาดและขอบเขตของมันมีความกว้างใหญ่มาก และเราใช้ที่นั่นสำหรับฉากการแข่งโปรทัวร์ ส่วนที่คอมป์ตันเราไม่อยากจำลองที่ไหนขึ้นมาใหม่ เรารู้สึกว่าต้องไปถ่ายทำกันที่นั่นจริงๆ เพราะที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

สถานที่เล่นเทนนิสยังรวมถึงที่ Claremont, Camarillo และ Westlake ซึ่งทุกแห่งง่ายต่อการขับรถจากลอสแองเจลิส

“การจะเป็นนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพได้ต้องผ่านอะไรหลายอย่าง” ไพรซ์กล่าวสรุป “และขอพูดตามตรงว่าน้องสาวของฉันคือผู้เปลี่ยนเกมค่ะ พวกเธอเปลี่ยนมันเพราะพ่อของฉันไม่เหมือนใคร เขาเลือกที่จะเพาะเมล็ดพันธุ์นี้ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดหรือพูดอย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้คือพวกเธอมีพลังและมีความสามารถอย่างที่ไม่เคยเห็นในนักเทนนิสหญิงคนไหนมาก่อน นั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับเราที่ได้เห็นบนจอค่ะ”

หวนสู่ยุค 90: การออกแบบ การเตรียมความพร้อม การถ่ายทำ

 

ผู้สร้างภาพยนตร์สังเกตจากหัวหน้าแผนก ผู้ออกแบบฉากฯ วินน์ โธมัส และ วิลเลียม อาร์โนลด์ รวมถึงผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายชาเร็น ดาวิส ที่ช่วยเหลือเรื่องการย้อนเวลา โดยต้องร่วมงานกับผู้กำกับภาพ โรเบิร์ต เอลส์วิต เพื่อทำให้ครอบครัวของวิลเลียมส์อยู่ในฉากของปี 1990 อย่างสมจริง สิ่งสำคัญของการย้อนเวลาและช่วยให้สมิธ

เข้าถึงตัวละครวิลเลียมส์ คือหัวหน้าแผนกเมคอัพ จาเซนด้า เบอร์เค็ตต์ และผู้ชำนาญด้านการแต่งหน้าและวัสดุแต่งหน้าเทียมสำหรับสมิธ, จูดี้ เมอร์ และเค็นทาโร่ ยาโน่ ตามลำดับ

เรนัลโด้ มาร์คัส กรีน เล่าถึงการแปลงโฉมของสมิธว่า “เขาดูแก่ขึ้นอย่งสมจริง เรายังคงดูออกว่านั่นคือวิล แต่ไม่ใช่แบบที่เราเคยเห็นเขามาก่อน วิลต้องสวมบทบาทตัวละครและฝึกสำเนียงแบบทางตอนใต้ มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่เหมือนริชาร์ดมาก สำหรับการแปลงโฉมที่เห็นได้จากภายนอก ผมคิดว่ามันเหลือเชื่อมากครับ วิลลบภาพของตัวเองกลายเป็นตัวละครนั้นไปเลย”

เมอร์ด็อคได้กล่าวย้ำว่า “ช่วงแรกเราคิดว่าจะใช้การแต่งหน้าเทียมอย่างเต็มตัว จากนั้นเราคิดถอยหลังออกมาหน่อย เหลือเพียงการแต่งหน้าเทียมบางส่วน จากนั้นเราเลือกให้ยังคงความเป็นวิล เพื่อถ่ายทอดบทบาทได้อย่างเป็นธรรมชาติและใช้ของเทียมมาเสริมเพียงนิดหน่อยเท่าที่จำเป็น จนในที่สุดเราเก็บรายละเอียดหลายอย่างได้ โดยที่เราแทบไม่รู้เลยว่าเขาคือใคร เวลามองที่เขาเราจะไม่รู้สึกว่าเป็นการแต่งหน้าล้อเลียน แต่จะเห็นเอกลักษณ์สำคัญของความเป็นริชาร์ด ซึ่งเป็นสิ่งที่วิลถ่ายทอดออกมาได้ด้วยตัวเอง”

แม้ว่าสมิธจะแสดงสีหน้าส่วนใหญ่ด้วยตัวเอง แต่ก็มีบางส่วนที่เขาคิดว่าเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการแปลงโฉม: “กางเกงขาสั้นคือสิ่งที่ทำให้ผมคลิกกับบทริชาร์ดมากครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่กางเกงขาสั้นคือสิ่งที่สบายมากและเป็นลุคการเล่นเทนนิสของเขา กางเกงขาสั้นที่พอดีตัวกับถุงเท้าข้อสูงช่วยให้ผมเข้าถึงจินตนาการของคิง ริชาร์ดได้จริงๆ” นักแสดงกล่าวพร้อมหัวเราะ

“ผมคิดว่าริชาร์ดเลือกแล้วว่าจะเป็นโค้ช และทุกลุคของเขาดูเหมือนลุคของโค้ชมาก” ดาวิสอธิบาย “เขาเรียนรู้และพิจารณาโค้ชทุกคนในทุกเกมการแข่งขันเทนนิส และเขาสวมกางเกงขาสั้นแบบโค้ชด้วย เสื้อผ้าของเขาสะท้อนออกมาแบบนั้นและเขาไม่เคยลังเล เว้นแต่ช่วงที่เขากำลังใช้ชีวิตบนเส้นทางของตัวเอง”

เอลลิสเองก็ไม่ต่างกับสมิธที่ค้นหาข้อมูลต่างๆ เพื่อช่วยให้เธอเข้าถึงตัวละครได้ เธอยอมรับวา “ฉันฟังเทปบันทึกของคุณออราซีนเยอะมากค่ะ ฉันได้อะไรหลายอย่างจากมัน และเรายังมีอิชาที่มาทำหน้าที่ผู้ดูแลเบื้องหลังด้วย เวลาที่เรามีไอเดียบางอย่างอยากลองทำ บางครั้งเธอจะบอกว่า ‘ฉันชื่นชมในความพยายามของคุณนะ แต่อย่าเลย เรื่องจริงไม่ใช่แบบนั้น’ เธอไม่ได้พยายามคงความสมจริงของเรื่องเพียงอย่างเดียว ยังรวมถึงบุคลิกภายนอกด้วย แต่เธอทำได้เพียงแนะแนวให้เรา พวกเขามีความเป็นครอบครัววิลเลียมส์ในแบบของตัวเองอยูแล้ว เธอช่วยให้เราคงสภาพทุกอย่างเอาไว้ เธอมีความหมายต่อพวกเรามาก คอยอยู่เคียงข้างไม่ทำให้เราไม่หลุดออกนอกเส้นทาง”

ผู้สร้างภาพยนตร์ฯ ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากไพรซ์สำหรับ “ผู้ร่วมเหตุการณ์” ในด้านของวีนัสและเซเรน่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยเรื่องสถิติในประวัติศาสตร์ที่สำคัญด้วย สำหรับละซิงเกิลตัน ดาวิสเริมสร้างบอร์ดรูปภาพไว้ทั่วห้องเครื่องแต่งกาย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสองสาวที่เกิดขึ้นในชีวิตพวกเธอ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ค้นหาได้ง่ายบนอินเตอร์เน็ต แต่เสื้อผ้าในยุคนั้นหาซื้อได้ไม่ง่ายแล้ว ดาวิสอธิบายว่า “โลกของแฟชั่นปลายปี 1980 และ 90 เปลี่ยนแปลงทุก 2-3 ปี เสื้อผ้าแบบนั้นไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว ชุดเทนนิสที่เราหาได้จริงมาจากผ้าของเราเอง เราออกแบบตามนั้นเพื่อสะท้อนภาพออกมาแบบเดียวกัน แต่รองเท้าล่ะ? ใครจะมีรองเท้าที่มีอายุนานนับ 40 ปีกัน? จากรูปในประวัติที่มี 4 ใบ นี่คือเรื่องที่มีความท้าทายมาก ต้องอิงจากสิ่งที่ทุกคนสวมใส่กันจริงๆ ในยุคนั้น เราไม่สามารถ

ออกแบบความแปลกใหม่ได้มากมายนัก มันกลายเป็นเรื่องของตามล่าของ สะกดรอยตามหาเสื้อผ้าแบบดั้งเดิมไปเลย”

และสำหรับเสื้อผ้าทั่วไปของครอบครัว ดาวิสอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ครอบครัวมีลูก 5 คน มีการคิดผลิตเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ร่วมกันได้ “เพื่อแสดงให้เห็นลักษณะของครอบครัวแนวนั้น และความรักของครอบครัว สาวๆ จึงใช้เสื้อผ้าร่วมกันเวลาอยู่ในบ้าน”

 

เกมสุดท้าย

 

การถ่ายทำเรื่อง “King Richard” เริ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2020 ในคอมป์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย ช่วงบ่ายแสนสวยทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียพร้อมนักแสดงที่จะเข้าฉาก สมิธขับรถ VW ปี 1978 ไปยังสนามเทนนิสที่อยู่ไม่ไกลในคอมป์ตัน สาวๆ ทั้ง 5 คนอยู่บนรถเพื่อเริ่มลงมือฝึกซ้อมการเล่นขอวีนัสและเซเรน่า ผู้กำกับฯ กรีนจินตนาการเห็นภาพรถบัสคันนั้นและมันก็โผล่ขึ้นมาได้จริง

สมิธพูดเหมือนกรีนถึงเรื่องการเห็นภาพซีนีย์ยา ซิดนีย์ และ เดมี่ ซิงเกิลตันว่า “ผมจำวันแรกที่เราเห็นพวกเธอเดินมาด้วยกันได้ ทั้งคู่แยกกันมาแคสต์บท มันทำให้ผมถึงกับมีน้ำตาเลย สำหรับสาวๆ ที่มีโอกาสได้สวมบทวีนัสและเซเรน่า พวกเธอโตมาพร้อมกับการดูทั้งคู่ นี่จึงเป็นโอกาสที่พวกเธอจะคว้าโอกาสและแสดงพรสวรรค์ที่มีออกมา… ผมรู้สึกอินไปด้วยมากๆ”

