“บ๊อบ” ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ หรือ “บ๊อบ” บดินทร์ คุณพ่อลูกดก เผยนาทีบีบหัวในหลังต้องสูญเสียลูกแฝดคนที่ 3 พร้อมเปิดตัวครอบครัวสุดอบอุ่นร่วมกับ“เฮี้ยง” ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ ภรรยาและ ลูกๆ 4 คน นำทีมโดย ณัชชา พร้อม พุฒ และ น้องเภา พร้อมภรรยา มาร่วมพูดคุยในรายการ “คุยแซ่บSHOW” ที่มี “พีเค” ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร และ “ธัญญ่า” ธัญญาเรศ เองตระกูล เป็นพิธีกร
น้องณัชชาไปทำรายการได้อย่างไร
บ๊อบ : ณัชชาเขาเมีธรรมชาติของเด็กจริงๆ แล้วคุณแม่เขาก็ชอบถ่ายคลิป แล้วคลิปเหล่านั้นพอมีคนเห็น มีผู้บริหารช่อง 3 เห็นก็เอาณัชชาไปออกรายการ นั่นคือต้นกำเนิดเลย เพราะเขาบอกว่าขอแบบนี้ไปอยู่บนทีวี
แล้วทำรายการให้ช่อง 3 อยู่กี่ปี
ณัชชา : ตอนนั้นรายการณัชชา ทำอยู่ 2 ปี พอเริ่มเข้าปีที่ 3 เราควรจะทำอะไรใหม่ๆ เพราะเราเริ่มโตแล้ว เริ่มไม่น่ารักเหมือนเดิมแล้ว
บ๊อบ : คือถ้าเป็นเด็กๆ พอทำรายการคนก็จะรู้สึกน่ารักจังเลย แต่พอโตขึ้นวัยความน่ารักก็จะค่อยๆ น้อยลง แต่ความเป็นมืออาชีพมันต้องมากกว่านั้น ก็เลยไปทำรายการ
ตอนนี้น้องณัชชาเป็นสาวแล้ว ลูกสาวเคยมาปรึกษาเรื่องหนุ่มๆ หรือยัง
บ๊อบ : อยากให้เร่งมีเพราะลูกสาวมีเพื่อนผู้หญิงน้อย มีเพื่อนผู้ชายเยอะกลับมาก็เรื่องชกต่อยกันด้วย มีแขนเขียวกลับมา ซึ่งเราคิดว่ายังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนนี้ก็ห่วงว่าจะเป็นสาวช้าเหลือเกิน คืออยากให้เขาเป็นสาว เขาควรจะดูแลตัวเอง ดูแลผิวพรรณ แต่เขาไม่ได้เป็นลูกผู้หญิ๊งผู้หญิง แต่แบบนี้ก็ดี ความปวดหัวก็น้อยหน่อย เรื่องผู้ชายผมไม่ห่วง เพราะเขามีสเปกผู้ชายในอุดมคติ
ผู้ชายในอุดมคติเราเป็นอย่างไร
ณัชชา : ก็ต้องเรียนใช้ได้ต้องไม่เรียนแย่กว่าเรา เล่นกีฬาเก่ง หน้าตาพอใช้ได้ นิสัยดี ส่วนเรื่องในวงการถ้าใครให้โอกาสณัชชา ณัชชาก็พร้อมที่จะลุยและทำให้เต็มที่ แต่ว่าตอนนี้ขอโฟกัสเรื่องเรียนก่อน เพราะเรื่องเรียนมันมีผลต่ออาชีพของณัชชาในอนาคตได้
ได้ข่าวว่าพอณัชชาอายุ 13 คุณบ๊อบจะปล่อยเลย
บ๊อบ: จริงๆ แล้ว มันเป็นข้อตกลงตั้งแต่เขาเป็นเด็กเพราะเราเคยไม่เข้าใจกัน แล้วณัชชาแกล้ง มีงอแง เชื่อฟังป๊าน้อยลง ผมเลยบอกเขาว่าถ้าเมื่อไหร่เข้า 13 ซึ่งเป็นช่วงวัยรุ่น พ่อจะทำหน้าที่เป็นพ่อที่เงียบที่สุดให้ลูก แต่ก่อนหน้านั้น พ่อบอกอะไรอยากให้ลูกฟัง เพราะหลังจากนั้นพ่อจะไม่แนะนำ จะไม่พูดจนกว่าลูกจะมีคำถามมา พ่อจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ ซึ่งวันเกิดเขาจะเป็น 13 กรกฎาคม ซึ่งอีกไม่กี่เดือน ถามว่าผมทำใจได้ไหม ก็ต้องทำใจตามที่เคยบอกลูกไว้
