“มิ้นท์ มาลีวัลย์” ตำนานดีว่า เปิดเผยเส้นทางในวงการเพลงกว่า 40 ปี เผยเบื้องหลังชีวิตต้องร้องเพลงหาเงินเพื่อรักษาคุณพ่อป่วยหนักตั้งแต่อายุ 19 ปี เผยจุดเปลี่ยนสำคัญจนตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาหลังคุณพ่อเสีย เผยเรื่องราวสุดลี้ลับ ปฏิบัติธรรมหนักมากจนมีสัมผัสพิเศษ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา และ ชมพู่ ธัณย์สิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
ไม่ค่อยออกรายการ?
“รู้สึกว่าเราคุยไม่ค่อยเก่ง เลยไม่ค่อยออกมาทอล์กโชว์กับใคร ส่วนใหญ่จะร้องเพลงไปเลย”
รายการติดต่อไปมากกว่า 3 ปี ถึงมานั่งคุยในรายการกับเราวันนี้ หลายคนเพิ่งทราบว่าพี่มิ้นมีเชื้อสายฟิลิปปินส์ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ลูกครึ่งนะ?
“ใช่ค่ะ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นเชื้อสายฟิลิปปินส์ คุณแม่อาจมีส่วนนึงเป็นสเปนด้วย แต่ก็ถือว่าเป็นฟิลิปปินส์โดยสายเลือด แต่เกิดที่ประเทศไทย คุณพ่อคุณแม่มาทำงานที่นี่ คุณพ่อเป็นนักดนตรี ทำงานรับเป็นคอนแทร็กไป หลายสิบปีที่แล้ว”
ครอบครัวเป็นยังไงตอนเด็กๆ?
“เป็นชีวิตที่รันทดมากๆ เลย ไม่มีพี่น้อง เป็นลูกคนเดียว คุณพ่อทำงานเป็นนักดนตรี เท่าที่จำได้ อายุประมาณ 3 ขวบ คุณแม่ก็แยกทางกันไป ก็จะอยู่กับคุณพ่อสองคน ผู้ชายเลี้ยงลูกก็ต้องเลี้ยงให้แข็งแรง ไม่มีหรอกค่ะที่จะทะนุถนอม ก็เติมโตมาด้วยสภาพจิตใจที่ค่อนข้างอึด แข็งแรง”
ไม่ใช่แค่อึด หวงคุณพ่อมาก?
“เป็นเรื่องปกติเนอะ (หัวเราะ) ตอนนั้นคุณพ่อยังหนุ่มยังแน่น กลัวว่าพอคุณแม่แยกทางไป คิดว่าคุณพ่อจะมีแฟนใหม่มั้ย เราจะมีแม่ใหม่มั้ย ไม่มีใครอยากมีแม่ใหม่หรอก เด็กอายุ 3-5 ขวบ เขาก็รู้สึกว่าหวงพ่อ แล้วคุณพ่อเล่นดนตรี เป่าทรัมเป็ต เราก็หวงพ่อก็ไม่มี เพราะกลัวลูกสาวจะหนีไป เพราะเราขู่ว่าไม่งั้นจะไม่เจออีกต่อไป”
คุณพ่อให้ทำอะไรบ้างตอนอยู่กันสองคน?
“ลำบากค่ะ ไม่มีคุณแม่ แต่โชคดีมีพี่เลี้ยงดูแลมาตั้งแต่เด็กเลย คุณพ่อไม่ค่อยแข็งแรง ตั้งแต่คุณแม่แยกทางก็เครียด ดื่มเหล้า มีเหล้าเป็นเพื่อน คุณพ่อทานเยอะๆ สภาพร่างกายก็ทั้งโทรมด้วย นอนดึก คุณพ่อทำดนตรีเยอะมาก นอน 6-7 โมงเช้า บ่ายโมงก็ต้องตื่น พักผ่อนน้อย รูทีนคุณพ่อหนักมาก มันก็สะสม”
เห็นคุณพ่อใช้ชีวิตแบบนั้นจนอายุเท่าไหร่?
“จนวันที่คุณพ่อเสีย พี่อายุ 19 ตอนเราขู่คุณพ่อห้ามมีแม่ใหม่ตอนอายุ 5 ขวบ เราไม่รู้แม่ใหม่จะเอาความรักจากคุณพ่อไปหมดหรือเปล่า แล้วถ้าเรามีน้องใหม่ เขามีลูกใหม่ เรากลัวว่าเราจะเป็นคนที่ไม่มีใคร โดนแย่งความรักไป เราก็ขู่ว่าถ้ามีแฟนใหม่ ลูกก็จะหนีออกจากบ้าน”
พ่อไม่ดื้อ ไม่มีคนอื่น พี่มิ้นได้ซึมซับความเป็นนักดนตรี?
