พวกเราเป็นใคร?
เราเป็นเหมือนอย่างที่ใคร ๆ ต้องการหรือเปล่า?
เราถูกกำหนดชะตากรรมจนเหนือความควบคุม?
หรือเราสามารถพัฒนาจนกลายเป็นบางสิ่ง.. ที่เหนือกว่านั้นได้?
ผลงานจากผู้เขียนบทฯ – ผู้กำกับฯ ไซมอน คินเบิร์กสู่ภาพยนตร์ X-เม็นที่ยิ่งใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมาก่อน เรื่อง “X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” ซึ่งจะถ่ายทอดเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของจีน เกรย์ จากมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพรสวรรค์สู่การเป็นผู้ที่มีพลังสูงสุดในจักรวาล จุดสูงสุดของตำนานซูเปอร์ฮีโร่ที่มีการสร้างขึ้นมายาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ ผลงานที่ตื่นเต้นภาคใหม่นี้มีทั้งความเป็นไซ-ไฟระทึกขวัญ มีเรื่องราวชวนติดตามอย่างน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับตัวละคร และมีคำถามที่ชวนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องลักษณะพิเศษและชะตากรรม
ระหว่างที่เกิดภารกิจเสี่ยงตายนอกอวกาศ จีน เกรย์เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดในช่วงที่ได้รับคลื่นรังสี จนทำให้เธอมีพลังเกินกว่าที่ตัวเธอเองหรือมนุษย์กลายพันธุ์คนไหนเคยเจอมาก่อน เมื่อเธอเดินทางกลับมายังโลก เธอต้องต่อสู้รับมือกับพลังความสามารถที่ยิ่งใหญ่ราวเทพเจ้า แต่พลังที่อยู่ในตัวเธอมีมากเกินกว่าจะควบคุมได้ เมื่อจีนอยู่ใน
สภาวะที่เหนือความควบคุม เธอได้ทำลายบรรดาคนที่เธอรักที่สุด สร้างความแตกแยกให้เหล่า X-เม็น และเหล่าฮีโร่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของแต่ละคน
เรื่องราวที่ชวนตื่นเต้นของฮีโร่ ครอบครัว และโลกที่แยกออกมาในเรื่อง “X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” นำแสดงโดย เจมส์ แม็คอะวอย, ไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, นิโคลาส เฮาล์ท, โซฟี เทอร์เนอร์, ไท เชอริแดน, อเล็กซานดรา ชิพพ์ และ เจสสิก้า แชสเทน เขียนบทฯ และกำกับฯ โดยไซมอน คินเบิร์ก อำนวยการสร้างฯ โดยไซมอน คินเบิร์ก, p.g.a. ฮัตช์ พาร์คเกอร์ p.g.a. ลอว์เรน ชูเลอร์ ดอนเนอร์ และ ทอดด์ ฮอลโลเวล
X-MEN: DARK PHOENIX: จุดสูงสุดที่แท้จริงแห่งตำนาน X-เม็น
คุณจะทำอย่างไรหากคนที่คุณรักกลายเป็นมหันตภัยที่ยิ่งใหญ่ของโลก?
นี่เป็นคำถามสำคัญจากประโยคที่ได้รับความนิยมมากในหนังสือการ์ตูน X-เม็นที่มีประวัติความเป็นมายาวนานหลายทศวรรษ ตำนานแห่งดาร์ก ฟีนิกซ์ เขียนขึ้นโดยคริส แคลร์มองต์ผู้มีชื่อเสียงแห่งวงการ และวาดภาพโดยศิลปินจอห์น เบิร์น เมื่อปี 1980 หลายสิ่งในเนื้อเรื่องถ่ายทอดความเข้มข้นในโลกของ X-เม็น เมื่อจีน เกรย์มีพลังมากขึ้นจนแม้แต่ครอบครัวมนุษย์กลายพันธุ์ของเธอเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เธอกลายเป็นคนนอกที่ไม่มีใครเข้าใจ แม้แต่คนที่สนิทกับเธอที่สุดก็ยากจะเข้าถึงได้
“ตำนานเดอะ ดาร์ก ฟีนิกซ์เป็นตอนที่ได้รับความชื่นชอบมากที่สุดในซีรีส์ X-เม็นที่มีมาอย่างยาวนาน อย่างแรกนั่นเป็นเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องราวที่มีแต่เหล่าฮีโร่และวายร้าย ด้านมืดและด้านสว่าง” ไซมอน คินเบิร์กกล่าว
คินเบิร์กเป็นแฟนหนังสือการ์ตูนมาอย่างยาวนาน และเขารู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือต้องถ่ายทอดตำนานของดาร์ก ฟีนิกซ์สู่จอภาพยนตร์ในแบบที่ตรงตามตำนานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้เขียนบทฯ – ผู้กำกับฯ ได้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ X-เม็นมาตั้งแต่ผลงานปี 2006 เรื่อง X-Men: The Last Stand โดยทำหน้าที่เขียนบทฯ หรืออำนวยการสร้างฯ ในซีรีส์ทุกตอน (บางครั้งก็ทำหน้าที่ทั้งเขียนบทฯ และอำนวยการสร้างฯ) ภาพยนตร์ในปี 2006 ได้รวมเรื่องราวบางมุมในดาร์ก ฟีนิกซ์เอาไว้ แต่ด้วยช่วงเวลาที่ผ่านมานานกว่า 10 ปี เป็นจังหวะเหมาะสมต่อการเกิดเรื่องหดหู่ กล้าหาญ และมีศรัทธามากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับจุดสูงสุดของการสร้างภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่มีอายุเกือบ 2 ทศวรรษ คินเบิร์กไม่ได้ทำหน้าที่แค่เขียนบทฯ ในผลงานภาคใหม่นี้เท่านั้น แต่เขายังได้ทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกด้วย
ประเด็นสำคัญในหนังคือเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องต่อสู้กับความชั่วร้ายที่อยู่ในตัวเธอเอง มีเพียงความรักจากครอบครัว X-เม็นของเธอเท่านั้นที่จะปกป้องเธอและโลกไว้ได้ “หนังเรื่องนี้ต่างจาก X-เม็นภาคก่อน” คินเบิร์กกล่าว “รายละเอียดของเรื่องต่างจากหนังสือการ์ตูน X-เม็นภาคอื่นที่เราวาดมาจากเรื่องราวที่ผ่านมา มันมีความซับซ้อนทางด้านร่างกายและมีความแปรปรวนของจิตใจเพิ่มมากขึ้น ความรู้สึกต่าง ๆ ดูแปลกใหม่กว่าหนังสือการ์ตูน X-เม็นภาคอื่นมากครับ”
คินเบิร์กได้ผู้ช่วยในภารกิจการสร้างตัวละครในเรื่อง X-เม็นให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ ฮัตช์ พาร์คเกอร์ ซึ่งมีส่วนร่วมในภาพยนตร์แฟรนไชส์ตั้งแต่แรกเริ่ม ในภาคแรกเขาเป็นผู้บริหารที่ 20th Century Fox และต่อมาเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ ในผลงานที่เริ่มจากปี 2013 ด้วยเรื่อง The Wolverine “เรื่อง X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ ถือเป็นโอกาสที่ได้ทำอะไรที่มีความแปลกใหม่และมีความพิเศษมากขึ้น อย่างที่หนังเรื่องก่อน ๆ ไม่มีโอกาสได้ทำ” พาร์คเกอร์กล่าว “หนังเรื่องนี้จะได้ค้นหาข้อมูลมากขึ้นและเข้าถึงตัวตนของจีนอย่างถ่องแท้ขึ้น” ความรู้สึกนี้แตกต่างออกไปมาก เป็นโทนเรื่องที่ต่างออกไป มีสไตล์ภาพยนตร์ที่แตกต่างซึ่งเหมาะกับเนื้อเรื่องที่เราจะถ่ายทอดออกมา”
“สิ่งที่ทำให้ผมเกิดความสนใจที่สุดและเป็นเหตุผลที่เรื่องนี้ตรงใจใครหลายคนคือมันมีความเป็นมนุษย์สูงมาก เป็นเรื่องราวของคนที่เรารักเริ่มจะปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมา” คินเบิร์กล่าว “จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ในชีวิตจริงคือคนที่พวกเขารักและรู้สึกอยากช่วยเขา ซึ่งบางครั้งเราก็ฉุดช่วยพวกเขาอย่างเต็มที่ และก็มีบางคนที่หมดหวังในตัวพวกเขา หนังเรื่องนี้ตั้งคำถามเรื่องนั้นขึ้นมาว่าเราจะยอมปล่อยและหมดหวังในตัวคนที่เรารักเมื่อไหร่”
เป็นเวลานานกว่า 3 ปีที่ผ่านมาที่คินเบิร์กเริ่มคิดถึงไอเดียการสร้างตำนานดาร์ก ฟีนิกซ์ให้เป็นรูปร่างขึ้นมาอย่างชัดเจน จนถึงช่วงที่การสร้างผลงานปี 2016 เรื่อง X-Men: Apocalypse เริ่มใกล้เสร็จสิ้น ในเรื่องนั้นเป็นเรื่องราวของความพังพินาศ เต็มไปด้วยฉากที่มีความซับซ้อนและสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่ตื่นตา ซึ่งมีเวลาสนใจเรื่องมิตรภาพระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นน้อยมาก มีแต่สนใจเรื่องการผจญภัยตามสไตล์หนังฟอร์มยักษ์ คินเบิร์กเลยรู้สึกอยากเปลี่ยนจังหวะเรื่องไปอย่างสิ้นเชิง
“ผมคิดถึงตัวละครที่คุ้นเคยจาก X-เม็นภาคอื่นๆ” เขากล่าว “ผมอยากทำอะไรที่มีความคุ้นเคยมากขึ้น”
จากจุดนั้นภาพยนตร์แฟรนไชส์ X-เม็นจึงถูกจัดวางบทบาทอย่างง่ายด้าย โดยมีการลดความทันสมัยลงและเพิ่มความท้าทายมากขึ้น เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากหนังสือการ์ตูนที่ผ่านบททดสอบเรื่องช่วงเวลา และต้องมีประเด็นของเรื่องที่สำคัญรวมถึงตัวละครที่น่าสนใจในเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน ไม่มีหนังเรื่องไหนจะเน้นย้ำความจริงเรื่องนั้นได้ดีกว่าผลงานปี 2017 เรื่อง Logan ที่ได้เห็นนักแสดงชายผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award® ฮิวจ์ แจ็คแมนกลับมารับบทเดอะ วูล์ฟเวอรีนที่เป็นลายเซ็นของเขาเป็นครั้งสุดท้ายในผลงานเรท R เนื้อเรื่องมีการสร้างแยกออกมาได้อย่างมีพลังและเกี่ยวข้องกับการเสียสละและการไถ่บาป
“แน่นอนว่าเรื่อง Logan พิสูจน์ถึงความเชื่อที่ว่าเราสามารถสร้างเรื่องดราม่าในโลกใบนี้ได้ และยังคงสร้างความพอใจให้ผู้ชมที่เคยอ่านหนังสือการ์ตูน ซึ่งอาจจะเหนือความคาดหวังด้วยซ้ำ” พาร์คเกอร์กล่าว
และนั่นยังเป็นครั้งสุดท้ายที่ภาพยนตร์ X-เม็นมีตัวละครนำหญิงด้วย โดยผู้หญิงในเรื่องรับบทโดยนักแสดงหญิงที่มีพลังตั้งแต่เฟมเก้ แจนส์เซนไปจนถึงฮัลลี เบอร์รี่ที่มีทั้งความซับซ้อน มีความกระตือรือร้น และมีตัวแทนของพวกเธอตลอด แต่เรื่องราวของพวกเธอกลับไม่เคยถูกยกมาชูเรื่อง หลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี เรื่อง “X-MEN:
DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” จะเป็นการมุ่งความสนใจที่การผจญภัยของจีน เกรย์และผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเธอ เช่น เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ในบทราเวน เจสสิก้า แชสเทนในบทสมิธ ตัวร้ายคนใหม่ที่ยุให้จีนทิ้งความเป็นมนุษย์ของเธอเพื่อก้าวสู่ด้านมืดอย่างเต็มตัว
“ตอนนี้ถึงเวลาของผู้หญิงเป็นผู้นำในหนังซูเปอร์ฮีโร่แล้ว และเนื้อเรื่องของ X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ ก็เกี่ยวกับตัวละครหญิงที่มีพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของ X-เม็น” คินเบิร์กกล่าว นอกจากนั้นคินเบิร์กยังหาการผจญภัยที่จะยกตัวอย่างให้เห็นความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่วร้ายในยุคที่วุ่นวายของเราอีกด้วย เขาอยากย้ำให้เห็นว่าสองสิ่งนั้นสามารถอยู่ในตัวคน ๆ เดียวกันได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านชั่วร้ายหรือด้านดี
“เรามาถึงจุดที่ผู้ชมพร้อมรับเรื่องราวการแตกแยกและมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คนดีกลายเป็นคนเลว ฮีโร่เสียการควบคุมจนกลายเป็นภัยร้ายที่ถึงขั้นฆ่าคนได้” คินเบิร์กกล่าว “ในหนังสือการ์ตูนมักจะเน้นไปที่ตัวคนดีและคนร้าย ฮีโร่และวายร้าย เวลาฮีโร่ทำเรื่องเลวร้ายหรือเวลาคนดีทำเรื่องอะไรไม่ดีจะทำให้รู้สึกช็อก เราไม่แน่ใจว่าเราจะแน่ใจกับอะไรได้บ้าง
“ตอนนี้เราอยู่ในโลกที่เรื่องการเมืองและเรื่องทางสังคมมีความกลับตาลปัตรไปบ้างแล้ว” เขาเล่าต่อว่า “ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เคยเป็น ไม่มีความสามัคคีกันสักเท่าไหร่ ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีความแตกแยกออกมา ในเรื่องจะเกี่ยวกับตัวละครที่พบว่าตัวเองมีความแตกแยก ซึ่งผลที่ตามมาคือการแตกแยกจากครอบครัว X-เม็นซึ่งเป็นความรู้สึกที่สำคัญมาก”
หลายเดือนก่อนจะเริ่มเขียนบทฯ ในช่วงแรก คินเบิร์กไดเพบกับนักแสดงหญิงโซฟี เทอร์เนอร์เพื่อคุยกันเรื่องแผนต่าง ๆ ที่มีความยุ่งยากในหนังดราม่าของซูเปอร์ฮีโร่ เทอร์เนอร์รับบทจีนมาก่อนในเรื่อง X-Men: Apocalypse แต่
ในเรื่อง X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ ทำให้นักแสดงจาก Game of Thrones ต้องมีความรับผิดชอบที่ต่างไป
“ผมบอกเธอว่าตัวละครของเธอต้องดูมีปัญหา เริ่มเสียความเป็นตัวของตัวเอง จนสุดท้ายกลายเป็นคนสองบุคลิก เป็นทั้งจีนที่ดูบอบบางและอ่อนแอลง และเป็นฟีนิกซ์ที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ” คินเบิร์กกล่าว “ผมบอกเธอว่าต้องแสดงเหมือนทรมานจากการเสียสติ ฆ่าคนที่เธอรัก และแสดงความอ่อนไหวทางอารมณ์ทั้งหมดออกมาให้ได้มากที่สุด”
ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเทอร์เนอร์รู้สึกตื่นเต้นที่มีโอกาสรับผิดชอบเรื่องบทฯ และกระตือรือร้นที่จะได้รับหน้าที่สำคัญในหนังเรื่องใหม่” มันมีความน่ากลัว” เทอร์เนอร์กล่าว “ไซมอนอยากเน้นที่เรื่องราวและการผจญภัยของจีน เพราะหลายครั้งที่หนังซูเปอร์ฮีโร่จะมีจุดพลิกผันอย่างแท้จริง และเนื้อเรื่องจะโดนฉากผาดโผนที่น่าตื่นตาบดบังไป”
“ประเด็นสำคัญของจีน เกรย์/เนื้อเรื่องของดาร์ก ฟีนิกซ์คือเธอไม่ใช่ตัวร้าย แต่เธอก็ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ที่จะมาปกป้องโลก ซึ่งทุกอย่างก็ลงตัวดีมาก” เทอร์เนอร์เล่าต่อว่า “เธอเป็นหนึ่งในตัวละครไม่กี่ตัวที่ได้รับความทรมานและถูกทำลาย มีความสมจริงอยู่ในตัวของเธอ มีเรื่องราวของความเจ็บปวดและสิ่งที่เธอได้เจอทำให้เรานึกถึงความสะเทือนใจ มันไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปที่ทุกคนจะทำความเข้าใจได้ ตัวเธอไม่ใช่สีดำหรือสีขาว มันเป็นสีเทา ซึ่งมันตรงชีวิตจริงของใครหลายคนและนั่นคือเหตุผลที่ผู้คนรักเธอ”
หลังจากที่คินเบิร์กและเทอร์เนอร์ได้พบกันครั้งแรก คินเบร์กก็เริ่มส่งข้อมูลต่าง ๆ ให้นักแสดงเพื่อการเตรียมตัวของเธอ “ผมกลับบ้านและพบคลิปยูทูปเยอะมาก รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ส่งให้เธอเกี่ยวกับโรคจิตเภทและความผิดปกติ
