ภาพยนตร์จากผลงานเมโทร โกลด์วิน เมเยอร์ พิกเจอร์ส เรื่อง “Creed III” การกำกับฯ ครั้งแรกของไมเคิล บี. จอร์แดน พร้อมการกลับมารับบท อโดนิส ครีด ในผลงานตอนที่ 3 ของแฟรนไชส์ยอดนิยม
หลังจากที่สร้างอิทธิพลให้โลกของการชกมวย อโดนิส ครีดประสบคามสำเร็จทั้งด้านอาชีพการงานและชีวิตครอบครัว เมื่อเพื่อนวัยเด็กและอดีตนักมวยที่ไม่ธรรมดาอย่างเดเมียน (โจนาธาน เมเจอร์ส) ได้รับการปล่อยตัวหลังจากการถูกขังในเรือนจำเป็นเวลานาน เขาอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือผู้คู่ควรกับสิ่งเหล่านั้น การเผชิญหน้าระหว่างเพื่อนเก่ามีสิ่งที่มากกว่าการต่อสู้ ในการทำคะแนนครั้งนี้อโดนิสเอาอนาคตตัวเองมาเดิมพันเพื่อต่อสู้กับเดเมียน ผู้เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับสิ่งใด
นักแสดงในเรื่อง ได้แก่ เทสซ่า ธอมป์สัน (“Creed” franchise, “Passing”), โจนาธาน เมเจอร์ส (“Da 5 Bloods,” “Lovecraft Country”), วู้ด แฮร์ริส (“Creed” franchise, “Blade Runner 2049”), ฟลอเรียน มันทีนู (“Creed II,” “Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings”) นักแสดงหน้าใหม่ มีล่า เคนท์ และฟิลีเซีย ราแชด (แฟรนไชส์ “Creed” , “Soul”)
จอร์แดนกำกับจากบทภาพยนตร์ของคีแนน คูกเลอร์ (“Space Jam: A New Legacy”) และแซ็ค เบย์ลิน (“King Richard”) จากเนื้อเรื่องของไรอัน คูกเลอร์ (“Black Panther: Wakanda Forever”) และคีแนน คูกเลอร์ แอนด์ แซ็ค เบย์ลิน อำนวยการสร้างฯ โดยเออร์วิน วิงค์เลอร์, ชาร์ลส วิงค์เลอร์, วิลเลียม ชาร์ทอฟ, เดวิด วิงค์เลอร์, ไรอัน คูกเลอร์, ไมเคิล บี. จอร์แดน, เอลิซาเบธ ราโพโซ, โจนาธาน กลิคแมน และ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย เซฟ โอฮาเนียน, ซินซี่ คูกเลอร์, นิโคลาส สเติร์น และ อดัม โรเซนเบิร์ก
ผู้ร่วมงานเบื้องหลังของจอร์นแดน ได้แก่ ผู้กำกับภาพ คราเมอร์ มอร์เจนโธ (“Creed II,” “Thor: The Dark World”) ผู้ออกแบบฉาก จาห์มิน แอซซา (“mid90s,” “Angelyne”) ผู้ลำดับภาพ ไทเลอร์ เนลสัน (“The Batman,” “Rememory”) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลิซ วูล์ฟ (“Creed II,” “Pacific Rim: Uprising”) เพลงประกอบภาพยนตร์โดยโจเซฟ เชอร์ลีย์ (“Jackass Forever,” “The Book of Boba Fett”)
เมโทร โกลด์วิน เมเยอร์ พิกเจอร์สนำเสนอภาพยนตร์ผลงานจาก A Chartoff-Winkler Production เรื่อง “Creed III” จะจัดจำหน่ายในอเมริกาเหนือโดย MGM และต่างประเทศโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และมีกำหนดเปิดตัวเริ่มวันที่ 1 มีนาคม 2023
ความเห็นจากผู้กำกับฯ
ผมอยากให้ตัวละครในหนังได้พบกับเรื่องที่น่าขัดใจ ขณะเดียวกันก็มีเรื่องมนุษยธรรมและความสงสารด้วย วิธีถ่ายทอดอารมณ์ของเราออกมาคือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้สำรวจตัวเอง ในเรื่อง “Creed III” จะเห็นเส้นทางที่แตกต่างกัน ความสัมพันธ์ และวิธีแสดงออกของผู้ชาย 2 คนที่เลือกทางเดินคนละแบบ ใช้ชีวิตต่างกัน และพบว่าตัวเองต้องมาอยู่บนเวทีเดียวกัน
ผมอยากให้หนังของผมสะท้อนสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มา บทเรียนเรื่องความเห็นใจกัน และที่สำคัญสุดคือความเมตตาตัวเอง ส่วนใหญ่ไม่มีใครถูกสอนเรื่องนั้น ผมอยากให้หนังของผมสะท้อนถึงปัญหาที่ส่งผลต่อจิตใจ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราหนีอดีต เมื่อเราไม่เอ่ยถึงมัน และใช้ชีวิตต่อไปพร้อมความเจ็บปวดที่โหดร้าย
การให้อภัยคือสิ่งสำคัญในทุกปัญหา เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะเอาชนะได้ การเผชิญหน้ากับความจริงคือสิ่งที่ช่วยเยียวยาและทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ หัวใจสำคัญของเรื่อง “Creed III” คือการให้อภัย อภัยให้กับตัวเองและผู้อื่น ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรือตกอยู่ในสถานการณ์ใด คุณข้ามผ่านอดีตได้ ข้ามผ่านทุกอุปสรรคได้
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องการต่อสู้ของผู้ชายเพื่อเป็นที่หนึ่งของโลก มันเกี่ยวกับการท้าทายตัวเองด้วย และพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้ไม่แพ้ใคร เราควรได้รับสิ่งดีๆ ก้าวต่อไปพร้อมความสุขที่มีให้ตัวเองและผู้อื่น เชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็นตามที่พูดและลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้
ไมเคิล บี. จอร์แดน
รายละเอียดการถ่ายทำ
เราหนีอดีตไม่พ้น