ทีมงานและนักแสดงได้ย้ายการถ่ายทำในวันที่ 10 มีนาคมไปยังบ้านหลังเล็กที่กลางลอสแองเจลิส วีนัสและเซเรน่า วิลเลียมส์ได้เดินทางมาเยี่ยมกองถ่าย พวกเธออยู่ที่แคลิฟอร์เนียเพื่อร่วมแข่งขัน Indian Wells (ที่มีการยกเลิกการแข่งขัน) ไพรซ์ได้นัดวางแผนเพื่อพบเจอกัน วีนัสมาถึงคนแรกก่อนที่เซเรน่าจะตามมาเพียงไม่นาน

ระหว่างพักเบรกการถ่ายทำ นักเทนนิสแห่งตำนานได้เข้ามาที่บ้านและได้รับการแนะนำให้รู้จักกับวิลและทีมนักแสดง จากนั้นทีมงานได้หยุดพักและมีการถ่ายรูปกันที่ด้านหลัง โดยมีพี่น้องวิลเลียมส์ตัวจริงอยู่ท่ามกลางพี่น้องและ “ครอบครัว” ในหนัง

หลังจากนั้นได้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น เมื่อการถ่ายทำ “King Richard” ต้องหยุดชะงักลงในอีก 5 วันถัดมา

เทรเวอร์ ไวท์เล่าถึงช่วงที่พักเบรกกันยาวนานแบบนั้นว่า “เรจัดการประชุมกันทางซูมประจำทุก 2 เดือนร่วมกับนักแสดงและผู้อำนวยการสร้างฯ ของเรา ส่วนเราจะมาประชุมกันทุก 2 สัปดาห์และเช็คดูว่าทุกคนเป็นอย่างไรกันบ้าง”

การถ่ายทำเริ่มกลับมาอีกครั้งวันที่ 19 ตุลาคมที่ Century City และปิดกล้องวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคมใน Santa Clarita หลังการถ่ายท 50 วัน

แม้ว่าหลายวันนั้นจะใช้สถานที่ทั้งในและรอบสนามเทนนิส วิล สมิธผู้ทำหน้าที่ควบ 2 บทบาทได้ยืนยันว่า “นี่ไม่ใช่หนังเกี่ยวกับเทนนิส นี่เป็นหนังเกี่ยวกับครอบครัว ความเชื่อ ความรัก และชัยชนะ แน่นอนว่านี่เป็นหนังที่มีการผสมผสานกันแบบหาได้ยาก ระหว่างคนที่เป็นนักเทนนิสชื่อดังระดับโลกกับหนังที่เรื่องเทนนิสรองลงมาเป็นอันดับที่ 6 ผมผ่านเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตคนมาหลายครั้งแล้ว เรารู้ว่าตรงนั้นมีผู้ชมเพียงรายเดียวคือครอบครัว ครอบครัวที่เรากำลังถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขาออกมา อิชา ไพรซ์มาเข้าฉากทุกวัน ส่วนวีนัสและเซเรน่ามีส่วนร่วมในทุกย่างก้าวที่

สำคัญ จนสุดท้ายได้รับการยอมรับจากครอบครัวหลังจากที่ทุกคนได้ดูหนัง ผมรู้สึกเลยว่า ‘ฉันทำได้แล้ว! ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว’”

เรนัลโด มาร์คัส กรีน กล่าวสรุปว่า “หนังเรื่องนี้เป็นมุมมอง 3 มุมเกี่ยวกับมนุษย์ที่มองโลกในแบบที่คิดว่าตัวเองรู้จักดี รวมถึงในมุมของคนเป็นพ่อและนักแสดง วิลถ่ายทอดออกมาได้ดี มีความสมดุลทั้งบทบาทพ่อแม่และช่วงเวลาที่เรียกความสนใจได้ ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นทั้งสามี คุณพ่อ ผู้ปกป้องสาวๆ และเส้นทางการเติบโตของพวกเธอ ครอบครัวนี้ต้องทุ่มเทกันอย่างหนักทั้งในและนอกสนามกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ ชาร์ดเป็นคนวางแผน แต่ทุกคนช่วยกันทำตามแผนนั้น”

—kingrichard—

 

 

ประวัตินักแสดง

 

วิลล์ สมิธ (ริชาร์ด วิลเลียมส์) นักแสดง ผู้อำนวยการสร้างฯ นักดนตรี ผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award สองสมัย เจ้าของรางวัล Grammy Award และ NAACP Image Award ที่สนุกสนานกับภาพยนตร์หลากหลายแนว รวมถึงผลงานทางทีวี และสถิติอีกมากมาย เขามีบริษัทสื่อของตัวเองในปี 2019 ชื่อ Westbrook Inc. สมิธผลักดันโปรเจ็กต์ที่กระตุ้นศิลปินถ่ายทอดเรื่องราวที่จะสะท้อนถึงผู้ชมทั่วโลก

เขาเริ่มจากการเป็นแรปเปอร์เมื่อปี 1985 โดยมีชื่อเสียงจากการรับบทในเรื่อง “The Fresh Prince of Bel-Air”, “I Am Legend,” the “Bad Boys” และซีรีส์ “Men In Black”, “Hitch” และล่าสุด “Aladdin” ผลงานภาพยนตร์ของเขาอีกมากมายยังรวมถึงการแปลงโฉมเป็นคนดังในชีวิตจริงจากเรื่อง “Ali” และ “The Pursuit of Happyness” ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award และเรื่อง “Concussion” สมิธเพิ่งอำนวยการสร้างฯ และแสดงในผลงานยอดนิยมในบ็อกซ์ออฟฟิศปี 2020 เรื่อง “Bad Boys for Life” อำนวยการสร้างฯ และแสดงในผลงานทาง HBO Max เรื่อง “The Fresh Prince of Bel-Air” ซึ่งเป็นผลงานพิเศษสำหรับ 30th Anniversary Reunion เขายังอำนวยการสร้างบริหารฯ และแสดงในผลงานซีรีส์สารคดี 6 ตอนทาง Netflix เรื่อง “Amend: The Fight for America”

ตอนนี้สมิธกำลังถ่ายทำโปเร็จกต์ของ Apple แนวแอ็คชั่นทริลเลอร์ “Emancipation” กำกับฯ โดยแอนทวน ฟูควา อำนวกยารสร้างฯ โดย Westbrook Studios ของเขา Westbrook Inc. houses Westbrook Studios, Westbrook Media สตูดิโอผลิตคอนเทนต์ดิจิตอล โซเชียลมีเดีย และมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์แบรนด์ให้ตอบโจทย์

กับธุรกิจผู้บริโภค Good Goods สมิธและภรรยาของเขาได้กอตั้งมูลนิธิ Will and Jada Smith Family Foundation เพื่อพัฒนาสังคม ช่วยด้านการศึกษาของเด็ก และเด็กด้อยโอกาสรวมถึงครอบครัวของพวกเขา

 

อันจานู เอลลิส (ออราซีน “แบรนดี้” วิลเลียมส์) ได้เข้าชิงรางวัล Emmy Award สาขา Outstanding Performance by a Supporting Actress in a Drama Series จากผลงานทาง HBO ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ “Lovecraft Country” เข้าชิงรางวัลเป็นครั้งที่ 2 ในช่วง 3 ปี โดยครั้งงแรกเป็นสาขา Outstanding Actress in a Limited Series จากผลงานของเอวา ดูเวอร์เนย์ เรื่อง “When They See Us” การแสดงของเธอในเรื่อง “Lovecraft Country” ยังทำให้ได้เข้าชิงรางวัล NAACP Image Award อีกด้วย

เร็วๆ นี้กำลังจะมีซีรีส์ทาง AMC เรื่อง “61st Street” แสดงคู่กับคอร์ทนีย์ บี. แวนซ์ ผลงานของเธอทาง Lifetime เรื่อง “The Clark Sisters: First Ladies of Gospel” ทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัล NAACP Award สาขา Actress in a Television Movie, Mini-Series or Dramatic Special

ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของเธอ ได้แก่ “If Beale Street Could Talk,” “The Birth of a Nation,” “Pimp,” “Miss Virginia,” “The Help” และมินิซีรีส์ทาง E-One/BET “The Book of Negroes” ที่เธอเข้าชิงรางวัล Outstanding Actress in a Miniseries ในงาน 2015 Critics Choice Awards และ 2016 NAACP Awards และได้รับรางวัล Gracie Award สาขา Best Actress in a Leading Role in a Made for TV Movie or Limited Series

 

ซาไนยา ซิดนีย์(วีนัส วิลเลียมส์) กำลังจะรับบทซาช่า โอบามา ในซีรีส์ทาง Showtime เรื่อง “The First Lady” คู่กับวิโอลา เดวิส และ มิเชล ไฟเฟอร์

ปี 2016 ซิดนีย์แสดงคู่กับเดวิสและเดนเซล วอชิงตันในภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Oscar เรื่อง “Fences” ปีเดียวกันนั้นเธอได้แสดงคู่กับทาราจี พี. เฮนสัน ในภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Oscar เรื่อง “Hidden Figures” ที่เธอได้รับรางวัล Screen Actors Guild (SAG) Award สาขา Best Ensemble ซิดนีย์ยังรับบทแสดงนำในซีรีส์ทาง FOX เรื่อง “The Passage” คู่กับมาร์ค-พอล กอสเซลาร์ เธอเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 8 ขวบในบทคิซซี่ตอนเด็ก ในผลงานรีเมคทาง History Channel จากผลงานคลาสสอคของอเล็กซ์ ฮาลีย์ เรื่อง “Roots”

 

เดมี่ ซิงเกิลตัน (เซเรน่า วิลเลียมส์) นักแสดงหญิง นักร้อง และนักเต้นจากนิวออลีนส์ รัฐหลุยเซียน่า เธอย้ายมาที่นิวยอร์คตอนอายุ 3 ขวบ เริ่มฝึกฝนด้านศฺลปะร่วมกับครูที่เก่งในนิวยอร์คด้านดนตรี การเต้น และการแสดง เธอได้เรียนบัลเลต์คลาสสิคตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และเริ่มเล่นเชลโลตอนอายุ 4 ขวบ ซิงเกิลตันเรียนที่โรงเรียนสอนดนตรีสำหรับเด็กในบรูคลิน นิวยอร์คเป็นเวลา 6 ปี โดยเธอได้ศึกษาด้านการเล่นดนตรีจากการได้ยิน

