เปิดใจครั้งแรก “เอ๋ อรชัญญาช์” ภรรยา “เมฆ วินัย” วันนี้ควง “น้องมาร์ค-น้องแมม-น้องเมิร์ช” เปิดใจหลังสูญเสียเสาหลักของครอบครัวจากไปไม่มีวันกลับ พร้อมเล่าวิญญาณพี่เมฆมาหาหลังจากไปได้ 2 วัน หมดเงินค่ารักษาสามีไปเกือบ 30 ล้านบาท เดินหน้าเคลียร์หนี้สินสามีเกือบ 10 ล้านบาทให้หมดภายในสิ้นปีนี้ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี บูม สุภาพรและ หนิง ปณิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
วันนี้ดีกว่าเมื่อวานมั้ย?
เอ๋ : ต้องดีกว่าเมื่อวานอยู่แล้วค่ะ เพราะว่ามันย้อนเวลากลับไปไม่ได้ เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เด็กๆ เขาก็เรียนรู้กับทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เชื่อว่าลูกเอ๋ทุกคนจะผ่านไปได้และเรียนรู้กับมัน
ญาติเล่าให้ฟังว่าทุกคลิป เอ๋จะร้องไห้หนักมาก พอเอ๋แอบเห็นน้องๆ แอบร้องไห้ ก็จะบอกว่าเราอ่อนแอไม่ได้แล้ว?
เอ๋ : จริงๆ ไม่มีใครทำใจได้ เพราะมันปุบปับ พอเราเสียใจมันก็ดิ่ง เราก็โฟกัสแต่ความเสียใจ โฟกัสแต่ความสูญเสีย ร้องไห้ฟูมฟายของเราคนเดียว โดยเราไม่รู้ว่าความรู้สึกลูกๆ ก็ดิ่งเหมือนกัน แต่คนรอบตัวมาบอก อย่างน้องพี่เมฆที่อยู่กระบี่ เขาเห็นอาการของหลาน เขาบอกว่าโฟกัสลูกหน่อย ลูกไม่กินข้าวเลย ต่อหน้าเจ๊ไม่ร้อง แต่เขาแอบไปร้องตลอดเวลา ทั้งคู่เลย ข้าวไม่ทาน เรารู้ว่าเขาเสียใจแต่เขาเข้มแข็งต่อหน้าเรา ทุกวันเวลาที่ผ่านมาเราอยู่ด้วยความอดทน เข้มแข็ง สำคัญคือพี่เมฆทำให้เห็นว่ามันต้องเข้มแข็งแค่ไหน มันถึงจะผ่านไปได้ สุดท้ายพอกลับมาโฟกัสว่าลูกเราเริ่มมีความเปลี่ยนไป มีความเศร้า เราก็ต้องมาสะกดจิตตัวเองว่ามึงอย่าร้องนะ อย่าเสียใจต่อหน้าลูกนะ บ้านพังแน่ๆ พอเราโฟกัสที่ลูก ความเสียใจเลยจางลง มีแค่ความคิดถึง
ทำไมเราถึงไปร้องไห้?
น้อมแมม : ไม่อยากให้แม่ร้องไห้
มาร์ค : คิดถึงป่ะป๊าวันแรกวันที่สอง พอถึงวันที่สามก็เลิกร้องไห้ ก็ทำใจ ไม่อยากให้แม่เครียด
น้องมาร์ค น้องแมม คิดถึงคุณพ่อมาก?
เอ๋ : ช่วงแรกเปิดมือถือไม่ได้เลย เปิดมาก็เจอข่าวในนั้น แม้แต่มาร์ค พอวันแรกเพื่อนรู้ก็ทักมา เขาก็รับรู้ น้องแมมก็เหมือนกัน ทักอะไรมาก็รับรู้ ก็จะมีความรู้สึก เขาเคยใกล้ชิดกับพ่อ พี่เมฆเป็นพ่อที่ดีมาก ใกล้ชิดลูก
แม่ได้สอนยังไงเรื่องความเข้มแข็ง?