เป็นเวลาหลายปีแล้วนับตั้งแต่ที่อะโดนิส ครี้ด ช็อคทั้งโลก จากบุคคลธรรมดาสู่การเอาชนะแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวท อพอลโล ครี้ด พ่อผู้ล่วงลับไปแล้วของเขาและครูสอนร็อคกี้ บัลบัว เขาเอาชนะคู่ต่อสู้หลายคน เช่น วิคเตอร์ ดราโก้ และ แดนนี่ “สตั๊นท์แมน” วีเลอร์ อะโดนิสหรือแดนนี่เลือกวางนวมในฐานะแชมป์เฮฟวี่เวทของโลก เพื่อดูแล Delphi Academy ร่วมกับอดีตพี่เลี้ยงของเขา โทนี่ “ลิตเติ้ล ดุค” เอเวอร์ส และแชมป์คนปัจจุบัน ฟีลิกซ์ ชาเวซ ผู้ครองตำแหน่งนักชกดาวรุ่งแห่งเดลฟาย
อะโดนิสถูกปลุกขึ้นมาในภาค 3 ผ่านร่างไมเคิล บี. จอร์แดน ผู้ก้าวมาอยู่เบื้องหลังกล้องเพื่อกำกับฯ และผลิตผลงาน เขาเล่าว่า “ผมเห็นภาพชัดเจนว่าอยากให้เรื่องราวออกมาเป็นแบบไหน อยากให้ครอบครัวของครี้ดไปในทิศทางไหน ความท้าทายในการกำกับฯ ช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้ผม ผม ผมอยากเห็นว่าหากตัวเองได้มีส่วนร่วมและควบคุมทิศทางตามสิ่งที่อยู่ในหัวของผมมานานแล้วจะเป็นอย่างไร ‘Creed III’ มีความหมายสำหรับผมเป็นการส่วนตัว และขอบคุณที่ทุกอย่างมาบรรจบกันอย่างลงตัวในหนังเรื่องนี้”
ในเรื่อง “Creed III” จะได้เห็นดอนนี่และบิอันก้าภรรยาของเขา รับบทโดยเทสซ่า ธอมป์สันอีกครั้งอยู่ในช่วงรุ่งเรืองครั้งใหม่ บิอันก้าประสบความสำเร็จด้านอาชีพดนตรี เธอเปลี่ยนมาสู่การผลิตและลูกสาวคนเล็กของพวกเขา อมาร่า อยากเรียนชกมวยจากพ่อของเธอ ชีวิตดูช่างงดงามกว่าที่อะโดนิสเคยนึกภาพเอาไว้ แม้ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคด้านสุขภาพของแม่ที่เขารัก แมรี่-แอน ซึ่งได้ฟิลิเซีย ราแชดมารับบท
ธอมป์สันเล่าว่า “ฒไมเคิลรู้จักตัวละครอโดนิส ครี้ดเป็นอย่างดี เขารู้จักโลกของหนังเหล่านี้เป็นอย่างดี สำหรับภาค 3 เราอยากหาคำตอบว่า ‘เราจะสร้างความแปลกใหม่ในเรื่องราวนี้ได้อย่างไร?’ การได้ไมค์มาควบคุมเหมือนช่วยเสริมพลังและเพิ่มมุมมองความแปลกใหม่ได้เยอะเลย”
เมื่อเส้นทางอนาคตของพวกเขาดูจะสดใส อดีตของอะโดนิสก็เหมือนหมัดใหญ่ที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ตอนวัยรุ่นอะโดนิสเคยเรียนมวยจากเดเมียน “เดม” แอนเดอร์สัน รุ่นพี่จากศูนย์เลี้ยงเด็กที่อะโดนิสเคยอยู่ ความรุนแรงบนท้องถนนเคยทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในอันตราย เดมต้องอยู่ในเรือนจำนานถึง 18 ปี เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมา เขาติดต่ออะโดนิสเพื่อหาโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิตในการต่อสู้กับชาเวซในฐานะคู่เอก เมื่อบรรยากาศการจับคู่ดูผิดปกติ ผลที่ออกมาสร้างความตกตะลึงให้วงการกีฬาและอะโดนิส เพราะเขาต้องเผชิญหน้ากับคนที่เขาอิจฉาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนกัน
นักเขียนฯ คีแนน คูกเลอร์ และ แซค เบย์ลิน เขียนบทขึ้นมาจากเรื่องที่เขาเคยร่วมไว้ร่วมกับผู้อำนวยการสร้างฯ ไรอัน คูกเลอร์ คีแนนเล่าว่า “สิ่งที่ผมเขียนในบทเป็นการซื่อตรงต่อตำนานที่ผ่านมาในหนังทั้ง 8 เรื่อง และมีการสำรวจประเด็นใหม่ๆ ที่จะเอาใจผู้ชม ซึ่งอาจเป็นหน้าใหม่สำหรับตำนานนี้ ไมเคิลมีความหลงใหลในการหาทางท้าทายอะโดนิสใหม่ๆ แซคกับผมเลยสร้างศัตรูที่ดูจะสกัดอะโดนิสในด้านที่ทำให้เขาเป็นฮีโร่ได้”
เบย์ลินเล่าว่า “ผมรักหนัง 2 ภาคแรก และตื่นเต้นที่จะมีส่วนร่วมในการสานต่อเรื่องราว รู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่ต้องแมตช์เรื่องราวดราม่ากับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นตลอดแฟรนไชส์ ตั้งแต่แรกเราพยายามถ่ายทอดเรื่องราวภาค 3 เน้นที่เรื่องราวส่วนตัว ไม่อยากให้สนใจแต่เรื่องประวัติความเป็นมาของ ‘ร็อคกี้’ เราอยากค้นหาว่าอะโดนิสกับครอบครัวของเขารู้สึกอย่างไรในช่วงนั้น ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพวกเขาคือตอนไหน เราอยากเล่าเรื่องราวความรับผิดชอบ ความรู้สึกผิด และความสงสารของผู้รอดชีวิต และเราอยากสร้างตัวละครในเดมที่ท้าทายทุกสิ่งที่อะโดนิสสร้างขึ้นมาและคิดว่าเขาได้ครอบครอง ซึ่งเป็นคนที่จะสร้างความสั่นคลอนให้ชีวิตพวกเขาอย่างหนัก
ในท้ายที่สุด คูกเลอร์เล่าเสริมว่า “อโดนิสเริ่มเดินทางพิสูจน์คุณค่าของตัวเองและชีวิต แต่หลังจากนั้นเขาต้องพบกับความรับผิดชอบอย่างที่ไม่เตรียมตัวมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าทำให้ทุกคนรักเขา”
“และเราอยากลองขยายวงกว้างของหนังแนวนี้ด้วย” เบย์ลินกล่าว “แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ความตื่นเต้น หนังชกมวยที่สร้างแรงบันดาลใจทุกเรื่องอย่าง ‘Creed’ และ ‘Rocky’ ล้วนเป็นแบบนี้ แต่นี่ก็มีความระทึกขวัญและความลึกลับที่ผมคิดว่าผู้ชมจะเซอร์ไพรส์ในความซับซ้อนของเรื่องราว”