ตอนอายุ 9 ขวบเธอร่วมการแสดงบรอดเวย์ที่มีนักแสดงเด็ก และตัดสินใจว่าจะเลือกเส้นทางการแสดงเวที 1 ปีต่อมาเธอได้ร่วมกับทีมนักแสดงของแอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ ในเรื่อง “School of Rock – The Musical” ในบรอดเวย์เป็นเวลาเกือบ 1 ปีก่อนจะมาร่วมงานในผลงานของ Disney เรื่อง “The Lion King” ในบรอดเวย์ด้วยบทนาลาตอนเด็ก ก่อนจะจบ “The Lion King” เธอได้ร่วมกับทีมนักแสดงจากเรื่อง “Godfather of Harlem” นำโดยเจ้าของรางวัล Academy Award ฟอเรสต์ วิตเทกเกอร์ ในบทหลานของเขา (มาร์กาเร็ต จอห์นสัน)

ซิงเกิลตันมีความสุขกับการฟังเพลงป๊อป แจ๊ซ และฮิปฮอป เธอเดินทางรอบโลกและเรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมที่แตกต่างเธอกำลังศึกษาภาษาจีนแมนดาริน ภาษาสเปน และกำลังจะเรียนอีกหลายภาษา ครอบครัวของเธอมาจาก ฮอนดูรัสแห่งอเมริกากลาง และเกาะทางตะวันตกของอินเดียแห่งโดมินิก้า เธอหวังว่าสักวันจะกลายเป็นผู้ใจบุญที่ช่วยเหลือผู้ที่ยากไร้ อดอยาก และให้การศึกษาด้านศิลปะแก่เด็กๆ เธอมักจะใช้เวาลส่วนใหญ่กับครอบครัวและเพื่อนๆ ของเธอ

 

โทนี่ โกลด์วิน (พอล โคเฮน) นักแสดง ผู้กำกับฯ และผู้อำนวยการสร้างฯ ที่เพิ่งปิดกล้องจากซีรีส์ของ NatGeo เรื่อง “The Hot Zone: Anthrax” ที่สำรวจเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2001 เหตุการณ์หลายอาทิตย์หลังจาก 9/11 เมื่อสหรัฐฯ ถูกพวกก่อการร้ายก่อกวน ก่อนหน้านี้โกลด์วินเคยเป็นแขกรับเชิญขโมยซีนในผลงานทาง HBO เรื่อง “Lovecraft Country” และร่วมแสดงกับอูม่า เธอร์แมนในซีรีส์ Netflix “Chambers” นอกจากนั้นเขายังรับบทประธานาธิบดี ฟิตซ์เจอรัลด์ แกรนต์ ในผลงานของชอนด้า ไรเมส “Scandal” หลังจากมีการฉาย 7 ฤดูกาล

ผลงานที่มีชื่อเสียงของโกลด์วิน ได้แก่ “Mark Felt: The Man Who Brought Down the White House,” “The Belko Experiment” และ “Divergent” เขาได้รับความสนใจจากผู้ชมครั้งแรกในผลงานที่สร้างรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่อง “Ghost” เขายังแสดงในผลงานอีกหลายเรื่อง เช่น “The Pelican Brief,” “Kiss the Girls,” “Nixon,” “The Substance of Fire,” “The Last Samurai” และผลงานรีเมคจากผลงานคลาสสิคของเวส คราเวน “The Last House on the Left” เขาเป็นที่คุ้นหูของเด็กจากการให้เสียงพากย์ตัวละครหลักในเรื่อง “Tarzan”

ผลงานเบื้องหลังกล้องโกลด์วินได้รวมสร้างฯ กำกับฯ และอำนวยการสร้างบริหารฯ ซีรีส์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ “The Divide” สำหรับ AMC Studios

นอกจากด้านการแสดงแล้ว โกลด์วินยังกำกับผลงานอีกหลายตอนของ “Scandal” รวมถึง “Chambers” ผลงานการกำกับทางทีวีที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “Dexter,” “Justified,” “Law & Order,” “Damages,” “Grey’s Anatomy,” และ “The L Word” รวมถึงอีกหลายเรื่อง

โกลด์วินกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกคือ “A Walk on the Moon” ฉายครั้งแรกในงาน Sundance Film Festival ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และได้รับการยอมรับจาก National Board of Review for Excellence in Independent Filmmaking

ผลงานการกำกับฯ เรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “The Last Kiss” ที่โกลด์วินได้รับรางวัล Best Director จาก Boston Film Festival และผลงานโรแมนติกคอมเมดี้ “Someone Like You” ความทุ่มเทล่าสุดของเขาในเรื่อง “Conviction” นำแสดงโดยฮิลารี่ ชแวงค์ และ แซม ร็อคเวล ทำให้ชแวงค์ได้เข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild (SAG) Award ได้รับรางวัล Best Film ในงาน Boston Film Festival และได้รับรางวัล Freedom of Expression จาก National Board of Review

ผลงานทางทีวีเรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “The Good Wife,” “Dexter,” “Law & Order: Criminal Intent,” “Without A Trace,” “The L Word” มินิซีรีส์ทาง HBO “From The Earth To The Moon,” “Frasier,” “Murphy Brown” และ “Designing Women”

โกลด์วินเริ่มการแสดงจากละครเวที โดยทำการแสดงที่ Williamstown Theater Festival เป็นเวลา 7 ฤดูกาล ผลงานที่มีชื่อเสียงในโรงละครนิวยอร์ค ได้แก่ “The Water’s Edge” และ “Spike Heels” ที่ Second Stage Theater, “The Dying Gaul” ที่ Vineyard Theater, “Holiday” ที่ Circle in the Square Theatre, “The Sum of Us” ที่ Cherry Lane Theatre ที่เขาได้รับรางวัล Obie Award, “Digby” ที่ Manhattan Theatre Club และผลงานนำมาสร้างใหม่ “Promises, Promises” บนบรอดเวย์ ล่าสุดเขาแสดงในผลงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์สายบรอดเวย์ และได้รับรางวัล Olivier Award เรื่อง “The Inheritance” จากแมทธิว โลเปซ กำกับฯ โดยสตีเฟน ดัลดรี้ และผลงานของไอโว แวน โฮฟ “Network” ร่วมกับไบรอัน แครนสตัน เร็วๆ นี้โกลด์วินจะกำกับฯ (ร่วมกับซาเวียน โกลเวอร์) ผลงานที่เขียนใหม่และจัดฉากใหม่ “Pal Joey” บนบรอดเวย์ในฤดูกาล 2022-23

เขายังสละเวลาส่วนตัวให้กับงานด้านการกุศล โกลด์วินทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ Stand Up To Cancer และสมาชิกคณะกรรมการแห่งองค์กรด้านมนุษยธรรมแห่งอเมริกา นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้ดูแล Second Stage Theater เป็นคณะกรมการ MPTF Foundation Board of Governors รวมถึงคณะกรรมการผู้ดูแล Innocence Project

 

จอน เบิร์นธัล (ริค แม็คซี่) นักแสดงที่ผ่านการฝึกฝนการแสดงคลาสสิค และได้รับความสนใจจากผู้ชมผ่านบทบาทหลากหลายแนว เขากำลังจะมีผลงานในภาพยนตร์ดัดแปลง “Small Engine Repair” ที่ร่วมอำนวยการสร้างฯ อิงจากละครเวทีที่ได้รับรางวัลที่เขาอำนวยการสร้างฯ และร่วมแสดง ภาพยนตร์จะฉายวันที่ 10 กันยายน 2021 เขาจะแสดงในผลงานที่ได้รับการรอคอยอย่างมาก “Sopranos” ผลงานก่อนเรื่อง “The Many Saints of Newark” ร่วมกับ

นักแสดงระดับแนวหน้า ฉายในประเทศ 1 ตุลาคม 2021 ปลายปีนี้เขาจะแสดงในภาพยนตร์ Netflix เรื่อง “The Unforgivable” คู่กับแซนดร้า บุลล็อค

เขาเพิ่งปิดกล้องจากผลงานของลีน่า ดันแฮม “Sharp Stick” คู่กับเจนนิเฟอร์ เจสัน เลห์, เทย์เลอร์ เพจ และ คริสติน โฟรเซธ ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2022

สำหรับผลงานทางทีวี เขาจะแสดงในซีรีส์ของ บีเจ แวค “The Premise” ในตอน “Moment of Silence” ซึ่งได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์ในฐานะที่เป็นผลงานปลุกความคิด และเป็นการแสดงที่โดดเด่นของเขา ซีรีส์จะฉายครั้งแรกทาง FX ทาง Hulu 16 กันยายน 2021 ตอนนี้เขากำลังถ่ายทำซีรีส์ HBO เรื่อง “We Own This City” ในบทจ่าเวย์น เจนคินส์แห่งสถานีตำรวจบัลติมอร์ เขาจะแสดงคู่กับจอช ชาร์ลส, เจมี่ เฮคเตอร์ และ วันมี โมซากุ เดวิด ไซมอนและจอร์จ เพเลคานอสทำหน้าที่ผู้เขียนบทฯ และอำนวยการสร้างบริหารฯ ร่วมกับเอ็ด เบิร์นส ในปี 2022 เบิร์นธัลจะแสดงและอำนวยการสร้างฯ ผลงานดัดแปลง “American Gigolo” ซึ่งได้รับออเดอร์อีกหลายเรื่องจาก Showtime โปรเจ็กต์ได้รับคำชมจากเดวิด ฮอลแลนเดอร์ Paramount TV Studios และ Jerry Bruckheimer Television

ในปี 2019 เบิร์นธัลแสดงในภาพยนตร์ของเจมส์ แมนโกลด์ “Ford v Ferrari” ในบทลี ลาค็อกคา คู่กับคริสเตียน เบล และ แม็ตต์ เดม่อน ภาพยนตร์ฉายครั้งแรกในงาน Toronto International Film Festival เมื่อเดือนกันยายน 2019 ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และได้เข้าชิงรางวัล Oscar สาขา Best Picture ในปี 2019 เขายังแสดงในเรื่อง “The Peanut Butter Falcon” คู่กับไชอา ลาบัฟ และ ดาโกต้า จอห์นสัน ภาพยนตร์ได้รับรางวัล Narrative Spotlight Award ในงาน SXSW Festival เดือนมีนาคม 2019 และเข้าชิงรางวัล DGA สาขา Outstanding Directorial Achievement in First-Time Feature Film