“พี่เล่นดนตรีด้วย เล่นทั้งกีต้าร์ เปียโน เบสได้ เล่นได้หลายอย่าง แต่ถนัดที่สุดน่าจะกีต้าร์ค่ะ”
พ่อเริ่มเห็นแวว ขึ้นเวทีร้องเพลงตั้งแต่ 5 ขวบ?
“ถูกบังคับค่ะ (หัวเราะ) เรื่องของเรื่องคืออยู่ในบรรยากาศเสียงเพลงมาตั้งแต่เล็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าอยากเป็นนักร้อง หรืออยากขึ้นมาอยู่ในวงการนี้ ส่วนใหญ่คุณพ่อให้ออกไป ผลักดันให้ออกไป จำได้ว่าตอนนั้นอายุ 5 ขวบเป็นงานแต่งงานเพื่อนคุณพ่อมั้งคะ คุณพ่อก็อยากให้เราร้องเพลง ขอดีๆ 3 ครั้งเราก็ไม่ไป เรากลัว ไม่เคยขึ้นเวทีใหญ่ สุดท้ายถูกผลักออกไปเลย ยืนคนเดียวเลย ร้องเพลงสากล Raining In My Heart เพราะพี่เติบโตกับเพลงสากลมาก่อน เพิ่งร้องเพลงไทยกับพี่แต๋ม ตอนทำอัลบั้ม แต่ส่วนใหญ่เริ่มจากเพลงสากล”
ได้ทิปมั้ย?
“ยังๆ หลังจากนั้นถึงได้ทิป เปิดหมวกงานปาร์ตี้ แต่เงินไม่ได้เอามาทำอะไร แต่จริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าจะเข้ามาอยู่เส้นทางนี้ เพราะอยากเรียนด้านเภสัช ยา มากกว่า คนละทาง เราเห็นว่าคุณพ่ออยู่ในเส้นทางแบบนี้เขาทุกข์เหลือเกิน เขาไม่ได้มีความสุขเลย เพื่อนของเขาก็คือเหล้า เรากลัว ไม่อยากมีชีวิตแบบนี้ เราอยากแยกทางไปอีกเส้นทางนึง แต่แล้ว (หัวเราะ) เขาขีดมาแล้ว ตอนอายุ 11 ขวบพี่ร้องเพลงในโบสถ์กับเพื่อนสองสามคนวันนึงเจ้าภาพเขาจะแต่งงาน เขาเห็นว่าเด็กๆ น่ารัก ก็อยากให้พี่ไปร้องเพลง ก็เลยจ้างให้ไปร้องเพลงในงานแต่งงานเขา ก็เริ่มจากจุดนั้น มีงานเข้ามาบ่อยๆ อาทิตย์ละครั้ง”
เป็นนักร้องประจำได้มั้ย?
“ตอนอายุ 13 เป็นนักร้องประจำแล้วที่โรงแรมดุสิตธานี ตอนนั้นเป็นคอนแทร็ก 3 เดือน 6 เดือน เราได้รับคอนแทร็ก 3 เดือน พอดีอยู่ในช่วงคริสต์มาส เขาอยากให้ล็อบบี้มีกิจกรรมดีๆ ก็เอาเด็กสองคนนี้ไปร้องเพลงกัน เราก็ร้องเพลงดีดกีต้าร์ไปด้วย ส่วนใหญ่เป็นแนวอะคูสติก เป็นเพลงสากลอย่างเดียว”
ส่งตัวเองเรียนด้วย คุณพ่อเริ่มไม่ค่อยสบาย?
“คุณพ่อเริ่มป่วย เริ่มเป็นเนื้องอกในสมอง พอไปผ่าตัดแล้ว ก็ไม่รู้แอ็กซิเดนต์ยังไง เสียตาไปข้างนึง กลายเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัวอีก คุณพ่อทำงานหนักมากค่ะตอนนั้น พอเป็นเนื้องอกในสมองก็ต้องผ่าตัด พอผ่าตัดไม่รู้เกิดอีท่าไหน เสียสายตาด้านขวา ด้านขวาของคุณพ่อก็ใช้การไม่ได้ครึ่งนึง”
ก่อนมีอาการ เริ่มต้นเป็นยังไง?