“นี่เป็นเรื่องราวเริ่มต้น ภาคต่อ และภาคที่ 3 ในตัวเอง” จอร์แดนกล่าวสรุป “เราได้เห็นอโดนิสตอนอายุยังน้อยในหนังภาคก่อนมาแล้ว แต่เราไม่เคยมีโอกาสได้เห็นตอนเป็นเด็กและการก้าวเข้ามาของเขา การใช้ชีวิตของเขาก่อนจะมาพบแมรี่-แอนน์ สิ่งที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นอโดนิส ครี้ดที่เรารู้จัก ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นคนรวย มีโอกาส และสร้างตำนาน ผมรู้สึกว่าผลที่ตามมาได้สร้างปัญหาให้เขาด้วยเช่นกัน”
สายเลือดความพลุ่งพล่านที่อยู่ในตัวเขา อโดนิสได้เตือนตัวเองเรื่องความตายของพ่อไว้ในแหวน ความสำเร็จอย่างไม่มีคาดหมายของร็อคกี้ สิ่งที่ลูกสาวมองเห็นในตัวเขา และมุมมองของเขาในเรื่องชัยชนะและความผดพลาด ทุกอย่างมารวมกันในความคิดของเขาเมื่อ “ไดมอนด์” เดมมาปรากฏตัวถามหาสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด เขาเหมือนจุดเริ่มต้นโชคชะตาและเหมือนพี่น้องที่ต้องมาเจอกันแบบ “Battle for Los Angeles” และอยู่ในจุดสูงสุดทุกด้านอย่างที่อโดนิสได้พบในสังเวียนจนกระทั่งตอนนี้
โจนาธาน เมเจอร์ส ผู้รับบทเดเมียนเล่าว่า “ในฐานะของนักแสดงที่รับบทนี้ ผมมองเส้นทางตัวละครทั้งสองและจุดหมายต่อไปของพวกเขา ไมเคิลมีความจริงใจและตื่นเต้นในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ในสิ่งที่เขาต้องการสร้าง เขาอยากให้มีความเปลี่ยนแปลงไปจากธีมเดิมๆ ที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกันเขาก็เคารพในตำนานของ ‘ร็อคกี้’ และภาพยนตร์ ‘Creed’ ที่ผ่านมา ตลอดการพูดคุยกับไมเคิล ผมรู้ว่านีเป็นเรื่องราวของผู้ชาย 2 คนและความฝันของพวกเขาที่ขัดกัน ในบางมุม ‘Creed III’ มีความละเอียดอ่อนมากกว่าภาคอื่นในแฟรนไชส์ ขณะเดียวกันก็มีความยิ่งใหญ่ตามตำนานเรื่องราวด้วย”
สำหรับการเพิ่มอารมณ์ต่างๆ และฉากแอ็คชั่นสำหรับผู้ชม จอร์แดนและผู้กำกับภาพ คราเมอร์ มอร์เจนโธ ผู้เก็บภาพ “Creed II” ด้วยการใช้กล้องดิจิตอล IMAX และใช้สัดส่วนตามขนาด IMAX ที่ขยายภาพกว้างขึ้น 26% ในภาค 3 ของแฟรนไชส์ “Creed” นี้เป็นการเก็บภาพเกมกีฬาครั้งแรกโดยใช้การถ่ายทำที่เหมาะสำหรับภาพ IMAX
จอร์แดนและมอร์เจนโธใช้เทคโนโลยี IMAX ที่รู้กันดีว่าจะนำผู้ชมบนเก้าอี้เข้าสู่โลกบนจอที่มีความยิ่งใหญ่ของเขา พร้อมเสียงที่ดังฟังชัด และการออกแบบเสียงที่มีเอกลักษณ์ เหมือนเป็นการผลักดันการสร้างภาพยนตร์ที่จะทำให้ผู้ชมสัมผัสประสบการณ์ต่างออกไป ทำให้ผู้ชมได้เข้าไปสัมผัสกับเรื่องราวอย่างเต็มที่ ได้เห็นทุกหยาดเหงื่อและความรู้สึกที่กระทบในทุกหมัด
ผลลัพธ์คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในมีความเคลื่อนไหวไม่แพ้ร่างกาย ซึ่งจะสะท้อนผ่านการเผชิญหน้าระหว่างอโดนิสและเดม ทั้งในการออกแบบท่าต่อสู้ที่ตื่นเต้น การระเบิดอารมณ์ การออกแบบฉากของจาห์มิน แอสซ่า เสื้อผ้าได้ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายจาก “Creed II” ลิซ วูล์ฟกลับมาร่วมงานกัน และดนตรที่เร้าใจโดยนักแต่งเพลงโจเซฟ เชอร์ลีย์
จอร์แดนยอมรับกับทีมงานว่า “ผมโชคดีที่มีคนเก่งๆ อยู่ล้อมรอบ พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เราช่วยกันพัฒนาจนทำให้ผมสามารถกำกับฯ ในแต่ละฉากได้ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความช่วยเหลือเรื่องการนึกภาพ หรือไม่มีทีมนักแสดงที่เก่ง ทุกคนมาเพื่อพร้อมแสดง และมีฝีมือระดับโลก และผมจะรู้สึกชื่นชมไปตลอดชีวิตเลย”
นอกจากจอร์แดนยังมีธอมป์สัน เมเยอร์ส มิล่า ดาวิส-เคนท์ ผู้รับบทลูกสาว อมาร่า ครี้ด และทีมนักแสดงหลักที่เหลือ ในเรื่อง “Creed III” ยังคงสานต่อความเป็นแฟรนไชส์ของ “Creed” ที่มีจุดเริ่มต้น อโดนิสได้เผชิญหน้ากับนักมวยผู้เป็นนักมวยตัวจริง และมีการเพิ่มความสมจริงโดยการใช้น้ำเสียงและใบหน้าจากคนดังทั้งสองฝั่งเชือก เช่น แชมป์โกลเดนโกลฟ์รุ่นเวลเทอร์เวท โฮเซ เบนาวิเดซ จูเนียร์ ผู้รับบทแชมป์ฟีลิกซ์ ชาเวซ และยังมีแอนโธนี เบลลิว ที่รับบท “พริตตี้” ริคกี้ คอนแลน และ ฟลอเรียน มุนเตอานู รับบทวิคเตอร์ ดราโก้ พร้อมด้วยคาเนโล อัลวาเรซ, แพทริซ “บูกี้” แฮร์ริส, “มิตต์ ควีน” แอนน์ นาจาร์, จาค็อบ “สติช” ดูแรน, เทอเรนซ์ ครอว์ฟอร์ด, บอบบี้ เฮอร์นันเดซ, ยาห์ยา แม็คเคลน, ลามองต์ แลงค์ฟอร์ด, โครีย์ คอลเลียต และเหล่าคณะกรรมการรวมถึงผู้ประกาศทีแฟนนักมวยจะจำหน้าได้ง่าย
“ฉันใช้เวลา 7 ปีให้หลังของชีวิตอยู่กับความเพ้อฝันไปไกลแสนไกล …”