เบิร์นธัลเปิดตัวภาพยนตร์หลายเรื่องเมื่อปี 2017 ได้แก่ ภาพยนตร์ของเอ็ดการ์ ไรท์ “Baby Driver” ที่เขาแสดงคู่กับแอนเซล เอลกอร์ต, ลิลลี่ เจมส์, จอน แฮมม์ และ เจมี่ ฟ็อกซ์ ในปี 2013 เขาแสดงในภาพยนตร์ของมาร์ติน สกอร์เซซี่ “The Wolf of Wall Street” คู่กับลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, โจนาห์ ฮิลล์ และ มาร์โกต์ ร็อบบี้ เทอเรนซ์ วินเทอร์เขียนบทฯ เกี่ยวกับช่วงขาขึ้นและจุดล่มสบายของจอร์แดน เบลฟอร์ตแห่งวอลสตรีท (ดิคาปริโอ) ภาพยนตร์ฉายเมื่อวันคริสต์มาส และเข้าชิงรางวัล Academy Awards ถึง 5 รางวัลรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ภาพยนตร์ของสตีฟ แม็คควีน เรื่อง “Widows”; ภาพยนตร์ของเทย์เลอร์ เชอริแดน “Wind River” และ “Those Who Wish Me Dead”; ภาพยนตร์ของเจมี่ แด็กก์ “Sweet Virginia”; ภาพยนตร์ของริค โรมัน วอกห์ “Shot Caller”; ภาพยนตร์ของกาวิน โอ’คอนเนอร์ “The Accountant”; ภาพยนตร์ของเบร็นแดน มัลดาวนีย์ “Pilgrimage”; ภาพยนตร์ของเดนิส วิลเนิฟ “Sicario”; ภาพยนตร์ของเดวิด เอเยอร์ “Fury” และภาพยนตร์ดัดแปลงของอัลฟอนโซ โกเมซ-รีจอง “Me & Earl & the Dying Girl” เขายังดัดแปลง “Date Night” ร่วมกับสตีฟ คาเรล และ ทีน่า เฟย์; ภาพยนตร์ของโรมัน โพลานสกี้ที่ได้รับรางวัล “The Ghost Writer” คู่กับยวน แม็คเกรเกอร์; “Night at the Museum: Battle of the Smithsonian” คู่กับเบ็น สติลเลอร์, คริสโตเฟอร์ เกสต์ และ แฮงค์ อาซาเรีย; “Grudge Match” ที่ร่วมงานกับโรเบิร์ต เดอ นีโร และผลงานอินดี้ “The Air I Breathe” ร่วมงานกับเควิน เบคอน และ จูลี่ เดลปี้ และ “Day Zero” ที่ร่วมงานกับเอลิจาห์ วู้ด ผลงานแรกของเบิร์นธัลร่วมงานกับโอลิเวอร์ สโตนในเรื่อง “World Trade Center” ร่วมกับนิโคลาส เคจ และ มาเรีย เบลโล

เบิร์นธัลร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ร่วมกับพ่อ Story Factory โดยมีภาพยนตร์และผลงานทางทีวีหลายเรื่องอยู่ในขั้นการพัฒนา

เบิร์นธัลรับบทแฟรงค์ แคสเซิล/เดอะ พันนิชเชอร์ ในซีรีส์ของ Netflix “The Punisher” สร้างอิงจากหนังสือการ์ตูน Marvel เขาได้รับคำชมมากมายจากการแสดง ฉายครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2017 ฤดูกาลที่ 2 ฉายเมื่อเดือนมกราคม 2019 การแสดงของเขาเริ่มจากซีรีส์ Netflix เรื่อง “Daredevil” ฤดูกาลที่ 2 ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2015 นอกจากนั้นยังแสดงในมินิซีรีส์ทาง HBO เรื่อง “Show Me a Hero” ร่วมกับออสการ์ ไอแซค, จิม บีลุชชี่ และ ไวโนน่า ไรเดอร์ ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2015

เบิร์นธัลรับบท เชน วอลช์ ในซีรีส์ยอดนิยมทาง AMC เรื่อง “The Walking Dead” สร้างอิงจากหนังสือการ์ตูนของโรเบิร์ต เคิร์กแมนในชื่อเดียวกัน การแสดงของเขาในบทผู้รอดชีวิตจากซอมบี้ทำให้เขาได้รับคำชม และมีการแสดงที่หลากหลายขึ้นทั้งละครเวทีและภาพยนตร์ “The Walking Dead” ได้เข้าชิงรางวัล Golden Globe สาขา Best Drama Series เข้าชิงรางวัล Writers Guild of America สาขา Best New Series และได้รับการยอมรับให้ติด 1 ใน 10 รายการทางทีวียอดเยี่ยมแห่งปีของ AFI ซีรีส์ได้สร้างสถิติใหม่ในฐานะซีรีส์แนวดราม่าที่มีผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์เคเบิล มีการฉายทั่วโลกมากกว่า 120 ประเทศและ 33 ภาษา

เบิร์นธัลยังรับบทแสดงนำในภาพยนตร์ของแฟรงค์ ดาราบอนต์ “Mob City” ทาง TNT ฉายครั้งแรกวันที่ 4 ธันวาคม 2013 ในเรื่องเป็นฉากของลอสแองเจลิสช่วงปี 1940 และ 50 เป็นโลกที่เต็มไปด้วยนักแสดงภาพยนตร์ที่ดูสง่า และสตูดิโอที่ทรงพลัง มีฮีโร่จากสงครามเดินทางกลับมา มีเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจและทุจริต รวมถึงอาชญากรรมรุนแรงเกิดขึ้นในแอล.เอ.จนกลายเป็นฐานที่ตั้งของ West Coast

ผลงานอื่นทางทีวีที่มีชื่อเสียง ได้แก่ มินิซีรีส์ของสตีเวน สปีลเบิร์กทาง HBO เรื่อง “The Pacific” รวมถึงแสดงในเรื่อง “Boston Legal,” “CSI: Miami,” “Law & Order: Special Victims Unit,” “How I Met Your Mother” และ

“Without a Trace” ซีรีส์เรื่องแรกของเขาที่แสดงเป็นเรื่อง “The Class” ผลิตโดยเดวิด เครน กำกับฯ โดยเจมส์ เบอร์โรว์ส

เบิร์นธัลมีผลงานมากกว่า 30 เรื่อง ล่าสุดเขาหวนคืนสู่ Rogue Machine Theatre ในการแสดง “Small Engine Repair” ที่เขารับบทเทอร์แรนซ์ สไวโน่ เขาได้ร่วมอำนวยการสร้างฯ ผลงานแนวดาร์กคอมเมดี้เกี่ยวกับเพื่อน 3 คนระดับชนชั้นแรงงานในแมนเชสเตอร์ รัฐนิวแฮมเชียร์ เมื่อพวกเขามารวมตัวกันช่วงบ่ายเพื่อดื่มเหล้า ทะเลาะกัน และคุยถึงเรื่องอดีต เขาได้เข้าชิงรางวัล 2011 Ovation Award จากการแสดงที่ฉายครั้งแรกในนิวยอร์คทาง MCC ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2013 ก่อนหน้านี้ได้แสดงในผลงานของนีล ลาบิวต์ เรื่อง “Fat Pig” ที่ Geffen Playhouse ละครเรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ผลงานของแลงฟอร์ด วิลสัน “Fifth of July” ที่ Signature Theatre แห่งนิวยอร์ค; ผลงาน off-Broadway เรื่อง “The Resistible Rise of Arturo Ui” ที่เขารับบท Ui ใน Portland Stage Company และ “This is Our Youth” ที่ Studio Theatre ในวอชิงตัน ดี.ซี. ความรักด้านละครเวทีทำให้เขาก่อตั้งคณะละครเวทีไม่แสวงหากำไรของตัวเองที่ชื่อว่า Fovea Floods ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค

ช่วงเวลาหลายปีในมหาวิทยาลัย เขามีโอกาสเรียนที่ Moscow Arts Theatre อันทรงเกียรติแห่งรัสเซีล โดยมีชื่อเสียงด้านระบบการเรียนและการฝึกฝน เขาเรียนด้านการแสดง ศิลปะกายกรรม บัลเลต์ และดนตรี การฝึกฝนที่เข้มงวดทำให้เขาได้พัฒนาฝีมืออย่างโดดเด่น ระหว่างเรียนที่ MAT เบิร์นธัลสะดุดตาผู้อำนวยการแห่ง Institute for Advanced Theatre Training ของ Harvard University และที่ American Repertory Theatre ในมอสโคว์ เขาได้รับเชิญให้เรียนที่นั่นโดยจบการศึกษาระดับปริญญาโทคณะศิลปศาสตร์

เบิร์นธัลเคยเป็นนักเบสบอลมืออาชีพในสหรัฐฯ และ European Professional Baseball Federation ตอนนี้เขาเลือกจะเอาดีด้านชกมวยที่ต้องฝึกซ้อม 6 วันต่อสัปดาห์ เขาสอนการชกมวยให้กับเด็กๆ โดยมีการฝึกฝนและสอนหลักการ ช่วยให้พวกเขาเกิดความสนใจด้านกีใ สอนให้มีความมั่นใจและรู้จักการควบคุม เขายังช่วยเหลือสุนัขพิตบุลส์ที่ถูกทำร้าย เพื่อให้มีบ้านที่อบอุ่นต่อไปอีกด้วย

ประวัติผู้สร้างภาพยนตร์

 

เรนัลโด้ มาร์คัส กรีน (ผู้กำกับฯ) นักเขียน ผู้กำกับฯ และผู้อำนวยการสร้างฯ ผลงานแรกของเขา “Monsters and Men” ฉายครั้งแรกในงาน 2018 Sundance Film Festival ภาพยนตร์ได้รับรางวัล Special Jury Prize สาขา Outstanding First Feature เขากำกับฯ ผลงานซีรีส์ทาง Netflix 3 ตอนแรกเรื่อง “Top Boy” อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย Drake and SpringHill Entertainment หลังจากนั้นได้ปิดกล้องผลงานมหาวิทยาลัยปี 2 “Joe Bell” นำแสดงโดยมาร์ค วาห์ลเบิร์ก ฉายครั้งแรกในงาน TIFF 2020 จัดจำหน่ายซัมเมอร์นี้โดย Amazon และ Roadside Attractions

ตอนนี้เขากำลังกำกับฯ ซีรีส์ที่กำลังจะฉายทาง HBO เรื่อง “We Own This City” เขียนบทฯ อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยเดวิด ไซมอน และ จอร์จ เพเลคานอส หลังจากนั้นเรนัลโด้จะเขียนบทฯ และกำกับฯ ผลงานเกี่ยวกับเรื่องราวของบ็อบ มาร์เลย์cutive produced by David Simon and George Pelecanos. Following, Reinaldo is attached to write and direct the upcoming Bob Marley biopic.

