เช่นเดียวกับ บิลโบ และ โฟรโด แบ็กกิ้นส์ ฮีโร่ฮ้อบบิทส์ของเขา เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน เองก็มีชีวิตต่อไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ของเขาด้วยเหมือนกัน มิตรภาพอันท่วมท้นคือพลังหลักในการขับเคลื่อนชิ้นงาน The Hobbit และ The Lord of the Rings ของนักเขียนชาวอังกฤษคนนี้ และตอนนี้มิตรภาพมันก็ได้กลายมาเป็นธีมหลักในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์อัตชีวประวัติ Tolkien ที่ทุกคนกำลังจะได้ชมกันเร็ว ๆ นี้แล้ว
โดเม คารูโคสกี้ กำกับการแสดง โดยมีพระเอกหน้าหล่อ นิโคลัส ฮอลท์ มาสวมบทเป็น เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน ในวัยหนุ่ม ผ่านเรื่องราวความรักและสงคราม ที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ตำนานงานเขียน มิดเดิ้ลเอิร์ธ ที่คนแทบทุกยุคทุกสมัยต่างหลงใหล และเพลิดเพลินไปกับมัน
นอกจากต้นกำเนิดงานเขียนแฟนตาซีของเขาแล้ว ภาพยนตร์เรื่อง Tolkien “ยังจะพาไปสำรวจช่วงชีวิตในวัยหนุ่ม ในฐานะศิลปินคนหนึ่งที่ต้องมาอยู่ในจุดที่ต้องเผชิญหน้ากับมโนภาพในจินตนาการของเขาเอง” คารูโคสกี้ เผย “มันจะมีความหวาดกลัวแฝงอยู่ในนั้นเสมอว่าจินตนาการของคุณมันจะเริ่มกลับมาเล่นงานคุณยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจิตใจของยอดอัจฉริยะอย่าง โทลคีน”
นักแสดงหน้าใหม่ แฮร์รี่ กิลบี้ จะมารับบทเป็น โทลคีน สมัยวัยรุ่นตอนเป็นเด็กกำพร้า เขาต้องสูญเสียพ่อไปตั้งแต่อายุ 3 ขวบ แล้วก็ต้องมาเสียแม่ไปอีกคนในวัยเพียง 12 ปี จากนั้น ฮอลท์ ก็จะก้าวเข้ามารับไม้ต่อเป็น โทลคีน ในช่วงอายุ 20 ปลาย ๆ ที่เริ่มสร้างสรรค์งานเขียนอันโด่งดังขึ้นมา “เวลาที่คุณได้ดูสัมภาษณ์ของเขาในช่วงบั้นปลายชีวิต คุณจะเห็นว่าเขามีอารมณ์ขันแล้วก็การเหน็บแนมแบบแห้ง ๆ ของชาวอังกฤษ แล้วก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขายังมีการแสดงความรักอย่างลึกซึ้งมาก ๆ เลยด้วย” ฮอลท์ กล่าว
อีกหนึ่งหัวใจหลักสำคัญของภาพยนตร์เรื่อง Tolkien ก็คือความรักอันเป็นนิรันดร์ระหว่าง โทลคีน กับ อีดิธ แบรตต์ (รับบทโดย ลิลลี่ คอลลินส์) ผู้หญิงที่เขาได้พบตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่ทั้งคู่ก็ต้องแยกจากกันเพราะผู้ปกครองของเขา คุณพ่อ ฟรานซิส มอร์แกน (รับบทโดย คอล์ม มีนนีย์) ต้องการให้โฟกัสเรื่องเรียนจนกว่าจะอายุ 21 ปี
“เธอยังคงซื่อสัตย์ต่อเขามาก ๆ แล้วก็คอยดูแลเขาตลอดช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตของเขา” ฮอลท์ พูดถึง อีดิธ “และเธอก็ยังคอยผลักดันเขาให้สร้างสรรค์ในสิ่งที่เขาเคยสร้างสรรค์เอาไว้ แล้วก็ยังมอบองค์กรที่เหมาะจะทำสิ่งนั้นให้กับเขาด้วย”
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังโฟกัสไปที่เรื่องราวของ โทลคีน ในฐานะเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของภาษา และในฐานะคนนอกที่คอยเสาะแสวงหาวิธีเพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่ง แล้วเขาก็ได้พบมันพร้อมกับเหล่าเพื่อนสนิทที่โรงเรียนทั้ง คริสโตเฟอร์ ไวส์แมน (รับบทโดย ทอม กลินน์-คาร์นีย์), เจฟฟรีย์ เบค สมิธ (รับบทโดย แอนโทนี่ บอยล์) และ โรเบิร์ต ควิลเตอร์ กิลสัน (รับบทโดย แพทริค กิ๊บสัน) “พวกเขาต่างกำลังค้นหาหนทางของพวกเขาในโลกใบนี้” ฮอลท์ กล่าว แก๊งค์เพื่อนสนิทกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า Tea Club and Barrovian Society “พวกเขามอบความเชื่อมั่นในตัวเองให้กับ โทลคีน เพื่อให้เขาได้ไล่ตามความฝัน” แล้วก็ยังตามเขาเข้าไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะพาเขาไปเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่น่าหวาดหวั่นมากมาย อาทิ ยุทธการที่แม่น้ำซอม แล้วก็จะแสดงให้เห็นด้วยว่าเขาถูกส่งกลับไปที่อังกฤษยังไงหลังจากไข้เทรนช์ระบาด หลังจากนั้นเขาก็เริ่มคิดฝันถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ในเทพนิยายของเขา ฮอลท์ บอกว่า “มันมีจินตนาการที่ดาร์กยิ่งกว่าที่เขายังไม่ค่อยได้ทำความเข้าใจกับมันเท่าไหร่นักอยู่ด้วย”
ฮอลท์ กลายมาเป็นแฟนตัวยงของ โทลคีน ตอนที่ คริส และ พอล ไวท์ซ ให้หนังสือ The Hobbit เขามาตอนถ่ายทำ About a Boy เมื่อปี 2002 และตอนนี้หลังจากที่ได้มารับบทเป็น โทลคีน ฮอลท์ ก็พบว่ามันเป็นอะไรที่ “พิเศษมากที่จะได้เห็นว่าองค์กรต่าง ๆ มันมีที่มายังไง ได้เห็นความลำบากต่าง ๆ ที่เขาต้องเผชิญ รวมถึงวิธีการที่เขาเปลี่ยนเรื่องพวกนั้นให้มันเป็นอะไรที่น่าทึ่ง ซึ่งนั่นมันมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของใครอีกหลาย ๆ คนเลย”
ผู้กำกับ คารูโคสกี้ เองก็เป็นแฟนตัวยงของ โทลคีน มานาน และตอนนี้เขาก็กำลังอ่านหนังสือ The Hobbit ให้ โอลิเวอร์ ลูกชายวัย 4 ขวบครึ่งของเขาฟังอยู่ด้วย คารูโคสกี้ บอกว่าภาพยนตร์เรื่อง Tolkien มันเป็นโปรเจ็คสำคัญที่เขาจะได้ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ลงไป “เพราะมันไม่ใช่การเล่าแค่เรื่องราวเรื่องเดียวในชีวิตของเขาที่น่าจะเป็นส่วนสร้างเขาขึ้นมาเท่านั้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องเล่าเรื่องราวของ อีดิธ และผมก็ยังต้องเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพที่เขาพบเจอ รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเขาใน มอร์ดอร์ ลงไปด้วย”
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