ผู้ชมเคยเห็นอโดนิส ครี้ดตอนเป็นหนุ่มที่ได้รับการฝึกฝนโดยร็อคกี้ บัลบัว ระหว่างที่กำลังมีความรักกับนักดนตรี และเขาพยายามฝึกฝนความสามารถให้ไปถึงขีดจำกัดสูงสุดของตัวเอง หลังจากที่แมรี่-แอน ครี้ดตกลงปลงใจกับเขา เขาต้องห่างจากยิมและแน่นอนว่าไม่มีใครจะฝึกฝนในกีฬานั้นได้อย่างทุ่มเทเท่า อพอลโล่ พ่อของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว จนการชกมวยกลายเป็นสิ่งที่ปลุกไฟให้อโดนิสขึ้นมาในตัว “นั่นเป็นเพียงบางส่วนเพราะเขามีสายเลือดนั้นอยู่ในตัว” จอร์แดนอธิบาย “อโดนิสมีสปิริตด้านการต่อสู้ เขาสู้เพื่อความอยู่รอดและรู้สึกว่าต้องสู้เพื่อบางสิ่งเสมอ”
ตอนนี้ผ่านมาแล้วหลายปี ในเรื่อง “Creed III” จะเห็นอโดนิสอยู่นอกสังเวียนและครอบครัวของเขาเฝ้ามองอนาคต… แม้ว่าจะได้เห็นอโดนิสในอดีตอันห่างไกลมากขึ้น ในช่วงที่เขาโตบนท้องถนนแอลเอ
จอร์แดนเองก็รู้สึกผูกพันกับตัวละครนี้ แม้เขาจะทำการแสดงตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาเป็ฯนักแสดงที่มีชื่อเสียงและได้รางวัลจาก “Fruitvale Station” ที่ทำให้ไรอัน คูกเลอร์ ผู้สร้างฯ ได้รู้จักเขา ก่อนจอร์แดนจะเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกพร้อมการแสดงในผลงานของคูกเลอร์ เรื่อง “Black Panther” ผลงานของผู้กำกับฯ ปี 2015 เรื่อง “Creed” ทำให้จอร์แดนได้พบกับพลังที่ไม่ใช่แค่เรื่องความชื่นชม แต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมในตำนานภาพยนตร์ด้วย
“ผมโตมาพร้อมกับอโดนิส ครี้”ด จอร์แดนกล่าว “ผมสร้างเขาขึ้นมาพร้อมกับไรอัน และมีโอกาสถ่ายทอดเขาออกมาในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตผม ตอนนี้มาถึงภาค 3 ผมมีโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองตอนนี้ ในจุดที่อโดนิสออกเดินทางและได้สัมผัสกับตัวตนของตัวเองมากขึ้น
“ผมตื่นเต้นที่ได้เห็นอโดนิสเดินบนเส้นทางตามที่เขาอยากจะไป” จอร์แดนเล่าต่อว่า “เขาอยู่อย่างหิวกระหายอย่างไร? เขาจะหาแรงกระตุ้นต่ออย่างไร? คำตอบคือมีสิ่งย้ำเตือนถึงตัวเขาก่อนที่จะมีชื่อเสียง และก่อนที่เขาจะมีทุกสิ่งอย่างที่ฝันไว้ ในฐานะนักแสดงและผู้กำกับฯ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเข้าไปสำรวจที่สุด”
ไบอันก้าของเทสซ่า ธอมป์สันดูลงตัวเหมาะเข้ากับอโดนิสอีกครั้ง เธอเหมือนคนถ่วงสมดุลความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ และมีทั้งความเป็นภรรยา เป็นแม่ของลูกๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานของเธอ
“เทสซ่าอยู่กับผมตั้งแต่วันแรกในทุกก้าว” จอร์แดนกล่าว “เราคุยกันหลายเรื่องเกี่ยวกับชีวิต ตัวละครของเรามาถึงจุดไหน และพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อในเรื่องนี้ เธอถ่ายทอดความใส่ใจและความอ่อนโยนลงไปในเรื่อง รวมถึงมาสู่ตัวผมเองด้วย”
“ไบอันก้าคนนั้นมีบุคลิกและน้ำเสียงที่เห็นได้ชัดเจน ซึ่งมีความสำคัญในแง่การดูสมจริงสำหรับเรา” จอร์แดนกล่าว “ไบอันก้าเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถและเป็นศิลปิน เธอต้องทำใจเรื่องการสูญเสียการได้ยน และสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่เมื่อเวลาผ่านไป ไม่ใช่แค่การเสียความเป็นตัวเองเพื่อสนับสนุนเส้นทางของอโดนิส ครี้ด แต่สำคัญต่อแฟรนไชส์ทั้งเรื่องนี้ด้วย”
ธอมป์สันเล่าว่า “ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจในตัวเธอคือเรื่องหัวใจ แต่ละภาคเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ และผมคิดว่าการเรียงลำดับครอบครัวของเธอคือสิ่งสำคัญ ในทุกภาคของ ‘Creed’ เธอพยายามทำความเข้าใจว่าตัวเองคือใครบนโลกนี้ เธออยากเป็นคนแบบไหน มีความฝันอย่างไร นั่นคือสิ่งที่ผมผูกพันเป็นการส่วนตัว และคิดว่าผู้ชมหลายคนจะรู้สึกเช่นกัน”
ธอมป์สันเล่าว่าพัฒนาการของไบอันก้าครั้งนี้คือ “ไม่ต่างกับอโดนิส เขาไม่ได้อยู่ในสังเวียนแล้วตอนที่เราเห็นเขาใน ‘Creed III’ เธอเองก็ไม่ได้อยู่บนเวทีอย่างที่เราเคยเห็น ทั้งคู่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงไม่กำหนดขีดจำกัดในสิ่งที่ตัวเองทำ ทั้งคู่ต่างดิ้นรนในแบบของตัวเอง แต่ยังหาทางเติบโตและเรียนรู้ตัวเองไปพร้อมกัน”
ความเปลี่ยนแปลงด้านอาชีพการงานของไบอันก้าก็น่าสนใจ ธอมป์สันเล่าว่า “เป็นเรื่องคุยที่สนุกระหว่างไมค์กับผม เราแปลกใจว่าไบอันก้าได้แผ่นเสียงทองคำมาครองมากเท่าไหร่แล้ว? เราเลือกให้เธออยากมีธุรกิจของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่เราคิดภาพไม่ออกเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตอนนี้เราได้เห็นทั้งคู่ต่างมีอะไรเป็นของตัวเองตามเส้นทางอาชีพที่ถนัด”