 

ZACH BAYLIN (Writer) is a screenwriter who writes grounded, kinetic, character-driven stories and was named one of Variety’s 2021 “10 Screenwriters to Watch.”

ตอนนี้เขากำลังเขียนบทฯ “Creed III” ผลงานตอนที่ 3 ของซีรีส์ “Rocky” นำแสดงโดยไมเคิล บี. จอร์แดน ที่จะมากำกับฯ โปรเจ็กต์นี้ครั้งแรก มีกำหนดฉาย 23 พฤศจิกายน 2022 ก่อนหน้านี้เขาได้เขียนบทฯ ให้ Lionsgate,

Imagine, TNT, Studio 8, WIIP รวมถึงผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเจมส์ เกรย์, เจเรมี่ เซาไลเนียร์, ฟรานเชสโก้ มันซี่ และ โจนาธาน ลีไวน์

นอกจากการเขียนบทฯ เขายังร่วมงานแผนกศิลป์ในภาพยนตร์และผลงานทางทีวีหลายเรื่องในนิวยอร์ค เช่น “Boardwalk Empire,” “Mildred Pierce,” “The Blacklist,” “A Walk Among the Tombstones,” “Gossip Girl,” “Side Effects” และ “Dave Chapelle’s Block Party”

เขาจบการศึกษาจาก Johns Hopkins University และยังคงเป็นผู้ชำนาญมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่ง Hopkins

เบย์ลินเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Youngblood Pictures อาศัยอยู่ที่ลอสแองเจลิสร่วมกับ เคท ภรรยาและลูกๆ อีก 2 คน

 

ทิม ไวท์ และ เทรเวอร์ ไวท์ (ผู้อำนวยการสร้างฯ) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอร่วมแห่ง Star Thrower Entertainment ผลงานที่มีชื่อเสียงของพวกเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award ของสตีเวน สปีลเบิร์ก “The Post”; “Villains” ที่ร่วมงานกับบิล ซาร์สการ์ด, ไมก้า มอนโร, ไคร่า เซดวิก และ เจฟฟรีย์ โดโนแวน ภาพยนตร์ของไทย์เลอร์ เชอริแดน “Wind River” ที่ร่วมงานกับเจเรมี่ เรนเนอร์ และ เอลิซาเบธ โอลเซน; “LBJ” กำกับฯ โดยร็อบ เรเนอร์ นำแสดงโดยวูดดี้ ฮาร์เรลสัน ภาพยนตร์ของแม็ตต์ สไปเซอร์ “Ingrid Goes West” ที่ร่วมงานกับออเดรย์ พลาซ่า, เอลิซาเบธ โอลเซน และ โอ’เชีย แจ็คสัน ได้รับรางวัล Independent Spirit Award และ “A Crooked Somebody” กำกับ

ฯ โดยเทรเวอร์ นำแสดงโดยริช ซอมเมอร์, คลิฟตอน คอลลินส์ จูเนียร์, โจแอน ฟร็อกแก็ตต์, เอมี่ แมดิแกน และ เอ็ด แฮร์ริส

โปรเจ็กต์เร็วๆ นี้จะมีการพัฒนาและอำนวยการสร้างฯ ผลงานของไมเคิล โดว์ซี่ “8-BIT Christmas” นำแสดงโดยนีล แพทริค แฮร์ริส, วินสโลว์ เฟ็กลีย์, จูน ไดแอน ราฟาเอล และ สตีฟ ซาห์น ที่ฉายครั้งแรกในสหรัฐฯ ทาง HBO Max ช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า 25 พฤศจิกายน ซีรีส์ของลุค ดาวีส์ “The Most Dangerous Man in America” นำแสดงโดยวูดดี้ ฮาร์เรลสัน และผลงานของไบรอัน ดัฟเฟลด์ “No One Will Save You” นำแสดงโดยเคทลิน ดีเวอร์

ครอบครัวไวท์เกิดและโตที่ Annapolis, MD ทิมจบการศึกษาจาก Williams College เขาได้รับรางวัลแชมป์เทนนิส NCAA ส่วนเทรเวอร์จบการศึกษาจาก Cornell University

วิลล์ สมิธ (ผู้อำนวยการสร้างฯ) นักแสดง ผู้อำนวยการสร้างฯ นักดนตรี ผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award สองสมัย เจ้าของรางวัล Grammy Award และ NAACP Image Award ที่สนุกสนานกับภาพยนตร์หลากหลายแนว รวมถึงผลงานทางทีวี และสถิติอีกมากมาย เขามีบริษัทสื่อของตัวเองในปี 2019 ชื่อ Westbrook Inc. สมิธผลักดันโปรเจ็กต์ที่กระตุ้นศิลปินถ่ายทอดเรื่องราวที่จะสะท้อนถึงผู้ชมทั่วโลก

เขาเริ่มจากการเป็นแรปเปอร์เมื่อปี 1985 โดยมีชื่อเสียงจากการรับบทในเรื่อง “The Fresh Prince of Bel-Air”, “I Am Legend,” the “Bad Boys” และซีรีส์ “Men In Black”, “Hitch” และล่าสุด “Aladdin” ผลงานภาพยนตร์ของเขาอีกมากมายยังรวมถึงการแปลงโฉมเป็นคนดังในชีวิตจริงจากเรื่อง “Ali” และ “The Pursuit of Happyness” ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award และเรื่อง “Concussion” สมิธเพิ่งอำนวยการสร้างฯ และแสดงในผลงานยอดนิยม

ในบ็อกซ์ออฟฟิศปี 2020 เรื่อง “Bad Boys for Life” อำนวยการสร้างฯ และแสดงในผลงานทาง HBO Max เรื่อง “The Fresh Prince of Bel-Air” ซึ่งเป็นผลงานพิเศษสำหรับ 30th Anniversary Reunion เขายังอำนวยการสร้างบริหารฯ และแสดงในผลงานซีรีส์สารคดี 6 ตอนทาง Netflix เรื่อง “Amend: The Fight for America”

ตอนนี้สมิธกำลังถ่ายทำโปเร็จกต์ของ Apple แนวแอ็คชั่นทริลเลอร์ “Emancipation” กำกับฯ โดยแอนทวน ฟูควา อำนวกยารสร้างฯ โดย Westbrook Studios ของเขา Westbrook Inc. houses Westbrook Studios, Westbrook Media สตูดิโอผลิตคอนเทนต์ดิจิตอล โซเชียลมีเดีย และมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์แบรนด์ให้ตอบโจทย์กับธุรกิจผู้บริโภค Good Goods สมิธและภรรยาของเขาได้กอตั้งมูลนิธิ Will and Jada Smith Family Foundation เพื่อพัฒนาสังคม ช่วยด้านการศึกษาของเด็ก และเด็กด้อยโอกาสรวมถึงครอบครัวของพวกเขา

 

อิชา ไพรซ์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) ผู้สร้างภาพยนตร์และผู้ผลิตสื่อ เธออยู่บนโลกแห่งธุรกิจมานานกว่า 20 ปีและจัดการดูแลด้านสื่อ เธอได้ทุ่มเทพลัง ความตั้งใจ การสรส้างสรรค์สู่เรื่อง “King Richard” ในฐานะของผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ

ไพรซ์ได้พัฒนาความสามารถของบุคคล ตั้งแต่การร่วมงานกับวีนัส วิลเลียมส์, เซเรน่า วิลเลียมส์, ลาล่า แอนโธนี่, เคลลี่ โรว์แลนด์, อันจานู เอลลิส, วิลล์ สมิธ และผู้มีชื่อเสียงในวงการอีกมากมาย โดยช่วยให้พวกเขาถ่ายทอดความสมจริงและปรับเปลี่ยนคอนเทนต์สู่ภายนอก โดยไวท์เลือกที่จะให้ความช่วยเหลือ เธอรักการทำงานเบื้องหลังเพื่อให้แน่ใจว่าทุกโปรเจ็กต์จะประสบความสำเร็จ เธอยังคงหาทางพัฒนาและเรียนรู้ในด้านสื่อให้มีการเติบโตขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงยังมีอีกมากมายที่ผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีพรสวรรค์คนนี้จะต้องพบเจอ

เซเรน่า วิลเลียมส์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) เธอมีทั้งสไตล์ พลัง ความงดงาม และความกล้าอยู่ในตัว เธอเป็นผู้เล่นหญิงที่ครองอันดับ 1 ยาวนานที่สุด ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรายการ Open Era และ WTA ตลอดกาลวิลเลียมส์เอาชนะการแข่งขันแกรนด์สแลมได้มากถึง 23 ครั้ง เธอไม่ได้สร้างตำนานแค่ด้านเทนนิส แต่ยังประสบความสำเร็จนอกเกมกีฬา เช่น ภาพยนตร์ ผลงานทางทีวี และแฟชั่น ความสามารถด้านเทนนิสของเธอถูกจับผสมกับสิ่งที่อยู่นอกสนาม จนทำให้เธอกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงที่น่าจดจำคนหนึ่งของโลก

