นี่ไม่ใช่แค่เสียงเรียกร้อง… นี่คือคำเตือน
ผลงานจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส สู่ภาพยนตร์ของแม็ตต์ รีฟส์ เรื่อง “The Batman” นำแสดงโดย โรเบิร์ต แพททินสัน ผู้มาถ่ายทอด 2 บทบาททั้งสายลับศาลเตี้ยแห่งก็อตแธม ซิตี้ และมหาเศรษฐีผู้หยิ่งผยอง บรูซ เวย์น
ในช่วง 2 ปีแห่งการย่องเดินตามท้องถนนในร่างแบทแมน (โรเบิร์ต แพททินสัน) เอาชนะความกลัวและเข้าไปพัวพันกับอาชญากรรมทั้งหลาย จนบรูซ เวย์นถลำตัวเข้าสู่เงามืดแห่งก็อตแธม ซิตี้ โดยมีสหายที่วางใจได้เพียงไม่กี่คนอย่างอัลเฟรด เพนนีเวิร์ธ (แอนดี้ เซอร์คิส), เจมส์ กอร์ดอน (เจฟฟรีย์ ไรท์) ท่ามกลางกลุ่มผู้ทุจริตที่เลื่องชื่อของเมือง ศาลเตี้ยผู้โดดเดี่ยวต้องออกโรงแก้แค้นเพียงลำพังท่ามกลางประชาชนที่อยู่เคียงข้างเขา
เมื่อฆาตกรได้เล็งเป้าหมายเป็นกลุ่มคนระดับแนวหน้าของก็อตแธม โดยมีการวางแผนร้ายอย่างต่อเนื่อง การสะกดรอยอย่างลับๆ ครั้งนี้ได้นำสายลับผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเข้าสู่การสืบสวนในโลกของเหล่าอันธพาล เขาต้อง
เผชิญหน้ากับตัวละครต่างๆ ทั้งเซลิน่า ไคล์/ฉายา แคทวูแมน (โซอี้ คราวิตซ์), ออสวัลด์ คอบเบิลพอต/ฉายา เดอะ เพนกวิน (โคลิน ฟาร์เรล), คาร์ไมน์ ฟัลโคน (จอห์น เทอร์เทอร์โร) และเอ็ดเวิร์ด แนชตัน/ฉายา เดอะ ริดเลอร์ (พอล ดาโน่) เมื่อหลักฐานเริ่มชัดเจนมากขึ้น และแผนการของพวกเหล่าร้ายปรากฏให้เห็นได้ชัด แบทแมนต้องสานสัมพันธ์ครั้งใหม่เพื่อเปิดโปงโฉมหน้าผู้กระทำผิด และนำความยุติธรรมมาสยบการใช้อำนาจในทางมิชอบและการทุจริตที่เกิดขึ้นกับก็อตแธม ซิตี้มาอย่างยาวนาน
นักแสดงคู่โรเบิร์ต แพททินสัน (“Tenet,” “The Lighthouse”) ผู้มารับบทตัวละครชื่อดังและโหดร้ายในก็อตแธม ได้แก่ โซอี้ คราวิตซ์ (“Big Little Lies,” “Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald”); พอล ดาโน่ (“Love & Mercy,” “12 Years a Slave”); เจฟฟรีย์ ไรท์ (“No Time to Die,” “Westworld”); จอห์น เทอร์เทอร์โร (ภาพยนตร์ชุด “Transformers”, “The Plot Against America”); ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (“The Magnificent Seven,” “Interrogation”) รับบททนายเขตก็อตแธม กอล โคลสัน; เจย์มี ลอว์สัน (“Farewell Amor”) รับบทผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี เบลลา รีอัล พร้อมด้วยแอนดี้ เซอร์คิส (ภาพยนตร์ชุด “Planet of the Apes”, “Black Panther”) และโคลิน ฟาร์เรล (“The Gentlemen,” “Fantastic Beasts and Where to Find Them”)
รีฟส์กำกับภาพยนตร์จากบทของรีฟส์และปีเตอร์ เครก สร้างอิงจากตัวละครของดีซี แบทแมนสร้างขึ้นโดยบ็อบ เคน และ บิล ฟินเกอร์ อำนวยการสร้างฯ โดยดีแลน คลาร์ก (ภาพยนตร์ชุด “Planet of the Apes”) และรีฟส์ อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยไมเคิล อี. อุสลาน, วัลเตอร์ ฮามาดะ, แชนทัล นอง โว และ ไซมอน เอ็มมานูเอล
ทีมงานเบื้องหลังของผู้กำกับฯ ได้แก่ ผู้กำกับภาพที่เคยเข้าชิงรางวัล Oscar เกร็ก ฟราเซอร์ (“Dune,” “Lion”) ผู้ออกแบบฉากในเรื่อง “Planet of the Apes” ของรีฟส์ เจมส์ ชินลันด์ และวิลเลียม ฮอย ผู้ลำดับภาพ ไทเลอร์ เนลสัน (“Rememory”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเจ้าของรางวัล Oscar แจ็คเกอลีน เดอร์แรน (“1917,” “Little Women,” “Anna Karenina”) ดนตรีโดยผู้ประพันธ์ดนตรีเจ้าของรางวัล Oscar ไมเคิล จิอาคคิโน (ผลงานปัจจุบัน “Spider-Man,” “Jurassic World” และ “Star Wars” films, “Up”)
วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์สนำเสนอภาพยนตร์จาก a 6th & Idaho/Dylan Clark Productions Production, a Matt Reeves Film เรื่อง “The Batman” ภาพยนตร์มีกำหนดเปิดตัวในอเมริกาเหนือ 4 มีนาคม 2022 และทั่วโลกเริ่ม 2 มีนาคม 2022 จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส
ภาพยนตร์เรื่อง “The Batman” ถูกจัดอยู่ในเรท PG-13 โดย MPA จากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง ยาเสพย์ติด ภาษาที่ไม่สุภาพ และเนื้อหาที่ควรได้รับคำแนะนำ
รายละเอียดการถ่ายทำ
ฉันอยู่ที่นี่เพื่อเปิดโปงความจริง…
ผู้กำกับฯ / ผู้ร่วมเขียนบทฯ แม็ตต์ รีฟส์ ในเรื่อง “The Batman” นำแสดงโดยโรเบิร์ต แพททินสัน ภาพยนตร์ที่มีทั้งความยิ่งใหญ่และตื่นเต้นพร้อมภาพที่มีความทันสมัย มีการสำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองชื่อดัง ก็อตแธมของรีฟส์มีความกลัวเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง เมื่อมีการนำไปใช้ถูกจังหวะจะเป็นการสร้างความเกลียดชังและกระตุ้นความกลัวขึ้นมา ในฐานะของนักสะกดรอยที่มีความอยากล้างแค้น และใช้ชีวิตอยู่กับหน้ากากอาจสร้างความน่ากลัวได้
ผู้คนหรือตามตำนานต่างเรียกขานเขาว่าเดอะ แบทแมน
ช่วงปีที่ผ่านมาบรูซ เวย์นได้อุทิศชีวิตผ่านช่วงเวลายามค่ำคืน และคอยสอดส่องอาชญากรรมที่เกิดขึ้นบนถนนก็อตแธม โดยจะเลือกต่อสู้กับเหล่าคนร้ายและมักเป็นฝ่ายชนะ… มักจะปรากฎตัวเมื่อมีสัญลักษณ์สาดส่องบนท้องฟ้าอันมืดสนิท แต่เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง อาชญากรรมที่เกิดขึ้นพบได้จากทั่วทุกแห่ง และอย่างในคืนวันฮาโลวีนที่ทุกคนแต่งตัวเป็นภูติผีปีศาจเพื่อออกมาไล่ฆ่า ไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นใคร ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังหน้ากาก.. หรือพวกเขาจะใช้กลเม็ดแบบใด
เมื่อเขาเดินทางสู่การผจญภัยในเรื่องแบทแมนของตัวเอง รีฟส์รู้สึกตื่นเต้นกับไอเดียการทำงานร่วมกับตัวละครชื่อดังที่มีอายุมานานกว่า 80 ปีในหนังสือการ์ตูนและหนังสือภาพต่างๆ เหมือนเป็นการพาเขากลับไปหาอดีตที่ผ่านมา “แบทแมนเริ่มจากการเป็นนักสืบ” รีฟส์กล่าว “ฉะนั้นการหาทางย้อนกลับไปสู่จุดนั้น มันมีอะไรมากกว่าความหวืหวาของตัวละคร DC Super Hero การที่เขาสร้างแรงบันดาลใจให้เราคือเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ผมมักหาสิ่งนั้นในงานทั่วไป สิ่งสำคัญสำหรับผมคือการหาเรื่องราวความเป็นมาของใครสักคน และในเรื่องแบทแมนก็มีสิ่งนั้น เราอยากทำให้เขาเป็นคนที่มีพลังวิเศษอย่างแท้จริง และสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เขาควรจะทำ”