เฮี้ยง : เราก็ทำหน้าที่เป็นแม่ของดูแล คอยบอกเขาเหมือนเดิม แต่อันนั้นเป็นคอนเซปต์ของพ่อเขาที่อยากให้ลูกคิดเองตัดสินใจเองได้มากขึ้น
บ๊อบ : คอนเซ็ปต์นี้มีที่มาที่ไป คือเราคิดว่า การให้อบรมความรู้ บุคคลิกท่าทาง นิสัย ในช่วงวัยตั้งแต่เขารู้เรื่องตั้งแต่ 5-6 ขวบจนเขาอายุ 12 ผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เพียงพอแล้วคือถ้าเขาฟังเขาจะได้ แต่ถ้าเขาไม่ฟังเขาก็คงไม่ได้ แล้วถ้าไปพูดตอนอายุ 13 เขาก็จะยิ่งไม่ฟังเรา
พ่อพูดแบบนี้เราโอเคไหม
ณํชชา : เราก็รู้สึกว่า คุณพ่อเป็นคนที่ปล่อยให้เราทำอะไรอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าเราทำผิดพลาดท่านก็จะช่วยไกด์เราว่าเราควรจะทำแบบนี้ ควรปรับปรุงอย่างไร เราก็พยายามฟังท่านให้ได้มากที่สุด และนำคำที่ท่านพูดมาใช้ และนำมาปรับปรุงตัวเอง พอใกล้อายุ 13 แล้ว ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเป็นผู้ใหญ่ คือเรารู้สึกว่ามีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ เราก็ควรจะถามคุณพ่อแหละ คือปกติเราจะไม่ถาม เราจะรอให้คุณพ่อเป็นคนบอก แต่พอเรา 13 แล้ว เราก็รู้สึกว่าควรจะต้องถามคุณพ่อบ้างแล้ว
ถ้าเขาเดินมาถามเราจะตอบเขาไหม
บ๊อบ: ตอบครับ ผมยังมีลูกที่ต้องดูแลอยู่ ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดเราจะไม่เข้าไปแล้วบอกว่า ณัชชา ปะป๊าว่าอย่างนี้ไม่ถูก คือเราจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เราจะเป็นฝ่ายตั้งรับ จะเป็นผู้ปกครอง เป็นผู้ประคอง คือให้คำแนะนำคอยอยู่เคียงข้างแล้วเราจะลดบทบาทของผุ้ปกครอง และ ผู้เฝ้ามอง อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ที่ผมได้พัฒนามาจากองค์ความรู้ต่างๆ คือถ้าเราทำตัวเป็นผู้ปกครองลูกๆ ลูกก็จะไม่สามารถเป็นผู้นำได้ เราจะฝึกให้ลูกเป็นผู้ตามตลอดไม่ได้ เพราะเขาต้องเป็นผุ้นำตัวเองในอนาคต นำชีวิตตัวเองให้ได้
คุณเฮี้ยงคิดเหมือนกันไหม
เฮี้ยง : คิดเหมือนกัน เพราะเรามองว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญของเด็กยุคอนาคต ถ้าเราปล่อยมือเขาไม่ได้ เฮี้ยงเชื่อว่าถ้าวันหนึ่งเขาไม่มีเราเขาจะอยู่อย่างไร
มาคุยเรื่องแฝดกันบ้าง