วิลเลียมส์ชนะการแข่งขันแกรนด์สแลมรายการหลักทั้ง 4 ครั้ง ชนะเดี่ยว 73 ครั้ง ชนะคู่ 23 ครั้ง และคว้าเหรียญทองในการแข่งโอลิมปิคปี 2000 (คู่), 2008 (คู่) และ 2012 (เดี่ยวและคู่) ปี 2015 เธอได้รับชัยชนะจากการแข่งขันแกรนด์สแลม 4 รายการ: Wimbledon, The French Open, The Australian Open และ The 2014 US Open จนสร้างชื่อว่า “เซเรน่า สแลม” จากการประสบความสำเร็จ Sports Illustrated ได้ยกให้เธอติด 2015 Sportsperson of The Year ในปี 2017 เธอได้แข่งรายการ Australian และคว้าชัยชนะแกรนด์สแลมเป็นครั้งที่ 23

บทบาทนอกสนามวิลเลียมส์เป็นทั้งนายทุน นักลงทุน และผู้ออกแบบแฟชั่น ปีที่แล้วเธอขึ้นปกนิตยสาร Fast Company ในฐานะผู้ที่มีความสร้างสรรค์ และปี 2019 นิตยสาร Forbes ให้เธอขึ้นปกในฐานะเศรษฐีประจำปี ปี 2014 ได้พัฒนาธุรกิจ Serena Ventures ของเธอที่เน้นด้านการลงทุนของผู้หญิง และเป็นผู้ลงทุนให้กับบริษัทช่วงแรกมากกว่า 20 แห่ง ปี 2018 เธอมีแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง S By Serena เปิดตัวครั้งแรกในงาน New York Fashion Week เมื่อปี 2019 เธอยังร่วมงานกับ KP Sanghvi ด้านอัญมณีสุดหรูในชื่อ Serena Williams Jewelry สำหรับด้านวงการบันเทิง เมื่อต้นปีเธอได้ประกาศการทำสัญญาเห็นบทภาพยนตร์และผลงานทางทีวีเป็นรายแรกร่วมกับ

Amazon Studios โดยโปรเจ็กต์แรกจะเป็นซีรีส์สารคดีที่เป็นเรื่องของตัวเอง ปี 2018 เธอมีผลงานซีรีส์สารคดีที่เข้าชิงรางวัล Emmy ทาง HBO เรื่อง “Being Serena” ความยาว 5 ตอน

วิลเลียมส์เป็นผู้ใจบุญและทุ่มเทกับ Yetunde Price Resource Center โดยครอบครัววิลเลียมส์ได้เปิดที่บ้านเกิดคอมป์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งชื่อตามพี่สาวคนโตที่เป็นเหยื่อจากความรุนแรงของอาวุธปืน Resource Center จะดูแลพัฒนาชุมชนและที่พักอาศัยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงและให้ความช่วยเหลือ

 

วีนัส วิลเลียมส์ (ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ) จากชัยชนะ Grand Slam ถึง 7 ครั้ง Wimbledon 5 ครั้งและเหรียญทองโอลิมปิคอีก 4 เหรียญ เธอกลายเป็นหนึ่งในนักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จและมีอิทธิพลต่อผู้หญิงในวงการกีฬาเทนนิสมากที่สุดคนหนึ่ง เริ่มจากการมาติดอันดับต้นๆ เมื่ออายุ 14 ปี วิลเลียมส์มีชื่อเสียงในวงการเทนนิสอย่างรวดเร็วจากการติดอันดับต้นๆ ทำลายสถิติอย่างนับไม่ถ้วน และกวาดรางวัลมาอย่างมากมาย

วิลเลียมส์ไม่ได้มีพลังแค่ในสนาม แต่ยังรวมถึงด้านแฟชั่นที่เธอมีความโดดเด่นในหลากสไตล์ที่น่าจับตามอง เช่นการขึ้นปก Vogue ในฐานะ Top 10 Best Dressed และ Sports Illustrated ในฐานะ Fashionable 50 เธอได้รับการสนับสนุนจากแม่ตั้งแต่อายุยังน้อยให้ค้นหาพรสวรรค์ของตัวเอง วิลเลียมส์เข้าสู่โรงเรียนสอนด้านแฟชั่น โดยเธอรู้สึกอินกับโลกของแฟชันและการออกแบบเป็นอย่างมาก ในปี 2002 หลังจากได้รับใบรับรอง Interior Decorator วิลเลียมส์ได้ก่อตั้ง V Starr ที่ให้บริการด้านโฆษณาและการออกแบบที่พักอาศัยอย่างเต็มตัว โดยเธอเพิ่งประกาศการเป็นหุ้นส่วนกับพาร์ทเนอร์ Airbnb พาร์ทเนอร์ Niido เพื่อออกแบบอพาร์ทเมนท์ที่มีส่วนประกอบซับซ้อนแห่งแรกของพวกเขา

วิลเลียมส์สานต่อความรักด้านการออกแบบจนได้รับรางวัล Associate of Science in Fashion Design และปี 2012 เธอได้ก่อตั้งแบรนด์ชุดออกกำลังกาย EleVen by Venus Williams เดือนพฤษภาคม 2020 เธอได้ร่วมหุ้นกับ Credo Beauty เพื่อเปิดตัวสินค้าที่ได้รับรางวัลด้านปกป้อง SPF และมีส่วนผสมของแร่ธาตุภายใต้ชื่อ EleVen by Venus umbrella โดยเพิ่มสินค้า Perfect Form Lip Balms SPF 15 เมื่อช่วงต้นปีนี้ความสนใจด้านสุขภาพและความงามของเธอยังมีการทำหน้าที่เป็นซีบีโอแห่ง Asutra และเดือนธันวาคม 2020 วิลเลียมส์ได้เปิดตัวบริษัทผลิตโปรตีนแพลนท์เบสของเธอที่ชื่อ Happy Viking

ด้วยความมุ่งมั่นของเธอในปี 2009 ได้ร่วมมือกับเซเรน่า จนกลายเป็นแอฟริกันอเมริกันหญิงรายแรกที่มีหุ้นในแฟรนไชส์ NFL หลังจากร่วมมือกับกลุ่ม Miami Dolphins ปีต่อมาวีนัสมีผลงานหนังสือสร้างแรงบันดาลใจ Come to Win ที่ขึ้นเป็นอันดับ 5 ของหนังสือขายดี The New York Times

ตลอดเส้นทางอาชีพของเธอ วิลเลียมส์เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านความเท่าเทียมมาโดยตลอด ปี 2006, UNESCO องค์กรทางวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ยกให้เธอเป็นผู้สนับสนุนด้านความเท่าเทียมทางเพศคนแรก ปี 2007 และล่าสุดเธอเป็นผู้ริเริ่ม #PrivilegeTax ร่วมกับ EleVen เพื่อตระหนักถึงความไม่เสมอภาคและกล่าวถึงผู้หญิงให้มีแรงบันดาลใจโดยเน้นที่ระดับสามัญชน

เดือนกันยายน 2009 Anti-Defamation League (ADL) ได้มอบรางวัล Americanism Award ให้เธอจากการเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้เล่นชาวอิสราเอล Shahar Pe’er ผู้ต้องพบกับอุปสรรคจากการแข่งขันเทนนิสที่ดูไบ

ความสำเร็จของวิลเลียมส์ที่ทำให้เธอเป็นตำนานแห่งวงการ ทำให้เธอได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงได้รับเกียรติจากนิตยสาร Glamour ที่ยกให้เธอเป็นสุภาพสตรีแห่งปี จาก ESPN ที่ให้เป็นผู้เล่น WTA แห่งปี และจาก Forbes ที่ให้ติด 1 ใน 100 คนดัง รวมถึงนิตยสารอีกมากมาย

วิลเลียมส์จบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์การจัดการบริหารธุรกิจจาก Indiana University East และด้านวิทยาศาสตร์ในการออกแบบแฟชั่นจาก The Art Institute of Fort Lauderdale

 

โรเบิร์ต เอลส์วิต (ผู้กำกับภาพ) ตากล้องเจ้าของรางวัล Oscar ชาวอเมริกันที่มีผลงานเรื่องดัง “Boogie Nights” (1997), “Tomorrow Never Dies” (1997), “Magnolia” (1999), “Good Night, and Good Luck” (2005), “Syriana” (2005), “Michael Clayton” (2007), “There Will Be Blood” (2007), “Mission: Impossible – Ghost Protocol” (2011), “The Bourne Legacy” (2012), “Inherent Vice” (2014), “Nightcrawler” (2014), “Mission: Impossible – Rogue Nation” (2015) และ “The King of Staten Island” (2020).

เขาร่วมงานกับผู้กำกับฯ พอล โธมัส แอนเดอร์สันเป็นประจำ และได้ร่วมงานกับจอร์จ คลูนีย์ในหลายครั้ง เขาถ่ายหนังขาวดำของคลูนีย์ ภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Oscar หลายสาขา “Good Night, and Good Luck” โดยขึ้นชื่อจากการที่เขาถ่ายหนังด้วยฟิล์มสี จากนั้นแปลงเป็นภาพขาวดำช่วงหลังการถ่ายทำ

เขาได้เข้าชิงรางวัล Academy Award ครั้งแรกสาขา Best Cinematography เมื่อปี 2006 จากเรื่อง “Good Night, and Good Luck” หลังจากนั้น 2 ปีเขาได้เข้าชิงรางวัลอีกครั้งและได้รับรางวัล Oscar สาขา Best Cinematography จากผลงานของแอนเดอร์สัน “There Will Be Blood”

วินน์ โธมัส (ผู้ออกแบบฉาก) จบการศึกษาจาก Boston University เขาได้รับปริญญาตรีด้านศิลปะศาสตร์ สาขาการออกแบบละครเวที และเริ่มการทำงานด้านออกแบบโรงละคร เขาเป็นผู้ออกแบบฝึกหัดในบริษัทชื่อดังระดับโลก Negro Ensemble Company และออกแบบให้กับ Public Theatre ของโจ แป๊ป Arena Stage ในวอชิงตัน ดี.ซี. Great Lakes Shakespeare Co. ใน Cleveland Ohio และ Long Wharf Theatre ในนิวฮาเวน

โธมัสเป็นผู้ออกแบบฉากชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับศิลป์ เขาได้รวมงานกับผู้ออกแบบฉาก ริชาร์ด ซิลเบิร์ต ในเรื่อง “The Cotton Club” เขายังกำกับศิลป์ในเรื่อง “Beat Street,” “The Money Pit,” “Brighton Beach Memoirs” และ “The Package” ร่วมกับจีน แฮ็คแมน

