FOX SEARCHLIGHT PICTURES
และ INDIAN PAINTBRUSH
ขอเสนอ
ผลงานการสร้างของ AMERICAN EMPIRICAL PICTURE
โดย เวส แอนเดอร์สัน
ไบรอัน แครนสตัน โคยุ แรนคิน เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน บ็อบ แบลาบัน บิลล์ เมอร์เรย์ เจฟฟ์ โกลด์บลัม คูนิชิ โนมูระ อากิระ ทาคายามา เกรตา เกอร์วิก ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์ อากิระ อิโตะ สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ฮาร์วีย์ ไคเทล เอฟ เมอร์เรย์ อับราฮัม โยโกะ โอโนะ ทิลดา สวินตัน เคน วาตานาเบ มาริ นัตสึกิ ฟิชเชอร์ สตีเวนส์ นิจิโระ มุราคามิ ลีฟ ชไรเบอร์ คอร์ตนีย์ บี แวนซ์
กำกับโดย……………………………..เวส แอนเดอร์สัน
เรื่องโดย…………………………….เวส แอนเดอร์สัน
…………………………….โรมัน คอปโปลา
…………………………….เจสัน ชวอร์ตซ์แมน
…………………………….และ คูนิชิ โนมูระ
บทภาพยนตร์โดย…………………………….เวส แอนเดอร์สัน
อำนวยการสร้างโดย …………………………….เวส แอนเดอร์สัน
…………………………….สก็อตต์ รูดิน
…………………………….สตีเวน เรลส์
…………………………….และเจเรมี ดอว์สัน
ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง…………………………….อ็อคเทเวีย เพสเซล
ผู้กำกับภาพ …………………………….ทริสทัน โอลิเวอร์
ผู้กำกับแอนิเมชัน …………………………….มาร์ค แวร์ริง
ผู้ออกแบบงานสร้าง…………………………….อดัม สต็อคเฮาเซน
…………………………….และพอล แฮร์รอด
ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์อาวุโส…………………………….ทิม เลดเบรี
หัวหน้าฝ่ายหุ่นเชิด …………………………….แอนดี เจนท์
ดนตรีประกอบโดย…………………………….อเล็กซองดร์ เดส์ปลาต์
ผู้ควบคุมดนตรี…………………………….แรนดัลล์ โพสเตอร์
ผู้ควบคุมการตัดต่อ…………………………….แอนดรูว์ ไวส์บลัม, A.C.E.
ผู้ตัดต่อ …………………………….ราลฟ์ ฟอสเตอร์
…………………………….และเอ็ดเวิร์ด เบิร์ช
ผู้อำนวยการสร้างแอนิเมชัน…………………………….ไซมอน ควินน์
ผู้ควบคุมแอนิเมชัน…………………………….โทเบียส โฟร์เรเคอร์
หัวหน้านักสร้างแอนิเมชั…………………………….แอนโทนี เอลเวิร์ธธี
…………………………….คิม เคอเคแลร์
…………………………….และเจสัน สตัลแมน
ผู้อำนวยการสร้างบริหาร…………………………….คริสโตเฟอร์ ฟิสเซอร์
…………………………….เฮนนิง โมลเฟนเทอร์
…………………………….และชาร์ลี โวเบคเคน
คัดเลือกนักแสดงโดย …………………………….ดักกลาส เอเบล, CSA
…………………………….คูนิชิ โนมูระ
www.foxsearchlight.com/press
เรต PG-13 ความยาวภาพยนตร์ 101 นาที
ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์:
ลอสแองเจลีส นิวยอร์ก ภูมิภาคอื่นๆ
Lauren Gladney Sarah Peters Isabelle Sugimoto
Tel: 310.369.5918 Tel: 212.556.8658 Tel: 310.369.2078
lauren.gladney@fox.com sarah.peters@fox.com isabelle.sugimoto@fox.com
Fox Searchlight Pictures และ Indian Paintbrush ขอเสนอผลงานการสร้างของ American Empirical Picture เรื่อง ISLE OF DOGS กำกับและเขียนบทโดยเวส แอนเดอร์สัน เรื่องโดยโรมัน คอปโปลา, เจสัน ชวอร์ตซ์แมน และคูนิชิ โนมูระ พากย์เสียงโดยไบรอัน แครนสตัน, โคยุ แรนคิน, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, บ็อบ แบลาบัน, บิลล์ เมอร์เรย์, เจฟฟ์ โกลด์บลัม, คูนิชิ โนมูระ, อากิระ ทาคายามา, เกรตา เกอร์วิก, ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์, อากิระ อิโตะ, สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน, ฮาร์วีย์ ไคเทล, เอฟ เมอร์เรย์ อับราฮัม, โยโกะ โอโนะ, ทิลดา สวินตัน, เคน วาตานาเบ, มาริ นัตสึกิ, ฟิชเชอร์ สตีเวนส์, นิจิโระ มุราคามิ, ลีฟ ชไรเบอร์ และคอร์ตนีย์ บี แวนซ์
ISLE OF DOGS เล่าเรื่องราวของอาตาริ โคบายาชิ เด็กชายวัย 12 ปี ซึ่งอยู่ภายใต้ความดูแลของนายกเทศมนตรีโคบายาชิผู้ชั่วร้าย เมื่อมีคำสั่งตามกฎหมายออกมาว่าสุนัขทุกตัวในเมืองเมงาซากิจะต้องถูกเนรเทศไปยังพื้นที่ทิ้งขยะ อาตาริจึงออกเดินทางตามลำพังด้วยเครื่องบินจูเนียร์เทอร์โบขนาดเล็กไปยังเกาะขยะเพื่อค้นหาสุนัขบอดีการ์ดของเขาที่ชื่อสป็อตส์ เมื่อไปถึงที่นั่น เขาได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนใหม่ซึ่งเป็นฝูงสุนัขหลากหลายสายพันธุ์ และเขาก็ได้เริ่มต้นการเดินทางอันยิ่งใหญ่ที่จะชี้ชะตาและกำหนดอนาคตของเมืองนี้
ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้อำนวยการสร้าง แอนเดอร์สัน, สก็อตต์ รูดิน, สตีเวน เรลส์ และเจเรมี ดอว์สัน ผู้กำกับภาพ อดัม สต็อคเฮาเซน และพอล แฮร์รอด, ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์อาวุโส ทิม เลดเบรี, หัวหน้าฝ่ายหุ่นเชิด แอนดี เจนท์, ดนตรีประกอบโดยอเล็กซองเดรอ เดส์ปลาต์, ผู้ควบคุมดนตรี แรนดัลล์ โพสเตอร์, ผู้ควบคุมการตัดต่อ