ธอมป์สันเล่าว่า นอกจากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตคู่ผ่านการแสดงแล้ว “มันสนุกมากด้วยที่ได้ร่วมงานกับแผนกต่างๆ ทั้งหมด ได้คิดว่าจะถ่ายทอดทุกอย่างออกมาโดยไม่ใช้คำพูดได้อย่างไร แน่นอนว่าเราต้องมีบทพูด แต่เราจะสร้างบ้านของพวกเขาออกมาแบบไหน พวกเขาจะแต่งตัวหรือขับรถแบบไหน ทุกอย่างเพื่อเสริมรายละเอียดตัวละครขึ้นมา”
และที่สำคัญเธอสนุกกับการร่วมงานกับลิซ วูล์ฟอย่างใกล้ชดด้วย “ลิซจัดการเรื่องเสื้อผ้าได้อย่างยอดเยี่ยมมากค่ะ ช่วยถ่ายทอดความสำเร็จของไบอันก้าออกมาผ่านเสื้อผ้า ขณะเดียวกันก็สะท้อนความรู้สึกว่าเธอเหมือนคนที่เราอาจจะพบเห็นข้างบ้านที่ฟิลลี่ได้ แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ที่แอลเอก็ตาม ฉันคิดว่าความสนุกอยู่ที่การถ่ายทอดตัวละครที่มีเส้นทางยาวนาน เราต้องสร้างนิยามและรายละเอียดของตัวละครที่จะสะท้อนบนหน้าจอออกมา”
หลายปีที่ผ่านมาจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของไบอันก้าและอโดนิสที่น่าชื่นชมมากคือลูกสาวของพกเขา ที่เข้ามาในโลกนี้ตอนภาคสุดท้าย หลังจากการค้นหาทั่วทุกแห่ง ผู้สร้างฯ เลือกแคสต์ มิล่า เดวิส-เคนท์ วัย 9 ขวบมารับบทอมาร่าในเรื่อง สิ่งสำคัญคือต้องคัดนักแสดงหูหนวกมารับบทเพื่อความสมจริงที่จะเข้าถึงตัวละคร
นี่คือหนังเรื่องแรกของเธอ เดวิส-เคนท์เล่าว่า “ไมเคิลช่วยฉันหลายเรื่องในฐานะผู้กำกับฯ เขาช่วยฉันสะท้อนอารมณ์ ถ่ายทอดความเป็นอมาร่าออกมา” เธอเล่าต่อ “และให้คำแนะนำในหลายฉษก เช่น ‘ลองทำดู และดูว่าจะรู้สึกอย่างไร’ เขาพูดและพอฉันลองทำ มันก็ออกมาดีมากอย่างชัดเจน”
เดวิส-เคนท์ยังเล่าว่าเธอพบได้ค้นพบ “บุคลิกอมาร่าคล้ายกับตัวฉันมากค่ะ เธอเป็นคนอึด ดื้อ มุ่งมั่น รั้นสุดๆ” เธอยิ้ม” แต่ก็มีความอ่อนโยน เธอรักครอบครัวตัวเอง มีความใส่ใจ และอยากปกป้องครอบครัวตัวเอง เธอมีจิตใจอ่อนโยนซึ่งทุกอย่างคล้ายกับฉันหมดเลยค่ะ”
ผู้สร้างภาพยนตร์เลือกขอความร่วมมือจากที่ปรึกษา ASL อย่างเจเรมี่ ลี สโตน ที่มาปรากฎตัวในฐานะครูของอมาร่า และให้คำปรึกษารายละเอียดต่างๆ ของบท ร่วมมือกับทีมงานยามต้องการ และร่วมมือกับหัวหน้าแผนกต่างๆ เช่น วูล์ฟ เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องการออกแบบเสื้อผ้าให้เดวิส-เคนท์ โดยเฉพาะการเลือกเนื้อผ้าที่จะเหมาะกับการแสดงของเธอ
การออกแบบของวูล์ฟเหมาะสมในทุกท่วงท่า “ผมรักเสื้อผ้าทุกชุดเลยครับ” เขากล่าว “เสื้อผ้ามีความน่าทึ่งมาก ทุกครั้งผมจะคิดว่า ‘ว้าว! เราจะได้เลือกเสื้อผ้าพวกนี้’ และทุกชุดก็ดูเท่สุดๆ ผมรักเสื้อผ้าพวกนี้ และมันก็สร้างความสนุกได้มาก”
สำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ความสนุกอย่างแท้จริงคือการได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่พวกเขาถ่ายทอดออกมา “หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอโดนิส ไบอันก้า และอมาร่า ครี้ด ในรูปแบบครอบครัวหนึ่งและตำนานการชกมวยของพวกเขา” เธอกล่าว” อมาร่าดูพ่อของเธอเป็นตัวอย่างหลายเรื่อง แต่เธอก็ได้เรียนรู้หลายอย่างจากทั้งพ่อและแม่ ซึ่งนั่นทำให้เธอเข้มแข็งและกล้าหาญขึ้น”
“ไมล่าในเรื่องยอดเยี่ยมมาก และอมาร่าสะท้อนถึงความเป็นรุ่นต่อไป” จอร์แดนกล่าว “การชกมวยมักเป็นเรื่องของพ่อกับลูกชาย และผมอยากสำรวจว่าถ้าเป็นพ่อกับลูกสาวบ้างล่ะ อย่างมูฮัมหมัด อาลีกับลูกสาวของเขาไลล่าที่เป็นนักมวยอาชีพเหมือนกัน ผมอยากเห็นว่าแฟรนไชส์เรื่องนี้จะเดินทางไปได้ไกลขนาดไหน และในเรื่องราวจะรู้สึกอย่างไร โดยส่วนตัวผมรู้จักผู้ชายที่เข้มแข็งหลยคน พวกเขามีลูกและรู้สึกว่าการทำอะไรที่เหมือนอโดนิส ไม่ใช่แค่การเป็นนักสู้ที่เก่งขึ้น แต่ยังเป็นผู้ชายที่ดีขึ้น เป็นคุณพ่อที่ดีขึ้น เป็นสามีที่ดีขึ้น นั่นคือสิ่งที่เราอยากรวมในเรื่องราวด้วย”
แม้เขาจะคิดว่าอยู่นอกสังเวียนแล้ว แต่ยังคงให้การสนับสนุนนักสู้รุ่นใหม่ อดีตของเขากลับมาหลอกหลอนและทำให้เขาต้องคิดทบทวนทางเลือกตัวเองใหม่
เดเมียน แอนเดอร์สัน หรือ เดม ตัวละครของโจนาธาน เมเยอร์สคือเพื่อนของอโดนิสตอนเด็ก และเหมือนปีศาจจากอดีตที่กลับมาทวงอะไรหลายอย่าง เมื่อเขาพูดกับอโดนิสว่าเขาเก่งที่สุดแค่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ มันไม่ใช่แค่การรื้อฟื้นอดีตหวนกลับมา
