กรุงเทพฯ21 เมษายน 2565 – เมื่อเร็วๆ นี้ เอ.เอส. วัตสัน (A.S. Watson) ในฐานะบริษัทแม่ของบริษัทในเครือวัตสัน ได้ฉลองครบรอบ 180 ปี ซึ่งมีการนำเสนอกรอบแนวคิดร้านค้าเพื่อความยั่งยืน (Greener Stores Global Framework) อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการขับเคลื่อนสู่การเป็นร้านค้าปลีกที่มีความเป็นมิตรและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่น้อยลง ทั้งในเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอน การใช้น้ำ การกำจัดของเสีย ตลอดจนการยกระดับความเข้มข้นในการพัฒนาโลกและสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนขึ้น         เอ.เอส. วัตสัน ยังได้พัฒนากรอบแนวคิดนี้โดยมุ่งสร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงปลูกฝังวัฒนธรรมและแบบแผนการทำงานต่างๆ ขององค์กรให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้นทั้งในด้านการออกแบบและการก่อสร้างร้านค้า ตลอดจนการดำเนินงานต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาร้านด้วยวิธีต่างๆ ที่ช่วยให้โลกปลอดภัยยิ่งขึ้น

เอ.เอส. วัตสัน เปิดตัวแนวคิดร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม

เอ.เอส. วัตสัน กลุ่มร้านค้าร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยปัจจุบัน มีร้านค้าในเครือกว่า 16,400 แห่ง ภายใต้ 12 แบรนด์ค้าปลีกใน 29 ตลาดทั่วโลก และยังเป็นหนึ่งในกลุ่มร้านค้าปลีกที่มีการเติบโตเร็วที่สุด โดยมีอัตราการเปิดร้านใหม่ที่ 1,000 ร้านค้าต่อปี และถึงแม้โลกยังต้องประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่เรายังคงเดินหน้าเปิดร้านค้าแห่งใหม่จำนวน 1600 แห่ง ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวดังนั้น การพิจารณาเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับเรา เพื่อการพัฒนาและก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน

คุณมาลิน่า ไหง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเอ.เอส. วัตสัน กรุ๊ป และประธานกรรมการบริหารเอ.เอส. วัตสัน (เอเชียและยุโรป) กล่าวว่า “กรอบแนวคิด Greener Stores Global Framework ของ เอ.เอส. วัตสัน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงของบริษัทในการขับเคลื่อนสู่การพัฒนาด้านความยั่งยืนและก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ในการทำให้ร้านค้าทุกแห่งของเราเป็นร้านค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่น้อยลงตลอดวงจรการดำเนินธุรกิจของเรา”

“กุญแจสำคัญของกรอบแนวคิดร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมนี้ คือ การสร้างแรงบันดาลใจพร้อมปลูกฝังวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในการดำเนินงานในแต่ละวันของร้านเพื่อดึงดูดลูกค้าในการเข้ามาเลือกชมผลิตภัณฑ์และไลฟสไตล์ที่ยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของร้านในการใช้พลังงานและสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนการใช้วัสดุ บรรจุภัณฑ์ และวิธีกำจัดของเสียด้วยวิธีที่ใส่ใจต่อโลกมากขึ้น”

Superdrug ในปีเตอร์โบโร ถูกเลือกให้เป็นร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งแรกของ เอ.เอส. วัตสัน

คุณไหง กล่าวเพิ่มเติมว่า “การออกแบบร้านภายใต้แนวคิด Greener Stores Global Framework ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานต่างๆ รวมถึงมีการนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้มากขึ้น มีการสำรวจวิธีใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ การลดของเสีย การประหยัดน้ำ และการกำจัดของที่หมดอายุการใช้งาน เป็นต้น นอกจากนี้ ในกระบวนการก่อสร้าง ยังมีการวางแผนและจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อกำหนดเป้าหมายร่วมกันในเรื่องการกำจัดของเสียและการรีไซเคิล ร่วมกับผู้รับเหมาในพื้นที่อีกด้วย”

ในอังกฤษ ได้มีการเปิดตัวร้าน Superdrug เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งแรกในเครือของเอ.เอส. วัตสัน ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า Serpentine Green Shopping Centre ในเมืองปีเตอร์โบโร ไฮไลท์สำคัญของร้านค้าแห่งนี้ คือ การออกแบบที่ส่งเสริมแนวคิดเพื่อความยั่งยืน ทั้งในกระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนการใช้ป้ายรีไซเคิลที่ทำมาจากเส้นด้ายรีไซเคิลและขวดพลาสติก การใช้แผ่นฝ้าเพดานที่ทำมาจากฉนวนใยหิน ดินเหนียว และแป้งจากพืชที่ย่อยสลายได้เองโดยทางชีวภาพ และยังเป็นวัสดุรีไซเคิล 100% อีกด้วย

ร้านค้าแห่งนี้ ยังมีคุณสมบัติเพื่อความยั่งยืนอีกหลายประการ เช่น การใช้ระบบปรับอากาศที่มีอัตราประสิทธิภาพระดับ AAA, การตั้งเป้าการจัดการขยะ 5% ในการฝังกลบ และการลดจำนวนการใช้หลอดไฟติดเพดาน LED แบบสร้างบรรยากาศ (LED mood lights) ซึ่งสามารถช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ 37% และทำให้ร้านค้าแห่งนี้สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 5,800 กิโลวัตต์ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1,200 กิโลกรัมต่อปี อีกด้วย

ปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานเพื่อความยั่งยืน

คุณไหง ยังได้กล่าวตอกย้ำความสำคัญของการใช้แนวทางที่ครอบคลุมทุกมิตินี้ว่า “เราไม่ได้เพียงแต่ใช้แนวคิด ร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม ในการก่อสร้างร้านเท่านั้น แต่ยังมุ่งส่งเสริมวัฒนธรรมเพื่อความยั่งยืนทั้งภายในและภายนอกองค์กรของเราอีกด้วย โดยการริเริ่มสร้างการมีส่วนร่วมและแรงบันดาลใจให้กับทั้งเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และคู่ค้าทางธุรกิจของเรา เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการสร้างโลกใบใหม่ที่งดงามและน่าอยู่ยิ่งขึ้น

การสร้างวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ไม่ใช่การกระทำเพียงครั้งเดียว หากแต่เป็นการทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านความยั่งยืนและความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมของบุคลากรและลูกค้าของเรา รวมถึงอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามโดยรวม นอกจากนี้ การมอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพให้กับพนักงานและลูกค้าก็ยังเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น เราจึงเชื่อมั่นว่า กรอบการทำงานนี้ จะนำมาซึ่งประโยชน์สำหรับทุกฝ่ายในท้ายที่สุด”

เอ.เอส. วัตสัน ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยการเลือกใช้ส่วนผสมและวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อโลก มาตั้งแต่ปี 2557 และได้มีการสั่งห้ามการใช้ไมโครพลาสติกในเครื่องสำอางแบบล้างออกได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวต่างๆ ซึ่งการสั่งห้ามนี้ ยังรวมไปถึงแบรนด์เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหมดที่จำหน่ายภายในร้านค้าในปี 2563 อีกทั้งยังได้ทำงานร่วมกับคู่ค้าทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Procter & Gamble, L’Oréal, Shiseido, Beiersdorf, GlaxoSmithKline, Johnson & Johnson, Kao, Reckitt และ Unilever เพื่อผลิตสินค้าที่เป็น Sustainable Choices ต่างๆ อีกมากมาย ทั้งที่จัดหน่ายภายในร้านและทางออนไลน์ทั่วเอเชีย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการของพวกเขา และยังได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือโลกและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ประสบการณ์การจับจ่ายที่หลากหลายสู่ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน

ในแต่ละปี เอ.เอส. วัตสัน ได้ให้บริการลูกค้าทั่วโลกราว 5.5 พันล้านราย ผ่านทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (O+O) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องสร้างการมีส่วนร่วม สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมให้พวกเขาทำความดีและสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามต่อโลกใบนี้ ไม่เพียงแต่ความมุ่งมั่นในการพัฒนากลุ่มสินค้าเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Choices) เท่านั้น วัตสันยังได้ดำเนินโครงการต่างๆ อีกมากมาย เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้ามีวิถีชีวิตที่ดีบนพื้นฐานของความยั่งยืน อีกด้วย

ในเอเชีย วัตสันยังได้จัดแคมเปญรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วทั้งในระดับภูมิภาค เพื่อเป็นการร่วมรักษ์โลก ‘Go Green’ ไปกับลูกค้า โดยแคมเปญนี้ถูกจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับคู่ค้าชั้นนำต่างๆ เช่น P&G และ L’Oréal ซึ่งส่งผลให้มีบรรจุภัณฑ์พลาสติกมากกว่า 1 ล้านชิ้น ถูกนำกลับมาแปรรูปใหม่ผ่านความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชนและโรงงานรีไซเคิลต่างๆ ในระดับท้องถิ่น ในขณะเดียวกันที่ วัตสันฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ยังได้มีการเปิดตัว Refill Station ส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการนำบรรจุภัณฑ์ต่างๆกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงช่วยลดการใช้พลาสติก ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาโลกที่มีความยั่งยืนมากขึ้น สำหรับวัตสัน ในไทย ได้มีการยกเลิกให้บริการถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งตั้งแต่ปี 2563 เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังได้เริ่มรณรงค์ส่งเสริมให้ลูกค้าและเหล่านักชอปได้ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ก็เพื่อตอกย้ำ ความมุ่งมั่นของ เอ.เอส. วัตสันในการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค

ในยุโรป ร้าน Superdrug เป็นร้านค้าปลีกแห่งแรกในประเทศอังกฤษที่จำหน่ายยาแผงที่ลูกค้าสามารถนำแผงยาเปล่าไป รีไซเคิลต่อได้ ภายใต้แคมเปญที่มีชื่อว่า “Little Packs, Big Impact” ซึ่งแผงยาดังกล่าวมีจำหน่ายในร้านขายยากว่า 200 แห่ง แคมเปญนี้ได้ส่งผลให้มีการนำบรรจุภัณฑ์ยา กว่า 4.8 ล้านแผง กลับมารีไซเคิลได้ ซึ่งคิดเป็นน้ำหนักมากกว่า 10,000 กก. นอกจากนี้ ที่ร้าน The Perfume Shop ยังได้มีการออกแคมเปญให้ลูกค้าสามารถนำขวดน้ำหอมที่ใช้แล้วมารีไซเคิล โดยแต่ละขวดมีค่าเท่ากับการบริจาคเพื่อปลูกต้นไม้จำนวน 1 ต้น โดยตลอดแคมเปญมีเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ให้ได้จำนวน 1 ล้านต้น ภายในปี 2573

คุณไหง ยังได้สรุปทิ้งท้ายว่า “Greener Stores Global Framework ของ เอ.เอส. วัตสัน เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางร่วมกับลูกค้าของเราสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเรายังคงเดินหน้าดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อให้ร้านค้าของเราทั่วโลกอยู่บนเส้นทางของความยั่งยืนต่อไป เราต้องการเป็นแบบอย่างในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับร้านค้าปลีกด้านสุขภาพและความงามอื่นๆ ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจให้ธุรกิจต่างๆ ได้ปฏิบัติตาม และสร้างร้านค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนรูปแบบการค้าปลีกให้มีความเป็นมิตรต่อโลกมากขึ้นต่อไป”