มาร์ค : ตอนกลางคืน วันที่สองที่เรามานอนร้องไห้กัน หม่าม๊าบอกว่าป่ะป๊าไปแล้ว หนี้เราก็ต้องเคลียร์เพื่อให้ป่ะป๊าสบายใจ
แมม : ป่ะป๊าไม่อยากให้เศร้านาน ไม่อยากให้หม่าม๊าร้องไห้ พยายามไม่ร้องไห้ต่อหน้าหม่าม๊า
เอ๋ : เอ๋ไม่ได้ห้ามลูกร้องไห้นะ เอ๋บอกเสมอว่าถ้าอยากร้อง ร้องกับหม่าม๊าเลย แต่เมื่อไหร่ที่เราร้องจนพอแล้ว ก็ต้องก้าวต่อไป ไม่มีหรอกคนไม่เสียใจ เสียใจได้แต่อย่าเสียใจนาน และใช้ชีวิตให้ได้อย่างที่ป่ะป๊ามองอยู่ ลูกคนเล็กก็เข้าใจนะ วันเผาที่เอ๋ร้องไห้โฮ เขาบอกว่าป่ะป๊าไปแล้วเหรอ ไม่ต้องเสียใจนะ เมิร์ชจะดูแลเอง
เหตุการณ์วันที่เกิดความสูญเสีย พี่เมฆเข้ารพ.กี่วัน?
เอ๋ : พี่เมฆเข้ารพ. 3 รอบ ย้อนกลับไปก่อนเสียชีวิต 3 สัปดาห์ เข้าไปเพราะว่าพี่เมฆเสียเลือดเยอะ ขาดเกลือแร่ ขาดน้ำ แต่วันที่เข้าไป เขาฝันว่ามีคนบอกให้ลอกผิวหนังออกให้หมด เขาถูไม่รู้ตัว ทั้งที่เขาหลับ พอตีหนึ่งเราไปดูเขา เขาลอกผิวตัวเองหมดเลยทั้งตัว แขนขาหมดเลย แล้วเลือดก็เต็มเตียงหมดเลย เราก็เรียกพยาบาลเข้ามา พยาบาลถามว่าเขาเจ็บมั้ย เขาบอกว่าไม่เจ็บ เขากลัวเราว่าเขา เขาบอกว่าเขาฝัน ไม่ตั้งใจ เขาบอกว่าให้เอาออกให้หมดหายแล้ว เขาก็เลยถูๆ แล้วสายน้ำเกลือ สายเลือดหลุดหมดเลย พยาบาลก็เข้ามาทำแผล เราก็พาเขาไปอาบน้ำ แล้วก็รู้ว่าเขาไม่เจ็บจริงๆ ตอนอาบน้ำเขาไม่ร้องอะไรเลย เขาเฉยๆ เหมือนคนอาบน้ำปกติค่ะ
เหมือนเป็นอะไรบางอย่างมั้ย?
เอ๋ : ตอนแรกก็ตกใจ แต่ไม่อยากคิดมากกว่า
ก่อนพี่เมฆเสีย คุณหมอขอเจาะคอด้วย?
เอ๋ : เกิดจากเขามีอาการหายใจแล้วเริ่มติดขัด มีอาการชักเกร็ง พอชักเกร็ง มีอาการบ่อยๆ คุณหมอบอกว่าจะมีปัญหาต่อการหมุนเวียนระบบเลือด พอระบบหายใจไม่ดีก็ส่งผลต่ออวัยวะข้างในหมดเลย ก็ขออนุญาตเจาะ เราก็ถามว่าเจาะแล้วฟื้นขึ้นมาจะเป็นยังไง เขาก็บอกว่ามันแค่ชั่วคราวเพื่อให้เขาหายใจได้เฉยๆ เราเลยอนุญาตให้เจาะ เจาะตอนบ่าย เย็นเริ่มความดันตก หัวใจเต้นช้า
สาเหตุการเสียชีวิตคืออะไร?