“เขาจะปวดหัวตลอดเลย ปวดหัวจนทานยาเป็นกระปุกแล้วก็ไม่หาย สมัยโน้นไม่รู้กี่สิบปีแล้ว มันนานมาก เครื่องมือไม่ได้ทันสมัยเหมือนยุคนี้ ก็เลยไม่รู้ว่าพอไปผ่าแล้ว มันเป็นอะไร แต่กะโหลกคุณพ่อก็บุบเข้าไปด้วย”
เราดูแลคุณพ่อยังไง?
“พี่ต้องไปทำงานกลางคืน กลางวันต้องเรียนหนังสือ วันเสาร์-อาทิตย์ มีเวลาว่างก็จะดูแลคุณพ่อ แต่ก็อย่างที่บอกว่ามีแม่บ้านที่เขาอยู่กับเรามาตลอด แม่บ้านจะช่วยดูแลคุณพ่อ ตอนนั้นเราก็เด็กมาก นี่แหละชีวิต (หัวเราะ)”
ตอนอาการแย่ เหมือนมีข่าวดี ฟื้นขึ้นมาเล่นดนตรีกับเรา?
“หลังผ่าตัดไปแล้ว คุณพ่อก็เริ่มอาการดีขึ้น กว่าจะรีคัฟเวอร์ก็น่าจะประมาณ 6-8 เดือน คนเคยทำงานเขาก็อยากกลับไปทำงาน อยากเล่นดนตรีต่อ คุณพ่อก็กลับไปทำงาน แต่คุณหมอห้ามไม่ให้ดื่มเหล้า แต่คุณพ่อเขาติด เขามีความสุข เราห้ามแต่คุณพ่อบอกว่าไม่เป็นไร เขามีความสุขของเขา คนเป็นนักดนตรีมีความสุขกับการให้ของเขา พอเจอเพื่อนๆ ก็ดื่มสักหน่อย จนอาการทรุด ทรุดอีกทีก็ประมาณพี่อายุ 16-17 ทรุดครั้งสุดท้ายที่เจอคุณพ่อ ปีนั้นก็งงว่าทำไมปีนี้คุณพ่อฉลองวันเกิดให้เรา กลับจากโรงเรียนคุณพ่อมีปาร์ตี้เล็กๆ ให้ พี่เกิดเดือนต.ค. คุณพ่อเสียเดือนธ.ค.ตอนนั้นพี่เพิ่งอายุ 19 เอง เด็กมาก เราก็ไม่มีใคร ไม่มีญาติพี่น้อง อยู่กับพี่แม่บ้าน และมีเพื่อนสนิทอีก 2 คน”
ตอนนั้นยังเด็กแล้วต้องหาเงินรักษาคุณพ่อเหนื่อยแค่ไหน?
“เหนื่อยมากเลย จำได้ว่ามันต้องไปทำงานตั้งแต่ 5 โมงเย็น ร้องเพลงรับจ๊อบ 5 ที่ กว่าจะกลับบ้านก็ตี 1”
มีช่วงที่คุณพ่ออาการหนักมากต้องอยู่ในไอซียู แล้วค่ารักษาก็ค่อนข้างหนัก?
“ก่อนคุณพ่อเสีย ค่าใช้จ่ายเยอะมาก อาจไม่ถึงล้าน แต่สำหรับพี่ก็รู้สึกว่าเยอะแล้ว เราก็ทำเต็มที่ ดูแลท่านจนวินาทีสุดท้าย คุณพ่อจากไปตอนอายุ 19 โห รู้สึกว่าโลกนี้มันโหดร้ายจริงๆ แต่โชคดีว่าคุณพ่อคอยรีมายด์ และบอกว่าเราต้องเข้มแข็ง ต้องแข็งแรง เพราะโลกนี้มันสำหรับคนที่สภาพจิตใจแข็งแรง ถ้าเราอ่อนแอจะอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ คำพูดของคุณพ่อก็เป็นสิ่งที่เตือนใจมาตลอด ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร ถึงเราเสียคุณพ่อไป แต่เราจะเป็นตัวแทนคุณพ่อต่อไป เราต้องทำชีวิตให้มันดีกว่าที่เป็นอยู่ ดีขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งที่พี่รู้สึกแย่ที่สุดคือไม่ทันได้ดูแลหรือตอบแทนพระคุณคุณพ่อ ก็รู้สึกว่าเราต้องหาวิถีทางตอบแทนคุณพ่อ ก็เลยหันมาสนใจเรื่องการทำบุญทางศาสนาพุทธ ซึ่งศาสนาเกิดคือคาทอลิก แต่ไม่ได้เปลี่ยนศาสนาเลย พี่รู้สึกว่าหันมาทางพุทธแล้วพี่สบายใจ พี่ได้ทำบุญให้คุณพ่อ และรู้สึกได้ว่าคุณพ่อได้รับส่วนบุญกุศลที่เราได้ทำ”
คุณแม่แยกทางไปตั้งแต่เล็กๆ คุณพ่อก็เสีย มีญาติคนอื่นๆ มั้ย?