เขาเขียนบทร่วมกับปีเตอร์ เครก โดยเริ่มจากการร่างบทเองและอาศัยบางส่วนจากโลกของดีซี โดยยังไม่เชื่อมโยงถึงอีกหลายสิ่งในเรื่องราว เริ่มจากตอนที่บรูซ เวย์นเป็นแบทแมนมาแล้วปีกว่า “ผมอยากเริ่มจากเรื่องราวที่มาที่ไป ตอนที่แบทแมนยังเป็นหนุ่ม ได้เห็นมุมที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่เก่งขึ้น” รีฟส์กล่าว “เราเลยมีแบทแมนในร่างนั้นและพาเขาไปไขปริศนาในแบบที่ไม่เหมือนเรื่องราวทั่วไป แต่เป็นการเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เล่นกับความอ่อนไหวของเขา”
รีฟส์เล่าถึงสิ่งสำคัญของตัวละครว่า “เขาเข้าถึงผู้คนได้เพราะชุท รถ อุปกรณ์ต่างๆ เขาดูเท่มาก แต่เขายังไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริง ลึกๆ แล้วเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีแรงผลักดัน เขาอยากทำให้โลกนี้ดีขึ้น แต่เรื่องจริงคือเขาไม่ได้ทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นทำให้ตัวละครเขาถึงได้ง่ายขึ้น”
ผู้สร้างภาพยนตร์ยังเพิ่มความเสี่ยงด้วยปริศนาลึกลับที่เขาเคยเจอมาก่อน Caped Crusader “เขาไขปริศนาจากสิ่งที่ฆาตกรต่อเนื่องได้ทิ้งเอาไว้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่สะเทือนใจมาก แต่ก็นำไปสู่บางเรื่องที่กระทบอารมณ์สุดๆ” ผู้กำกัฯ กล่าว
แพททินสันดีใจที่ได้มารับบทบาทคลาสสิค 2 บทนี้ เขาเล่าว่า “ผมไม่เคยสนใจเล่นหนังซูเปอร์ฮีโร่มาก่อนเลย มันไม่ได้อยู๋ในเส้นทางของผมเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะแบทแมนมีความพิเศษนอกเหนือจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ในแง่ศิลปะแล้วตัวละครนี้มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีจุดเด่นที่สำคัญหลายอย่าง และพอผมได้ยินว่าแม็ตต์จะมาร่วมงานในเรื่อง ผมยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมาก ตอนที่ผมได้คุยกับเขา เขาเอาสตอรี่บอร์ดช่วงแรกๆ มาให้ดู มันทำให้เห็นถึงกลิ่นอายบางอย่างที่ต่างออกไป มุมมองของเขามีความน่าตื่นเต้น และตัวตนของบรูซก็มีความแตกต่างออกไปเช่นกัน เขาดูโดดเดี่ยวและอ้างว้าง แถมยังเหมือนถูกบังคับให้ต้องทำแบบนี้ มันเห็นความสิ้นหวังจนทำให้เกิดการถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าสนุก”
ผู้อำนวยการสร้างฯ ดีแลน คลาร์ก พาร์ทเนอร์ผู้ร่วมงานกับรีฟส์มาอย่างยาวนาน และเคยผลิตผลงานแฟรนไชส์มาแล้วมากมายได้เล่าถึงคอนเซ็ปต์ภาพยนตร์ว่า “ผมสร้างเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี และการทำงานในหนังอย่างเรื่อง ‘The Batman’ ได้พาเราไปสู่อีกขั้น มันมีทั้งความตื่นเต้นและความกลัวเพราะอดีตของตัวละครต่างๆ รู้สึกเจียมตัวเมื่อรู้ว่าแบทแมนมีความเป็นมายาวนานกว่า 80 ปีแล้ว ความใส่ใจ ความพิถีพิถัน และการโฟกัสจะเป็นเรื่องใหญ่มาก เราอยากให้หนังเรื่องนี้และประสบการณ์ที่ถ่ายทอดสู่ผู้ชมและแฟนๆ ออกมาดีที่สุด เราเลยต้องถามตัวเองอย่างจริงจังว่า: พร้อมจะสร้างเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของแบทแมนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมั้ย? นี่คือตัวละครที่พวกเรารักตั้งแต่เด็ก และเราอยากนำเสนอผู้ชมในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
ระยะเวลา 80 ปีของเดอะ แบทแมนยังมีการสร้างตัวละครร้ายชื่อดังอีกมากมายในหนังสือการ์ตูน รวมถึงผู้ซื่อสัตย์อีกมากมายที่ปรากฎตามสถานที่ที่แฟนๆ รู้จักอย่างเมืองก็อตแธม “ก็อตแธมคือสถานที่น่ากลัว” รีฟส์กล่าว “และเป็นเมืองที่มีอะไรมากมายสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์”
ปีเตอร์ เครกเล่าว่าเขากับรีฟส์ “อยากให้ก็อตแธมดูมีชีวิตชีวา แต่ยังคงเหลือเรื่องราวความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นทั่วทุกแห่ง สิ่งหนึ่งที่น่าตื่นเต้นในการทำงานคือได้เห็นความสามารถด้านภาพของแม็ตต์ และยังมี (ผู้ออกแบบฉาก) เจมส์ ชินลุนด์อยู่ปลายสาย คอยส่งไอเดียต่างๆ และส่งภาพให้เราดู เราได้อะไรหลายอย่างจากการทำงานโดยมีภาพเหล่านั้นอยู่ตรงหน้าเรา: แบทแมนกำลังยืนอยู่ขอบตึกสูงระฟ้าที่สร้างไม่เสร็จ หรือจัตุรัสก็อตแธมที่มองมาจากด้านบน ซึ่งการสร้างภาพนั้นขึ้นมาเราก็อยากเข้าถึงมุมของความเกลียดชังมนุษย์ด้วย เรามองว่าก็อตแธมเหมือนการกระทำของบรูซ เวย์น: เป็นสถานที่อันตรายและเต็มไปด้วยปัญหา แต่ก็คุ้มค่าที่จะรักษาเอาไว้”
เมื่อสหายที่อยู่ร่วมกันมาตลอดชีวิตอย่างอัลเฟรด เพนนีเวิร์ธ รับบทโดยแอนดี้ เซอร์คิส และผู้หมวดเจมส์ กอร์ดอน รับบทโดยเจฟฟรีย์ ไรท์เข้ามาอยู่ในความคิด รีฟส์เห็นทั้งภาพด้านดีและร้ายของการสร้างกฎเกณฑ์และความประพฤติของเจ้าพนักงาน ร่วมถึงผู้ท้าชิงนายกเทศมนตรีก็อตแธม เบลล่า รีอัล รับบทโดยเจย์มี่ ลอว์สัน และอัยการเขตกิล โคลสัน รับบทโดยปีเตอร์ ซาร์สการ์ด
ผู้สร้างภาพยนตร์ยังมีภาพของคนจรจัดจำนวนมากและที่เขาตัดออกไปไม่ได้เลยคือโคลิน ฟาร์เรลที่รับบทอาชญากรหน้าเดิมชื่อดังของรีฟส์ อ๊อซ คอบเบิลพ็อท ที่รู้จักกันดีในฉายาเดอะ เพนกวิน และจอห์น เทอร์เทอร์โร ผู้รับบท
คาร์ไมน์ ฟัลโคน หัวหน้าผู้ทรงอิทธิพล และรีฟส์ยังเลือกตัวลละครที่แฟนๆ ชื่นชอบอย่างเซลีน่า ไคล์ ฉายาแคทวูแมน ที่อาจจะเลือกอยู่ฝ่ายที่ “ถูกต้อง” หรือไม่ก็ตาม แต่มักจะพบว่าตัวเองอยู่ข้างเดอะ แบทแมนบ่อยๆ ในเรื่อง
โซอี้ คราวิตซ์รับบทสาวขี้ขโมยที่มีทั้งความพราวเสน่ห์และความตั้งใจที่ซ่อนเอาไว้ เธอมีความกล้าหาญเมื่อต้องทำหน้าที่คู่หูหน้าใหม่ในการต่อสู้กับอาชญากรรม ซึ่งเป็นโอกาสที่รีฟส์มอบโปรเจ็กต์นี้ให้กับนักแสดงสาว