เรื่องการมีบุคลิกหลากหลาย เพื่อให้เธอเริ่มทำการบ้านก่อนที่จะคิดถึงเรื่องอารมณ์ความรู้สึก” คินเบิร์กกล่าว “เธอตั้งใจศึกษาทุกอย่าง เธอกลับมาหาผมพร้อมคำถามมากมายและไอเดียต่าง ๆ ที่ไม่มีสิ้นสุด”
การสนทนากันระหว่างพวกเขาสร้างแรงจูงใจให้คินเบิร์กจนเขามีบทฯ ที่ร่างเอาไว้หลายแบบ ระหว่างที่เขาทำงานก็มีประเด็นสำคัญต่าง ๆ เกิดขึ้น จนกลายเป็นคำถามเกี่ยวกับบทบาทของชาร์ลส ซาเวียร์ในฐานะผู้นำของ X-เม็นและความไม่ตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของจีน ระหว่างที่เปิดตัวภาพยนตร์ ชาร์ลสกำลังมีความสุขกับตำแหน่งผู้นำมนุษย์กลายพันธุ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขามีความสุข ราเวนแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ค่อยเป็นตัวตั้งตัวตีในการแสดงออกสักเท่าไหร่
“มีหลายอย่างที่ผมอยากไปสำรวจ ซึ่งเราไม่เคยได้สำรวจในหนังก่อนหน้านี้มาก่อน เช่น การที่ชาร์ลสรวมทีมซูเปอร์ฮีโร่ขึ้นมาในนาม X-เม็นเป็นการเรียกตามชื่อของเขาเอง” คินเบิร์กกล่าว “เขาใช้ชีวิตอยู่ในแมนชั่น ไม่ยอมทิ้งแมนชั่นไปไหน และคอยปกป้องผู้คนมากมายด้วยหลากหลายวิธี ซึ่งหลายคนนั้นก็ยังเด็กอยู่มาก ผมอยากให้สังเกตและย้ำที่ตรงเรื่องนั้น มันมีทั้งเรื่องอีโก้ ทั้งความเมตตา และความอบอุ่นอยู่ในนั้น เราอยู่ในยุคที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่ผ่านการสังเกต ซึ่งมันเกิดขึ้นโดยไม่มีการสังเกตในการ์ตูนมาหลายทศวรรษแล้ว จนตอนนี้ก็เป็นเวลา 2 ทศวรรษในหนัง”
นักแสดงชายเจมส์ แม็คอะวอย ผู้รับบทซาเวียร์ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men สามภาคก่อน รู้สึกกระตือรือร้นที่ตัวละครจะได้พบกับอุปสรรคใหม่ ๆ “ในเรื่องนี้ชาร์ลสจะเริ่มเชื่อในสิ่งที่เขาแสดงออกอย่างเกินจริง” แม็คอะวอยกล่าว “เขาขึ้นปกนิตยสาร Time เขาเป็น X-เม็นที่ปรากฏตามที่สาธารณะบ่อยมาก เขาได้รับความชื่นชมจากผลงานทั้งหมดที่ผ่านมา เขาได้เดินพรมแดงจับมือกับประธานาธิบดี เขาเหมือนกับพ่อที่รักลูก ๆ มากและเชื่อว่าลูก ๆ รับมือได้กับทุก
เรื่อง ทุกอย่างฟังดูสวยงามแต่ลึก ๆ แล้วถ้าพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จไปซะทุกอย่าง ถ้าพวกเขาพลาดในสิ่งที่ทั้งโลกให้ความคาดหวังอย่างสูง และชาร์ลสไม่รับผิดชอบทีมของเขา เขารู้สึกว่ามันจะสะท้อนถึงตัวเขาในทางที่ไม่ดี”
ตัวละครของแชสเทนเหมือนเอเลี่ยนในร่างมนุษย์ที่ต้องการพลังพิเศษอย่างที่จีนมีแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเธอได้ดูแลจีนและกลายเป็นที่ปรึกษาที่ต่างจากราเวนหรือชาร์ลส เธอคอยสนับสนุนให้จีนยอมรับในด้านมืดของตัวเอง ไม่ค่อยบังคับอะไรเวลาที่อยู่กับเธอ
“ตอนที่ไซมอนและฉันคุยกันเรื่องตัวละครนี้ครั้งแรก ฉันมีไอเดียว่าจะเห็นตัวละครทิ้งความรู้สึกจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น” แชสเทนกล่าว “เธอฉลาดกว่าใครบนโลกนี้ 1,000 เท่า เธอมายังโลกเพื่อศึกษามนุษย์ และคิดว่าพวกเขาเหมือนเชื้อแบคทีเรีย เหมือนกับเซลล์มะเร็ง พวกไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเองเท่านั้น แต่ยังทำร้ายโลกอีกด้วย พวกเขาใช้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความโลภ เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย เธอไม่อยากเห็นมันสร้างความเลวร้าย มันไม่ใช่สิ่งที่เธออยากทำเพื่อการแก้แค้น แต่เป็นสิ่งที่เธอทำด้วยเจตนาดีในความรู้สึกของเธอเท่านั้นเอง”
คินเบิร์กเขียนบทนี้ขึ้นมาเพื่อแชสเทนโดยเฉพาะ ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนสนิทกันหลังจากที่ได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมของริดลีย์ สก็อตต์ปี 2015 เรื่อง The Martian ที่คินเบิร์กเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ
“ตอนทีผมนึกถึงใครสักคนมารับบทนี้ ต้องเป็นคนดูมีพลังและช่วยจีนเข้าถึงพลังที่เธอหวาดกลัวได้ สามารถแสดงมันออกมาได้อย่างเข้มแข็ง ดูมีเล่ห์เหลี่ยมและมีเสน่ห์เย้ายวน แสดงให้เห็นถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมนึกภาพใครไม่ออกเลยนอกจากเจสสิก้า” คินเบิร์กกล่าว “ผมเขียนสิ่งต่าง ๆ ออกมาในแบบที่ผมรู้สึกว่าสะท้อนความเป็นนักแสดงของเธอ มันมีความดราม่าบางอย่างที่น่าสนุกในการแสดง และยังมีเรื่องของผู้หญิงหรือเรื่องของการเมืองที่ผมคิดว่าจะตรงกับเจส ผมคิดว่าเธอต้องถ่ายทอดมันออกมาได้ดีโดยที่ไม่ทำให้รู้สึกขี้อวดจนเกินไป”