เอ๋ : น่าจะมาจากการติดเชื้อจากการที่เขาลอกผิวออกทั้งตัว แล้วเชื้ออาจเข้าไปตรงไหนไม่รู้ หรืออีกอย่างคือคนเราพอไม่มีหนังหุ้ม ความร้อนมันเก็บไม่ได้ นี่ก็เป็นความรู้ใหม่ เหมือนคนถูกไฟเผา เบิร์นทั้งตัว พอไม่มีหนัง เราเป็นสัตว์เลือดอุ่น อุณหภูมิในร่างกายต้องอุ่นเข้าไว้ พอไม่มีหนังอุณหภูมิก็เลยเย็น พี่เมฆอุณหภูมิในร่างกายอยู่ที่ 36 องศา ซึ่งเราก็ไม่รู้จุดไหนเพราะผิวลอกทั้งตัว
ไม่มีโอกาสคุยกับพี่เมฆ?
เอ๋ : หลังวันที่ 18 ไปก็ไม่ได้คุยแล้ว เพราะเขาไม่มีสติแล้ว เขาเข้าไอซียูตั้งแต่วันที่ 18 แน่นอนก็กังวล แต่ลูกเราก็ยังต้องเรียนอยู่ เราต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกวัน ส่งลูกเสร็จก็แวะไปหาพี่เขาที่ไอซียู ตกเย็นก็ไปรับลูก มันเป็นลูปอย่างนี้ ทำให้เราไม่มีเวลากังวล คิดว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้น
ตอนหมอโทรมาแจ้ง?
เอ๋ : แจ้งหลายเวลามากค่ะ มีเอฟเฟกต์ทีก็เรียกเราไปคุย ตอนเรื่องหายใจก็เรียกไปคุยว่าจะเจาะ รอบสองก็เรียกไปคุยว่าความดันกับหัวใจเต้นอ่อน ตอนหลังเราก็ไปนั่งเฝ้าจนเขาไป
นอกจากรักษาวิทยาศาสตร์ พี่เมฆก็มีไปหาอ.ไพศาล ขอขมากรรม ทำไมเชื่อเรื่องนี้?
เอ๋ : ถามว่าการขออโหสิกรรมตามพุทธ ไม่มีอะไรเสียหาย เราไม่ได้เสียเงินทองกับอาจารย์เขา ท่านเมตตาด้วยซ้ำไป ท่านให้เราเปิดบุพกรรมยังไง ให้อโหสิกรรมใครบ้าง ซึ่งตรงจุดนี้ โซเชียลเข้าใจผิดกันเยอะ เราไม่ได้แก้กรรมนะคะ เพราะกรรมมันแก้ไม่ได้ คุณทำดีก็ได้ดี คุณทำชั่วก็ได้ชั่ว การขออโหสิกรรมเราทำไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เรารู้ซึ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว ว่ามันทุกข์ทรมานแค่ไหน เราอยากชดใช้ให้หมดและหมดในชาตินี้ เราก็เลยทำตามกับอ.ไพศาล ซึ่งสิ่งที่เราทำมา สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา ที่เอ๋ดีขึ้น คือทุกครั้งที่ลดยา จะมีเอฟเฟกต์ ตุ่มจะขึ้นเป็นร้อยเป็นพัน ระยะเวลาเจ็ดกับสิบวันเราต้องลุ้นกับมันว่าร่างกายต่อมหมวกไตจะทำงานให้กลับมา ทำให้สเตียรอยด์ลดลงได้แค่ไหน พอเร็วถึงจุดนึงปุ๊บ ตุ่มก็จะน้อยลง ร่างกายก็จะเริ่มสู้มันได้ จะอยู่แบบนี้ไปอีก 3 เดือนแล้วค่อยลดยาใหม่ แต่รอบนี้เราไปเปิดบุพกรรมก็ดี ไปขออโหสิกรรม เราลดยาจากตอนที่ไปหาอ.ไพศาล จาก 4 เม็ด 3 เม็ด จนเหลือแค่เม็ดเดียว ระยะเวลาที่ไปหาอ.