“แม็ตต์เป็นคนที่น่าทึ่งมาก เพราะเขาคอยให้ความช่วยเหลือและเขารู้ว่านักแสดงกำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับตัวละคร” เธอกล่าว “ทั้งวายร้ายและฮีโร่ต่างมีหลายแง่มุมอยู่ในตัว ความวิเศษของโลกใบนี้คือการได้เข้าไปสำรวจพื้นที่สีเทา มันไม่ได้มีแค่ขาวและดำหรือดีและร้าย มันอยู่ก้ำกึ่งและตัวละครก็มีความซับซ้อนมาก สำหรับฉันแล้วนั่นคือสิ่งที่น่าสนใจค่ะ”
สุดท้ายรีฟส์ยังมีตัวละครร้ายที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากที่สุดคนหนึ่งในก็อตแธม (และนั่นเป็นการสื่อถึงบางอย่าง) เดอะ ริดเลอร์ แต่นี่ไม่ใช่เดอะ ริดเลอร์ที่สวมชุดสีเขียวและมาพร้อมเครื่องหมายคำถาม ริดเลอร์ของรีฟส์รับบทโดยพอล ดาโน่ เป็นคนเจ้าอารมณ์และชอบสร้างคำถาม ซึ่งปริศนาต่างๆ ของเขาไม่ชวนขำเอาซะเลย
รีฟส์เล่าว่า “ผมอยากเน้นไปที่เรื่องราวของบ็อบ เคนและบิล ฟินเกอร์ในช่วงแรก แบทแมนจัดการกับอาชญากรรมต่างๆ และนั่นสื่อว่าก็อตแธมเป็นเมืองที่มีแต่ความเสื่อมโทรม ผมเลยเกิดไอเดียว่าจะให้ตัวละครที่เขามีส่วนร่วม คดีที่เขามีส่วนร่วม เกิดการตีความใหมของเดอะ ริดเลอร์ในฐานะของฆาตกรต่อเนื่องที่พุ่งเป้าไปที่ผู้นำสำคัญในสังคม และการปลุกชีพฆาตกรทั้งหลายขึ้นมาในฉากการก่ออาชญากรรมต่างๆ และมีการทิ้งปริศนาที่บ่งชี้ถึงเดอะ แบทแมน เดอะ ริดเลอร์กำลังเปิดเผยถึงบุคลิกต่างๆ ซึ่งผมรู้สึกว่าการเดินทางไขปริศนาของแบทแมนอาจเป็นการไข
อดีตของเขาเกี่ยวกับอดีตที่เสื่อมโทรมของก็อตแธมได้ และการที่ไม่ทิ้งอะไรหลงเหลือไว้ให้ มันยิ่งจี้จุดสำคัญของเขาโดยตรง
“นี่ไม่ใช่แบทแมนที่อยู่ในการควบคุม” เขาเน้นย้ำ “นี่คือแบทแมนที่ค่อนข้างเปราะบาง”
ฉันคือผู้ล้างแค้น
นักแสดงและตัวละคร
ในฉากเปิดตัวภาพยนตร์เป็นคืนฮาโลวีนที่ทุกคนแต่งตัวเข้ากับเทศกาล บรูซ เวย์นสอดส่องตามท้องถนนในแบบที่ไม่เป็นตัวเอง ไม่ได้สวมชุดค้างคาว แต่เหมือนคนที่อยู่ในร่างระหว่างบรูซกับค้างคาว ซึ่งรีฟส์อิงจากเงาของผู้เร่ร่อน สวมชุดสีดำมีแววตาที่ดูคล้ำ คนเร่ร่อนที่ดูเศร้าสร้อยและต้องแบกทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของตัวเอง นี่คือสิ่งที่บรูซมักจะเป็นในร่างของผู้สิ้นหวัง เขาเห็นแต่ความสิ้นหวังของเมืองและประชาชนจนหาเหตุผลที่นำไปสู่การโจมตี
หากภาพของคนเร่ร่อนดูจะเป็นปัญหา ก็ไม่ต่างกับเดอะ แบทแมนที่ทำอะไรหลายอย่าง บรูซวางตัวเป็นศาลเตี้ยที่ออกล้างแค้นให้ก็อตแธมเข้าสู่ปีที่ 2 ศาลเตี้ยที่ออกตระเวนช่วงค่ำคืนสร้างความหวาดกลัวให้พวกเหล่าร้าย เขามาจากตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในก็อตแธมและเกิดความสงสัยเรื่องครอบครัวของตัวเอง นักสืบที่เก่งที่สุดในโลกคนนี้มีทั้งความเก่งด้านจิตวิทยา มีร่างกายที่แข็งแกร่ง และมีความถนัดด้านเทคโนโลยี แต่มีเพียงอารมณ์เท่านั้นที่เป็นตัวผลักดันเขา
“มันมีความโกรธแค้นอยู่ในตัวเขา จนทำให้เขาจัดการยากขึ้น” แพททินสันอธิบาย
“ไอเดียอยู่ที่การเข้าไปสำรวจเรื่องการสวมหน้ากากและความหมายของมัน” รีฟส์กล่าว “เรามีคนที่คิดว่าเขาควบคุมตัวเองได้ แต่เขาพยายามค้นหาความหมายของชีวิตหลังเกิดเหตุการณ์ตายของคนในครอบครัว เมื่อเขาสวมหน้ากากและได้ทำเป้าหมายนี้ เขากลายเป็นเหมือนเงามืด ความซับซ้อนนั้นคือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบทแมน”
เครกเล่าว่า “ตอนที่แม็ตต์กับผมเจอกันที่ออฟฟิศของเขาปี 2018 เราคุยกันถึงช่วงกลางคืนเรื่องโปรเจ็กต์ แม็ตต์มีความรู้สึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ช่วงปีที่ 2 ของการทำตัวเป็นศาลเตี้ยของแบทแมน ช่วงเวลาที่เขายังไม่เป็นที่ยอมรับจากตำรวจก็อตแธม และยังไม่ถูกวางตัวให้เป็นฮีโร่ ผมรู้และหลงรักตัวละครนี้รวมถึงอีกหลายมุมของเขา ผมเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการทำงานครั้งนี้”
รีฟส์คัดเลือกแพททินสันมารับบทเพราะ “ผมพิถีพิถันเรื่องการถ่ายทอดหลากหลายมุมของตัวละคร ผมอยากให้เขาดูโดดเดี่ยว มีส่วนผสมระหว่างเคิร์ท โคเบนกับโฮเวิร์ด ฮิวส์ บรูซเก็บตัวเงียบจากการเป็นคนในตระกูลเวย์น และหากเราเห็นเขาก็เหมือนเราเห็นดารา แต่เขากลับออกตระเวนช่วงค่ำคืน และบทบาทของเขาคือการเป็นแบทแมน เขาเป็นคนคิดมากและนั่นคือความตื่นเต้นของผมเกี่ยวกับโรเบิร์ต แพททินสัน เพราะเขาถ่ายทอดบุคลิกนั้นออกมาได้อย่างชัดเจนมาก”
รีฟส์เริ่มคิดว่าจะให้แพททินสันมารับบทนี้ตอนที่เขาและปีเตอร์ เครก ผู้ร่วมเขียนบทฯ กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาบทฯ ผู้สร้างภาพยนตร์เล่าว่า “ผมเริ่มคิดว่าควรหานักแสดงที่อายุไล่เลี่ยกัน และผมก็เป็นแฟนผลงานของร็อบ เจมส์ เกรย์ เพื่อนของผมตั้งแต่ตอนเรียนที่โรงเรียนภาพยนตร์ได้ทำหนังเรื่อง ‘The Lost City of Z’ และผมจำได้ว่าเขาจะ
คัดเลือกตัวร็อบมาเล่นในเรื่อง เรามักจะแชร์การตัดต่อหนังของเราร่วมกัน และตอนที่เขาเอาหนังมาให้ดูผมลืมไปเลยว่าเขาคัดเลือกตัวร็อบมาเล่น ตอนที่ร็อบปรากฏตัวในหนัง เขามีหนวดเยอะมากและไม่เหมือนร็อบในเวอร์ชันที่เราเคยเห็นมาก่อน ผมรู้สึกว่า ‘โอ้ พระเจ้า นั่นร็อบ แพททินสัน เขาแปลงร่างได้เหมือนกิ้งก่าเลย
“จากนั้นผมเริ่มดูหนังของเขาอีกหลายเรือง และทุกครั้งเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน” รีฟส์เล่าต่อ “มีหนังเรื่องหนึ่งที่ทุกคนแนะนำว่าผมต้องดูคือเรื่อง ‘Good Time’ และในเรื่องนั้นผมเจอสิ่งที่มันเชื่อมโยงกับแบทแมน เพราะเราสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังของเขา เราเห็นแรงผลักดันของเขาและความอ่อนแอที่อยู่ในตัวของเขา ผมอยากได้แบทแมนเวอร์ชันนี้ที่ดูน่ากลัว แต่ก็อยากเห็นความอ่อนแอที่อยู่ในตัวของเขาด้วย เมื่อผมเห็นหลากหลายมุมของร็อบที่ถ่ายทอดบทบาท ผมรู้สึกว่าอาจจะเป็นร็อบก็ได้ และผมก็เริ่มเขียนบทโดยที่มีเขาอยู่ในจินตนาการ”