ตลอดช่วงเวลาที่เขียนบทฯ คินเบิร์กต้องคิดถึงไอเดียต่าง ๆ สำหรับการก้าวไปอยู่เบื้องหลังกองเพื่อกำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งเป็นพัฒนาการอย่างเป็นธรรมชาติของผู้เขียนบทฯ – ผู้อำนวยการสร้างฯ ที่อยู่ในฉากเรื่อง X-Men: The Last Stand, X-Men: First Class, X-Men: Days of Future Past และ X-Men: Apocalypse ตลอดเวลา รวมถึงเรื่อง Deadpool ทั้ง 2 ภาคและ Logan ด้วย
“ผมรู้สึกว่าอยากกำกับหนัง” เขากล่าว “ผมอยู่ในโลกใบนี้มานานมาก แต่ก็อยากเขียนเรื่องราวที่ผมรู้สึกว่าถ่ายทอดออกมาได้อย่างสบายใจด้วย เมื่อผมรับหน้าที่นี้และเริ่มคิดถึงประเด็นต่าง ๆ ในหนัง ผมรู้สึกว่ากับเรื่องราวมากเลย มันไม่ได้รู้สึกแค่ผมกำกับฯ ได้เท่านั้น แต่ยังรู้สึกว่าผมต้องกำกับฯ ให้ได้อีกด้วย มันเหมือนกับเรามีลูกสักคนแล้วต้องยกให้กับคนแปลกหน้า ผมนึกภาพนั้นไม่ออกเลย”
การกำกับภาพยนตร์ทำให้คินเบิร์กมีโอกาสกำหนดแนวทางและโทนเรื่องของ “X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” โดยอิงจากเรื่องราวในโลกแห่งความจริง และคอยให้คำแนะนำเรื่องการแสดงให้นักแสดงในฉากด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายที่การสร้างภาพยนตร์ X-เม็นที่มีความแข็งแกร่ง ชวนสงสัย มีความเข้มข้น สะเทือนอารมณ์มากขึ้น ซึ่งจะเป็นเรื่องราวที่เน้นตัวละครมากขึ้น มีเรื่องของมนุษย์ลึกซึ้งกว่าเรื่องที่ผ่านมา เพราะ X-เม็นต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับจีน ความจงรักภักดีที่หายไป และสมาชิกใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมา แต่สุดท้ายเพื่อปกป้องทั้งจีน เกรย์และจักรวาลเอาไว้ X-เม็นต้องหาวิธีจัดการเรื่องความแตกต่างของพวกเขา และร่วมมือกันเพื่อจุดหมายเดียว
“มีบางอย่างทำให้เกิดความแตกแยก และครอบครัว X-เม็นก็กลับมารวมตัวกัน หวังว่าจะเป็นการสื่อประเด็นที่ดีเรื่องการเอาตัวรอดและความสามัคคีกัน เพื่อข้ามผ่านอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และสร้างความแตกแยกได้” คิน
เบิร์กกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่เราสร้างขึ้นมาหรือครอบครัวที่แท้จริงของเรา ซึ่งทุกอย่างที่รวมกันทำให้เราแข็งแกร่ง
“หนังเรื่องโปรดของผมจะต้องมีคำถามที่ชวนคิด มีคำถามที่กระทบความรู้สึกของผู้ชม” คินเบิร์กเล่าต่อว่า “X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ ตั้งคำถามสำคัญที่มีความลึกซึ้ง หากเรารักใครสักคนเราจะปล่อยพวกเขาไปเมื่อไหร่? หรือเราจะอยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้ว่าเราจะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย? ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะตอบคำถามนั้นได้มั้ย แต่ถ้าผมต้องตอบก็คงจะตอบว่าผมไม่มีทางทิ้งคนที่รักไปแน่นอน”
นี่เป็นตอนจบที่เหมาะสมของการฉายภาพยนตร์แฟรนไชส์ X-Men มาอย่างยาวนาน 18 ปีแล้ว โดยเรื่อง X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์ จะเป็นที่สุดแห่งตำนานหลังจากผลงานภาพยนตร์ที่น่าประทับใจ 12 เรื่อง โดยพาร์คเกอร์เป็นผู้สร้าง X-Men ปี 2000 ขึ้นมาได้เล่าว่าประสบการณ์ที่ได้นำแฟรนไชส์มาบรรจบครบรอบได้มันค่อนข้างหวานอมขมกลืนอยู่บ้าง
“สิ่งที่เราทำได้ในภาคแรกคือการแนะนำโทนเรื่องที่เราอยากให้สายตาส่วนใหญ่ได้เห็น ซึ่งตอนนั้นยังไม่สามารถเข้าใจถึงภาพยนตร์จากหนังสือการ์ตูนอย่างที่เรารู้จักกันได้” พาร์คเกอร์กล่าว “ในความคิดของผมมันเหมือนกับจุดเปลี่ยนของเกมเลยครับ ตั้งแต่นั้นมาภาพยนตร์จากหนังสือการ์ตูนกลายเป็นสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นและปูทางได้อีกไกล ผมรู้สึกว่าเราเพิ่งเริ่มเห็นการเล่าเรื่องราวที่หลากหลาย ซึ่งมันมีความเป็นไปได้ในโลกใบนี้และตัวละครเหล่านี้ ผมดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง แต่ก็กังวลว่าเราจะต้องเดินหน้ากันอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาที่ยาวนาน”