“ไม่มีเลยค่ะ เรามีพี่เลี้ยง แม่บ้านนี่แหละค่ะ คุณแม่พอทราบข่าวก็ถามว่าจะมาอยู่มั้ยที่สเปน แต่พี่บอกว่าไม่ คุณแม่แต่งงานใหม่ มีน้องสาวอีก 3 คน เราบอกไม่เป็นไร อยู่ได้”
พี่มิ้นทำอะไรบ้าง ที่ทำแล้วรู้สึกว่าคุณพ่อได้รับ?
“สมัยนั้นก็ใส่บาตรบ้าง ทำสังฆทานบ้าง มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานทีหลัง ตอนพี่อายุปลายๆ 30 กว่าแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าแค่ทำบุญตรงนี้เหมือนคุณพ่อได้รับ คุณพ่อจะเข้าฝัน อย่างวันแรกที่ต้องย้ายศพคุณพ่อไปที่โบสถ์ มันก็ฉุกละหุก ไม่รู้ใครแต่งตัวให้คุณพ่อ เพราะเราอยู่ข้างนอก แต่คืนนั้นคุณพ่อก็มาหาที่บ้าน ไม่ได้ใส่รองเท้า เราก็อุ้ย คุณพ่อไม่ได้ใส่รองเท้าเหรอ ก็เอารองเท้าไป ตอนนั้นมีเพื่อนๆ คุณพ่อคอยช่วยดูแลอะไรต่ออะไร พี่ไปที่โบสถ์แล้วใส่รองเท้าให้คุณพ่อ หลังจากนั้นพี่ก็เริ่มทำบุญใส่บาตรให้คุณพ่อ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้คุณพ่อ ก็รู้สึกว่าพอกลับมาอีกทีนึงราศีคุณพ่อดีขึ้น”
คุณพ่อกลับมาหาเรา?
“ในฝัน แต่ส่วนใหญ่คนเสียไปแล้วเขาจะไม่พูดอะไร เขากลับมาให้เห็นว่าอยู่ในภาพที่ดี ยิ่งวิปัสสนากรรมฐาน ทำบุญแบบนี้ ทำจิตภาวนา รู้สึกท่านมีออร่ามากขึ้น ก็คิดว่าท่านได้จริงๆ นะ”
แม่บ้านเป็นคนไทย เขาพาเราไปทำบุญ?
“เขาเป็นพุทธ ชอบทำบุญเหมือนกัน จะพาพี่ไปสมัยเด็กๆ 8-9 ขวบ พาไปตลาด ทำบุญใส่บาตร แต่ต้องแอบคุณพ่อนะ คุณพ่อจะทราบไม่ได้ ถ้ารู้จะโดนต้องโดนหนัก เพราะคาทอลิกเขาเคร่งมากเรื่องแบบนี้ ตอนเด็กทำบุญบ่อยเลยล่ะ เพราะชอบทำบุญ”
อะไรทำให้คิดว่าพอเชื่อศาสนาพุทธ ปฏิบัติธรรม ผลบุญส่งถึงคุณพ่อจริงๆ?
“ในฝันของเรานี่แหละ เรารู้สึกว่าภาพลักษณ์คุณพ่อดีขึ้น มีออร่า ถึงไม่พูดอะไรกับเราก็ตาม หน้าเปล่งปลั่งดูดีมาก มันรู้สึกได้จริงๆ”
ปฏิบัติธรรมจริงจังขนาดไหน?