เวอร์ชันนี้จะพาแบทแมนย้อนกลับไปช่วงปีแรกๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งความรู้สึกของตัวละคร และบุคลิกที่ดูสับสนตามที่เขาได้อ่านบทช่วงแรก “ผมบอกไม่ได้เลยว่าทำไมบรูซ เวย์นถึงมีความรู้สึกที่ต่างออกไป” เขากล่าว “จากนั้นผมก็เข้าใจว่าเป็นเพราะในเรื่องนี้เขาไม่ใช่เพลย์บอย นี่เป็นจุดสำคัญในหนังแบทแมนเรื่องก่อนๆ มันเลยให้ความรู้สึกที่แปลกไปมาก บรูซมีความโดดเดี่ยวอ้างว้างและดูน่าหลงใหล ผมรู้ว่าแม็ตต์มองว่าเขาเหมือนคนไร้ค่า แต่มันมีอะไรอีกหลายอย่างในความรู้สึกนั้นด้วย บรูซไม่รู้ว่าเขาจะได้ช่วยเหลืออะไร เขาไม่รู้ว่าการเป็นแบทแมนจะได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่เขาแค่ถูกบังคับให้ทำมัน และรู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น มันมีความเศร้าอยู่ในตัวและค่อนข้างแตกต่างออกไป”
เมื่อเข้าไปถึงหัวใจสำคัญของตัวละคร แพททินสันพบกับคำถามว่า “ใครคือบรูซ เวย์น?” มันขัดกับคำถาม “ใครคือแบทแมน?” “บรูซเป็นตัวละครที่ชอบเก็บตัว และผมคิดว่าคอนเซ็ปต์ของแบทแมนเห็นได้ชัดมานานหลายปี
แล้ว” เขากล่าว “แต่ตอนนี้เขาไม่มีพวกเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวกกับเขามากนัก มีเพียงเกราะกันกระสุนไม่กี่ชั้น เมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงมีแบทโมไบล์และอุปกรณ์อีกไม่กี่ชิ้น แต่นั่นคือพื้นฐานสำคัญ เขาเลยทำอะไรพลาดไปหลายอย่างแต่เขายังไม่ยอมแพ้ ผมรู้สึกประทับใจที่เขาอยากสถาปนาช่วงค่ำคืนที่พ่อแม่ของเขาตายขึ้นมาใหม่”
คำนิยามของความวิกลจริต อาจมีไว้สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามปกป้องเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของอีโก้และบุคลิกส่วนตัว” นักแสดงกล่าวต่อ “หากเขาสวมชุดนั้น และเชื่อมั่นในชุดนั้น มันก็จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นอีกตัวละครหนึ่ง เขาไม่ใช่บรูซแล้ว เขาคือเดอะ แบทแมน ผมอยากให้เขามีความเป็นมนุษย์น้อยลงเวลาที่สวมชุดนั้น ผมอยากเข้าถึงการเคลื่อนไหวของเขา บรูซยังคงหาคำตอบว่าแบทแมนคือใครกันแน่ และนั่นทำให้เกิดแบทแมนอีกหลายเวอร์ชัน ซึ่งนับว่าเป็นความแปลกใหม่
“นั่นคือเหตุผลที่การต่อสู้กลายเป็นเรื่องส่วนตัวด้วยเช่นกัน” เขาเล่าต่อว่า “เหตุผลที่เขาสู้กับคนพวกนี้เพราะทุกครั้งที่เขาต่อสู้กับคนแปลกหน้า มันเหมือนพวกนั้นคือคนที่ทำเรื่องเลวร้ายไว้กับเขา บางครั้งเขานึกภาพว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือคนที่ฆ่าพ่อแม่เขา แต่สุดท้ายนั่นไม่ใช่วิธีที่จะเอาชนะได้ เพราะหากเราต่อสู้โดยใช้อารมณ์มากไป เราจะทำเรื่องผิดพลาดและเกิดการสูญเสียได้ แต่ผมคิดว่าเขาไม่สนใจเรื่องการมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เขาแค่อยากทำให้เจ็บปวด ลงโทษให้เกิดความยุติธรรมอย่างน่าสงสัย”
แพททินสันรู้สึกชื่นชมในผลงานที่รอบคอบของรีฟส์ ไม่ใช่แค่ผลงานบนหน้ากระดาษ แต่รวมถึงในฉากด้วย ในการควบคุมการทำงานของผู้กำกับฯ เขาเล่าให้ฟังว่า “แม็ตต์เป็นคนมีความอดทนมาก เขาเหมือนผู้ควบคุมวงออเคสตร้า สามารถควบคุมทั้งเรื่องที่เป็นภาพขนาดใหญ่ให้อยู่ในจินตนาการได้ตลอด เขาไม่เคยร่งรีบ เขาจะเดินหน้าต่อเมื่อ
รู้สึกว่าได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว เขาไม่กลัวการหลุดจากวงโคจรของแบทแมน และมักจะสร้างทางเลือกที่มีความโดดเด่นกล้าหาญ นั่นคือสิ่งที่น่าตื่นเต้นครับ”
ฉันผูกพันกับพวกเร่ร่อน…
เซลีน่า ไคล์เป็นตัวละครที่มีความลึกลับ เธอแทรกซึมตามจุดอ่อนของก็อตแธมเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ด้วยความมั่นใจและความมุ่งมั่นที่เธอมีทำให้เธอกลายเป็นแมวขโมยที่เก่ง แต่ต้องปกปิดอยู่ในบุคลิกที่มีความหลากหลายและเสื้อหนังขี่มอเตอร์ไซค์ เพื่อปกป้องตัวตนที่เธอรู้สึกสบายใจกับพวกเร่ร่อนในเมืองมากกว่าคนทั่วไป
โซอี้ คราวิตซ์ต้องมารับสองบทบาทที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลของไคล์ แน่นอนว่าเธอเป็นแฟนพันธุ์แท้แคทวูแมน แม้ว่าเธอจะถูกจับคู่กับแบทแมน แต่ช่วงแรกก็รู้สึกว่าขัดกับเขา และเหมือนเป็นอีกปริศนาหนึ่งที่บรูซต้องไข
“สิ่งสำคัญที่สุดคือเซลีน่าไม่วางตัวเป็นเหยื่อจากอดีตที่ผ่านมาของเธอ” คราวิตซ์กล่าว “ซึ่งนั่นมักสร้างปัญหาให้กับตัวละครหญิงอย่างเธอ และฉันคิดว่าเธอไม่ชอบอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่ ฉันคิดว่าเธอมีความเข้มแข็ง ต่อสู้จนอยู่รอดมาได้นาน และต้องสู้เพื่อคนที่เธอมองว่าอยู่ในตำแหน่งที่คล้ายกัน”
รีฟส์ยืนยันว่า “ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกับโซอี้ครั้งแรกว่าเธอมีความพิเศษ ผมรับรู้ความรู้สึกที่เธอเชื่อมโยงกับเซลีน่า ไคล์ได้ และผมรู้ว่าเธอเข้าถึตัวละครนี้ที่เธอจะถ่ายทอดออกมาได้ดี ผมคุยกับเธอเรื่องแรงบันดาลใจหลายอย่าง ตัวละครต่างๆ เช่น เอเวอลิน มัลเรย์ จาก ‘Chinatown’ และบรี แดเนียลส์จาก ‘Klute’ พยายามทำใหตัวละครนี้ดูเป็นผู้
อยู่รอด และเธอต้องต่อสู้ในแบบของตัวเองในก็อตแธม โซอี้เข้าถึงจุดนั้นได้จริงๆ และขณะเดียวกันก็เข้าถึงหนังสือการ์ตูนด้วย”
ในเรื่องที่ตัวละครต้องมีปฏิสัมพันธ์กับแบทแมนดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว การสืบสวนของเขาเป็นตัวกำหนดเส้นทางให้มาเจอกัน แต่คราวิตซ์เล่าว่ามันคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขาต่างต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกัน แต่อาจจะด้วยวิธีที่ต่างกัน