แอนดรูว์ เวสบลัม, A.C.E., ผู้ตัดต่อ ราลฟ์ ฟอสเตอร์ และเอ็ดเวิร์ด เบิร์ช, ผู้อำนวยการสร้างแอนิเมชัน ไซมอน ควินน์, ผู้ควบคุมแอนิเมชัน โทเบียส โฟร์เรเคอร์, หัวหน้านักแอนิเมชัน แอนโทนี เอลเวิร์ธธี, คิม เคอเคแลร์ และเจสัน สตัลแมน, ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง อ็อคเทเวีย เพสเซล, ผู้อำนวยการสร้างบริหาร คริสโตเฟอร์ ฟิสเซอร์, เฮนนิง โมลเฟนเทอร์ และชาร์ลี โวเบคเคน และคัดเลือกนักแสดงโดยดักลาส เอเบล, CSA และคูนิชิ โนมูระ
หมู่เกาะญี่ปุ่นในอีกยี่สิบปีข้างหน้า
ประชากรสุนัขเพิ่มจำนวนขึ้นล้นหลามและแพร่พิษไข้สุนัขจนทำเอาเมืองเมงาซากิปั่นป่วน
ไข้สุนัขมีทีท่าว่าจะแพร่ระบาดข้ามสายพันธุ์จนกลายเป็นโรคระบาดในหมู่มนุษย์ นายกเทศมนตรีโคบายาชิแห่งจังหวัดอูนิจึงต้องประกาศเขตกักกันโรคเป็นการด่วน โดยกำหนดให้เนรเทศสุนัขทุกสายพันธุ์ทั้งสุนัขจรจัดและสุนัขเลี้ยงไปยังเกาะที่มีชื่อว่าเกาะขยะ จนสถานที่แห่งนั้นกลายเป็นเกาะของสุนัข
หกเดือนต่อมา เครื่องบินขนาดจิ๋วแบบเครื่องยนต์เดียวได้บินมาตกที่เกาะร้างซึ่งเริ่มมีสุนัขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฝูงสุนัขห้าตัวที่หิวโหยแต่เข้มแข็งเข้าไปคุ้ยซากเครื่องบินและพบนักบินอายุสิบสองตะเกียกตะกายออกมาจากเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้ เขาชื่ออาตาริ เป็นเด็กกำพร้าในความดูแลของนายกเทศมนตรีโคบายาชินั่นเอง
ด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าเพื่อนพ้องสี่ขา อาตาริได้เริ่มต้นออกค้นหาสป็อตส์ สุนัขของเขาที่หายตัวไป
ในขณะเดียวกันก็ได้เปิดโปงแผนการลับซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำจัดสุนัขทุกตัวในเมืองเมงาซากิ
ประชากรในเมืองเมงาซากิ
อาตาริ โคบายาชิ (โคยุ แรนคิน): เด็กในความดูแลของครอบครัวนายกเทศมนตรีและนักบินผู้ออกค้นหาสุนัขของเขา
นายกเทศมนตรีโคบายาชิ (คูนิชิ โนมูระ): นายกเทศมนตรีผู้ชั่วร้ายแห่งเมืองเมงาซากิ
ผู้พันโดโมะ (อากิระ ทาคายามา): ผู้ช่วยและลูกสมุนของนายกเทศมนตรีโคบายาชิ
เทรซี วอล์คเกอร์ (เกรตา เกอร์วิก): นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวอเมริกัน นักทฤษฎีสมคบคิดและนักรณรงค์ฝั่งคนรักสุนัข
ศาสตราจารย์วาตานาเบ (อากิระ อิโตะ): ผู้สมัครจากพรรควิทยาศาสตร์ซึ่งกำลังค้นหาวิธีการรักษาโรคไข้สุนัข
ผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์ โยโกะ โอโนะ (โยโกะ โอโนะ): นักวิทยาศาสตร์ผู้ช่วยของศาสตราจารย์วาตานาเบ
ล่ามเนลสัน (ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์): นักแปลผู้อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งไปกับเรื่องราวสะเทือนใจของสุนัข
บรรณาธิการฮิโรชิ (นิจิโระ มุราคามิ): บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของนักศึกษา เดอะ เดลี แมนิเฟสโต นักรณรงค์ฝั่งคนรักสุนัข
หัวหน้าศัลยแพทย์ (เคน วาตานาเบ) คุณป้า (มาริ นัตสึกิ)
ผู้ประกาศข่าว (โยจิโระ นาดะ) เครื่องแปลภาษาแบบพูดพร้อม (แฟรงค์ วู้ด)
และคอร์ตนีย์ บี แวนซ์ เป็น ผู้บรรยาย
สุนัขบนเกาะขยะ
สป็อตส์ (ลีฟ ชไรเบอร์): สุนัขบอดีการ์ดประจำบ้านนายกเทศมนตรี เพื่อนรักที่หายตัวไปของอาตาริ โคบายาชิ
เร็กซ์ (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน): จ่าฝูงผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยวของเหล่าสุนัขที่เป็นพระเอกของเรื่อง
บอส (บิลล์ เมอร์เรย์): อดีตมาสค็อตประจำทีมเบสบอล เมงาซากิ ดรากอนส์ ในลีกระดับรอง
คิง (บ็อบ แบลาบัน): อดีตโฆษกของอาหารสุนัขด็อกกีช็อพ
ดุค (เจฟฟ์ โกลด์บลัม): ชอบการซุบซิบนินทา
ชีฟ (ไบรอัน แครนสตัน): สุนัขจรจัด
นัตเม็ก (สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน): ถูกฝึกให้เป็นสุนัขแสดงโชว์ บุคลิกงามสง่าแต่เอาตัวรอดได้ดี
จูปิเตอร์ (เอฟ เมอร์เรย์ อับราฮัม): สุนัขผู้ทรงภูมิ
โอราเคิล (ทิลดา สวินตัน): สุนัขผู้มีพลังพิเศษ เพื่อนร่วมงานของจูปิเตอร์
กอนโด (ฮาร์วีย์ ไคเทล): จ่าฝูงของเหล่าสุนัขท้องถิ่นอันลึกลับบนเกาะขยะ
บทนำและความเป็นมา
ISLE OF DOGS เป็นผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่ 9 ของมือเขียนบท/ผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สัน และเป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขาที่ทำเป็นแอนิเมชันแบบสต็อปโมชัน ว่าด้วยเรื่องราวการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ในโลกอนาคตอันใกล้ของญี่ปุ่น เมื่อเกิดวิกฤติจากสุนัขและกระแสความหวาดกลัวสุนัขได้แพร่กระจายไปทั่ว ในเกาะที่ทิ้งขยะอันห่างไกลซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อเกาะขยะ สุนัขที่ถูกเนรเทศได้มารวมฝูงกันเพื่อความอยู่รอดและพบเหตุการณ์อันน่าทึ่ง เมื่อนักบินมนุษย์ตัวน้อยขับเครื่องบินมาตกที่เกาะและพาพวกมันร่วมการเดินทางครั้งสำคัญที่ส่งผลเปลี่ยนแปลงชีวิต