รายละเอียดการถ่ายทำ
เมื่อภาพยนตร์เรื่อง “X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” มีเนื้อหาสำคัญและโทนเรื่องที่ต่างไปจากหนังเรื่อง X-Men ที่ผ่านมาทุกเรื่อง ภาพลักษณ์ของหนังก็ต้องมีความแตกต่างไปเหมือนกัน “หลังจากช่วงระยะเวลาเกือบ 20 ปีในการสร้างสไตล์ภาพยนตร์เรื่อง X-Men ขึ้นมา คราวนี้มันถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว” ไซมอน คินเบิร์กกล่าว “ผมรู้สึกว่าโทนเรื่องที่ดูมีความกล้าหาญมากขึ้นจะเหมาะกับเรื่องนี้ เพราะผมอยากให้มันดูเข้มข้น มีความคุ้นตาและมีความเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น หน้าที่ของผมคือต้องแน่ใจว่าทุกคนเข้าใจว่าเรากำลังสร้างหนังเรื่อง X-Men ที่ต่างไปจากเรื่องก่อน ๆ โดยหนังเรื่อง X-Men จะต้องให้ความรู้สึกที่สมจริงมากขึ้น ต้องเข้าถึงผู้ชมมากขึ้น และต้องรู้สึกได้ถึงการทำลายล้างอีกครั้ง”
“นี่เป็นหนังเรื่อง X-Men ที่ติดต่อกันเป็นเรื่องที่ 3 ของผมแล้ว” ทอดด์ ฮอลโลเวลกล่าว เขาทำหน้าที่เป็ฯทั้งผู้อำนวยการสร้างฯ และผู้กำกับกองย่อยในเรื่อง X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” ไซมอนอยากทำหนังเรื่องนี้ในแนวทางที่ต่างไป เขาเล่าว่ายิ่งโลกใบนี้มีความสมจริงมากขึ้น มันก็จะยิ่งดีขึ้นสำหรับเนื้อเรื่อง เราพยายามสร้างขึ้นมาในแบบนั้น และมันเป็นตัวกำหนดทิศทางผลงานทางด้านศิลปะ การออกแบบฉาก การออกแบบเครื่องแต่งกาย รายละเอียดต่าง ๆ และทุกอย่าง ทุกคนมีความระมัดระวังที่จะทำอะไรซ้ำแบบเดิมมาก”
ภาพยนตร์เรื่อง “X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” ใช้เวลาถ่ายทำนานกว่า 6 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2017 ทั้งภายในและโดยรอบมอนทรีอัล ผู้ออกแบบฉากคล้อด พาเร่ (It, Rise of the Planet of the Apes) ได้สร้างฉากที่ดูสมจริงอย่างที่คินเบิร์กให้ความสำคัญ ทำให้ภาพยนตร์ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น “สิ่ง
แรกที่เราคุยกันคืออยากทำให้หนังเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความจริง” พาเร่กล่าว “เราอยากให้โทนสีดูมืดลง ไม่มีสีสันฉูดฉาดเหมือนหนังเรื่องก่อน ๆ ไซมอนเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ เขาจะระมัดระวังเรื่องภาพลักษณ์สิ่งต่าง ๆ มาก”
“คล้อดเป็นคนหนึ่งที่มีแนวทางในการสร้างโลกใบนั้นขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความจริงหรือโลกในจินตนาการก็ตาม” คินเบิร์กกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวที่อยู่นอกโลกหรือบรรยากาศเมืองที่อยู่ระดับล่างก็ตาม เขาเป็นคนที่มีความพิถีพิถันมาก ตั้งแต่ช่วงเริ่มการทำงานครั้งนี้ ผมบอกคล้อดว่าอยากสร้างโลกใบนี้ที่จับต้องได้ ผมไม่อยากใช้กรีนสกรีนหรือสร้างฉากขึ้นมาหลอก ๆ ผมอยากให้นักแสดงได้สัมผัสบรรยากาศในฉากแบบจับต้องได้ และผู้ชมเองก็จะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมีความเข้าถึงได้และดูสมจริงขึ้นในทันที”
“ฉากหนึ่งที่ผมชอบคือบริเวณบ้านของจีนครับ” คินเบิร์กกล่าว “มันมีบ้านหลังเล็ก ๆ มีทางโค้งเล็ก ๆ และสะพานที่ดูไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ บ้านแต่ละหลังมีรายละเอียดเฉพาะตัวที่ต่างกันโดยสร้างขึ้นมาสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในนั้น มีทั้งชาวประมง คนขับรถบรรทุก คู่สามีภรรยาที่ชอบทะเลาะกัน โดยไอเดียของแต่ละหลังจะมีรายละเอียดของตัวละเอียดซ่อนอยู่ สนามหญ้าของพวกเขาเป็นแบบไหน มีของเล่นหรือขยะอะไรอยู่รอบบริเวณบ้านของเขาบ้าง ทุกอย่างจะเป็นการเพิ่มรายละเอียดให้ตัวละคร นักแสดงและผู้ชมครับ”
ถนนที่อยู่รอบบริเวณบ้านถูกสร้างขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย “เราเริ่มจากพื้นที่เป็นดินลูกรัง” พาเร่กล่าว “เราสร้างบริเวณบ้านให้ดูเป็นบรรยากาศของคนชั้นล่าง-ชนชั้นกลาง ผมอยากให้มีสะพานตรงนั้นเพื่อให้ผู้คนขับรถผ่าน แต่ไม่มีใครหยุดตรงนั้น และตรงปลายทางผมอยากให้มีสนามประจุไฟฟ้าที่มีทั้งพวกเสาไฟ ตึกสูงและสายไฟ เรามีการราดพื้นยางมะตอยแต่ยังมีก้อนกรวดนำทางมาถึงในฉากต่าง ๆ ไม่มีพื้นที่ทางเดิน บ้านทุกหลังถูกสร้างขึ้นมาใน