“ในบทจะเห็นเรื่องราวในอดีตอย่างชัดเจน” เธอกล่าว “สำหรับฉันแล้วมันเหมือนการนึกภาพสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นกับตอนนี้ เธอเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไร เธอมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และทำไมการต่อสู้เพื่อสิ่งที่เธอเชื่อมั่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ” ในการสำรวจเรื่องนั้นไปพร้อมไอเดียที่น่าสนใจเรื่องอื่น “ยังมีเรื่องที่ฉันนำเสนอกับแม็ตต์คือไอเดียของเรื่องแมวจรจัด ฉันคิดว่าเธอเหมือนคนเร่ร่อน และฉันคิดว่าเธอมองแบทแมนเหมือนคนเร่ร่อนเช่นกัน และนั่นคือจุดที่พวกเขาเชื่อมโยงถึงกันได้ เธออยากต่อสู้เพื่อคนที่ไม่มีใครปกป้อง และนั่นคือจุดที่แบทแมนกับเซลีน่าเชื่อมโยงถึงกัน”
สิ่งสำคัญสำหรับนักแสดงหญิงคือการถ่ายทอดเอกลักษณ์ของแคทวูแมนออกมาให้ได้ “ฉันไม่อยากแสดงออกมาให้ดูโดดเด่น เซ็กซี่ หรือเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้ ฉันอยากให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเธอ ไม่บ่อยนักที่เราจะพบตัวละครหญิงที่มีความซับซ้อนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในหนังระดับนี้” เธอกล่าว “ฉันรู้สึกอินกับเรื่องราวของเธอ อดีตของเธอ ความเจ็บปวด การต่อสู้ดิ้นรน ความแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวเธอ ฉันพบกับคนที่เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานหรือผู้หญิงที่ดูดีในชุดรัดรูป เธอไม่ต้องการใครปกป้อง และขณะเดียวกันตอนที่ฉันอ่านบท มันมีช่วงที่ฉันเอามือมาจับหัวใจตัวเองและเข้าใจตัวละครนี้ได้จริงๆ ฉันคิดว่าเรื่องราวของเธอก็มีความสำคัญต่อการถ่ายทอดออกมา”
และเธอสนุกกับการถ่ายทอดแคทวูแมนกับแบทแมนของรีฟส์ด้วย “โดยเฉพาะเกมจับหนูที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ดี” คราวิตซ์ยิ้ม “มันมีทั้งความรักและความเกลียด และมีเส้นแบ่งระหว่างความรักกับความเกลียดที่จางมาก มันมีความเข้าอกเข้าใจกัน แม้ว่าจะมองสิ่งต่างๆ ในมุมที่ต่างกัน และมาจากอดีตที่ต่างกันมากก็ตาม ทั้งคู่เชื่อมั่นในความยุติธรรม.. แม้ว่าความคิดเรื่องความยุติธรรมอาจจะต่างกันไปบ้าง พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อสิ่งที่เชื่อมั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังไม่กลัวที่จะตายเพื่อสิ่งที่เชื่อมั่นอีกด้วย และนั่นคือนิสัยที่หาได้ยากมาก”
รีฟส์ยกเครดิตให้นักแสดงของเขาที่ทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครดูสมจริง เขาเล่าว่า “มันมีความพิเศษและเรื่องน่าทึ่งในการแสดงของร็อบและโซอี้ตั้งแต่แรก พวกเขาเป็นเพื่อนกัน เคมีเข้ากันได้ดีมาก และเมื่อโคจรมาเจอกันบนหน้าจอก็ดูเป็นคู่ที่เหมาะสมเข้ากัน สำหรับผู้กำกับฯ นั่นคือเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก”
“แม็ตต์เป็นคนที่ให้ความร่วมมือดีมาก” คราวิตซ์กล่าว “เขาอยากให้นักแสดงเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน คอยรับฟังไอเดียต่างๆ ไม่ว่าเขาจะต้องนึกภาพนั้นนานขนาดไหน นั่นล่ะที่เหลือเชื่อมากค่ะ ความรักที่เขามีต่อเนื้อเรื่องและความตั้งใจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งต่างๆ คือแรงผลักดันของโปรเจ็กต์ และฉันคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้หนังเรื่องนี้ต่างจากแบทแมนเรื่องอื่นที่เราเคยดู เป็นเหตุผลที่ทำให้การทำงานมีความสุขสำหรับเขา”
ความสัมพันธ์ระหว่างแบทแมนกับแคทวูแมนทำให้แพททินสันต้องใช้หลักจิตวิทยาอย่างหนักหน่วง “แบทแมนมีความคิดต่อโลกในแบบขาวและดำอย่างชัดเจน” เขากล่าว “สำหรับเขาแล้วมันมีพวกคนร้ายกับพวกที่เป็นเหยื่อ ผมคิดว่าแคทวูแมนคือคนแรกที่เขาต้องรับมือด้วย เขาคิดว่าเธอเป็นพวกคนไม่ดี แต่เขาก็ชอบเธอ มันคือจุดเริ่มต้นของการ
มองโลกที่มีความยืดหยุ่น เขาเป็นคนที่ชอบการควบคุมได้ ทั้งตัวเขาและสิ่งที่อยูรอบตัว มันทำให้เขาดูเสียสติไปบ้างที่ไม่สามารถยอมรับความรู้สึกที่มีต่อเธอได้”
แพททินสันรู้ดีว่าคราวิตซ์เหมาะกับตัวละครที่มีความซับซ้อน “ผมรู้จักโซอี้มานานหลายปี และเธอเป็นคนที่ทำงานหนักอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่มีต่อบทบาทและภาพยนตร์ จากนาทีที่เราเห็นเธอในหนังเรื่องนี้จะรู้สึกว่า ‘ใช่เลย นั่นล่ะแคทวูแมน’”
“ร็อบเป็นนักแสดงที่เก่งค่ะ” คราวิตซ์กล่าวชม “เขาถ่ายทอดความโดดเด่น กล้าหาญ และอะไรที่ไม่ธรรมดาออกมาได้โดยไม่กลัวการคิดนอกกรอบ เขาถ่ายทอดความลึกลับ อารมณ์ ความทุกข์ และความโกรธแค้นออกมาได้อย่างถูกต้อง”
ดีแลน คลาร์กรู้สึกดีใจที่ตัวละครมีชีวิตขึ้นมาทั้งบนหน้ากระดาษและในฉาก เขาล่าว่า “เซลีน่า ไคล์มีความซื่อสัตย์ จริงใจ และดูถูกโลกใบนี้มากกว่าแบทแมน แต่พวกเขามีอะไรที่คล้ายกันมาก เวลาที่เธอถามเขา ‘ทำไมคุณต้องใส่ใจ? ทำไมถึงพยายามปกป้องเมืองนี้ทั้งที่ปกป้องอะไรไม่ได้?’ มันไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนไม่ดี แต่เธอเป็นคนตรงไปตรงมา และมองว่าโลกใบนี้มีความทารุณโหดร้าย แต่เธอเลือกที่จะเดินเส้นทางต่างออกไป เธอจะคอยช่วยเหลือผู้ที่ถูกทำร้ายและถูกลืม โดยที่เราไม่รู้เลยว่าเธอซื่อสัตย์ต่ออะไรกันแน่”
เราทุกคนมีแผลเป็นของตัวเองบรูซ
ในโลกของบรูซ เวย์น ความซื่อสัตย์และการไว้ใจมาจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แฟนจากหนังสือการ์ตูนทุกเล่มจะรู้ดีว่าตอนแรกเขามองเห็นสิ่งนั้นจากอัลเฟรด เพนนีเวิร์ธ คนสนิทของบรูซและเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ตัวตนของแบทแมน อัลเฟรดต่อสู้ดิ้นรนร่วมกับบรูซเพื่อช่วยเหลือพลเมือง นอกเหนือจากการปกป้องมรดกจากตระกูลเวย์น
สายสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างทั้งคู่จะเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง แพททินสันเน้นย้ำว่า “อัลเฟรดเหมือนกับคนทำหน้าที่แทนพ่อ เขาไม่เคยเลือกที่จะเป็นแบบนั้น แต่เพราะเขาทำให้บรูซไว้วางใจในตัวเขาได้ เขาเป็นคนที่มีความรู้สึกหลากหลายจึงค่อนข้างคุมอารมณ์ได้ยาก ผมชอบมิตรภาพนั้นในเวอร์ชันของทอม ฮาเกนและไมเคิล คอร์เลโอเน ในเรื่อง ‘The Godfather’ เขาดูมีความเป็นพ่อแต่ก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว ขณะเดียวกันเขาก็เป็นที่ปรึกษาไปด้วย”
