..สองนกตัวน้อยเริ่มออกบินด้วยกัน
เพื่อไปตามฝันที่สุดทางฟ้ากว้าง
ลมแรงพัดพาจนเกิดหันคนละทาง
สู่ขอบฟ้าคนละฝั่ง
ฉันก็ไม่รู้เราห่างกันไปเมื่อไหร่
เหลือที่ว่างไว้ไม่เหลือใคร
ฉันก็ไม่รู้เธอปล่อยมือไปเมื่อไหร่
รู้ตัวอีกก็เกินจะกลับ
เห็นเธออยู่ที่ตรงขอบฟ้าอีกฝั่ง
นกน้อยไม่รู้ตัวเมื่อพายุมา
สายตาจับจ้องเพียงสุดขอบฟ้าไกล
บินไปหลงดีใจเมื่อถึงที่จุดหมาย
แต่กลับเหลือตัวคนเดียว
ฉันก็ไม่รู้เราห่างกันไปเมื่อไหร่
เหลือที่ว่างไว้ไม่เหลือใคร
ฉันก็ไม่รู้เธอปล่อยมือไปเมื่อไหร่
รู้ตัวอีกก็เกินจะกลับเห็นเธออยู่ที่ตรงขอบฟ้าอีกฝั่ง..
เมื่อตัวอักษรเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เนื้อเพลง
แต่มันถูกนำไปเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นภาพและเรื่องราว
“อีกฝั่ง”
ภาพยนตร์สั้นเรื่องแรกของวง KLEAR
“เรามีหลายตัวตน จนลืมอีกหลายคนในอีกฝั่ง”
จากโลกของบทเพลง “อีกฝั่ง” สู่ โลกของหนังสั้น
“อีกฝั่งเป็นเพลงที่วง KLEAR ชอบมากที่สุดในอัลบั้มที่ผ่านมา เราเก็บเพลงนี้ไว้เพราะไม่ได้มีการโปรโมท จนกระทั่งได้มาเจอพี่ต๊อก คุณเสริมสิน สมะลาภา พี่เขาชอบชวนน้องๆ ศิลปิน ครีเอเตอร์ด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง หรือภาพยนตร์ มาทำโปรเจกต์พิเศษร่วมกัน เป็นการทำเพื่อสังคม พี่ต๊อกบอกเราว่าแกชอบเพลงอีกฝั่ง เพลงนี้เป็นเพลงเชิงสัญลักษณ์ ไม่มีคำว่าฉัน เธอ แต่พูดถึงนก 2 ตัวที่เราสามารถตีความได้หลากหลายรูปแบบ เราเริ่มคุยกันมาตั้งแต่ปี 2561 คิดไอเดียกันเป็นปีๆ คุยกันหลากหลายประเด็นมากมีทั้งเรื่องการเมือง การค้ามนุษย์ ยาเสพติด เด็ก ครอบครัว คุยมาเรื่อยๆ จนมาจบที่ประเด็นที่เรื่องใกล้ตัวว่าเราห่างกันไปเรื่อยๆ เพราะอะไร เลยมาลงตัวที่การใช้โซเชียลมีเดีย”
ตัวอยู่ใกล้กันแต่ใจเหมือนอยู่อีกฝั่ง คือบิ๊กไอเดียแรกของหนังสั้นเรื่องนี้
“ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้แอนตี้การใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ได้แอนตี้การใช้เทคโนโลยี แต่แค่อยากจุดประกายคนดูขึ้นมาสักนิดนึงว่า ตอนนี้เราตกไปเป็นเครื่องมือของเครื่องมือพวกนี้อยู่หรือเปล่า เดิมที่เครื่องมือนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราใช้ติดต่อสื่อสารกัน แต่พอเราใช้ไปเรื่อยๆ เราเริ่มไปตกอยู่ในโลกของมัน เราเริ่มแคร์ยอดไลค์ ให้สังคมโซเชียลมีเดียยอมรับเรามากขึ้น จนบางทีเริ่มไม่ใช่ตัวเอง และบางครั้งเราอาจจะหลงลืมคนใกล้ตัว หนังเรื่องนี้อยากจุดประเด็นสักนิดให้คนกลับมามองว่า แท้จริงแล้วคนที่รักเราอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดนะ อาจไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกโซเชียล”