การเดินทางครั้งนั้นเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน การผจญภัย และมิตรภาพ แต่ระหว่างทางก็ยังเป็นการคารวะความยิ่งใหญ่และความงดงามของภาพยนตร์ญี่ปุ่น ความซื่อสัตย์จงรักภักดีของเพื่อนสี่ขา ความเป็นวีรบุรุษของคนตัวเล็กๆ และผู้ที่ถูกมองข้าม การปฏิเสธความไร้ขันติธรรม และเหนือสิ่งอื่นใดคือความผูกพันอันไม่อาจทำลายได้ระหว่างเด็กชายและสุนัขซึ่งได้นำไปสู่เรื่องราวน่าตื่นเต้นมากมาย
ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากความหลงใหลซึ่งไม่น่าจะมารวมกันได้แต่กลับทรงพลังอย่างยิ่งของแอนเดอร์สันและทีมผู้เขียนเรื่อง อันได้แก่ โรมัน คอปโปลา, เจสัน ชวอร์ตซ์แมน และคูนิชิ โนมูระ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุนัข โลกอนาคต เขตทิ้งขยะ การผจญภัยวัยเด็ก และภาพยนตร์ญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องสุดท้ายนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญ ที่จริงแล้ว ISLE OF DOGS อาจได้รับอิทธิพลด้านการเล่าเรื่องมาจากอากิระ คุโรซาวา พอกันกับอิทธิพลจากประวัติศาสตร์ของแอนิเมชันแบบสต็อปโมชัน แอนเดอร์สันกล่าวว่า “คุโรซาวาและทีมเขียนบทเล็กๆ ของเขาทำงานร่วมกันเพื่อแต่งเรื่องและเขียนบทออกมา ในวงการภาพยนตร์อิตาลีก็ค่อนข้างเป็นเรื่องปกติที่ทีมงานจะเขียนบทหนังด้วยกันในห้องเขียนบทเหมือนงานทีวี เราพยายามใช้วิธีการแบบนั้นตามแบบฉบับของเรา” จินตนาการในเรื่องนี้ครอบคลุมตั้งแต่ภาพเปล่งประกายคล้ายฝันไปจนถึงการสร้างเมืองเมงาซากิที่มีรายละเอียดน่าทึ่ง ภูมิประเทศที่มีข้าวของเกลื่อนกลาดบนเกาะขยะ และกลุ่มตัวละครผู้แปลกแยกแต่เต็มไปด้วยความหวัง ซึ่งมีทั้งสุนัขและมนุษย์
“เราต้องการสร้างฉากที่ค่อนข้างเป็นโลกอนาคต เราต้องการให้มีฝูงสุนัขที่แข็งแกร่งและทุกตัวล้วนเป็นผู้นำ และเราต้องการอยู่ในดินแดนขยะ” แอนเดอร์สันกล่าว “ฉากเมืองญี่ปุ่นนั้นได้อิทธิพลมาจากภาพยนตร์ญี่ปุ่นล้วนๆ เราชอบญี่ปุ่นและต้องการทำสิ่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังญี่ปุ่น ดังนั้นสุดท้ายเราจึงนำหนังสุนัขมาผสมเข้ากับหนังญี่ปุ่น”
เรื่องราวนี้เกี่ยวข้องกับสุนัขช่างพูด สุนัขสาวผู้มีเสน่ห์เหลือร้าย เด็กชายนักบิน ผู้สื่อข่าวผู้กล้าหาญประจำโรงเรียน ไวรัสกลายพันธุ์ เกาะในตำนาน และความผิดพลาดครั้งใหญ่ของมนุษย์ที่ได้รับการเปิดเผยออกมาทีละขั้นๆ การพัฒนาเรื่องราวต้องอาศัยเวลาและการดื่มชาไม่รู้กี่แก้ว โรมัน คอปโปลา อธิบายกระบวนการที่ไร้โครงสร้างนี้ว่า “มีการพูดคุยถกเถียงกัน แล้วเมื่อเรารู้สึกว่าเจอสิ่งที่ใช่ เวสก็จะจดไว้ในสมุดบันทึก เจสันมักพูดอะไรสักอย่างที่จุดประกายแนวคิดหรือบทสนทนาสักตอนหนึ่งขึ้นมา แล้วบางครั้งเราก็จะลองรับบทบาทเป็นตัวละคร เราทำอย่างนี้กันบ่อยๆ ใน Darjeeling เพราะมีตัวละครหลักสามตัวและเราก็มีกันสามคน จากนั้นก็มีช่วงเวลาสำหรับการบ่มเพาะซึ่งเราจะรวบรวมสิ่งต่างๆ ที่ได้มา แล้วถึงจะเป็นช่วงที่เราจะเริ่มเขียนบทขึ้นมาจริงๆ และเนื่องจากเป็นหนังแอนิเมชัน กระบวนการเขียนบทจึงยาวต่อเนื่องไปจนถึงช่วงงานโปรดักชันด้วย”
แอนเดอร์สันอยากให้การเขียนบทเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เขากล่าวว่า “บทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเราทำไปถึงตอนจบ เราก็จะเริ่มต้นกลับไปแก้ไขใหม่อีกครั้ง”
ชวอร์ตซ์แมนเสริมว่า “เราสร้างสรรค์ เปลี่ยนแปลง และทบทวนใหม่อยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีแนวคิดหลักกลุ่มหนึ่งซึ่งมีมาตั้งแต่แรกและเป็นแก่นสำคัญที่มีความจริงแฝงอยู่”
บทภาพยนตร์ที่ออกมานั้นอาจพูดได้ว่าเป็นไปตามแบบฉบับของเรื่องเหลือเชื่อแบบคลาสสิกว่าด้วยตัวละครคนนอก (เด็กชายนักบิน) ที่เดินทางมาถึงดินแดนใหม่ (เกาะขยะ) รวมถึงเรื่องราวอันเป็นอมตะว่าด้วย…underdog หรือตัวละครที่ตกเป็นเบี้ยล่าง (ซึ่งในกรณีนี้เป็นสุนัขจริงๆ) ซึ่งต้องมาต่อสู้กับผู้กดขี่ที่โง่เขลา แต่ความมหัศจรรย์ของเรื่องนี้มาจากรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์และพื้นเพความเป็นมาของสุนัขแต่ละตัว สถาปัตยกรรมของเกาะขยะซึ่งดูรกรุงรังแต่ก็มีศิลปะ รวมถึงแนวคิดที่ว่าเด็กซึ่งออกตามหาสัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์อาจผลักดันให้เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้
ผู้อำนวยการสร้าง เจเรมี ดอว์สัน ระบุว่า งานออกแบบในเรื่องนี้มีความท้าทายอย่างยิ่ง แม้แต่กับแอนเดอร์สันซึ่งเชี่ยวชาญด้านการสร้างพื้นที่ซับซ้อนชวนเวียนหัว ด้วยเหตุนี้แอนเดอร์สันจึงเริ่มสนใจที่จะสร้างหนังเรื่องนี้ให้เป็นสต็อปโมชัน รูปแบบนี้ดูเหมาะสมกับเหล่าสุนัขจรจัดที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกได้ และเกาะในญี่ปุ่นซึ่งเต็มไปด้วยซากสิ่งเหลือทิ้งจากสังคม ที่ทั้งประหลาด ตลก และสุดแสนจะวายป่วง