แอนดี้ เซอร์คิสเคยร่วมงานกับรีฟส์มาแล้วหลายครั้งต้องมารับบทสำคัญนี้ เขาเล่าว่า “มันมีการตีความถึงอัลเฟรดหลายรูปแบบ แต่เราโฟกัสที่ความรู้สึกระหว่างอัลเฟรดกับบรูซ อัลเฟรดรู้สึกผิดที่รอดชีวิตมาได้ เพราะเขาเคยเป็นบอดี้การ์ดของโธมัสและมาร์ธา เวย์น ลึกๆ แล้วเขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อการตายของพวกเขา เขาเคยเป็นทหารที่น่าจะเคยร่วมภารกิจ MI5 หรือ MI6 และมาทำหน้าที่บอร์ดี้การ์ดให้บ้านตระกูลเวย์น เขาเป็นคนที่มีความเป็นระเบียบ พิถีพิถัน และที่สำคัญคือภูมิใจในตัวเองที่ทำภารกิจสำคัญต่างๆ ได้ เขารู้สึกเป็นผู้ชนะที่สามารถปกป้องชื่อเสียงของเจ้านายได้
“แต่มีความตึงเครียดหลายเรื่องระหว่างอัลเฟรดและบรูซที่ไม่ถูกถ่ายทอดอออกมา” เซอร์คิสกล่าว “และถ้าอัลเฟรดถูกคาดหวังว่าจะต้องทำหน้าที่แทนพ่อแม่ เขาไม่ได้ถูกสร้างมาแบบนั้น เขาไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกนั้นได้ มันเลยมีความเศร้าเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา และมีทางเดียวที่อัลเฟรดจะบรรเทาความรู้สึกนั้นได้ คือการสอนบรูซหลายเรื่องเกี่ยวกับกองทัพ เช่น การต่อสู้ การถอดรหัส อะไรทำนองนั้น”
ครั้งนี้จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของบรูซ เซอร์คิสเล่าว่า “ช่องว่างทางความรู้สึกระหว่างพวกเขามีมากขึ้น บรูซกายเป็นคนที่โดดเดี่ยวมาก และอัลเฟรดก็กังวลเกี่ยวกับบรูซมากขึ้นด้วย”
เซอร์คิสดีใจที่ได้ร่วมงานกับรีฟส์อีกครั้ง เขาเล่าว่า “แม็ตต์ไม่ได้เป็นแค่ผู้กำกับฯ ที่จินตนาการเก่ง แต่ยังถนัดเรื่องการใช้กล้องด้วย เขามีมุมมองด้านรายละเอียดและการแสดงที่ไม่ธรรมดา มันรู้สึกเหมือนเราได้สร้างหนังอย่างใกล้ชิดร่วมกับแม็ตต์ เพราะลึกๆ แล้วความรู้สึกของเนื้อเรื่องคือสิ่งที่ผลักดันแม็ตต์ในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ และเป็นตัวกำหนดทุกการตัดสินใจเกี่ยวกับภาพ ความรู้สึก การใช้มุมกล้อง ทุกอย่างก็เพื่อขยายความรู้สึกที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง”
อัลเฟรดอาจจะอยู่อย่างลับๆ แต่ศาลเตี้ยผู้โดดเดี่ยวก็ต้องการใครสักคนที่ดูไว้วางใจได้ และเราก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเขาพบสิ่งนั้นจากผู้หมวดเจมส์ กอร์ดอน หากสังเกตจากชื่อตำแหน่งแล้วจะรู้ว่านี่เป็นการทำงานช่วงแรกของกอร์ดอนเช่นกัน ในหนังเริ่มจากตอนที่แบทแมนยังไม่เป็นที่รู้จักของก็อตแธม จนมีข่าวลือขยายไปมากขึ้น กอร์ดอนเป็นหนึ่งในตำรวจที่เก่งของสถานีตำรวจเมืองก็อตแธมและยังอยู่ในช่วงไต่เต้า
ตำรวจที่มีประสบการณ์และเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ที่คอยรับใช้สถานีตำรวจก็อตแธม (และเมือง) ต้องการความมีศีลธรรมเป็นที่ตั้ง เขาเป็นเพียงตัวละครเดียวที่นับว่าแบทแมนเป็นพวกเดียวกัน อันที่จริงกอร์ดอนเป็นฝ่ายดึงเขาสู่การสืบสวนฆาตกรรมสยองของนายกเทศมนตรี โดยที่เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานและผู้มีอำนาจจากเบื้องบน จนมันกลายเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่องและมีรายชื่อของผู้มีอำนาจในเมืองก็อตแธมโผล่ออกมา
ซึ่งเขาไม่ต่างกับอัลเฟรด กอร์ดอนคือองค์ประกอบสำคัญในโลกของแบทแมน ผู้สร้างภาพยนตร์ขอความช่วยเหลือจากนักแสดงที่มีเสน่ห์ในตัวเพื่อมารับบทนี้: เจฟฟรีย์ ไรท์ นักแสดงรู้สึกตื่นเต้นและเล่าว่าตอนเป็นเด็กเขาคลั่งไคล้แบทแมนมาก รู้สึกหลงใหลกับเรื่องราวทั้งจากหนังสือการ์ตูนและทีวีซีรีส์
ไรท์ร่วมแชร์การเฝ้าสังเกตโดยเล่าว่า “สิ่งหนึ่งที่ทำให้แบทแมนต่างจากซูเปอร์ฮีโร่อื่นในหนังสือการ์ตูฯ คือเขาอยู่ในเมืองอันเป็นที่จดจำ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างนิวยอร์คและชิคาโก้ ทำให้เห็นภาพเขาในแบบที่เข้าถึงได้ง่าย เขาก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่พวกมนุษย์ต่างดาว และอยู่ในที่ๆ พวกเราหลายคนอาศัยอยู่ แม็ตต์ รีฟส์สร้างเขาขึ้นมาจากบทฯ ได้อย่างน่าสนใจ และมีความขยันมาก มีการลงลึกถึงรายละเอียดในตัวแบทแมน นั่นคือโลกที่อยู่รายล้อมเขาและถ่ายทอดให้ผู้ชมได้เห็น ตอนที่ผมอ่านบทฯ ผมพยายามเอาตัวเองเข้าไปในบทของกอร์ดอน และผมได้พบกับโลกที่เขาสร้างขึ้นมามีความสอดคล้องกับยุคสมัยของเรา มันเข้าถึงเรื่องราวทางสังคมและเรื่องของการเมืองที่ทำก็อตแธมเป็นเมืองที่ความโดดเด่นชัดเจน มีบางอย่างเกี่ยวกับตัวละครในเมืองที่ปรากฏอยู่ในบทแล้วสื่อกับผมได้จริงๆ”
ไรท์อธิบายกอร์ดอนในเวอร์ชันของเขาไว้ว่า “สะท้อนถึงจินตนาการของแม็ตต์ที่มีต่อก็อตแธมได้มาก แต่ก็สะท้อนถึงผลงานของโรเบิร์ต แพททินสันในบทแบทแมนด้วย กอร์ดอนและแบทแมนมีความเป็นทีมเดียวกันมาก และ
สำหรับผมส่วนใหญ่เกี่ยวกับการกำหนดโทน และการสร้างความร่วมมือกัน โดยมีโรเบิร์ตช่วยบรรยายว่ากอร์ดอนคือใคร และก็อธิบายให้เห็นว่าแบทแมนคือใครด้วย ขณะเดียวกันเราต่างถ่ายทอดอารมณ์และโทนของโลกที่แม็ตต์จินตนาการขึ้นมา และเป็นการสร้างผลงานขึ้นมาโดยดีไซน์เนอร์ ตากล้อง และคนงาน เมื่อเราก้าวข้าไปอยู่ในฉาก จะเห็นโทนเรื่องได้อย่างชัดเจนจากผลงานที่เราทุกคนสร้างขึ้นมา”
มิตรภาพระหว่างแบทแมนกับผู้หมวดกอร์ดอนอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา แพททินสันกล่าว “บรูซไม่ไว้ใจใครเลยสักคน เขารู้จักกอร์ดอนได้เพียงไม่นานนัก พวกเขาอยู่ในช่วงกำลังเรียนรู้กัน มันเป็นเรื่องที่ต่างไปสำหรับกอร์ดอน เพาะแบทแมนไม่ไว้ใจคนอื่นในสถานีตำรวจ เขาไว้ใจกอร์ดอนประมาณ 60% นอกจากนั้นแบทแมนยังได้ประโยชน์จากความฉลาดที่เขามีอีกด้วย แบทแมนไว้วางใจกอร์ดอนพอๆ กับที่กอร์ดอนไว้ใจในตัวเขา แบทแมนไม่มีเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง เขาเป็นเพียงคนที่สวมชุดนั้น พวกเขาเลยอยู่ในจุดที่เสมอภาคกันหลายอย่างและนั่นคือสิ่งที่น่าสนใจ”