บ๊อบ : คือตอนแรกที่เราทำอิกซี่ ก็ใส่ไข่ไป 2 ฟองเพราะเราคาดหวังว่าลูกเราจะเกิดปีมังกร ปรากฎว่า 2 ฟองแตกออกเป็นแฝดแท้อย่างละคู่ ทีนี้เป็นกระบวนการตามธรรมชาติ คือไปไม่รอดใน 12 สัปดาห์แรก ก็เหลือ 3 เราก็ประคองจนคุณเฮี้ยงคลอด แต่คลอดเร็วมาซึ่งเขาออกมาทีหลัง
ตอนที่เราเสียคนที่ 3เป็นอย่างไร
เฮี้ยง : มันเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดในชีวิตเพราะเด็ก 2 คนนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่รอดเขาจำเป็นจะต้องได้นมจากแม่เท่านั้นเพราะลำไส้เขายังไม่แข็งแรง ด้วยการที่เราคลอดก่อนกำหนดน้ำนมแทบจะไม่มา มายากมาก สองคือความเครียดที่เราเสียอีกคนไป พี่บ๊อบบอกคำเดียวว่าเราไม่มีทางได้เขากลับคืนมาดังนั้นเราจะต้องเดินหน้าเพื่อให้ลูก 2 คนนี้รอด ช่วงนั้นเราก็จะปั๋มนมไปร้องไห้ไป
ทำใจนานไหม
เฮี้ยง : 2 ปีแรกยังพูดถึงไม่ได้ พูดถึงแล้วเราจะร้องไห้เลยที่เราไม่เคยออกมาเล่าเรื่องนี้เพราะมันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเรามาตลอด ดังนั้นเราขอให้เราแข็งแรงที่จิตใจก่อนแล้วเราจะเล่า คือเล่าเมื่อไหร่เราก็ร้องไห้เมื่อนั้น ทุกครั้งไป ทุกวันนี้ก็โอเคแล้ว
แล้วคุณพ่อเหมือนแม่ไหม
บ๊อบ: คือผมอาจจะแตกต่างนิดหน่อย คือความเสียใจผมอาจจะไม่มาก เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราจมไปกับความรู้สึกนั้นแล้วใครจะเป็นคนที่ทำให้ทุกคนเดินไปข้างหน้าได้ ผมจึงต้องเป็นผุ้นำที่จะทำให้ทุกคนมองไปข้างหน้า ตอนผมเห็น 2 คนนี้ในตู้อบ หนึ่งโมเม้นตคือคนหนึ่งได้จากไปแล้ว ซึ่งผมก็อยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย ก็สวดมนต์เพื่อให้เขาไปในภพภูมิที่ดี ส่วนสองคนนี้ยังใส่เครื่องช่วยหายใจ พะงาบๆ บนตู้ออกซิเจน ใน ICU คือคนหนึ่งอยู่ 3 เดือน อีกคนหนึ่งอยู่ 5 เดือน
ตอนนั้นณัชชาเป็นอย่างไร
ณัชชา: คือตอนน้องเพิ่งเกิดหนูยังเด็กมาก เราไม่เข้าใจอะไรเลย พอโตขึ้นก็ได้ยินคุณแม่เล่าให้ฟัง เราก็รู้สึกว่าเรามีน้องที่เราไม่ได้มาเหรอ เราก็รู้สึกเสียใจ
แล้วพุฒกับพร้อมละ รู้สึกอย่างไรเพราะเราเกือบจะไม่รอดเลยนะตอนนั้น
พร้อม : ตอนนั้นคือจำอะไรไม่ได้เลยครับ
เห็นลูกในตู้อบแอบหวั่นไหมว่าเขาจะไม่รอด
เฮี้ยง : คือเฮี้ยงเจอสภาวะนี้ทุกวัน จนเฮี้ยงเข้าใจคำของหมออย่างคำว่าวันนี้ทรงๆ มันไม่ได้แปลว่าดี คำๆ นี้มันทำให้หัวใจเราลุ้นทุกวันว่าเราจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเขาไหม คือคุณหมอจะต้องจดอาการเป็นรายชั่วโมง แต่ถ้าดี คุณหมอจะพูดว่าวันนี้ดีมากนะครับคุณแม่