โรงงานก่อนและเรานำมารวมกันในฉาก ทีมตกแต่งฉากสร้างผลงานได้อย่างน่าทึ่งด้วยการนำสายไฟมาแขวนพาดบ้านแต่ละหลัง มีสายเคเบิล รางน้ำ ทุกอย่างดูแล้วเหลือเชื่อมากเลย”
เมืองที่แต่งขึ้นมาอย่างจีโนชาก็ต้องใช้ความพยายามในการสร้างอย่างมากเช่นกัน ที่นั่นเป็นเกาะที่ตัวละครอีริคของฟาสเบ็นเดอร์อาศัยอย่างสงบร่วมกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ถูกเนรเทศออกมา รวมถึง 2 ตัวละครใหม่อย่าง ซีลีน (โคตา อีเบอร์ฮาร์ท) และ เรด โลตัส (แอนดรูว์ สเตห์ลิน) ในเมืองนั้นก่อสร้างขึ้นบนพื้นที่ ๆ ห่างจากตัวเมืองมอนทรีอัล 1 ชั่วโมง “ที่นั่นเหมือนที่หลบภัยสำหรับมนุษย์กลายพันธุ์ที่ไม่มีที่ไป” ฟาสเบ็นเดอร์อธิบาย “มันเป็นเมืองที่อยู่กันอย่างเรียบง่าย ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในกรอบและมีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง”
“ในฉากมีเฮลิคอปเตอร์จริงทำงานอยู่และข้าวของรอบตัวก็มีการระเบิดขึ้น” คินเบิร์กกล่าว “ความหลุดโลกยู่ที่บนเฮลิคอปเตอร์นั้นมีไมเคิลและโซฟีกำลังต่อสู้กันอยู่ นั่นเป็นเฮลิคอปเตอร์ของจริงนะ” เฮลิคอปเตอร์มีน้ำหนักประมาณ 4,000 ปอนด์ถูกแขวนอยู่บนสายเคบิลและมีเครนยกเอาไว้ ซึ่งจะมีการลบออกจากเฟรมในช่วงหลังการถ่ายทำ “เราสามารถควบคุมทิศทางไปมาได้ตามที่ต้องการว่าอยากให้โซฟีหรือไมเคิลเป็นฝ่ายชนะในการต่อสู้เพื่อควบคุมเฮลิคอปเตอร์นั้น” คินเบิร์กกล่าว “พวกเขาต้องเข้าฉากกับเฮลิคอปเตอร์จริง มีคนอยู่ในนั้นจริง ซึ่งบางครั้งจะอยู่สูงจากไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ 10 หรือ 15 ฟีต ทุกอย่างคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด”
“เราสร้างถนนนิวยอร์กทั้งเส้นขึ้นมาในโรงถ่าย เราสามารถควบคุมและระเบิดทุกอย่างได้” คินเบิร์กอธิบาย นั่นเป็นฉากที่มีความซับซ้อนในการถ่ายทำ ช่วงที่ไมเคิลเข้ามาในสถานทูตและขบวนรถไฟพุ่งชนด้านหลังของเขา ทุกอย่างเกิดขึ้นจริงทั้งหมด ขบวนรถไฟนั้นถูกแขวนอยู่บนเชือก เป็นขบวนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วอยู่ด้านหลังไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์ และด้านหลังของไมเคิลก็มีการระเบิดกำแพง ทุกอย่างหยุดชะงักตรงด้านหลังที่ห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว
เราไม่ทันคาดคิดว่าเศษกำแพงจะมาโดนหัวของเขา แต่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ หล่นลงมาโดนข้าง ๆ แต่เนื่องจากไมเคิล ฟาสเบ็นเดอร์เป็นคนที่สู้ เขาไม่ยอมถอยหลังหรือกะพริบตาเลยสักนิด และขอบคุณพระเจ้าที่เขาไม่ยอมถอยเพราะเรามีโอกาสแค่เทคเดียว”
แม้แต่ช่วงที่มีความซับซ้อนในการถ่ายทำที่สุด คินเบิร์กก็ยังดูนิ่งสงบเหมือนเดิม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ฮัตช์ พาร์คเกอร์รู้สึกว่าน่าประทับใจมากสำหรับการทำหน้าที่ผู้กำกับฯ ครั้งแรกของเขา “ผมรู้สึกประทับใจที่เขาทำหน้าที่นั้นได้อย่างสบาย ๆ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทจากการเขียนหรือการผลิตที่ไม่ง่ายเลย” พาร์คเกอร์กล่าว “ซึ่งข้อดีคือเขาผูกพันกับเนื้อเรื่องมาอย่างยาวนาน และเขาเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ ในหลายเรื่องมาแล้ว เขามีความใกล้ชิดและเห็นแฟชั่นทุกอย่างชัดเจนมาก เขารู้จักตัวละครนี้ดีโดยเฉพาะนักแสดงเหล่านี้ เขามีความอุ่นใจและรู้สึกว่าทุกคนเหมือนคนในครอบครัว เขาแค่แสดงฝีมือออกมาและนั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีมาก”
คินเบิร์กเล่าว่าเขาเองก็รู้สึกอุ่นใจเมื่อรู้ว่าเขาได้ผู้ร่วมงานที่มีความเหมาะสมสำหรับทุกแผนก นอกจาก พาเร่แล้วผู้สร้างภาพยนตร์ยังได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายแดเนียล ออร์แลนดิ (Logan) เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตัวละครทั้งหมดขึ้นมา รวมถึงเครื่องแบบใหม่ที่ X-เม็นสวมใส่กันด้วย “เราผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะได้เครื่องแบบที่เหมาะสม ผมอยากให้มันดูตรงตามหนังสือการ์ตูน X-เม็น” ออร์แลนดิกล่าว “เราดูการ์ตูนย้อนหลังและศึกษาข้อมูลจากในนั้น ดูว่าชุดมีความโดดเด่นตรงไหนและมีลวดลายยังไง เราอยากให้ชุดมีความทันสมัยและเรียบง่าย”