ไรท์เล่าถึงตอนที่ได้เห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันเป็นครั้งแรก ในฉากอาชญากรรมช่วงแรกซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญต่อการถ่ายทอดโทนของหนังออกมา “ทุกคนเปลี่ยนมุมมองจากกอร์ดอนในอดีตเป็นตัวละครแปลกหน้าที่ทุกคนรู้จักแต่ไม่คุ้นเคย และยังไว้วางใจไม่ได้” เขากล่าว “เราจะเห็นว่าเป็นช่วงการพัฒนาความสัมพันธ์ ตอนที่พวกเขารู้ว่ากำลังมีคนร้ายทิ้งปริศนาเอาไว้ให้ มันช่วยผลักดันการสืบสวนให้ลึกมากขึ้นจนถึงประเด็นสำคัญของเรื่อง และพาเราย้อนกลับไปหาตัวตนที่สำคัญของแบทแมนและกอร์ดอน: นักสืบ”
แพททินสันประทับใจในการแสดงของไรท์ “เจฟฟรีย์มีความมั่นใจและมีอารมณ์ขัน ซึ่งต่างจากกอร์ดอนไปบ้าง” แพททินสันกล่าว “กอร์ดอนมักจะโดนกดขี่ เหมือนเขาต้องแบกน้ำหนักโลกทั้งใบเอาไว้บนบ่า ส่วนเจฟฟรีย์มีไฟอยู่
ในตัวเขา ทำให้ตัวละครมีความแตกต่าง กอร์ดอนไม่ได้มองว่าแบทแมนเป็นคนที่ทำอะไรไม่เคยพลาด เขาคิดว่าแบทแมนทำเรื่องผิดพลาดได้ มันมีการใช้พลังต่อสู้ระหว่างพวกเขาบ้างเหมือนกัน แต่เป็นในรูปแบบใหม่ เขาไม่ใช่แค่ผู้จับตามองแบทแมน แต่เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานกันมากกว่า”
กอร์ดอนเรียกแบทแมนไปยังสถานที่ที่เกิดฆาตกรรมขึ้น ไม่ใช่แค่ขอความช่วยเหือแต่ครั้งนี้มันมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาด้วย คนร้ายที่ก่อเหตุฆาตกรรมมาแล้วหลายครั้งต้องการเรียกร้องความสนใจจากค้างคาว โดยทิ้งปริศนาเอาไว้ให้เขาในแต่ละฉาก และในเมืองที่เต็มไปด้วยยาเสพย์ติดนี้กำลังทำลายตัวเอง พวกคนร้ายและตำรวจแทบจะเป็นพวกเดียวกัน การเมืองเป็นทั้งเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวและเรื่องที่น่าดูหมิ่น มีการสร้างความแตกต่างของตัวละคร… โดยผ่านปริศนา
ฆาตกรสวมหน้ากากลึกลับที่เรียกว่าเดอะ ริดเลอร์ กลายเป็นผู้ร้ายที่โหดเหี้ยมที่สุดสำหรับกอร์ดอนอย่างรวดเร็ว เขาได้คิดชุดปริศนาที่โหดเหี้ยมและพวกอุปกรณ์สร้างความทรมาณเพื่อล่อผู้ทรงพลังในก็อตแธม และเปิดเผยให้เห็นถึงความจริงที่โหดร้ายของเมือง
รีฟส์เล่าว่าในเรื่องยังพาไปสำรวจโลกคู่ขนานระหว่างบรูซ เวย์นกับวายร้ายทั้งหลายที่เขาไล่ล่าอีกด้วย “เดอะ ริดเลอร์เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่แสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจของเขา ซึ่งเป็นตัวละครที่สร้างมลทินให้กับก็อตแธม แบทแมนและเดอะ ริดเลอร์ได้แชร์มุมมองของเมืองนี้ รวมถึงเรื่องอาชญากรรมและการคอร์รัปชั่น แบทแมนเข้าใกล้มันมากขึ้น และพยายามต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องเสมอ”
สำหรับการถ่ายทอดแบทแมนที่เหมือนยืนอยู่ริมหน้าผา รีฟส์เล่าพร้อมกับแพททินสันว่า “ผมเริ่มคิดถึงพอลและเขียนบทขึ้นมาโดยมีเขาอยู่ในจินตนาการ แต่ผมไม่รู้ว่าเขาอยากมาเล่นบทนี้มั้ย เดอะ ริดเลอร์เป็นคนที่ฉลาด มีพลัง
ที่จะสร้างรูปแบบต่างๆ ขึ้นมา เขามีเป้าหมายที่โหดร้ายมาก โดยเปลี่ยนมันเป็นพวกตัวเลขและปริศนาต่างๆ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาควบคุมการทำตัวเป็นศาลเตี้ยของแบทแมนได้ โชคดีที่ตอนผมส่งบทฯ ให้พอล เขาสนใจบทมากและตื่นเต้นที่ตัวละครมีความเข้าถึงได้ เขาเข้าใจไอเดียฆาตกรจักรราศีที่สื่อถึงตัวฆาตกรต่อเนื่อง
“ขณะเดียวกันก็ยังมีเดอะ ริดเลอร์” รีฟส์เล่าต่อ “ตัวละครที่โดดเด่นในเนื้อเรื่อง เขาต้องดูมีความบ้าบิ่น ต้องมีการใช้ปริศนา คำพูดส่อเสียด การหยอกล้อ และเป็นผู้นำเมืองนี้ ส่วนแบทแมนพยายามไขข้อความนี้ เขาพยายามหาคำตอบว่าทำไมเมืองนี้ถึงมีความเสื่อมโทรม เขาแทบจะพูดได้ว่า ‘ฉันพบคำตอบแล้ว และจะแสดงให้เห็น แต่การจะทำแบบนั้นได้คงต้องผ่านความทรมาณและทำให้นายกลัวถึงตายได้’”
ดาโน่รู้สึกอินกับบทและเข้าถึงทั้งบุคลิกและความรู้สึกที่เจ็บปวดของตัวละครจนสัมผัสมันได้ “แม็ตต์กับผมคุยถึงผลลัพธ์จากความสะเทือนใจทั้ง 2 ด้าน มันทำให้ผมเข้าใจจริงๆ” นักแสดงกล่าว “บรูซ เวย์นต้องสูญเสียพ่อแม่และแบกรับความเจ็บปวดนี้โดยการทำสิ่งที่ดี และเรายังมีบาดแผลจากเอ็ดเวิร์ด แนชตัน ที่มีความเศร้าในแบบของตัวเองและต้องแบกรับความเจ็บปวด เขาคิดจะทำสิ่งที่ดีแต่ก็กลายเป็นเลือกทางผิด มันเป็นความรู้สึกที่ดีในตัวละครร้ายนี้ เราจะถ่ายทอดความแปลกใหม่ให้ตัวละครร้ายนี้ได้อย่างไร? ผมคิดว่าการสร้างเบื้องหลังที่เป็นแรงผลักดันของตัวละครแบบที่แม็ตต์เขียนขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกดีมาก”
ดาโน่มองว่าเอ็ดเวิร์ด แนชตันเป็นคนที่มีพรสวรรค์หลายด้าน แต่ไม่เคยมีจุดหยุดพัก “เขามีความฉลาดอยู่ในตัวแต่ไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นไปบนโลก เขาต้องทำหน้าที่ด้านการบัญชีนิติวิทยา เขาต้องจมอยู่กับตัวเอง วนเวียนอยู่กับความคิด อดีต และเมืองนี้ ซึ่งมันไม่เคยช่วยอะไรเขาได้เลย พวกปริศนาต่างๆ คือสิ่งที่มาจากพกวคำถามที่สร้างความ
ทรมาณให้เขามาทั้งชีวิต โดยเฉพาะ ‘ทำไมต้องเป็นฉัน?’ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ปลอบโยนเขาด้วย มันทำให้เอ็ดเวิร์ดได้มีความสุขมากขึ้นกับพวกปริศนา ตัวเลข การทายปัญหา เกม… มันเป็นทางเดียวที่เขาจะหนีจากสถานการณ์นี้ได้และรู้สึกดี”
ดาโน่จะอธิบายถึงความหลงใหลในแบทแมนของตัวละครนี้อย่างไร? “จะเห็นได้ว่าแบทแมนเป็นแรงบันดาลใจให้เขา มันมีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาเห็นสิ่งที่ตัวเองซ่อนไว้ หากไม่มีแบทแมนก็คงไม่มีเดอะ ริดเลอร์ มันมีความรู้สึกบางอย่างที่เชื่อมโยงถึงกัน โชคร้ายที่เอ็ดเวิร์ดรู้สึกว่าเขาไม่มีสายป่านยาวพอที่จะทำให้เขาเป็นที่ได้ยิน ได้เห็น และสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะเขาเห็นการทุจริตที่เกิดขึ้นกลางเมืองก็อตแธม เขาอยากเปิดโปงความจริงไม่ว่าจะต้องต่อสู้อย่างไรก็ตาม เหยื่อคนแรกของเขาคือสิ่งที่กำหนดทิศทางของเรื่อง”
