SINGHA LIGHT Live Series กลับมาอีกครั้งในปีที่ หลังจากได้นำศิลปินระดับโลกมากมายมาให้แฟนเพลงชาวไทยได้ดูกันไปเมื่อปีก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็น Phoenix (ฟีนิกซ์), Mew (มิว), Honne (ฮอน), Cigarettes After Sex (ซิกกาแรทอาฟเตอร์เซ็กส์โดยโชว์แรกจาก SINGHA LIGHT Live Series ในปีนี้เป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในกรุงเทพ  ของศิลปินมากความสามารถ Michael Milosh (ไมเคิล มิลอชหรือชื่อในวงการที่แฟนเพลงรู้จักกันดีว่า Rhye (รายได้ขนทัพนักดนตรีมากฝีมือมาร่วมบรรเลงเพลงฮิตจากทั้งสองอัลบั้มของเขาที่งาน Singha Light Live Series Vol 3.1 – RHYE (สิงห์ ไลท์ ไลฟ์ซีรีส์ วอลิวม์ 3.1 รายเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

ภายในงานเริ่มคึกคักตั้งแต่เวลา 20.15 ที่เริ่มเปิดให้ผู้ชมเข้ามาในฮอล โดยบริเวณหน้างานมี installation ให้ได้ถ่ายรูป มีสินค้าของศิลปินจำหน่าย และมีอาหารให้ได้เลือกซื้อตามอัธยาศัย ซึ่งต่อมา 20.30 ก็ได้เวลาที่วงแรกจะขึ้นแสดง Zweed n’ Roll (สวี้ดแอนด์โรลวงอัลเทอร์เนทิฟร็อกห้าชิ้นได้ปรากฏตัว แต่พวกเขาเลือกเล่นอะคูสติกเซ็ตที่มีสมาชิกเพียงสามคนที่ทำการแสดงในครั้งนี้ ได้แก่ พัดสุทธิภัทร สุทธิวาณิช (ร้องนำกีตาร์), ปูนณัฐพัชร์ สมิตนุกูลกิจ (กีตาร์และ ทันธรรม์ ดำรงรัตน์ (เพอร์คัสชัน) และหยิบเพลงดังของพวกเขามาบรรเลงในรูปแบบใหม่ได้อย่างน่าสนใจแต่แฝงด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินดังเช่นงานต้นฉบับ ทั้ง ‘​ธันวาคม‘​,’​Linger​’, ‘​Restless’​, ‘​Always’​ และ ‘​ช่วงเวลา ทำให้ผู้ชมได้ค้นพบอีกบรรยากาศหนึ่งที่มีความหนักหน่วงของดนตรีน้อยลง แต่ขับเน้นซึ่งอารมณ์เพลงมากขึ้น

ต่อมา เวลา 21.20 My Life As Ali Thomas (มายไลฟ์แอสอาลิโธมัส) วงอัลเทอร์เนทิฟโฟล์กประกอบไปด้วยสมาชิกสามคน ได้แก่ พายกัญญภัค วุธรา (ร้องนำกีตาร์), แร็กวิภาตเลิศปัญญา (กีตาร์และ ตาววรรณพงศ์ แจงบำรุง (กลอง) มาประจำที่สำหรับการแสดงลำดับต่อไป โดยพวกเขาได้บรรเลงแบบเต็มวงกับเพลงดังมากมาย ทั้ง ‘​Paper’​, ‘​Daughter and Son’, ‘Cordelia’ , ‘​Lover to Lover’, ‘Kiss’​, ‘​Elephant’​ และ ‘​Winter’s Love’ ที่สะกดให้ผู้ชมตกอยู่ในเสียงดนตรีที่หนักแน่น และอิ่มเอมไปกับบรรยากาศชวนฝันจากน้ำเสียงของนักร้องนำ

จากนั้นเวลา 22.35 จอฉายภาพเบื้องหลังเวทีปรากฏตัวอักษร RHYE เป็นสัญญาณบอกว่าในลำดับต่อไปจะถึงคิวการแสดงของวงหลักในคอนเสิร์ตครั้งนี้ หลังจากที่ศิลปินและนักดนตรีอยู่ประจำตำแหน่งของตัวเองแล้ว ไมค์ มิลอช ก็เริ่มขับร้องเพลงแรกอย่าง ‘​3 Days’​ สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ชมที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีอย่างแน่นขนัด ด้วยตัวเพลงที่ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่จนรู้สึกไม่คุ้นหู แต่กลับทำให้ผู้ชมต้องมนต์สะกดโดยพลัน ตามด้วยเพลงช้า ๆจากอัลบั้มชุดใหม่ ‘​Blood’ ที่ยิ่งสร้างความเคลิบเคลิ้มให้กับบรรยากาศภายในงาน ก่อนจะต่อกันที่เพลงที่ทำให้หลายคนรู้จักกับเขาอย่าง ‘​The Fall’​ จากอัลบั้มชุดแรก ‘​Woman’​แล้วก็เริ่มบรรเลงเพลงต่อไปอย่างไม่รอช้ากับ 

‘​Major Minor Love’​, ‘​Softly’​, ‘​Last Dance’ ซึ่งแต่ละเพลงถูกเพิ่มสีสันเข้ามาด้วยเครื่องสายอย่างไวโอลินและเชลโลที่เล่นแต่น้อย แต่กลับมีการขับเน้นได้ถูกที่ถูกทางสร้างความขลังให้กับเพลงนั้นมากยิ่งขึ้น หรือกับบางเพลงก็ใส่ความเป็นร็อกเข้าไปจนเกิดการบรรเลงที่หนักหน่วง เหนือการคาดเดาของผู้ชมอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ยังได้เล่นเพลง ‘​Waste’​, ‘​Phoenix’​, ‘​Taste’​ และ ‘​Open’ โดยในเพลงนี้ ไมค์ได้บอกให้ผู้ชมช่วยกันเงียบและทำให้ฮอลล์มีเสียงเบาที่สุด จนเราสามารถได้ยินเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นบรรเลงในเสียงที่เบากว่าปกติ แต่ทำให้ได้รับความรู้สึกใหม่ในการรับชมดนตรี คือเสน่ห์ของความเงียบที่ถูกแต่งแต้มด้วยตัวโน้ตแบบพอดิบพอดี ตามด้วย ‘​Stay Safe’, ‘​Count to Five’ก่อนจะจากไปด้วยสองเพลงสุดท้ายจากงานชุดเก่าและใหม่ตามลำดับ ‘​Hunger’​ และ 

‘​Song for You’​ สร้างความประทับใจแก่ผู้ชมที่เดินทางมาร่วมงานในคืนดังกล่าวเป็นจำนวนมากการแสดงสิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงชื่นชมในความสามารถของ Rhye และนักดนตรีทุกคน รวมถึงโปรดักชันแสง สี เสียง หรือวิชวลบนเวที ยิ่งช่วยขับเน้นความรู้สึกร่วมในการรับชมได้เป็นอย่างดี อนึ่ง ก่อนหน้านี้ Rhye เคยเดินทางมาเปิดการแสดงที่ประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี 2015 ในเทศกาลไลฟ์สไตล์วันเดอร์ฟรุ๊ต (WonderfruitFestival) ที่สยามคันทรีคลับ พัทยา ร่วมกับศิลปินชื่อดังระดับโลกหลายราย

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