ไพศาล ระยะเวลาก็ 4-5 เดือน เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะลดยาได้เร็วขนาดนั้น การขออโหสิกรรมที่ถูกต้อง พี่เมฆกับเอ๋เชื่อเสมอว่าสิ่งที่เกิดกับเรา เราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นกรรมที่เกิดจากชาติไหน แต่วันนี้เราเจ็บ เรารู้แล้ว เราอาจทำคนอื่นเจ็บเหมือนที่เราเป็นอยู่ ในชาตินั้นๆ อาจมีคนเจ็บปวดเหมือนที่พี่เมฆเป็น เราก็พูดกันเสมอว่าเราใช้ให้หมดอย่าไปผูกพยาบาท เราน้อมรับและขออโหสิกรรม และให้อโหสิกรรม วันที่ไปเจออ.ไพศาล เรียนรู้และสอนเราเลยคือให้อภัยเถอะ ตอนนั้นเอ๋มีคนเกลียดเพียบเลย เราไม่ถูกใจใคร เราก็จะรู้ว่าเราเกลียดคนนี้ เราไม่ชอบ มาวันนี้เรารู้ว่าไม่มีประโยชน์เลย สิ่งเหล่านี้มันผูกจิตเราให้แย่ลงเรื่อยๆ เอ๋กับพี่เมฆพูดขออโหสิกรรมและให้อโหสิกรรมทุกวันเลยนะ พูดกรวดน้ำทุกวันตามที่อ.ไพศาลแนะนำมา ทำแบบนี้ทุกวันจนเรารู้สึกว่าเราสบายใจ
มีคลิปที่อ.ไพศาลบอกว่าต้องไปตั้งแต่ 27 ธ.คงปี 66 บุญค้ำอยู่ จะได้เกิดใหม่เป็นลูกสาวพี่เมฆ พี่เมฆบอกว่าอยู่ที่นี่สบายแล้ว รู้อย่างนี้ไม่ต้องรักษา พี่เอ๋มองยังไง?
เอ๋ : เรารู้ว่าเขาหนัก มันเจ็บ มันทรมาน กายสังขารเขาอาจไม่ไหว เรื่องนี้ก็ดราม่าไม่จบไม่สิ้นหรอก คนเราถ้าอคติมองยังไงก็ผิด แต่ถ้ามองอย่างปราศจากอคติ กายสังขารเขาไม่ไหว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่อีก 30 ปีและทรมานแบบนี้พี่เมฆก็ไม่แฮปปี้หรอก เขาก็ไม่มีความสุข ก็เป็นประโยคที่เขาพูดกับเราบ่อยๆ ว่าถ้าตายแล้วไม่ทุกข์ทรมาน ตายไปแล้วครอบครัวไม่เดือดร้อนเขา เขาตายดีกว่า เพราะมันทุกข์มันทรมาน มันก็เป็นสิ่งที่อ.ไพศาลท่านรู้อยู่แล้ว เพียงแต่คงไม่มีใครมานั่งบอกว่าจะตายวันไหน เวลาไหน เพราะมันบั่นทอนคนรอบข้าง ถ้าวันนั้นมีใครมาพูดกับพี่แบบนี้ พี่ก็คงไม่โอเค แต่สิ่งที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือก่อนหน้านั้นมีโหรหลายคนบอกคนรอบตัวเราว่าพี่เมฆจะไป เรามารู้ทีหลัง เราก็คิดว่ามันคงถึงเวลาของเขาแล้วจริงๆ พอมาย้อนนึก น้องนา น้องสาวแท้ๆ พี่เมฆ ก็มานั่งคุยกันว่าดีแล้วแหละที่เขาไปอย่างสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน เขาไม่เจ็บปวดไม่ยื้ออีกต่อไป
จัดการกับความรู้สึกอย่างไร?
เอ๋ : ก็เผชิญกับมันเลย ใดๆ ก็ตามเราก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องยอมรับสถานการณ์ก่อน และยอมรับให้ได้ว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ถูกนินทาอยู่ดี ต่อให้ทำถูกแค่ไหน คนจะมองว่าผิดก็ผิดอยู่ดี ทำใจดีกว่า เราจะได้สบายใจ
เสียพี่เมฆไปประมาณ 7 วัน เขามาหามั้ย?