“ถ้าเวสสามารถสร้างหนังเรื่องนี้ออกมาเป็นหนังที่ใช้คนแสดง เขาก็อาจจะทำไปแล้ว” ดอว์สันให้ความเห็น “แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ มันเป็นหนังที่พูดถึงสุนัข แต่ว่ามันไม่ใช่การ์ตูน มันเป็นหนัง ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ได้ขยายขอบเขตของสิ่งที่ผู้คนมองว่าสามารถทำได้ผ่านสื่อประเภทนี้”
ที่จริงแล้ว พัฒนาการอันยาวนานนับศตวรรษของงานสต็อปโมชันเป็นเรื่องเชิงสร้างสรรค์มากกว่าเชิงเทคนิค พื้นฐานของงานประเภทนี้แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย แม้ว่ากล้องดิจิตัลและคอมพิวเตอร์ช่วยให้กระบวนการราบรื่นขึ้น แต่มันก็ยังเป็นเรื่องของการถ่ายภาพวัตถุสามมิติที่ขยับไปทีละน้อยของแบบเฟรมต่อเฟรม เป็นกระบวนการยากเย็นแสนเข็ญซึ่งกลับสร้างโลกอันมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ในงานประเภทนี้จึงมาจากตัวเนื้อหาหรือประเภทของเรื่องราวที่นำมาถ่ายทอดเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของจินตนาการไป
ก่อนการถือกำเนิดของซีจี นับเป็นเวลานานหลายทศวรรษที่งานสต็อปโมชันเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ตั้งแต่ BEAUTY AND THE BEAST ของชอง ค็อคโท มาจนถึงหนังเรื่อง KING KONG เมื่อปี 1933 และหนัง STAR WARS เรื่องแรกของจอร์จ ลูคัส สต็อปโมชันเป็นวิธีการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริงขึ้นมา จนกระทั่งในภายหลังงานภาพยนตร์ซึ่งใช้สต็อปโมชันตลอดทั้งเรื่องจึงเริ่มปรากฏขึ้น นับตั้งแต่งานบุกเบิกของทิม เบอร์ตัน เรื่อง THE NIGHTMARE BEFORE CHRISTMAS มาจนถึง FANTASTIC MR. FOX ของแอนเดอร์สัน และภาพยนตร์เมื่อไม่นานมานี้อย่าง KUBO AND THE TWO STRINGS
ISLE OF DOGS เป็นผลงานที่สร้างความแตกต่างออกไปอีก เป็นเรื่องราวซึ่งนำเสนอโลกที่สร้างขึ้นมาใหม่ และถือเป็นการแหวกขนบงานแอนิเมชันในตัวมันเอง และดังที่ดอว์สันระบุไว้ หนังเรื่องนี้ได้นำเอาหลายสิ่งหลายอย่างมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ทั้งแนวคิดหลัก ช็อตรูปแบบต่างๆ ความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ และการผจญภัย จนอาจเรียกได้ว่าเป็นการทำหนังที่ทะเยอทะยานที่สุดของแอนเดอร์สันเท่าที่เขาเคยทำมา หุ่นและฉากขนาดเล็กที่ละเอียดประณีตได้ก่อกำเนิดกลายเป็นอาณาจักรของเหล่าสุนัขนักผจญภัยซึ่งต้องพบเจอสถานการณ์อันเลวร้ายที่ชวนให้เราเกิดความรู้สึกร่วม หนังเรื่องนี้ให้อารมณ์ของตำนานเรื่องเล่าที่สนุกสนาน แต่วางพื้นฐานอยู่บนประเด็นจริงจังของชีวิตสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมิตรภาพ อนาคตของมนุษยชาติ และการมารวมตัวกันเพื่อจัดการสะสางความวุ่นวายทั้งมวล
แอนเดอร์สันและทีมงานได้รวบรวมทีมนักพากย์จากหลายวัฒนธรรม อันประกอบด้วยศิลปิน นักดนตรีร็อค นักออกแบบ และนักแสดง ทุกคนต่างนำความสามารถเฉพาะตัวมาสร้างสรรค์เป็นตัวละครผู้อยู่อาศัยในเมืองเมงาซากิและเหล่าสุนัขบนเกาะขยะ และเช่นเคย คนและสุนัขอาจไม่เข้าใจโลกของอีกฝ่ายหนึ่งแต่ก็ยังคงสร้างมิตรภาพอันซื่อสัตย์และลึกซึ้งขึ้นมาได้
นักแต่งเพลง อเล็กซองดร์ เดสปลาต์ ซึ่งร่วมงานกับแอนเดอร์สันมาเป็นครั้งที่สี่กล่าวว่า “หนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่มากๆ และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย มันทะเยอทะยานยิ่งกว่า FANTASTIC MR. FOX เสียอีก และไม่เหมือนหนังเรื่องไหนๆ ที่คุณเคยดูมาก่อน งานแอนิเมชันนั้นน่าตื่นเต้นและมีรายละเอียดมากมายมหาศาลบรรจุอยู่ในแต่ละเฟรม เป็นนิทานที่งดงามและนำคุณเข้าไปในโลกของมัน โลกที่ไม่เคยมีใครจินตนาการถึงมาก่อน”
อิทธิพล
ด้วยฉากประเทศญี่ปุ่นในจินตนาการ โครงสร้างที่แบ่งออกเป็นบทๆ คล้ายหนังสือคอมิก และแนวคิดที่ตัดสลับไปมาระหว่างเรื่องธรรมชาติ วีรกรรมอันกล้าหาญ เทคโนโลยี การช่วยชีวิต และเกียรติยศ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่หนังเรื่องนี้จะสะท้อนอิทธิพลจากวัฒนธรรมสมัยนิยมของญี่ปุ่นและผลงานของผู้กำกับญี่ปุ่นชั้นครู ตั้งแต่ยาสุจิโร โอสุ ไปจนถึงคุโรซาวา และเซจุน ซูซูกิ รวมถึงหนังสัตว์ประหลาดของญี่ปุ่นในยุค 50 และ 60 ว่าด้วยเรื่องราวหายนะอันน่าตื่นเต้น “เรามองว่ามันเป็นการอ้างถึงผู้กำกับชาวญี่ปุ่นและวัฒนธรรมญี่ปุ่นโดยรวม แต่คุโรซาวาเป็นอิทธิพลสำคัญของหนังเรื่องนี้” แอนเดอร์สันกล่าว
เป็นเรื่องยากที่จะหยั่งวัดอิทธิพลที่คุโรซาวามีต่อแวดวงภาพยนตร์ เพราะเขามีผลงานครอบคลุมหนังมากมายหลากหลายแนว ตั้งแต่หนังนัวร์ หนังซามูไร หนังเชกสเปียร์ และหนังเมโลดรามา แต่สำหรับ ISLE OF DOGS แอนเดอร์สันเน้นไปที่หนังร่วมสมัย (ในยุคนั้น) ซึ่งมีฉากเป็นเมืองใหญ่ อย่างเช่น DRUNKEN ANGEL, STRAY DOG, HIGH AND LOW และ THE BAD SLEEP WELL หนังที่มีพลังเปี่ยมล้นเหล่านี้เล่าเรื่องราวว่าด้วยอาชญากรรมและการทุจริต โดยก้าวข้ามด้านมืดของโลกสมัยใหม่ด้วยตัวละครที่ซื่อตรงและมีความเป็นมนุษย์อย่างสูงสุด และผู้ที่ปรากฏตัวในทุกเรื่องที่กล่าวมาก็คือนักแสดงระดับตำนาน โตชิโร มิฟูเน ซึ่งสีหน้าท่าทางอันโดดเด่นได้เป็นแรงบันดาลใจให้รูปลักษณ์ของนายกเทศมนตรีโคบายาชิ
แรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่งนั้นมาจากปรมาจารย์ด้านภาพพิมพ์แกะไม้แห่งยุคเอโดะในศตวรรษที่ 19 นั่นก็คือฮิโระชิเงะและโฮคุไซ ซึ่งเน้นการใช้สีสันและลายเส้นที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอิมเพรสชันนิสต์ของยุโรป งานประเภท อุกิโยะ-เอะ (ซึ่งแปลว่า “ภาพของโลกที่ล่องลอย”) ถ่ายทอดชั่วขณะแห่งความรื่นรมย์โดยเน้นภาพทิวทัศน์ตามธรรมชาติ การเดินทางอันยาวไกล ดอกไม้และพืชพันธุ์ชนิดต่างๆ เกอิชา และนักแสดงคาบูกิ เพื่อเตรียมการสำหรับหนังเรื่องนี้ แอนเดอร์สันได้รวบรวมงานภาพพิมพ์แกะไม้จำนวนมาก และนักวาดสตอรีบอร์ดก็ได้ค้นดูงานหลายคอลเล็กชันของพิพิธภัณฑ์วิกทอเรียแอนด์อัลเบิร์ตในลอนดอน จากนั้นรูปแบบงานพื้นบ้านของญี่ปุ่นก็ค่อยๆ ผ่านการซึมซับมาผสมผสานกับงานสต็อปโมชันที่มีผิวสัมผัสและให้อารมณ์ของงานที่ทำด้วยมือ
ผู้ตัดต่อแอนิเมชัน เอ็ดเวิร์ด เบิร์สช์ เล่าว่า “ข้อมูลแรกที่ผมได้รับเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2015 คือบทหนังจากเวส รวมถึงภาพอ้างอิงหลายภาพและวิดีโอหนึ่งคลิป ภาพอ้างอิงเป็นภาพพิมพ์แกะไม้แบบญี่ปุ่นสองสามภาพ ภาพสุนัข และภาพรูปปั้นสุนัขในญี่ปุ่น ส่วนวิดีโอนั้นเป็นภาพคนตีกลองไทโกะสามคนกำลังตีกลองด้วยจังหวะที่ดุเดือด ซึ่งก็ช่วยกำหนดอารมณ์ของหนังครับ”
แม้หนังเรื่องนี้จะได้รับอิทธิพลจากญี่ปุ่น (และอิทธิพลอื่นๆ) ซึ่งเราสามารถแกะรอยตามได้อย่างสนุกสนาน แต่โลกที่ปรากฏในหนังก็มีเอกลักษณ์แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เอริกา ดอร์น นักออกแบบกราฟฟิกของหนังเรื่องนี้ซึ่งเติบโตในญี่ปุ่น มาอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร “โลกของ ISLE OF DOGS เป็นคล้ายความเป็นจริงคู่ขนาน มันมีภาพและบรรยากาศคล้ายญี่ปุ่น แต่ดูเป็นญี่ปุ่นที่เพ้อฝันขึ้นมานิด มีความเป็นเวส แอนเดอร์สันขึ้นมาหน่อย นี่ล่ะคือความงดงามของการทำหนังโดยมีฉากเป็นเมืองที่สมมติขึ้นมา เป็นยุคสมัยที่สมมติขึ้นมา เราจึงมีอิสระในการสร้างสรรค์ได้ระดับหนึ่ง การผสมผสานของเก่าและของใหม่เข้าด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ในญี่ปุ่น มีหลายฉากในหนังเรื่องนี้ที่เน้นความเรียบง่ายแบบมินิมัลและความงามแบบวะบิ-ซะบิ จากนั้นเมื่อเปลี่ยนกลับมาที่ฉากเมืองก็จะเต็มไปด้วยความล้นเกินและหนักหน่วง เพราะฉะนั้นจึงมีอารมณ์แบบญี่ปุ่นอยู่แต่ถูกกรองผ่านมุมมองของเวส”
แม้ว่าชิ้นส่วนที่ขยับเขยื้อนได้ใน ISLE OF DOGS ทั้งในเชิงกายภาพและเชิงแนวคิดนั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล แต่ความย้อนแย้งก็คือแก่นของหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์อันเรียบง่ายไร้กาลเวลามากที่สุดรูปแบบหนึ่งบนโลกใบนี้ นักวาดสตอรีบอร์ด เจย์ คลาร์ก สรุปว่า “ไม่ว่าจะภาพจะออกมาเป็นอย่างไร หัวใจของหนังเรื่องนี้ก็คือหนังผจญภัยเกี่ยวกับเด็กชายและสุนัขของเขา”
ตัวละครและบทบาท: เหล่าสุนัข
สมาชิกของฝูงสุนัขช่างพูดบนเกาะขยะมีชื่อเหมือนชื่อสุนัขที่มักใช้กันอยู่บ่อยๆ สื่อให้เห็นว่าพวกมันเคยเป็นสุนัขชั้นยอดที่ผู้คนหลงรัก ชื่ออย่าง ชีฟ เร็กซ์ คิง ดุค บอส ยิ่งช่วยเตือนให้พวกมันคิดถึงบ้านมนุษย์ที่มันเคยอาศัยอยู่ แต่ละตัวมีลักษณะดังต่อไปนี้
* สุนัขพันทางร่างผอมเพรียวมีขนแข็งชี้ตั้งกระดำกระด่างและดวงตาเหมือนสุนัขลากเลื่อนแถบอาร์กติก ซี่โครงของเขายื่นออกมาเหมือนเครื่องทำความร้อนเหล็กหล่อ เขาชื่อเร็กซ์
* สุนัขพันทางขนสีแดงผู้สง่างาม มีจมูกสีน้ำตาลเข้มและหนวดโง้งคล้ายแฮนด์จักรยาน ทั้งตัวเต็มไปด้วยสะเก็ดแผล รอยแผลเป็น รอยข่วน และรอยถลอก เขาชื่อคิง
* สุนัขพันทางร่างอ้วนล่ำลายด่าง มีอุ้งเท้าสีดำและหางเหมือนปลายซิการ์ที่ดับแล้ว เขาใส่เสื้อสเวตเตอร์ผ้าขนสัตว์ลายแถบที่มีด้ายรุ่ยและเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ปักรูปเบสบอลและมีคำว่า Dragons เขียนโยงติดกันพาดอยู่บนเสื้อ เขาชื่อบอส
* สุนัขภูเขาผู้รักอิสระ ใบหน้าเพรียว หูตั้ง และท่วงท่าคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนนักเต้นบัลเล่ต์ ฟันของเขาหลุดหายไปเจ็ดซี่และเขาไอแห้งๆ เหมือนคนเป็นวัณโรค เขาชื่อดุค
* สุนัขล่าเนื้อสีดำสนิท ขายาว จมูกดำ กรามเหลี่ยม และหูตกสีดำมีลายจุดสีขาวอยู่เต็มไปหมด เขาบึกบึนเหมือนนักมวยมิดเดิลเวท แต่เพรียวบางเหมือนนักวิ่งระยะไกล เขาชื่อชีฟ
ไบรอัน แครนสตัน พากย์เสียงเป็นชีฟ สุนัขจรจัดผู้ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเองและได้มาพบเรื่องราวพลิกผัน “ชีฟเป็นสุนัขที่แปลกประหลาดจากตัวอื่นๆ แต่ก็มีความสง่างาม” แครนสตันตั้งข้อสังเกต