ทำไมถึงทำวิทยาศาสตร์
เฮี้ยง : คือตอนแรกเราทำธรรมชาติแล้วติดยากอาจจะเพราะเราทำงานเยอะ เราก็เลยคิดว่าลองดูแล้วกัน
รู้ไหมว่าสมัยก่อนเรามีพี่น้องเป็นแฝด
พุฒิ : ตอนแรกที่คลอดออกมาไม่รู้ แต่พอโตขึ้นมายายบอก ก็เลยทราบว่าเรามีพี่น้องอีกคนหนึ่งที่สูญเสียไปแล้ว
ค่าใช้จ่ายตอนที่ลูกอยู่โรงพยาบาลหลายเดือน เสียเงินเท่าไหร่
บ๊อบ : ก็ประมาณ 5-6 ล้านครับ ถามว่าเสียดายเงินไหม เสียดาย แต่พอลูกรอดออกมาเราก็โอเค
เขาว่าน้องเภาคือแฝดคนที่ 3 ที่กลับมาเกิดใหม่
เฮี้ยง : คือส่วนตัวเฮี้ยงก็ยังก้ำกึ่ง ตอนที่ตรวจพบว่าเฮี้ยงมีเขา คนแรกที่เฮี้ยงนึกถึงคือคุณยาย เนื่องจากคุณยายเป็นกำลังหลักในการเลี้ยงหลานๆ เฮี้ยงโทรหาท่าน ท่านก็กรี๊ดแล้ววางสายไป เราก็สงสัยว่าแม่เราเป็นอะไร ก็เลยโทรกลับไป ท่านก็ร้องไห้แล้วเล่าว่า ตอนที่ลูกคนที่ 3 ที่คลอดแล้วเสียไป ลูกก็ไปเข้าฝันคุณยายว่า คุณยายเลี้ยงหนูได้ไหมหนูจะกลับมา ในฝันคุณยายก็ตอบกลับไปว่า กลับมาเลยลูกยายจะเลี้ยงหนูให้ดีที่สุด เท่ากับพี่ๆ แล้วยายก็เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะท่านกลัวว่าคนอื่นจะหาว่าท่านบ้า คิดแต่เรื่องเดิมๆ ก็ไม่กล้าเล่าให้เราฟัง ผ่านไปปีครึ่งจนมีคนนี้เขาถึงมาเล่าให้เราฟังว่าเขาฝันแบบนี้ แล้วพอตอนเกิด ผิวจะคล้ำเหมือนคนที่เสียไป พิมพ์เดียวกันเลย ทั้งคิ้วทั้งหน้าตา และสิ่งที่คุณยายทำคือเปิดที่ข้อเท้า เพราะตอนที่ฌาปณกิจคุณยายแอบเอาผงธูปป้ายที่ข้อเท้า ก็เจอว่าที่ข้อเท้ามีรอยสีดำ แต่ตอนนี้จางแล้ว
ตอนที่มีน้องเภา ตั้งใจหรือมาเอง
บ๊อบ : ตอนแรกเราตั้งใจจะตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าลูกพลาด คือน้องเภานี่ ถ้าเอาตามหลักวิทยาศาสตร์ พอพร้อมพุฒิปลอดภัยแล้ว หมอขอเวลา 2 ปี ให้เขาปลอดภัยจริงๆ เพราะตอนที่เขาออกจากโรงพยาบาล เราเอาเครื่องออกซิเจนกลับบ้านไปด้วยนะ แล้วต้องให้ออกซิเจนตอนนอนตลอด เพราะว่าถ้าไม่นอนโดยให้ออกซิเจน ออกซิเจนเขาจะต่ำ และพอต่ำแล้วความเสี่ยงในการจากไปก็จะมี กลางคืนคุณยายจะเฝ้าตลอดพอกลางคืนออกซิเจนต่ำปุ๊บมันก็จะร้องเตือน เราก็ต้องไปเปิดออกซิเจนให้มากขึ้น ในช่วง 2 ปีเราก็ประคับประคอง จนคุณหมอบอกว่า มั่นใจแล้วไม่น่าจะมีความกังวลเรื่องของชีวิต ไปปิดอู่ได้นะ คือตอนแรกที่คุณหมอไม่ยอมให้ปิดอู่เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเรายังมีโอกาสที่จะมีลูกได้ ผมนัดหมอไปทำหมันเลยหลังจากนั้น 2 เดือน ซึ่งก่อนหน้านั้นคุณหมอบอกว่ามีคิวเร็วกว่านั้นเอาไหม เราก็เอานะ คือเขามีเวลา 2 อาทิตย์ที่จะกลับมาแล้วเขาก็กลับมาได้จริงๆ