“ยังจำได้ว่าไปเจอน้องเบนซ์ที่ไปปฏิบัติธรรมเหมือนกัน ก็หันมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี่แหละ มีกัลยาณมิตรเป็นคนแนะนำ ตอนแรกปฏิบัติแล้วคุณหมอที่เป็นกัลยาณมิตรถามว่าเคยวิปัสสนากรรมฐานมั้ย มันคืออะไร เราไม่รู้เลย ไปครั้งแรกแล้วเรารู้สึกว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ เราชอบ จากนั้นคอร์สคุณแม่สิริ พี่ก็ไปทุกเดือน จนกระทั่งที่ไหนมีคอร์สเป็นลักษณะของคุณแม่ก็จะไป ก็ไปเจอน้องเบนซ์ เขาก็ให้ปิดวาจา ห้ามเล่นโทรศัพท์ ทานข้าวสองมื้อ เดินจงกลม นั่งสมาธิทั้งวัน ก็ดีนะ พอหลังๆ ไปวิปัสสนากรรมฐานที่สำนักที่ตรัง พี่รู้สึกว่าปฏิบัติแนวแบบนี้ การดูจิตของเราให้ละเอียดเห็นการเกิดดับ ก็รู้สึกว่ามันพัฒนาได้เร็วขึ้น ก็รู้สึกว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ นะที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ทำให้เราต้องเห็นทุกข์ และเราต้องพยายามพาตัวเองไปพ้นทุกข์ให้ได้”
นอกจากปฏิบัติจนเห็นทุกข์ ได้ข่าวว่าเห็นผีด้วย?
“จริงๆ วิญญาณมีจริง แต่เขาอยู่คนละมิติกับเรา พี่ไม่ได้โชคดีเห็นด้วยเนื้อตา แต่เขามาลักษณะเสียงมากกว่า สัมผัสได้ บางทีก็ได้ยินเขาคุยกันเอง มีผู้หญิงสองคนผู้ชายคนนึง เขากำลังพูดเรื่องการใส่บาตรอะไรสักอย่าง เขาคุยกันเอง พี่นอนในสมาธินี่แหละ ไม่ได้หลับนะ ก็จะได้ยิน ว่าเฮ้ย ใส่บาตร ซื้อเป็ดย่าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติ เหมือนพี่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน แต่สิ่งอัศจรรย์โดนจังๆ ล่าสุด ขับรถจากตรังมากรุงเทพฯ 12 ชั่วโมงเนอะ 10 ชั่วโมงถึงหัวหินก็คิดว่าต้องพักแล้ว มันเหนื่อยมันล้าแล้ว ผู้จัดการก็พาไปพัก แต่เราเห็นแล้วเราก็พูดกับเขาว่าฮวงจุ้ยมันไม่ค่อยถูกนะ เรารู้สึกได้ พอเปิดประตูปุ๊บ เราเห็นประตูที่เป็นระเบียง บอกว่าห้องนี้ไม่ค่อยโอเค แต่ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะพี่ที่มาด้วยกันเขากลัวผีมาก จากนั้นก็รีบปิดหน้าต่าง แต่อีกใจก็บอกให้ล็อกประตูด้วย แต่พอเราเปิดหน้าต่าง มันไม่ได้ล็อก ก็เลยล็อก พอล็อกเสร็จทุกคนก็อาบน้ำ เราก็รอ พอพี่อาบน้ำเสร็จกำลังกำหนดจิตให้ผ่อนคลาย ไม่นานเลย ประมาณ 4 ทุ่ม อยู่ดีๆ เหมือนเสียงเคาะตรงกระจกดังมาก ตรงกระจกที่พี่ไปล็อกประตู ก็ถามผู้จัดการว่าได้ยินมั้ย เขามองหน้าแล้วก็หลับไป เอาแล้ว งานนี้เราต้องช่วยเหลือตัวเอง สักพักนึงเสียงเคาะก็ใกล้เข้ามา เราก็กำหนดดีๆ หายใจเข้าออก อยู่ในความว่างของเรา แต่มีช่วงนึงเหนื่อยมาก เราแค่เผลอนิดเดียว เหมือนหลับไปนิดเดียวแค่นั้นเอง มันเข้ามาเหมือนบีบคอพี่ เสียงคงดัง พี่เขาเลยได้ยิน เรียกมิ้นๆ ปลุกพี่ใหญ่เลย พี่ร้องดังเพราะเขาบีบคอเรา พี่ก็สู้กับเขา เสียงคงดัง คนเขาได้ยินก็เลยเรียกเรา ตอนนั้นเที่ยงคืนแล้ว สักพักนึงหลับไปอีกแล้ว เคาะอีกแล้ว ตอนใกล้จะตีสอง พี่บอกว่าฉันจะพยายามอยู่ให้ได้ อยู่ให้ทนที่สุด แล้วไม่ได้หลับอีกเลย ใส่ซาวเบาท์นั่งฟังเทศน์ธรรมจนถึงเช้า หลับไม่ได้กลัวเขามา ก็แผ่บุญกุศลให้เขานะ แต่รู้สึกว่าเขาไม่น่าเป็นคนไทย (หัวเราะ) ความรู้สึกมันบอกว่าน่าจะเป็นคนต่างชาติ”
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์ https://youtu.be/SOdTKSWzi1A?si=GQm_0cxFozRKf8Vq