แครนสตันเล็งเห็นอุปมาเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์อยู่ในเรื่องราวของเหล่าสุนัขซึ่งถูกขับไล่จากสังคมยุคใหม่และต้องต่อสู้เพื่ออยู่รอด “เรื่องนี้พูดถึงเหล่าสุนัขที่ถูกลิดรอนสิทธิ์ แต่ก็เป็นประสบการณ์จริงของมนุษย์ในทุกประเทศและทุกสาขาอาชีพ มีผู้คนที่ถูกลิดรอนสิทธิ์หรือถูกทิ้งขว้าง และการใช้ความกลัวของคนเพื่อครองอำนาจ ความกลัวที่ทำให้สุนัขทุกตัวในเมืองเมงาซากิต้องถูกจับไปปล่อยเกาะให้อยู่ด้วยตัวเองนั้น ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องพบเจอเช่นเดียวกัน ผมคิดว่าแนวคิดนี้เหมาะกับยุคสมัยมากทีเดียว”
เพื่อเตรียมมารับบทเป็น ชีฟ แครนสตันนึกถึงงานคลาสสิกเมื่อปี 1967 ของโรเบิร์ต อัลดริช ที่ชื่อ THE DIRTY DOZEN เรื่องราวเกี่ยวกับนักโทษเลือดเย็น 12 คนที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจสุดหินในเยอรมนียุคนาซี “คนพวกนี้เป็นคนที่ถูกทิ้งเหมือนกัน พวกเขาไม่มีความหวังกับอนาคตก็เลยต้องคว้าโอกาสเพียงน้อยนิดในการอยู่รอดเอาไว้ ถ้าคุณให้ความหวังเพียงน้อยนิดแก่ใครสักคนที่สิ้นไร้ไม้ตอก ซึ่งในกรณีนี้เป็นสุนัข มันจะจุดประกายความปรารถนาที่จะไขว่คว้าเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า ความยิ่งใหญ่นั้นจะผลิดอกออกผลจริงหรือไม่แทบจะไม่เป็นเรื่องสำคัญเลย สิ่งสำคัญก็คือคุณมีความทะเยอทะยาน มีความตั้งใจ มีความแข็งแกร่ง มีความเข้มแข็ง และมีความอดทนรับสิ่งต่างๆ ในชีวิตเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าและเดินต่อไป สิ่งที่ผมชอบในตัวชีฟคือเขานำเสนอแนวคิดที่ว่าเมื่อมีความหวัง เราก็อาจได้รับโอกาสอีกครั้ง”
เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน พากย์เสียงเป็น เร็กซ์ จ่าฝูงผู้อุตสาหะและตั้งใจรักษาความสงบสุขไว้ นอร์ตันกล่าวถึงความเป็นมาของเร็กซ์ว่า “เร็กซ์พูดว่าตัวเองมักนอนหลับอยู่บนเบาะขนแกะใกล้เครื่องทำความร้อนไฟฟ้า เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่สุนัขของคนรวย แต่อาจเป็นสุนัขของคนชนชั้นกลางที่ใช้ชีวิตสบายๆ หรือชนชั้นกลางระดับสูง แต่เขาก็มีวินัยในการทำงาน เขาไม่ลดละความพยายาม พร้อมรับสถานการณ์และต่อสู้เพื่อสิ่งที่เขาต้องการ ขณะเดียวกันเขาก็ตั้งมาตรฐานเรื่องความสุขสบายไว้ระดับหนึ่ง ดังนั้นการอาศัยอยู่บนเกาะขยะจึงค่อนข้างทรมานจิตใจ เขาทนรับมันไม่ค่อยได้เท่าไหร่”
บิล เมอร์เรย์ พากย์เสียงเป็น บอส สุนัขซึ่งครั้งหนึ่งเคยรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ นั่นคือการเป็นมาสค็อตทีมกีฬา เมอร์เรย์กล่าวว่า “เมื่อคุณมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ คุณจะต้องการมาสค็อต เป็นใครสักคนที่คอยอยู่กับคุณเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจ แต่ก็เป็นคนที่คุณอยากให้อยู่ด้วยเมื่อทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี บอสก็เป็นอย่างนั้นครับ” เมอร์เรย์ซึ่งเป็นคนรักสุนัขกล่าวถึงสัตว์ชนิดนี้ว่า “พวกมันเป็นสมบัติจากสวรรค์ และพวกมันอยู่ที่นี่เพื่อมอบความรู้แจ้งให้แก่มนุษย์ที่ดูแลพวกมัน”
เจฟฟ์ โกลด์บลัม มองว่าตัวเองมีความคล้ายคลึงกับ ดุค สุนัขล่าเนื้อช่างพูดขี้สงสัยที่คอยเงี่ยหูฟังข่าวลือล่าสุดอยู่ตลอดเวลา “ผมเชื่อว่าในยุคที่เกิดวิกฤติสังคมครั้งใหญ่ในโลกของสุนัข ดุคก็ยังต้องการแค่สิ่งเดิมๆ ที่เขาอยากได้ นั่นคือ การกินอาหารให้ถูกสัดส่วน การเสริมหล่อเป็นประจำ และการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งถ้าให้พูดคร่าวๆ ก็เป็นสามสิ่งที่ตัวผมเองต้องการเหมือนกันครับ” โกลด์บลัมกล่าว
ท้ายที่สุดโกลด์บลัมพบว่างานสต็อปโมชันกับงานหนังที่ใช้คนแสดงของเวส แอนเดอร์สันซึ่งเขาเล่นมาแล้วหลายเรื่องนั้นแทบจะไม่แตกต่างกันเลย “ผมมองว่าทุกเรื่องเป็นงานแสดงครับ ไม่ว่าจะแสดงแบบไหนก็ตาม ผมว่าในการแสดงผ่านการพากย์ เราไม่ต้องมาห่วงเรื่องการทำผมหรือเรื่องพระอาทิตย์กำลังจะตกหรืออะไรแบบนั้น” เขากล่าว “แต่พอมาทำงานกับคนที่เป็นอัจฉริยะทางภาพยนตร์อย่างเวส แอนเดอร์สัน มันสนุกมากเพราะเหมือนเราได้แสดงจริงๆ ได้ทดลองอ่านบทสารพัดแบบเท่าที่นึกออกและใช้จินตนาการหลากหลายได้อย่างเต็มที่”