แล้วใช้ออกซิเจนถึงกี่ขวบ
เฮี้ยง : คนนี้เกือบ 2 ขวบ อีกคนก็ประคองนิดหน่อย แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องสายตา
บ๊อบ : คือเด็กคลอดก่อนกำหนดก็จะมีปัญหาเรื่อง ปอด สายตา หัวใจ คือระบบต่างๆในร่างกายมันยังไม่พร้อม ที่จะออกมา สายตาเป็นปัญหาหลักเลย คือเขาต้องไปเลเซอร์สายตาตั้งแต่ตอนที่เขาคลอดออกมาได้สัปดาห์หนึ่ง คือก่อนหน้านี้เราก็มีปรึกษาหมอ เพื่อดูว่าจะมีทางรักษาให้เขา สายตาดีได้หรือเปล่า เพราะมีหมอบางท่านประเมินว่าเขาอาจจะตาบอดในอนาคต คือหมอที่เราปรึกษาเขาบอกเราว่าถ้าให้เขาผ่าตัดเขาไม่ผ่าเขาจะส่งไปที่อ.ของเขาที่อเมริกา เราก็โอเคว่าจะไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปคือจากอะไรหลายๆ อย่าง
จากลูก 4 คน ณิชาเลี้ยงง่ายสุด
บ๊อบ : คนสุดท้ายจะเลี้ยงง่ายที่สุดทางกายภาพ เพราะลูกคนแรกจะเลี่ยงยากที่สุดอยู่แล้ว เพราะว่าพ่อแม่เลี้ยงยากเราจะเยอะ
ลูกแต่ละคนต่างกันไหม
บ๊อบ : ผมบอกเลยว่าใครที่เคยจินตนาการว่าลูกแฝดจะต้องเหมือนกัน เพราะถูกเลี้ยงดูเหมือนๆ กัน ผมอยากบอกว่าลูกแฝดแตกต่างกันสิ้นเชิง ถ้าพร้อมจะเป็นเพอร์เฟคชั่นนิส คือถ้ามีกฎกติกาผิดกดไม่ได้ เวลาทำอะไรก็จะตั้งใจเพื่อให้งานดีที่สุด ซึ่งมันก็จะมีแรงกดดัน ถ้ามันออกมาไม่ได้อย่างใจเราก็มีหน้าที่แค่บอกกับเขาว่าโอเคลูก ทุกอย่างมันผิดพลาดได้ มันเกิดอะไรก็ได้ก็ให้ลูกเรียนรู้ว่าถ้าคาดหวังเยอะลูกก็จะผิดหวังได้ ซึ่งเขาก็จะโอเค ส่วนพุฒิจะชิลมาก เป็นอาร์ตติส เขาจะโนสนโนแคร์
เฮี้ยง : คือถ้าไม่ขอบเขาจะทำเฉยๆ ถ้าชอบก็จะใส่สุด เขาจะทำตามความรู้สึกตัวเองไม่หลอกตัวเอง
เห็นว่าคนเล็กแสบสุด ไหนลองเล่าวีรกรรมคนเล็กให้ฟังหน่อย
ณิชา : คือเมื่อเช้านี้เราขึ้นรถเราบอกว่าใครนั่งข้างหลังได้ดูทีวีเพราะเราขึ้นรถตู้ พร้อมขึ้นก่อนแต่เภาบอกว่าเภาขึ้นก่อน เพราะเภาจะเลือกหนัง แล้วก็จะมีเสียงน้องเภาทุกๆ 5 นาทีเลย
พร้อม : คือถ้าเภาอยากดูโปเกมอน เภาก็จะเปิดโปเกมอน แล้วบอกว่าถ้าใครไม่อยากดูก็ปิดตาไปเดี๋ยวเภาดูเอง
เภาได้นิสัยแบบนี้จากไหน
เภา : ไม่รู้จ้า ได้จากตัวเอง
คุณพ่อกับคุณแม่ใครดุกว่ากัน
พร้อม : จริงๆ เป็นปะป๊า แต่ปะป๊าไม่ค่อยอยู่ก็เลยเป็นคุณแม่
คลิปสัมภาษณ์ บ๊อบ และครอบครัว https://youtu.be/NQIqKWetWfA #คุยแซ่บShow #one31
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