ผู้ออกแบบฉากเจ้าของรางวัล Oscar® เมาโร ฟิโอเร่ (Avatar, Training Day) ตั้งใจช่วยคินเบิร์กสร้างภาพลักษณ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอย่างที่ผู้เขียนบทฯ – ผู้กำกับฯ ต้องการสำหรับเรื่อง “X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” ซึ่งสุดท้ายแล้วยังมีภาพจากกล้องแฮนด์เฮลด์ที่ดูน่าทึ่ง ซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับ X-แฟรนไชส์ด้วย
“ในภาพยนตร์ X-Men เรื่องก่อน ๆ และในเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มีความเหมาะสม ทั้งในแง่ขนาดที่ยิ่งใหญ่ระดับฮอลลีวูดและการเป็นภาพยนตร์จากหนังสือการ์ตูน พวกเขาพยายามใช้ภาพที่มีความนุ่มนวล มีการใช้เครนเคลื่อนย้ายกล้องและใช้ดอลลี่ ทุกอย่างจะดูราบรื่นมาก” คินเบิร์กกล่าว “แทนที่จะให้กล้องอยู่นิ่ง ๆ แล้วตัวละครแสดงและขยับเคลื่อนไหวไปเรื่อย ๆ แต่ในเรื่องนี้กล้องจะมีการเคลื่อนไหวไปด้วย ซึ่งทำให้ได้ภาพที่ดูสมจริงอย่างที่เราคุยกันในฉาก มันรู้สึกเหมือนทุกอย่างจะมีจุดบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เห็น ส่วนฉากแอ็คชั่นจะเป็นสิ่งที่ผู้ชมสัมผัสความรู้สึกได้มากที่สุด แต่ในฉากที่มีการพูดคุยกัน เราก็จะสัมผัสได้ถึงลมหายใจของตัวละครที่อยู่ใกล้กัน”
ในขั้นตอนช่วงหลังการถ่ายทำเองก็ต้องมีความงดงามในแบบเดียวกัน ช่วงที่ฉากแอ็คชั่นมาถึงการตัดต่อขั้นสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นฉากนอกอวกาศหรือใจกลางเมืองแมนฮัตตัน ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่เข้าชิงรางวัล Oscar® ฟิล เบร็นแนน (Logan, Snow White and the Huntsman) เล่าว่า “สำหรับฉากต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ X-เม็นใช้พลังวิเศษของพวกเขากลางที่สาธารณะในเมืองนิวยอร์ก นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นในหนัง X-เม็น ซึ่งเป็นฉากที่ที่สาธารณะจะได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย” เบร็นแนนกล่าว “มันฉากที่น่ากลัวมากครับ”
อีกภารกิจหนึ่งที่สำคัญซึ่งเบร็นแนนต้องเผชิญคือการสร้างภาพลักษณ์สุดท้ายที่เรียกกันว่าเอฟเฟ็กต์ของฟีนิกซ์ให้เรียบร้อย ซึ่งจะมีแสงออกมาจากผิวหนังของจีน เกรย์เวลาที่เธอถูกอำนาจครอบงำ “เอฟเฟ็กต์ของฟีนิกซ์เสิ่งที่เราใช้เวลานานมากเพื่อทำให้มันออกมาถูกต้อง” เบร็นแนนกล่าว “ในการสร้างเอฟเฟ็กต์ตลอดทั้งเรื่อง เอฟเฟ็กต์ของฟีนิกซ์จะปรากฎในรูปแบบที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง ในช่วงแรกจะมีการแสดงเอฟเฟ็กต์ฟีนิกซ์ออกมาเพียงเล็กน้อย จนกระทั่งถึงตอนท้ายเรื่องช่วงที่เอฟเฟ็กต์ของฟีนิกซ์ถ่ายทอดอย่างเต็มพลังจะมีความยิ่งใหญ่กว่ามาก แสดงออกทางผิวหนัง ดวงตา และทางอารมณ์ของเธออย่างเต็มที่
“แถมมันยังส่งผลต่อบรรยากาศที่อยู่รอบตัวเธออกด้วย” เบร็นแนนเล่าต่อว่า “มันจะเหมือนกับคลื่นช็อกเวฟ ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีความสำคัญ ทำให้เกิดทั้งหมอกควัน เปลวไฟ และลุกไหม้เป็นเพลิง คล้ายกับภายในของลาวาเลย มีองค์ประกอบหลายอย่างที่มารวมตัวกันแล้วเกิดเอฟเฟ็กต์ของฟีนิกซ์ขั้นสูงสุด แต่ทุกอย่างก็ขึ้นกับอารมณ์ของจีนด้วย”
สิ่งที่เสริมพลังให้ภาพยนตร์คือเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ชวนตรึงใจของฮานส์ ซิมเมอร์ ผลงานของนักประพันธ์ดนตรีเจ้าของรางวัล Oscar® ได้สร้างความเข้มข้นให้ “X-MEN: DARK PHOENIX – X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” เป็นการตอกย้ำประเด็นของเรื่องราว และช่วยสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานในโรงภาพยนตร์ให้ผู้ชม รวมถึงช่วยสร้างบรรยากาศแห่งการผจญภัยของจีน เกรย์อีกด้วย “มันไม่ใช่แค่การสร้างบรรยากาศและทำให้รู้สึกเบาสบาย มันฝังความรู้สึกลึกเข้าถึงผิวหนังของเราได้เลย มันมีผลต่ออารมณ์เวลาเป็นฉากที่ต้องสร้างอารมณ์ แต่ก็ไม่ทำให้มีความอ่อนไหวจนเกินไป นั่นคือสิ่งที่เราต้องการในหนังเรื่องนี้เลยครับ”
เข้าฉาย 6 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์https://www.facebook.com/DarkPhoenixMovieThailand/