สป็อตส์เคยผ่านประสบการณ์มากมายทั้งปัญหา อันตราย หรือแม้กระทั่งสุนัขที่กินพวกเดียวกันเองบนเกาะแห่งนี้ ลีฟ ชไรเบอร์รับบทบาทสำคัญในการพากย์เสียงเป็น สป็อตส์ สุนัขล่าเนื้อหูด่างขนสั้นพันธุ์โอเชียเนียซึ่งเคยเป็นบอดี้การ์ดสุดรักของอาตาริ เด็กชายในปกครองของนายกเทศมนตรี แต่บัดนี้กลับหายไปบนเกาะขยะอย่างไร้ร่องรอย ชไรเบอร์บรรยายถึงสป็อตส์ว่าเป็น “สัตว์ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีและมีความเฉลียวฉลาดซึ่งไม่เพียงคอยอยู่ใกล้ๆ อาตาริแต่ยังปกป้องเขาด้วย ผมคิดว่าในหลายๆ แง่ สป็อตส์เป็นตัวแทนของความจงรักภักดี การปฏิบัติตามหน้าที่ และความมีเกียรติ แล้วเขาก็ยังมีความเมตตากรุณา ซึ่งเป็นเรื่องดีครับเพราะผมไม่ค่อยได้เล่นเป็นตัวละครแบบนี้เท่าไหร่” สป็อตส์ยังได้พบรักท่ามกลางซากปรักหักพังกับผู้อยู่รอดที่เด็ดเดี่ยวอย่างเปปเปอร์มินต์ด้วย “เปปเปอร์มินต์เป็นสุนัขที่ถูกทารุณ และตอนแรกสป็อตส์ไม่ชอบเธอ แต่กลับเปลี่ยนมาตกหลุมรักเธอในภายหลัง” ชไรเบอร์กล่าว “เขาเป็นสุนัขที่ห่วงใยสุนัขตัวอื่นๆ”
ตัวละครของบ็อบ แบลาบัน อย่าง คิง ไต่เต้าขึ้นมาเป็นสุนัขชื่อดังจากการเป็นโฆษกให้อาหารสุนัข ด็อกกี ช็อป ก่อนที่เขาจะถูกทิ้งไว้ที่เกาะขยะ “ผมว่าเขามองว่าตัวเองพิเศษ” แบลาบันกล่าว “ก็เหมือนสุนัขพันธุ์ไวมาราเนอร์ของวิลเลียม เวกแมน (ศิลปินช่างภาพชาวอเมริกัน) ผมเดาว่าคิงแอบชอบใส่หมวกหรือชุดสวยๆ ชอบให้มีคนยี่สิบคนส่องไฟมาที่เขา และให้ทุกคนคอยสนใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ การมีคนคอยเอาใจบ้างเป็นบางครั้งคราวก็เป็นเหมือนน้ำตาลโรยหน้าบนเค้กสำหรับสุนัข จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
สุนัขผู้มีเสน่ห์ดึงดูดมากที่สุดบนเกาะขยะก็คือ นัตเม็ก สุนัขแสดงโชว์ผู้มีเสน่ห์เย้ายวนใจและขนสวยงามไร้ที่ติ ตัวละครนี้พากย์เสียงโดยสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน เธอมีแนวคิดของตัวเองว่านัตเม็กทำอย่างไรจึงดูแลตัวเองให้สวยได้ในโลกที่สกปรกเลอะเทอะ
“นัตเม็กเป็นสุนัขช่างคิด เธอทำความสะอาดขนด้วยการเก็บขี้เถ้าเผาขยะไว้ในกระป๋องเมล็ดกาแฟเก่า จากนั้นเธอก็จะทาขี้เถ้าให้ทั่วขนจากโคนจรดปลาย ส่วนสำคัญอยู่ตรงนี้ค่ะ คุณต้องทาขี้เถ้าให้ทั่วเส้นขนจากโคนจรดปลาย จากนั้นเธอก็สะบัดเอาขี้เถ้าส่วนที่เหลือออกแล้วเก็บไว้ในกระป๋องเมล็ดกาแฟสำหรับครั้งต่อไป อย่างที่บอกค่ะว่าเธอช่างคิดจริงๆ” โจแฮนส์สันกล่าว
เมื่อต้องอยู่ห่างจากโลกแห่งมายากลและความมหัศจรรย์ที่เธอคุ้นเคย นัตเม็กจึงมักจะอยู่ตามลำพังบนเกาะขยะ แต่แล้วชีฟก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ทั้งสองปิ๊งกันตั้งแต่ได้ดมกลิ่นกันครั้งแรก “ผมคิดว่านัตเม็กเล็งเห็นว่าชีฟเป็นนักสู้เพื่ออยู่รอด” โจแฮนส์สันกล่าว “เธอรู้ว่าการสูญเสียบางอย่างไปแล้วกลับมาเข้มแข็งใหม่นั้นเป็นอย่างไร เธออาจใช้ชีวิตแบบศิวิไลซ์มามากกว่าชีฟ แต่เธอเล็งเห็นจิตวิญญาณของการต่อสู้และความเป็นผู้นำในตัวเขาที่เธอชื่นชม นอกจากนี้เขายังมีความเฉียบคมอย่างพอเหมาะพอดีด้วย แล้วใครจะไม่ชอบล่ะคะ”
ทิลดา สวินตัน พากย์เสียงเป็นสุนัขซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในชื่อ โอราเคิล เพราะเธอเป็นผู้เห็นนิมิตและเข้าใจภาพในโทรทัศน์ได้ สวินตันกล่าวว่า “โอราเคิลมองเห็นอนาคตได้ยังไงน่ะเหรอ เธอเข้าใจทีวี เธออ่านสีหน้าของผู้คนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำจมูกฟุดฟิดและทำปากเบี้ยว วิธีนี้ช่วยให้เธอรู้ว่ามนุษย์กระวนกระวายใจมากแค่ไหน” สวินตันระบุว่าสิ่งเดียวที่เธอต้องคำนึงถึงเสมอเมื่อรับบทเป็นสุนัขคือ “สุนัขมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่เกินหยั่งวัดได้”
เอฟ เมอร์เรย์ อับราฮัม ชื่นชม จูปิเตอร์ ตัวละครที่เขาเล่นซึ่งเป็นสุนัขผู้ชาญฉลาดแต่ชอบเลียบรั่นดีน้ำมันสน อับราฮัมกล่าวว่า “จูปิเตอร์เลือกที่จะใช้ชีวิตราวกับว่าเขาอุทิศตัวให้แนวทางแบบเซ็น ตอนที่ผมพูดว่าเขาเป็นสัตว์อย่างที่ผมอยากจะเป็นผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมชอบที่เขามีถังเหล้าห้อยไว้ที่คอ ผมคิดว่ามันฉลาดมากเลย เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าคุณอยากดื่มสักช็อตเมื่อไหร่ หรือเมื่อไหร่ที่คุณอาจไปพบใครที่ต้องการดื่มสักช็อต แล้วการดื่มก็เป็นเรื่องของการสังสรรค์รื่นรมย์กัน เราทุกคนดื่มจากถังเดียวกัน ทุกคนมาสนุกสนานร่วมกัน และเราก็จะหาทางออกจากความยุ่งยากวุ่นวายนี้ได้ จูปิเตอร์จะต้องมีประโยชน์แน่นอนในโลกอันน่าเศร้าที่เราอยู่กันทุกวันนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกกับจูปิเตอร์ครับ”
ตัวละครและบทบาท: ฝ่ายมนุษย์
ตัวละครหลักฝ่ายมนุษย์ อาตาริ โคบายาชิ เด็กชายชาวญี่ปุ่นผู้โศกเศร้าที่ออกตามหาสุนัขที่หายไปอย่างกล้าหาญนั้น รับบทโดยโคยุ แรนคิน นักแสดงเด็กชาวแคนาดาซึ่งพูดได้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ ด้วยวัยเพียง 8 ขวบในช่วงที่พากย์เสียง แรนคินทำงานในหนังยาวเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แรนคินกล่าวถึงเหตุผลที่อาตาริยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อค้นหาสป็อตส์ “สุนัขของอาตาริเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขา สป็อตส์เป็นสิ่งเดียวที่เขามี และเนื่องจากเขาเป็นเด็กกำพร้า สป็อตส์จึงเป็นเหมือนน้องชายของเขา เขาตั้งใจที่จะออกค้นหาสป็อตส์ ก็เลยขับเครื่องบินแล้วหนีออกจากบ้าน”