“เมื่อทุกคนได้ดูหนังจะเห็นว่าในเรื่องเกี่ยวกับคน 2 คนที่เคยรักกัน พยายามหาทางกลับมาติดต่อกัน แต่มีคนหนึ่งที่ทำอะไรเกินไปหน่อย” เมเยอร์สกล่าว เขามองย้อนไปที่อดีตระหว่างพวกเขาและเล่าว่า “เพราะสังคมที่พวกเขาเคยอยู่ เพราะหลายสิ่งที่พวกเขาทำร่วมกันเหมือนเป็นพี่น้องที่รักกัน สิ่งที่ทำให้พวกเขาเดินทางไปไกลเหนือสังคมความจน การอยู่ในสถานเลี้ยงเด็ก คือความฝันที่มีร่วมกันเรื่องชกมย นั่นคือใบเบิกทางของพวกเขา”
“เดเมียนเป็นนักสู้ที่เข้มแข็งและอายุมากกว่า เขาสอนนักชกรุ่นน้องที่รักกันเหมือนพี่น้องให้รู้จักการต่อสู้ โดยเฉพาะการเอาตัวรอดโดยไม่เคยทอดทิ้งเขา” เมเยอร์เล่าต่อ “ตอนอยู่ในคุก เดมยังคงสานสัมพันธ์ที่มีต่ออโดนิสโดยการเฝ้าดูเขาโชว์ฝีมือ ดูเขาได้รับชัยชนะ และได้ทำตามความฝันที่พวกเขามีร่มกัน แต่มันก็สร้างความเคืองใจให้เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน”
จอร์แดนสังเกตว่า “โจนาธาน เมเยอร์สเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งและไม่ธรรมดา เขาอยู่ในฉากและผมบอกเขาว่าเขาดูน่าทึ่งขนาดไหน เราเคยเจอกันมาก่อนและมีการพูดคุยกัน เขาเริ่มอินกับัวละครทันทีและพร้อมถ่ายทอดทุกอย่างออกมา นี่คือตัวละครที่เราไม่เคยเห็นเขาแสดงมาก่อน”
การร่วมงานกับเมเยอร์สเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพ ทั้งในด้านชีวิตจริงและชีวิตการแสดง “ผมอยากสร้างความผูกพันทั้งในและนอกจอ โจนาธานเป็นคนที่ผมมองว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี โดยเฉพาะหลังจากถ่ายทำเรื่อง ‘Creed III’ พอเราผ่านการถ่ายหนังแนวนี้ร่วมกัน เราจะผูกพันกันในชีวิตจริงขึ้นมา”
“การพูดคุยกันระหว่างไมค์กับฉันในฉาก รวมถึงทั้งก่อนและระหว่างการถ่ายทำไม่ต่างกับที่เดเมียนพูดคุยกับอโดนิสเลย มีเรื่องชีวิตที่เปลี่ยนแปลงในฐานะนักแสดง และช่วยการเยียวยาความรู้สึกได้ทั้งในฐานะนักแสดงและมนุษย์คนหนึ่ง” เมเยอร์สกล่าว
ในแง่ของร่างกายภายนอกคือหนึ่งในหลายสิ่งที่เมเยอร์สพบความน่าสนใจในการรับบทเดเมียน “ผมไม่เคยรับบทที่เคยต้องใช้ร่างกายอย่างเต็มที่เหมือนเดมแสดงออกมาเลยครับ เราจะเรียนรู้ได้จากภาษากายของเขาและลักษณะการเคลื่อนไหวของเขา” เมเยอร์สกล่าว “ผมเคยเป็นนักกีฬามาตลอด ผมเคยเล่นฟุตบอล บาสเก็ตบอล วิ่งทั่วประเทศ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่โตมาในเท็กซัสด้ยกัน เขาเคยเป็นนักมวย ผมเฝ้าดูเขาและพยายามเลียนแบบที่เขาทำ เขาคือของจริง เป็นคู่ต่อสู้ระดับโกลเดนท์โกลฟส์ ผมตามเขาไปที่โรงยิมและลองทำดูบ้าง ผมคิดว่า ‘นายแน่จริง’ จนกระทั่งหลายปีต่อมาถึงจุดที่ผมคิดว่า ‘โอ้ ก็ไม่เท่าไหร่นี่!’ แต่พอผมเริ่มฝึกซ้อมเพื่อแสดงหนังเรื่องนี้ และเรียนรู้เรื่องท่าทางการต่อสู้ ได้ร่วมงานกับผู้ควบคุมด้านการแสดงผาดโผนอย่างเคลย์ตัน บาร์เบอร์ ผมได้เรียนรู้อย่างรวดเร็ว เป็นการเรียนรวบรัม และผมก็เข้าถึงอารมณ์อย่างที่ควรจะเป็น”
บาร์เบอร์ยืนยันว่า “โจนาธานคือมนุษย์ทำงานที่หาตัวจับยาก เขาทุ่มเทสุดตัว เขาชกมวยตลอด 8 เดือนก่อนการถ่ายทำไม่หยุด ใช้เวลานานนับชั่วโมงเพื่อทุ่มเทกับงาน สำหรับบทเดเมียนเราต้องการสไตล์ที่มีความโดดเด่น สไตล์ที่ดูแข็งแกร่งอย่างเป็นธรรมชาติ เปรียบเทียบกับคาดิลแล็คชั้นดีได้คือแชมป์ฟีลิกซ์ ชาเวซผู้เป็นนักมวยอาชีพ เดเมียนมาจากการใช้หมัดอย่างหนักหน่งจากแอล.เอ. เขาเคยอยู่ในคุกและได้เรียนรู้เทคนิคบางอย่างมา การกลับมาของเขาครั้งนี้คือจุดที่เขาไม่มีทางถอยได้แล้ว”
บาร์เบอร์ร่วมงานกับจอร์แดนเพื่อคิดค้นการต่อสู้ “สำหรับการออกแบบท่าทาง ไมเคิลได้แรงบันดาลใจจากภาพเคลื่อนไหว พยายามถ่ายทอดออกมาให้ดูเหมือนท่าความรุนแรงอย่างที่นักมวยทำกัน มันเจ๋งมากเพราะการร่วมงานกับนักแสดงและทีมงานของคราเมอร์ ทำให้เราได้ใกล้ชิดกับนวม ได้ปรับเปลี่ยนสปีด และสร้างประสบการณ์ที่ชวนตื่นเต้นให้ผู้ชมได้”
ธอมป์สันเล่าว่า “ตอนที่อโดนิสต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนเก่าในสังเวียน เมื่อมันถึงเวลาจริงสิ่งที่สร้างความหนักใจให้เขามากที่สุดคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขา: อดีต ซึ่งไบอันก้าอยากแน่ใจว่าอโดนิสมีสมาธิอย่างแน่วแน่ เพื่อที่เขาจะโฟกัสกับสิ่งที่อยู่กับมือ และต่อสู้ได้อย่างสุดกำลัง
“มันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่าสร้างแรงบันดาลใจและแรงผลักดันได้จากความรักของอโดนิสและไบอันก้าที่มีร่วมกัน พวกเขาต่างผลักดันกันเพื่อให้เป็นคนที่ดีที่สุด” ธอมป์สันกล่าวต่อ “มันฟังดูธรรมดาเมื่อเราพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ แต่เราไม่ค่อยเห็นต้นแบบจากชีวิตจริงบ่อยนัก ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เราต่างตามหากันอยู่”