ในฐานะของผู้ออกแบบฉาก โธมัสได้ร่วมงานกับผู้กำกับภาพยนตร์คนสำคัญช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ในผลงานของผู้กำกับฯ รอน ฮาเวิร์ด และผู้อำนวยการสร้างฯ ไบรอัน กราเซอร์ เขาได้ออกแบบในเรื่อง “A Beautiful Mind” ที่ได้รับรางวัล Academy Award for Best Picture และออกแบบให้ผลงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ “Cinderella Man” นำแสดงโดยรัสเซล โครว์ทั้งสองเรื่อง โธมัสร่วมงานกับ Tribeca Productions ของโรเบิร์ต เดอ นีโรมาอย่างยาวนาน ช่วงเวลาหลายปีที่เขาเป็นดีไซน์เนอร์ให้มีผลงานในเรื่อง “A Bronx Tale” กำกับฯ โดยเดอ นีโร; “Wag the Dog” กำกับฯ โดยแบร์รี่ เลวินสัน นำแสดงโดยเดอ นีโร และดัสติน ฮอฟฟ์แมน และ “Analyze This” กับ “Analyze That” กำกับฯ โดยฮาโรลด์ รามิส นำแสดงโดยเดอ นีโร และ บิลลี่ คริสตัล ผลงานของผู้กำกับฯ ทิม เบอร์ตัน เขาได้ออกแบบให้ผลงานคัลท์คลาสสิค “Mars Attacks!” โธมัสออกแบบในผลงานคอมเมดี้ “To Wong Foo, Thanks for Everything, Julie Newmar” กำกับฯ โดยบีบัน คิดรอน นำแสดงโดยเวสลีย์ สไนป์ส และ แพทริค สเวย์ซี่ ผลงาน

ของผู้กำกับฯ นักแสดงเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน เขาได้ออกแบบให้เรื่อง “Keeping the Faith” และออกแบบ “Breach” ผลงานทริลเลอร์กำกับฯ โดยบิลลี่ เรย์ นำแสดงโดยคริส คูเปอร์ และ ไรอัน ฟิลลิปป์

โธมัสร่วมงานกับสไปค์ ลีมาอย่างยาวนาน เขาได้ออกแบบผลงานให้ลีมากกว่า 10 เรื่อง เริ่มจาก “She’s Gotta Have It” รวมถึง “School Daze,” “Do The Right Thing,” “Mo’ Better Blues,” “Jungle Fever,” the epic film “Malcom X,” “Crooklyn,” “He Got Game,” “Kings of Comedy” และล่าสุดผลงานที่ประสบความสำเร็จทั้งแง่นักวิจารณ์และการตลาด “Inside Man” และผลงานทาง Netflix “Da 5 Bloods”

โธมัสเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติแห่ง United Scenic Artist local 829 มายาวนาน 37 ปี เขาเป็นผู้ออกแบบฉากชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่กลายเป็นสมาชิกของ Art Directors Guild in Los Angeles และเป็นคนแรกที่ได้เข้าชิงรางวัล Art Directors Guild Award จากผลงานของทิม เบอร์ตัน “Mars Attacks!” เขาเป็นสมาชิกของ Academy of Motion Picture Arts and Sciences อีกด้วย

ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของโธมัส ได้แก่ “All Good Things” ที่ร่วมงานกับไรอัน กอสลิง และ คริสเตน ดัสต์; “The Odd Life of Timothy Green” เขียนบทฯ และกำกับฯ โดยปีเตอร์ เฮดเจส และ “Get Smart” ที่ร่วมงานกับสตีฟ คาเรล และ แอนน์ แฮทธะเวย์ และ “Grudge Match” ร่วมกับโรเบิร์ต เดอ นีโร และ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน กำกับฯ โดยปีเตอร์ ซีกัลป์ทั้งสองเรื่อง เขาได้ออกแบบให้เรื่อง “Almost Christmas” อำนวยการสร้างฯ โดยวิล แพคเกอร์ กำกับฯ โดยเดวิด ทัลเบิร์ต รวมถึงผลงานที่ประสบความสำเร็จในแง่นักวิจารณ์และได้รับความนิยม “Hidden Figures” กำกับฯ โดยเท็ด เมลฟี่ นำแสดงโดยทาราจี พี. เฮนสัน และ เควิน คอสต์เนอร์ “Hidden Figures” won the Hollywood Film Award for Outstanding Production Design และภาพยนตร์ได้รับรางวัล Director’s Guild Award สาขา Best

Production Design – Period Film นอกจากนั้นยังมีรางวัลจาก BET, Black Reel Awards, Casting Society of America, Costume Designers Guild, NAACP Image, SAG, AAFCA, National Board of Review และอีกมากมาย

ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของเขายังรวมถึงผลงานของทิม สตอรี่ “Shaft,” “The Sun Is Also a Star” และ “Alex Strangelove” ทาง Netflix

 

วิลเลียม อาร์โนลด์ (ผู้ออกแบบฉาก) ทำหน้าที่ผู้ออกแบบฉากครั้งแรกในเรื่อง “Mo’ Money” ผลงานล่าสุดในการออกแบบที่สร้างชื่อ ได้แก่ ภาพยนตร์สยองขวัญยอดนิยมทาง Netflix เรื่อง “There’s Someone Inside Your House”; ผลงานคอมเมดี้ของเซธ โรแกน ทาง HBO Max เรื่อง “An American Pickle”; ภาพยนตร์ของจอร์จ ทิลแมน จูเนียร์ “The Hate U Give”; “The Edge of Seventeen”; “Dirty Grandpa”; “The Perfect Guy”; “Let’s Be Cops”; “Lovelace” และผลงานยอดนิยม “American Reunion” ผลงานตอนที่ 4 ในแฟรนไชส์ “American Pie”

อาร์โนลด์ยังออกแบบผลงานให้ผู้กำกับฯ พอล วีตซ์ ทั้งเรื่อง “Little Fockers” และ “Cirque Du Freak: The Vampire’s Assistant” เขาเคยร่วมงานกับวีตซ์ในเรื่อง “American Dreamz” และ “In Good Company” ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “Magnolia” และ “Punch-Drunk Love” ของผู้กำกับฯ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน รวมถึง “Confidence,” “Shopgirl,” “Last Holiday” และ “Imagine That”

อาร์โนลด์ศึกษาด้าละครเวทีและการออกแบบที่ Rhode Island ก่อนย้ายมาที่ชิคาโก้เพื่อทำงานด้านละครเวที อาร์โนลด์เริ่มทำงานด้านภาพยนตร์จนเป็นผู้กำกับศิลป์ในผลงานของคอสต้า-แกฟแรส “Music Box” ภาพยนตร์

ของสตีเฟน จิลเลนฮาล “Losing Isaiah” ภาพยนตร์ของคลินท์ อีสต์วูด “The Bridges of Madison County” ภาพยนตร์ของกรีกอรี่ ฮอบลิต “Primal Fear” และภาพยนตร์ของสก็อตต์ ฮิคส์ “Snow Falling on Cedars”

ตั้งแต่ย้ายมาที่ลอสแองเจลิส เขามีผลงานที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ภาพยนตร์ของเคอร์ทิส แฮนสัน “L.A. Confidential” และภาพยนตร์ของแกรี่ รอส “Pleasantville” ทั้งสองเรื่องได้เข้าชิงรางวัล Academy Award สาขา Best Art Direction

 

พาเมล่า มาร์ติน (ผู้ลำดับภาพ) ผู้ลำดับภาพที่เคยเข้าชิงรางวัล Academy Award มาแล้วจากผลงานของเดวิด โอ. รัสเซล เกี่ยวกับการชกมวยที่น่าสนใจปี 2010 เรื่อง “The Fighter” และได้เข้าชิงรางวัล American Cinema Editor’s Eddie ครั้งที่สองจากโปรเจ็กต์นั้น เธอเคยเข้าชิงรางวัล ACE อันทรงเกียรติจากการลำดับภาพในผลงานที่เข้าชิงรางวัล Oscar สาขา Best Picture เรื่อง “Little Miss Sunshine” ในปี 2006 เธอได้ร่วมงานกับ Dayton/Faris ในเรื่อง “Ruby Sparks” และ “Battle of the Sexes”

มาร์ตินทำงานเป็นผู้เรียบเรียงบทและผู้ตัดต่อเสียงช่วงแรกของการทำงาน ก่อนจะมีชื่อเสียงด้านการลำดับภาพ ผลงานแรกเป็นภาพยนตร์ของรัสเซลแนวคอมเมดี้ปี 1994 เรื่อง “Spanking the Monkey”

ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “Operation Finale,” “Free State of Jones,” “Hitchcock,” “Youth in Revolt,” “Saved!,” “Slums of Beverly Hills” และ “The House of Yes”

มาร์ตินจบการศึกษาจากโรงเรียนด้านภาพยนตร์ N.Y.U. โดยเธอศึกษาการทำงานด้านต่างๆ ก่อนจะเลือกด้านลำดับภพายนตร์ ช่วงปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย เธอมีผลงานระดับมืออาชีพครั้งแรกให้กับซีรีส์สารคดีทาง PBS

ก่อนจะมีประสบการณ์เพิ่มจากการได้รู้จักกับอัง ลี (ผู้ลำดับภาพของเขา ทิม สไคร์เรส) ที่เธอเป็นผู้ช่วยผู้ลำดับภาพ และผู้เรียบเรียงบทในผลงานหลายเรื่อง เช่น “Pushing Hands,” “The Wedding Banquet” และ “Eat Drink Man Woman”

ผลงานโฆษณาที่มีชื่อเสียงของเธอ ได้แก่ Volkswagen, Holiday Inn และ Hewlett Packard เธอยังทำหน้าที่คณะกรรมการตัดสินในงาน 2007 Sundance Film Festival และเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ลำดับภาพที่อายุน้อยผ่าน ACE Diversity Program อีกด้วย