ผู้ปกครองของอาตาริ นายกเทศมนตรีโคบายาชิ เป็นจอมเผด็จการที่ออกกฎหมายเนรเทศสุนัขออกจากเมืองเมงาซากิ แต่เรื่องนี้กลับส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวเกินกว่าที่เขานึกฝัน ผู้ที่ได้มาพากย์เสียงในบทนี้อย่างไม่คาดฝันคือ คูนิชิ โนมูระ ผู้ร่วมเขียนบทและเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของแอนเดอร์สันนั่นเอง เขาไม่รู้ว่าได้รับเลือกให้มาพากย์จนกระทั่งแอนเดอร์สันบอกว่าชอบเสียงของเขา “เวสบอกว่า ‘นี่ คูน เสียงนายต่ำมากเลยนะ ฟังดูเหมือนนายกเทศมนตรี ถึงนายจะเด็กกว่านายกเทศมนตรีโคบายาชิอยู่มากก็เถอะ’ แล้วผมก็ตอบว่า ‘ตกลง’”
โนมูระยินดีที่ได้ทราบว่าตัวละครที่เขาพากย์นั้นคล้ายคลึงกับเพื่อนร่วมงานของคุโรซาวา นักแสดงระดับตำนานผู้มีเสน่ห์อย่างมิฟูเน “ตอนแรกผมไม่รู้ว่าตัวละครของผมมีหน้าตาเป็นอย่างไร พอเวสให้ผมดู ผมก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า ‘นี่ผมเหรอ’” ส่วนการกระทำของโคบายาชิซึ่งดูไร้ความเห็นใจต่อสัตว์เลี้ยงนั้น โนมูระระบุว่าแอนเดอร์สันได้ทิ้งช่องไว้ให้ตัวละครตัวนี้ได้ไถ่ถอนความผิด “โคบายาชิเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง” เขาตั้งข้อสังเกต “แต่ผมดีใจที่เขาไม่ใช่คนเลว 100% เขายังมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง”
ศัตรูตัวฉกาจของนายกเทศมนตรีโคบายาชิเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศผู้มีความมุ่งมั่นและเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เดลีแมนิเฟสโต ของโรงเรียนมัธยมเมงาซากิ นักแสดงและคนทำหนัง เกรตา เกอร์วิก มาพากย์เสียงเป็นตัวละครตัวนี้ซึ่งมีชื่อว่า เทรซี วอล์คเกอร์ เกอร์วิกกล่าวว่า “หนังสือพิมพ์ เดลีแมนิเฟสโต ของโรงเรียนมัธยมเมงาซากิเป็นหนังสือพิมพ์ที่ยืนหยัดเพื่อความโปร่งใสและความจริง เทรซีเชื่อว่าหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวทุกแห่งก็ควรทำแบบนี้ แม้จะเป็นหนังสือพิมพ์ของนักเรียน แต่พวกเขาก็ทำงานด้วยมาตรฐานที่สูงและเข้มงวดมาก”
มาตรฐานนั้นผลักดันให้เธอค้นพบความจริงเกี่ยวกับไวรัสสุนัขและการเดินทางไปยังเกาะขยะของอาตาริ และอาจรวมถึง…จุดเริ่มต้นของการตกหลุมรักด้วย “เทรซีแค่ชื่นชมความกล้าหาญของอาตาริ” เกอร์วิกเห็นค้าน “และเธอคิดว่าเขาหน้าตาดี เขาเป็นคนเดียวที่ยืนหยัดต่อสู้กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองเมงาซากิ และเขาก็ออกเดินทางตามลำพังด้วยความรักที่มีต่อสุนัขของตน ซึ่งเธอคิดว่าเป็นการกระทำที่ดีงาม”
เมื่อเกอร์วิกได้เห็นหุ่นของเทรซีเป็นครั้งแรก มันก็ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เธอ “ฉันชอบหน้าตาของหุ่นตัวนี้ค่ะ” เธอกล่าว “ฉันคิดว่าส่วนที่ฉันชอบน่าจะเป็นเส้นผมของเธอ แล้วก็สีหน้าที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยวด้วย หุ่นออกมาดูดีมากและทำให้ฉันมีความสุขมากเลย ฉันอยากดูเหมือนหุ่นตัวนี้ตลอดเวลาค่ะ เธอมีเสน่ห์มาก”
ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์ พากย์เสียงเป็น ล่ามเนลสัน ผู้คอยแปลทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักเทศมนตรีเมืองเมงาซากิ รวมถึงคำประกาศอันเลวร้ายของนายกเทศมนตรีด้วย หลังจากรับบทใน MOONRISE KINGDOM หนังเรื่องนี้นับเป็นครั้งที่สองที่แม็คดอร์มานด์ร่วมงานกับแอนเดอร์สัน “ฉันพบว่าการทำงานกับเขาช่วยให้ฉันรู้สึกปลดปล่อยเพราะฉันเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของเขา ในฐานะนักแสดง ฉันชอบทำงานกับผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ครบสมบูรณ์เหมือนอย่างเวส” เธอกล่าว
ความเชื่อมั่นนั้นเป็นสิ่งที่นักแสดงทุกรายเห็นตรงกันขณะเข้ามาทำงานพากย์เสียง ไม่ว่าจะเป็นอากิระ ทาคายามา ในบทลิ่วล้ออย่างผู้พันโดโมะ, อากิระ อิโตะ ในบทศาสตราจารย์วาตานาเบ ผู้นำกลุ่มคัดค้านที่กำลังไล่ล่าไวรัส, ฟิชเชอร์ สตีเวนส์ ในบทสุนัขที่ชื่อสแคร็ป, นิจิโร มุราคามิ ในบทฮิโรชิ บรรณาธิการของ เดลีแมนิเฟสโต และโยโกะ โอโนะ ในบทนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อโยโกะ โอโนะ
ไบรอัน แครนสตัน สรุปเรื่องการทำงานกับแอนเดอร์สันว่า “สิ่งที่ยอดเยี่ยมในตัวเวสคือเขากำหนดรายละเอียดชัดเจน แต่ไม่ตายตัว และสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ขัดแย้งกันในตัวเอง เรารู้ว่าเราต้องการอะไร แต่หนทางที่จะนำไปสู่สิ่งที่เราต้องการนั้นไม่จำเป็นต้องถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้า และเราไม่จำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียดไว้ทั้งหมด เพราะว่าการทำงานศิลปะไม่ได้เป็นแบบนั้น”