วู้ด แฮร์ริส กลับมารับบทโทนี่ “ลิตเติ้ลดุค” ผู้เป็นเทรนเนอร์และพี่เลี้ยงข้างเวทีของอโดนิสตลอดกาล ซึ่งพอของดุคคือพี่เลี้ยงข้างเวทีที่อพอลโล ครี้ดให้ความไว้วางใจเมื่อปี 1970 และ 80 รายละเอียดของตัวละครช่วยเพิ่มมิตรภาพที่ดีให้กับอโดนิส
แฮร์ริสเล่าว่า “ผมคดว่าหนังเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นความแปลกใหม่บางอย่างในซีรีส์ มันมีจุดเชื่อมโยงเริ่มต้นระหว่าง ‘Creed’ กับ ‘Rocky’ และยังมีบางอย่างที่เชื่อมโยงถึงกันได้ในความรู้สึก เรายังสัมผัสได้ถึงพลังแบบเดียวกันแต่เป็นรูปแบบใหม่ ในเรื่อง ‘Rocky’ คือเมล็ดพันธุ์ที่กลายเป็น ‘Creed’ และตอนนี้เรื่อง “Creed III’ เรามาถึงจุดสูงสุดอีกระดับที่สร้างปรากฎการณ์ขึ้นมา
“เมื่อดุคและอโดนิสกลายเป็นพาร์ทเนอร์กัน มันจึงดูเป็นการทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ” แฮร์ริสเล่าต่อ “ดุคเป็นมากกว่าเทรนเนอร์ เขามีความผูกพันมาจากรุ่นพ่อของพวกเขาคืออพอลโลและดุค ซีเนียร์ มันเป็นพัฒนาการโดยธรรมชาติ อโดนิสกลายมาเป็นผู้สนับสนุนและหาเส้นทางสร้างอนาคตให้นักสู้คนอื่นต่อไป ส่วนลิตเติ้ลดุคอยู่เคียงข้างเพื่อช่วยเหลือและเป็นพาร์ทเนอร์ในทุกความพยายามของเขา”
เมเยอร์สเองก็ไม่ต่างกับจอร์แดนที่เป็นแฟนคนหนึ่ง และสนุกที่ได้ร่วมงานกับแฮร์ริส เขาเล่าว่า “มันสนุกมากที่ได้เล่นฉากต่างๆ ร่วมกับวู้ด เพราะผมชื่นชมเขามาก วู้ดเรียนจบจาก Wood ส่วนผมจบจาก Yale แต่เรามีอาจารย์คนเดียวกัน และเราก็ผ่านการฝึกฝนมาคล้ายกันในฐานะนักแสดงจากฝั่งตะวันออก ผมรักในพลัง ความสดใส ความทุ่มเทอย่างเต็มตัวที่วู้ดถ่ายทอดสู่ตัวละครดุค”
ผู้ที่อยู่ฝั่งอโดนิสเสมอคือแม่ของเขา แมรี่-แอน ครี้ด รับบทโดยนักแสดงผู้มีเอกลักษณ์และดูใจดีอย่างฟิลิเซีย ราแชด “แมรี่-แอนเป็นผู้นำครอบครัว” จอร์แดนกล่าว “อดีตของเธอทำให้อโดนิสมีโอกาสพบเจอหลายเรื่องราว เราจะเยียวยาตัวเองจากความสูญเสียอย่างไร? เราจะรับมือกับความโศกเศร้าเสียใจอย่างไร? และด้วยอะไรหลายอย่างในชีวิต ย่อมมีความรู้สึกผิดหวังเสียใจเกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบ ผมอยากเป็นกระจกสะท้อนผู้ชมในช่วงเวลาเหล่านั้น และนั่นคือความผูกพันที่แมรี่-แอนมีต่ออโดนิส ซึ่งมีความสำคัญมาก”
นอกจากตัวนักแสดงหลักยังมีผู้ที่แสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกอย่างฟีลิกซ์ ชาเวซ แชมป์ผู้ได้รับการสนับสนุนจากอโดนิสและดุค เขาต้องพบกับแมตช์สำคัญกับเดเมียน ผู้รับบทคือโฮเซ่ เบนาวิเดซ อดีตแชมป์โกลเดนท์โกลฟ์รุ่นเวลเทอร์เวท และแชมป์ประจำชาติ 11 สมัยจากแคลิฟอเนีย เบนาวิเดซเป็นแชมป์โกลเดนท์โกลฟ์ที่มีอายุน้อยสุด เขาชนะรายการหลักตอนอายุ 16 ปี
“มันดีมากที่มีนักมวยตัวจริงมาอยู่ในเรื่อง” จอร์แดนกล่าว “ในฐานะนักแสดง เราสังเกตแค่จะแสดงให้เหมือนอยู่ในโลกใบนั้นจริงๆ ได้อย่างไร มีนักมวยตัวจริงและผู้ตัดสินหลายคนที่มีส่วนร่วมในเรื่อง ‘Creed III’ มันดีมากที่ได้โฮเซ่มาร่วมงานเวลาถ่ายทำฉากต่อสู้ มันช่วยเพิ่มความสมจริงให้โลกที่เราสร้างขึ้นมา”
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการร่วมงานกับคนที่คุ้นกันดีทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังกล้อง สำหรับผู้กำกับฯ ครั้งแรกอย่างจอร์แดนผู้มีความฝันมานานได้เล่าว่า “สำหรับผมแล้วการกำกับฯ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จนกระทั่งได้ร่วมงานกับไรอัน คูกเลอร์” เขาอธิบาย “ครั้งแรกที่ผมก้าวเข้าไปในฉาก ‘Fruitvale Station’ และเห็นหนุ่มผิวเข้มที่ดูคล้ายผม อายุพอๆ กันมากำกับฯ หนัง… ผมเห็นตัวเองในตัวเขา และไรอันก็บอกผมว่า ‘ไมค์ ไม่มีจังหวะที่เหมาะสมหรอก เวลาที่เรามองหาอะไรที่เหมาะกับเรา ก็แค่กระโดดเข้าหามันไปเลย’ ผมนั่งดูเงียบๆ เรียนรู้ รับฟัง และจับประเด็นทุกอย่างเข้าด้วยกัน เขาผลักดันและทำให้ผมตื่นเต้น นั่นคือสิ่งที่ผมทำกับ ‘Creed III’ ครับ”
โจนาธาน เมเยอร์สเล่าว่า “เมื่อพูดถึงไมค์ในฐานะผู้กำกับฯ ผมไม่เคยรู้สึกใส่ใจอะไรมากเท่าการสร้างโลกของภาพยนตร์ การทำความเข้าใจตัวละครที่ผมต้องเล่นเลย เราร่วมงานกันแบบช่วยเหลือกันอย่างแท้จริง เขาไว้วางใจผม ซึ่งเวลาเราทำงานและได้รับความใจก็อยากสื่อสิ่งนั้นออกไป และในฐานะนักแสดงมันน่าทึ่งมากที่เคมีเราเข้ากันได้ดีสุดๆ”