ความเห็นจากฝั่ง ผู้กำกับ ครรชิต สพโชคชัย กับการทำงานร่วมกับวง KLEAR
“อย่างแรกเลยคือตัวเพลงเป็นนามธรรม ที่เราตีความเข้ากับเรื่องไหนก็ได้ แล้วมันก็โดนผมมากๆ เพราะเราก็อาจจะเป็นนกใน 2 ตัวนั้นที่บินอยู่ เจอสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดระยะอายุของเรามา เพลงนี้มันทำให้ผมทบทวนชีวิตของตัวเองเยอะมากๆ ถ้าเราจะพูดเพลงนี้ให้เป็นประโยชน์กับคนรุ่นใหม่ ผมว่ามันทำให้เรากลับมามองตัวเองในเรื่องของความสัมพันธ์กับลูกด้วย จะว่าไป พอทำเสร็จ นี่คือเจอเนอร์ของลูกชายตัวเองด้วย ที่โลกของเขาก็อยู่ในโทรศัพท์ ผมรู้สึกว่าวงเคลียร์เป็นวงที่ให้ความสนใจกับความรู้สึกของคนในสังคม พวกเขาจริงจังมาก ขายบทผ่านยากมาก ทุกคนครีเอทีพมาก เป็นโครงสร้างนิยม คิดอะไรมาเป็นโครงสร้างหมด ทุกอย่างที่เสร็จออกมาเป็นหนังสั้นเรื่องนี้เป็นการทำงานที่จริงจังมาก”
สิ่งที่อยากฝากไปถึงฝั่งผู้ชม
วง KLEAR
“เราทั้ง 4 คนขอขืนยันว่าเราไม่ได้แอนตี้การใช้โซเชียลมีเดีย เรายังคงเล่นโซเชียลต่อไป เพราะเป็นช่องทางที่ดีที่ทำให้เราได้ติดต่อกับแฟนเพลงที่ให้กำลังใจพวกเรา เราจะรักษาตรงนี้ไว้ เพียงแต่ว่าเราจะถอยมันลงมาเป็นเพียงแค่เครื่องมือสื่อสาร เราจะไม่ให้มันมาเปลี่ยนตัวเราหรือมีอำนาจเหนือเรา เราจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อให้คนอื่นมาชอบเราในแบบที่เราไม่ได้เป็น สุดท้ายเราจะไม่ตัดสินว่าโซเชียลคือสิ่งร้าย การเสพโซเชียลหรือโทรศัพท์คือสิ่งร้าย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือสิ่งดีที่เกิดขึ้นมา แต่แค่อยากจะให้ฉุกคิดนิดนึงว่า “เราลืมคนใกล้ตัวหรือเปล่า” รู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่าหลังจากที่ดูหนังจบ หวังว่าหนังสั้นเรื่องแรกของเรา อีกฝั่ง จะช่วยดึงเรากลับจากอีกฝั่งที่เผลอตัว ปล่อยตัวเองให้ห่างจากคนที่เรารัก แล้วดึงให้เรากลับมาใกล้กัน”
ผู้กำกับ
“อยากให้อะไรกับคนดู คล้ายๆ กับทุกคน คืออยากให้เขาดูแล้วรู้สึกกลับไปทบทวนเวลาที่เราใช้กับความสัมพันธ์ครอบครัว กับโลกโซเชียล อยากให้ทุกคนเห็นคุณค่าในตัวเองโดยที่ไม่ต้องไปหวั่นไหว หรือแปลกแยก รู้สึกว่าตัวเองรูสเซอร์กว่าคนอื่นที่เห็นคนอื่นน่าชื่นชมมากกว่าเรา ทุกคนมีเวลาของตัวเอง เพราะผมคิดว่าคอนเทนต์มันเดินทางถึงตาเราเร็วขึ้น เราจะรู้สึกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น บ่อยขึ้น ถี่ขึ้น และเร็วขึ้นจะทำให้เราจะแข็งแรง ซึ่งอันนี้เป็นภูมิต้านทานสำคัญในชีวิต”
ติดตามชม “อีกฝั่ง” ภาพยนตร์สั้นเรื่องแรกของวง KLEAR ได้ตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค. เวลา 20.00 น. เป็นต้นไปทาง ทาง Youtube ช่อง Genierock
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