เอ๋ : เขาไม่ได้มาหาพี่ตรงๆ เขาไปหาคนรอบตัว พี่สัมผัสเขาได้แค่คืนแรกที่จากไป พี่ก็ไม่รู้อุปทานหรือเปล่า แต่หลับตาก็ได้กลิ่น ลืมตากลิ่นก็หายไป แล้วทำให้ไม่ได้นอน พี่ไม่ได้นอนตั้งแต่เข้าไอซียู นอนไม่หลับ มันดึงร่างกายเรามากนะ พอคืนที่สองเราก็ได้ยินเสียงเขาบอกว่านอนกับลูกได้แล้ว คืนที่ลูกฟูมฟาย เราก็คุยกับลูก เราได้ยินเสียงเขาบอกว่าพาลูกนอนได้แล้ว เหมือนเสียงที่เขาเคยเตือนเวลาเราเครียด จากนั้นมาเราก็นอนหลับได้ทุกคืนโดยที่เราไม่เคยเจอเขา ไม่เคยได้กลิ่น ไม่เคยอะไรอีกเลย แต่คนรอบตัว อย่างพี่กวาง กมลชนก เขามางานศพ แล้วเล่าให้ฟังว่าเรื่องแปลกมาก มหัศจรรย์มาก วันที่พี่เมฆเสีย พี่เมฆเสีย 23.49 ประมาณเที่ยงคืนพี่กวางเขาดูมือถืออยู่ อยู่ๆ รูปพี่กวางกับพี่เมฆ ที่ถ่ายละครด้วยกันก็เด้งขึ้นมา เขาบอกว่ารูปนี้สวยเว้ย เขาก็เซฟไว้ เช้ามาพี่น็อตก็บอกว่าพี่เมฆเสียแล้วนะ เขาถามว่าเวลาไหน พอรู้ก็ตกใจ ว่าเป็นไปได้ไง ก็บอกว่าเขาคงคิดถึงคนที่เคยร่วมงานด้วย พี่กวางบอกว่าไม่รู้เอ๋เชื่อมั้ยนะ ซึ่งเอ๋เชื่อ เพราะมีคนมาบอกเอ๋แบบนี้ตลอดเวลา
ครูน้องเมิร์ชก็มาบอกเหมือนกัน?
เอ๋ : ครูเขามางานศพคืนแรก ครูบอกว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ครูเล่าให้ฟังเป็นฟิลิปปินส์วันที่พี่เมฆเข้ารพ.คือวันที่ 18 วันที่ 19 น้องเมิร์ชเรียนมาปีนึงแล้ว เขาไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองได้ วันที่ 19 อยู่ๆ น้องเมิร์ชจัดกระเป๋าเก็บของมีระเบียบมาก ครูเลยถามว่าทำไมเมิร์ชเก็บกระเป๋ารูดซิปเองได้ เขาบอกว่าป่ะป๊าช่วยอยู่ ครูทุกคนก็อึ้งไป คิดว่าเขาคิดเองไปหรือเปล่า แต่พฤติกรรมเขาเปลี่ยน ครูบอกว่าปกติน้องทำเองไม่ได้ ซึ่งอยู่ที่บ้านเขาก็ไม่เคยมานั่งเก็บของเรียงๆ นอกจากพี่เมฆบอก
พี่เมฆรักษาตัวเอง 5 ปีกว่า หมดเงินเก็บไป 20 กว่าล้าน?
เอ๋ : จริงๆ ก่อนพี่เมฆเสียชีวิต เรามีธุรกิจอยู่แล้ว มีอาหารเสริม ขายคอลลาเจน ส่วนโรงงานผลิตเรารับผลิตทุกอย่างจนจบกระบวนการ บริษัททำเกี่ยวกับพวกอาหารแร่ธาตุสกัด เราก็ทำอีก รีวิวอะไรเราก็รับทุกอย่าง ก็เมเนทไป เราตั้งใจปลดหนี้ให้ได้หมดภายในปีนี้อยากให้เขาไปอย่างสะอาดที่สุด ไม่ได้ไปแล้วคาเป็นหนี้ อยากให้ไปหมดหนี้ ครอบครัวไม่ได้เดือดร้อน ถ้าเขาฟังอยู่ก็อยากบอกว่าครอบครัวไม่ได้เดือดร้อน เขาไม่ได้ทิ้งภาระเอาไว้ แต่ทำให้ครอบครัวเติบโตได้ด้วยพลังที่เราจะก้าวต่อไป
26 มี.ค. เพื่อนๆ ศิลปินก็จัดคอนเสิร์ตช่วยพี่เมฆให้พี่เอ๋เอาไปใช้หนี้ให้เบาลง วันนั้นเบ็ดเสร็จได้เท่าไหร่?