เทสซ่า ธอมป์สันกล่าวเสริมว่า “เรื่อง ‘Creed III’ เป็นโปรเจ็กต์ที่เหมาะจะกำกับฯ โดยไมเคิล อย่างแรกคือเขาการมานั่งแท่นผู้กำกับฯ คือสิ่งที่เข้าใจได้ เขาเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย เวลาที่เราได้ร่วมงานกับคนมีฝีมือมาเยอะ เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เขานำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการทำงานอย่างถูกต้อ โดยเฉพาะในเรื่อง ‘Creed III’ เพราะเขารู้จักโลกของภาพยนตร์ ไมเคิลมีเซนส์เรื่องการดึงคนมารวมตัวกัน ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความใส่ใจ พอได้เห็นแล้วรู้สึกว่าได้รับเกียรติมาก”
“ไบอันก้า ร็อคกี้ พ่อของฉัน มันสร้างขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงพวกเขา”
เมื่อพวกเขาเดินทางไปถ่ายทำที่แอตแลนต้า จอร์เจีย ร่วมงานกับผู้ออกแบบฉาก จาห์มิน แอสซา เพื่อสร้างโลกของอโดนิส ครี้ดขึ้นมา เวลาผ่านไป 8 ปีหมายความว่าโลกเปลี่ยนไปหลายอย่าง “ตั้งแต่แรกเริ่มไมค์มีความมุ่งมั่นชัดเจนว่าอยากให้ภาพยนตร์ออกมาเป็นแบบไหน เขาเข้าใจทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่องราว ทุกจังหวะที่เราต้องเน้นย้ำ และมันไม่เคยมีการลังเลเลย” แอสซากล่าว
ดีไซน์เนอร์เล่าว่าการสร้างฉากที่แอตแลนต้าช่วยให้จอร์แดนเข้าถึงทุกรายละเอียดได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่จาะเป็นการสร้างสนามดอดเจอร์ขึ้นมาใหม่สำหรับฉาก “Battle for Los Angeles” ในเรื่อง บรรยากาศถนนหนทางลอสแองเจลิสไปจนถึงย่านร่ำรวยอย่าง Bel Air บ้านที่ทันสมัยของครอบครัวครี้ดที่สะท้อนถึงความสำเร็จ ยิมของอโดนิสที่สื่อถึงอนาคตของเขา หรืออาจจะมีความพิเศษโดยส่วนตัวสำหรับผู้กำกับฯ ห้องนอนสมัย 2002 ของอโดนิสที่เห็นในฉากเปิดตัว
“มันน่าประทับใจมากที่ได้ยินไมเคิลคุยกับพนักงานบางคนในห้องที่จะสะท้อนชีวิตของอโดนิสวัยเด็กออกมา” แอสซ่ากล่าว “ความท้าทายของเราคือ ‘เราจะสะท้อนเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านที่มีเด็กผู้ชายหลายคน พร้อมด้วยชีวิตวัยเด็กในอดีตของเขาที่นำไปสู่ภรรยาของอพอลโล แมรี่-แอนน์ จนถึงบ้านแสนสวยใน Bel Air?’ ในบ้านเราเลยมีแผ่นซีดีเยอะมาก ความทรงจำหลายอย่างเกี่ยวกับ L.A. Lakers โปสเตอร์ iMac รุ่นเก่า รูปถ่ายเซ็กซี่ของฮัลลี เบอร์รี่อย่างที่เด็กๆ ควรจะมีกัน, Ashanti, TLC รถคลาสสิครุ่นเก่า มันวิเศษมากที่สร้างขึ้นมา เป็นการร่มมือกันอย่างมาก และไมเคิลก็เปิดรับในหลายสิ่ง”
“มีหลายสิ่งในห้องของอโดนิสวัยเด็กที่เป็นของผมวัยเด็ก หลายสิ่งที่ผมโตมากับมัน” จอร์แดนกล่าว “ผมตกหลุมรักไอเดียของการเห็นห้องนอนเด็กว่าควรมีหน้าตาแบบไหนเสมอ ในส่วนของอโดนิสซึ่งเป็นเด็กที่ถูกรับเลี้ยงมา จากนั้นได้มีชีวิตหรูหรา มีโอกาส มีมรดกสืบทอด ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างบุคลิกขึ้นมา”
สำหรับจอร์แดนแล้วสิ่งที่ทำให้ “Creed III” สร้างความทรงจำขึ้นบนจอยักษ์ คือผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานหนักและการเสียสละตัวเองในทุกด้านของการถ่ายทำ นักแสดงทำให้เรื่องราวมีชีวิตชีวาขึ้นได้ด้วยตัวละครของพวกเขา มีทั้งการตัดสินใจในเรื่องเล็กและใหญ่ มีจุดพลิกผันชีวิตที่เกิดขึ้นในเรื่อง และสำหรับครั้งนี้จะเห็นภาพที่ใหญ่ชัดเจนขึ้น
สำหรับไมเคิล บี. จอร์แดนที่รับบทอโดนิส ครี้ดเป็นครั้งที่ 3 และเป็นผู้กำกับฯ ด้วยให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก ทั้งในการสร้างความแข็งแกร่ง ความสร้างสรรค์ เรื่องราวดราม่า และการเมคอัพร่างกาย
“เราอยากพัฒนาตัวละครอโดนิสขึ้นไปอีก” เขากล่าว “เราคิดว่าอโดนิสจะต่อสู้ได้อย่างไรถ้าเขาอยู่ในจุดไม่ปลอดภัย? ถ้าเขาต้องผ่านความยากลำบากหลายขั้นล่ะ? เขาต้องเผชิญความเสี่ยงขนาดไหน เขาต้องทุ่มเทขนาดไหนเพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในสังเวียน? เขาต้องโดนตอ่นหักขนาดไหน และเกิดความเสียหายขนาดไหน? ทุกอย่างถูกถ่ายทอดผ่านการแสดง ความสำคัญอยู่ที่ต้องย้อนกลับไปหาตัวละครและย้ำเตือนว่าอโดนิสเป็นใคร เพื่อรักษาความสมจริงของตัวละครและเรื่องราว”
จอร์แดนกล่าวสรุปด้วยการคอนเฟิร์มกับผู้ชมว่า “หนังเรื่องนี้ควรไปชมในโรงภาพยนตร์! การต่อสู้ ฉากแอ็คชั่น คุณจะอยากเห็นภาพชัดๆ อย่างใกล้ชิด อยากสัมผัสถึงทุกหมัด ได้ยินทุกเสียง เห็นทุกเม็ดเหงื่อและเลือดที่หยดลงมา หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ และส่งเสียงเชียร์! ผมอยากให้ทุกคนเดินออกมาอย่างมีความสุขและคิดว่า “เพื่อน อะไรจะสนุกขนาดนี้!”
“ปล่อยอดีตไปซะ…แล้วเดินไปหาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
“Creed III – ครี้ด III”
2 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์ #CreedIII #ครี้ดIII #Creed3 #ครี้ด3