คริส บาวเออร์ส (ผู้ประพันธ์ดนตรี) ผู้ประพันธ์ดนตรีเจ้าของรางวัล Emmy Award และนักเปียโนที่สร้างสรรค์ดนตรีหลากหลาย โดยเคารพยกย่องในดนตรีแจ๊ซพร้อมผสมผสานดนตรีอัลเทอร์เนทีฟและอาร์แอนด์บี เธอมีผลงานเพลงในภาพยนตร์สารคดี เช่น ผลงานของโคบี้ ไบรแอนต์ “Muse” และ “Norman Lear: Just Another Version of You” แต่งเพลงให้ผลงานของชอนด้า ไรม์ส และ พอล วิลเลียม ดาวีส์ “For the People” ผลงานทาง Netflix “Dear White People” และทาง Showtime “Black Monday” ผลงานของบาวเออร์สในฐานะนักแต่งเพลงให้ภาพยนตร์และผลงานทางทีวีมีความหลากหลาย ในปี 2018 ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ เจ้าของรางวัล Emmy และ Academy Award ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่ และนักแสดงเจ้าของรางวัล Academy Award เมเฮอร์ชาลา อาลี ในผลงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ “Green Book” โดยไม่ได้ทำหน้าที่แต่งเพลงเพียงอยางเดียว แต่ยังเป็นผู้แสดงมือเล่นเปียโนแทนอาลีและครูสอนเปียโนอีกด้วย ช่วงต้นปี 2018 บาวเออร์สแต่งเพลงในดราม่าของเรนัลโด้ มาร์คัส กรีน “Monsters and Men” ที่ฉายครั้งแรกในงาน 2018 Sundance Film Festival

ผลงานของเขายังเห็นได้ในมินิซีรีส์ของเอวา ดูเวอร์เนย์ ปี 2019 ทาง Netflix เรื่อง “When They See Us” เกี่ยวกับ Central Park Five ที่เขาได้เข้าชิงรางวัล Primetime Emmy ในปี 2020 บาวเออร์สได้เข้าชิงรางวัล Primetime Emmy อีกครั้งจากผลงานในมินิซีรีส์ FX เรื่อง “Mrs. America” ผลงานล่าสุดยังมีภาพยนตร์เรื่อง “Respect” นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ ฮัดสัน ในบท อารีธา แฟรงค์ลิน; “Space Jam: A New Legacy” นำแสดงโดยเลอบรอน เจมส์ และ ดอน ชีเดิล; “The United States Vs Billie Holiday” นำแสดงโดยแอนดร้า เดย์ กำกับฯ โดยลี แดเนียลส์; “Bad Hair” เขียนบทฯ และกำกับฯ โดยจัสติน ไซเมียน (“Dear White People”) และซีรีส์ชอนดาแลนด์ “Bridgerton” ของทาง Netflix เร็วๆ นี้บาวเออร์สจะแตงเพลงให้ซีรีส์ “Bridgerton” เรื่องที่ 2

ในงาน 93ed Academy Awards เขาได้เข้าชิงรางวัลจากสารคดีสั้น “A Concerto is a Conversation” ที่เขาผลิต ร่วมกำกับฯ และแต่งเพลง อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยเอวา ดูเวอร์เนย์ สารคดีฉายครั้งแรกในงาน 2021 Sundance Film Festival

บาวเออร์สได้แต่งเพลงและแสดงร่วมกับศิลปินอย่าง Q-Tip, Aretha Franklin, Ludacris, Christian Rich, Jay-Z และ Kanye West และมีส่วนร่วมในอัลบั้มของ Marcus Miller, José James, Moses Sumney และ Murs บาวเออร์สเป็นศิลปินอย่างเป็นทางการของสเตนเวย์ และเป็น 1 ใน 12 Artists to Watch จาก iTunes ในปี 2014 ปี 2020 เขาได้รับเกียรติจากรางวัล Distinguished Film Composer Award โดย Middleburg Film Festival ปี 2019 เขาได้รับรางวัล ROBIE Pioneer Award จาก Jackie Robinson Foundation ในปี 2019

ตอนนี้บาวเออร์สอยู่ที่ลอสแองเจลิสร่วมกับภรรยา

ซูซาน จาค็อบส์ (ผู้ควบคุมดนตรี) ในปี 2017 เจ้าของ Emmy Award ครั้งแรกในสาขา Outstanding Music Supervision จากผลงานตอนสุดท้ายของซีรีส์ HBO เรื่อง “Big Little Lies,” “You Get What You Need” ผลงานของจาค็อบในภาพยตร์ที่เข้าชิงรางวัลของเอเมอรัลด์ เฟนเนลล์ ที่ได้รับรางวัล Oscar “Promising Young Woman” เพิ่งเข้าชิงรางวัล Guild of Music Supervisors Award ครั้งที่ 4 จากผลงาน “Big Little Lies,” “Sharp Objects” และผลงานของเดวิด โอ. รัสเซล “American Hustle” เธอได้เข้าชิงรางวัล Guild อีกจากการแต่งเพลงให้ “The Farewell,” “I, Tonya” และ “Wild”

จาค็อบส์ได้เข้าชิงรางวัล Grammy ถึง 2 ครั้งในสาขา Best Compilation Soundtrack จาก “American Hustle” และ “Little Miss Sunshine” รวมถึงเข้าชิงรางวัล Emmy สาขา Outstanding Individual Achievement in a Craft: Music and Sound จากภาพยนตร์สารคดี “Pecados de mi Padre”

เส้นทางการทำงานที่ยาวนานกว่า 20 ปี จาค็อบส์ได้สร้างผลงานที่โดดเด่นไว้มากมาย เธอเริ่มจากการทำงานด้านดนตรีที่ Island Records ในฐานะผู้ช่วยผู้ก่อตั้ง คริส แบล็คเวลล์ และได้ย้ายมาสู่ด้านการจัดการศิลปิน ต่อมาเธอได้พบกับผู้กำกับฯ โรเบิร์ต อัลต์แมน ที่เธอได้ทำหน้าที่ดูแลควบคุมด้านดนตรี

ผลงานที่น่าประทับใจของเธอมีมากมาย รวมถึงผลงานภาพยนตร์ของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส “The Many Saints of Newark” และล่าสุดในเรื่อง “Mayday”; ผลงานของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน “Old” (พร้อมด้วย “Glass,” “Split,” “The Visit,” “Lady in the Water,” “Unbreakable”); “Cruella”; ผลงานของโรบิน ไรท์ “Land”; ผลงานทาง HBO ที่ได้รับรางวัล Emmy “Bad Education”; ผลงานของเดวิด โอ. รัสเซล “Joy,” “Silver Linings Playbook” และ “The Fighter”; ผลงานของเบ็นเน็ตต์ มิลเลอร์ “Foxcatcher” และ “Capote”; ผลงานของซูซาน เบียร์ “Things We

Lost in the Fire”; ผลงานของจูเลียน ชนาเบล “Before Night Falls” และ “Basquiat” และผลงานของอัลต์แมน “Kansas City”

จาค็อบส์ได้ควบคุมดนตรีทั้ง 20 ตอนของซีรีส์ทั้งภาค 1 และ 2 ของชยามาลาน เรื่อง “Servant” ทาง Apple TV+ ผลงานของเธอยังหาฟังได้จาก HBO Max ในเรื่อง “The Undoing” ซีรีส์เรื่องแรกของ Amazon “Hunters” ผลงานทาง Netflix “Maniac” และ “Wormwood” และผลงานทาง Amazon “Mozart in the Jungle”

 

ชาเรน ดาวิส (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เจ้าของรางวัล Emmy และเข้าชิงรางวัล Academy Award อีก 2 รางวัล โดยใส่ใจในรายละเอียดการสร้างและมีผลงานที่น่าประทับใจทั้งในภาพยนตร์และผลงานทางทีวี

ดาวิสได้เข้าชิงรางวัล Oscar ถึง 2 ครั้งจากการออกแบบเครื่องแต่งกายของเธอ ครั้งแรกในภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award และ Golden Globe เรื่อง “Ray” นำแสดงโดย เจมี่ ฟ็อกซ์, เรจิน่า คิง และ เคอร์รี่ วอชิงตัน และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Golden Globe เป็นครั้งที่ 2 เรื่อง “Dreamgirls” นำแสดงโดยเจมี่ ฟ็อกซ์, บียอนเซ่ และ เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน เธอได้รับรางวัล Emmy สาขา Outstanding Fantasy/Sci-Fi Costumes ปี 2020 จากผลงานของเธอทาง HBO ได้รับรางวัล Peabody Award “Watchmen” นำแสดงโดย เรจิน่า คิง และ เจเรมี่ ไอรอนส์ ก่อนหน้านี้ได้เข้าชิงรางวัลจากเครื่องแต่งกายในซีรีส์ที่เข้าชิงรางวัล Golden Globe ทาง HBO เรื่อง “Westworld” นำแสดงโดย แธนดี้ นิวตัน และ อีวาน ราเชล วู้ด ดาวิสได้รับรางวัล Costume Designer Guild Award จากเรื่อง “Westworld” และได้เข้าชิงรางวัล CDG อีก 4 รางวัลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

เสื้อผ้าของดาวิสปรากฎในผลงานหลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์ของเดนเซล วอชิงตัน “Fences,” “The Great Debaters” และ “Antwone Fisher”; ผลงานของควินติน ตารานติโน่ “Django Unchained”; ผลงานของเทต เทย์เลอร์ “The Help”; ผลงานของแกเบรียล มัคชิโน่ “The Pursuit of Happyness”; ผลงานของไรอัน จอห์นสัน “Looper” และผลงานของแอนทวน ฟูควา “The Magnificent Seven”

ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “Project Power”; “Devil in a Blue Dress”; “Get On Up”; “Akeelah and the Bee”; “Seven Pounds”; “The Book of Eli”; “Beauty Shop”; “Rush Hour”; “Doctor Dolittle” และอื่นๆ อีกมากมาย

โปรเจ็กต์เร็วๆ นี้ ได้แก่ ผลงานแนวดราม่าของเดนเซล วอชิงตัน “A Journal for Jordan” นำแสดงโดย ไมเคิล บี. จอร์แดน มีกำหนดฉายวันที่ 22 ธันวาคม

 

—kingrichard—

#KingRichard #คิงริชาร์ดเข้าฉาย16 กุมภาพันธ์ ในโรงภาพยนตร์รายละเอียดเพิ่มเติม | https://www.facebook.com/WarnerBrosTH