เอ๋ : ประมาณ 1.1 ล้านค่ะ
ที่บอกว่าจะใช้หนี้ให้หมดภายในปีนี้ ประมาณเท่าไหร่?
เอ๋ : เกือบ 8 ล้าน แต่ว่ามีผู้ใหญ่ เพื่อนสนิทพี่เมฆที่เขาไม่เอา ประมาณล้านกว่าที่เขาไม่รับ มันก็เหลือประมาณ 6 ล้านกว่า รายได้ที่มาทั้งหมดก็จะเริ่มนั่งไล่เคลียร์ อันไหนที่มีดอกเบี้ยจะเคลียร์ก่อน คนที่เราหยิบยืมมา ที่เป็นเจ้าหนี้เรา ตอนนี้ไม่อยากให้มานั่งดราม่าเรื่องเจ้าหนี้ว่าไม่รับเงิน เพราะตอนเขาช่วย บางคนติดขัด แต่เขาก็ช่วย เพราะเขาคิดว่ายังหมุนได้ แต่พี่เมฆหมุนไม่ได้แล้ว ณ วันนั้นเขาคิดว่าพี่เมฆจะกลับมาได้ ซึ่งเอ๋บอกเจ้าหนี้ทุกคนเลย ไม่ผิดเลยถ้าไม่ยกหนี้ให้ เอ๋รู้ดีแก่ใจ เพราะเอ๋เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ในสองสถานการณ์ เรารู้ดีว่าเมื่อเรามีเราใช้หนี้ไปเถอะ เพราะเราหยิบยืมเขามา เขารักเราเขาถึงให้ วันนี้เรารักเขาเราถึงคืนให้เช่นกัน แต่ส่วนของลูกกับครอบครัวเอ๋จะหาใหม่ และเอ๋มั่นใจว่าเอ๋หาได้
เจ้าหนี้ที่ยกหนี้ให้คือพี่หนุ่ม คงกระพัน?
เอ๋ : ค่ะ แล้วก็เพื่อนพี่เมฆที่สนิทที่กระบี่ พี่เก๋ แล้วก็ ป๋าโก๋ ช่อง 7
หลังจากนี้วางแผนชีวิตยังไงบ้าง?
เอ๋ : เอ๋คงไม่ได้ลดคุณภาพชีวิตของลูก ลูกเคยเรียนอะไรจะให้เรียนอย่างนั้น อยากเรียนอะไรเพิ่มเติมให้ปรึกษากัน เอ๋จะทำให้ดีที่สุด จะทำฝันของพ่อเขาให้เป็นจริงค่ะ ก่อนพ่อเขาจากไปเขาจะถามตลอดว่าลูกอยากเป็นอะไร มาร์คเขาชัดเจนอยากเป็นนักร้อง แบมอยากเป็นนักแสดง เอ๋ในฐานะจบม.กรุงเทพ ศิลปะการแสดงก็จะหาคอนเนกชั่นให้เขาได้เรียนโค้ชติ้งก่อน ให้เขาทำตามความฝันของเขา ส่วนเรามีหน้าที่หาเงินให้เขาเรียน ให้เขาได้ทำอะไรก็ตามให้สมกับที่เขาเป็นลูกวินัย ไกรบุตรค่ะ
ภูมิใจในตัวแม่มั้ย?
น้องแมม : ภูมิใจค่ะ
มาร์ค : มาร์คก็ภูมิใจที่สุดครับ
เอ๋ : ตอนนี้เราทำทุกอย่างที่ได้เงินเพื่อไปเคลียร์หนี้ เราทำหมด ถ้าอยากช่วย ช่วยเราซื้อสินค้าดีกว่า เราไม่เปิดรับบริจาคนะคะ
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์ย้อนหลัง https://youtu.be/alnx3cOvQJY?si=tE1_BtN4BgyFikxc