ดาโน่ต่างจากไรท์ที่เป็นแฟนหนังสือการ์ตูนแบทแมนหลังจากที่ได้รับเลือกให้มาเล่นเรื่องนี้ “มันคือผลงานศิลปะที่เหลือเชื่ออย่างหนึ่ง ผมค่อนข้างอายที่ผมไม่เคยได้เข้าไปวนเวียนกับมันเหมือนตอนนี้” นักแสดงกล่าว “การอ่านหนังสือการ์ตูนเพื่อการแสดงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สนุกมาก เพราะคอนเซ็ปต์ของแม็ตต์มีความพิเศษ Batman: Year One คือเล่มโปรดของผมและเหมือนประตูสู่เรื่องราวทั้งหมด ถึงจะอ่านหนังสือการ์ตูนมาเยอะแล้ว แต่ผมก็ยังตื่นเต้นที่จะได้ถ่ายทอดความแปลกใหม่บางอย่างสู่ผู้ชม”
อีกตัวละครร้ายที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานของดีซีในเรื่อง “The Batman” คือเดอะ เพนกวิน หรือที่รู้จักในชื่ออ๊อซวอลด์หรืออ๊อซ ในเรื่องคือคอบเบิลพ็อด เขาเป็นเจ้าของคลับกลางคืนสุดหรูของก็อตแธม The Iceberg
Lounge จุดนัดพบโลกใต้ดินของเมือง ขโมยที่ทำตัวน่าสงสัยรายนี้เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องการพูดมากและการคุมอันธพาลตัวใหญ่ของเมือง คาร์ไมน์ ฟัลโคน ที่เขามีเป้าหมายมากกว่านั้น
โคลิน ฟาร์เรลต้องแปลงโฉมเพื่อมารับบทนี้ การทำงานร่วมกับรีฟส์ในตัวละลครที่เขารักเวอร์ชันใหม่เป็นเรื่องที่ตอบ “ตกลง” ได้ง่ายมาก ฟาร์เรลเล่าว่า “แม็ตต์เป็นผู้กำกับฯที่ไม่ธรรมดา เขาสร้างหนังที่ยิ่งใหญ่และสนุก สามารถถ่ายทอดอารมณ์สำคัญออกมาได้เสมอ ตอนที่ผมได้ยินว่าเขาจะสร้างแบทแมน และมีโอกาสจะได้รับบทเพนกวิน ผมสนใจมันมากเลย”
เขาติดเรื่องนี้งอมแงมตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่านบท “บทมีความพิเศษมาก ตัวละครแต่ละตัวมีความลึกซึ้งจนเหลือเชื่อ มีเรื่องราวในอดีตและรายละเอียดทั้งทางด้านอารมณ์และการแสดงออกที่แฝงอยู่ ผมคิดว่าแม็ตต์สร้างโลกใบนี้ให้ดูน่ากลัวได้อย่างเหลือเชื่อ ก็อตแธมในหนังเรื่องนี้ดูไร้กฎหมายมาก และเต็มไปด้วยการทุจริต แถมยังมีเรื่องโกงการเมืองและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเรื่องสกปรกที่เป็นรายละเอียดสำคัญของเรื่องนี้”
ฟาร์เรลยังได้แรงบันดาลใจจากภาพลักษณ์ของตัวละครที่เขาแสดงด้วย โดยเปิดเผยว่า “เงาของตัวละครครั้งนี้มีความตื่นเต้นและแตกต่างออกไปมาก ผมดูเหมือนเพนกวิน เหมือนพินโบว์ลิ่ง ไม่มีอะไรจะดูเตี้ยไปได้กว่านี้อีกแล้วต้องขอบคุณ (ผู้ออกแบบตกแต่งวัสดุเทียม) ไมค์ มาริโน่ ครั้งแรกที่เห็นหน้าเพนกวินผมถึงกับทึ่งไปเลย ผมทั้งรู้สึกตื่นเต้นและฮึกเหิม จินตนาการของผมโลดแล่นไปไกลมาก นั่นเป็นของขวัญสุดวิเศษจากพรสวรรค์ของไมค์ มาริโน่ที่มอบให้ผมในเรื่องนี้ ตอนที่ผมเห็นผลงานของไมค์ที่สร้างขึ้นมา ผลงานที่เขาสร้างจนเป็นรูปร่าง มันทำให้ผมเห็นคอบ
เบิลพ็อดหรือเพนกวินในจินตนาการของแม็ตต์ว่าจะเป็นแบบไหน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องแต่งหน้าอย่างเต็มรูปแบบ ผมรู้สึกชื่นชมในตัวไมค์ ทีมงานของเขา และแม็ตต์สำหรับการสร้างผลงานครั้งนี้”
ผู้กำกับได้ร่วมแบ่งปันแรงบันดาลใจของเขาที่มีต่อตัวละครร่วมกับฟาร์เรลตอนที่เขามารับบทนี้ “ความน่าสนใจสำหรับผมเกี่ยวกับเวอร์ชันนี้คือตัวละครที่เราเขียนขึ้นมายังไม่อยู่ในจุดที่โดเด่น” รีฟส์กล่าว “เขาอยู่ระหว่างการจะกลายเป็นคนเด่น แต่ตอนนี้กำลังเป็นอันธพาลแบบครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่สุด ผมได้คุยกับโคลินเรื่องไอเดียที่อาจจุดประกายให้เขาได้ แต่ยังไม่เห็นภาพที่เขาเป็นตัวละครนี้ ผมคิดถึงหนังแก๊งค์สเตอร์หลายเรื่อง เช่น ‘The Long Good Friday’ ที่มีบ็อบ ฮอสคินส์ และผมคิดว่า ‘โอ้ ฉันเห็นภาพนั้นในตัวอ๊อซ’ และผมยังคิดถึงจอห์น คาเซล, เฟรโด้ในเรื่อง ‘The Godfather’ นั่นคือไอเดียที่จะสร้างอ๊อซต่อมา ให้ดูเป็นคนที่มีความตลกบ้าง และมีการผสมผสานระหว่างคนที่ชอบเล่นอะไรสนุก แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ซ่อนอยู่คือหายนะ”
รีฟส์เล่าถึงครั้งแรกที่พบกับฟาร์เรลว่า “โคลินเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาเพราะเขากำลังแสดงหนังอีกเรื่อง และผมบอกว่า ‘คุณดูดีมาก คุณจะต้องแสดงบทนั้นออกมาดีแน่’ แต่นั่นไม่ใช่น้ำหนักสำหรับสุขภาพที่ดีเลย และเขาวางแผนจะลดน้ำหนัก แต่ผมรู้ว่าเราเคยร่วมงานกับไมค์ มาริโน่ เขาเป็นผู้ชำนาญด้านการแต่งหน้าและการใช้วัสดุเทียมได้อย่างน่าทึ่งโดยที่เรามีฮอสคินส์และคาเซลเป็นที่อ้างอิง”
การแปลงโฉมรูปร่างช่วยให้ฟาร์เรลเข้าถึงจุดเด่นของตัวละคร “อ๊อซสนใจเรื่องภาพลักษณ์ของเขา เขาจะดูเป็นอย่างไรบ้าง” ฟาร์เรลกล่าว “เขาคิดเรื่องรูปร่างท่าทางที่ดูเป็นคนพิการ รวมถึงจุดเด่นเรื่องขาขวา เขาต้องใช้ชีวิตด้วย
ความยากลำบาก ใบหน้าของเขามีบาดแผลที่เกิดขึ้นกับชีวิต มันเป็นความสนุกที่ได้ถ่ายทอดทุกรายละเอียดของเขาที่ผ่านมา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการเคลื่อนไหว การพูดแบบต่างๆ และท่าทางหลายแบบ”
ครั้งแรกที่เห็นภาพไฟนอลหลังจากที่ผ่านไป 4 ชั่วโมง ฟาร์เรลไม่มีปัญหากับการทำงานเลย แต่มันออกมาตรงกันข้ามด้วยซ้ำ “มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่าดีใจมากที่สุดเรื่องหนึ่ง จากประสบการณ์เล่นหนังของผมในรอบ 20 ปี” นักแสดงกล่าว “ผมพูดจริงๆ ว่ามันสนุกมาก ผมได้ลองเป็นตัวละครแบบสุดท้ายและลองใช้เสียงแบบนั้น ลูกชายคนเล็กของผมมาเยี่ยมตอนที่สวมชุดเต็มตัวในวันนั้น ปฏิกิริยาของเขาคือสิ่งที่พิเศษมาก”
สำหรับนักแสดงแล้วเสียงของเพนกวินเหมือนนักเลงช่วงวัยกลางคนที่ฟังไม่ลื่นหูของก็อตแธม เขาต้องหาวิธีการพูดแบบต่างๆ และทิ้งสำเนียงไอริชของเขาไป “ผมได้ศึกษาจากโค้ชด้านการพูดที่เก่ง ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ซึ่งเขาสอนผมจากในหลายมุม มันต้องเข้าถึงที่มาที่ไปของตัวละคร ตัวละครเกิดในยุคไหน เติบโตมาอย่างไร ลักษณะท่าทางที่เห็นบอกถึงการเติบโตขึ้นมาได้ พวกเขามีลักษณะท่าทางแบบนี้ได้อย่างไร และอะไรอีกหลายเรื่อง มันแทบจะเป็นการศึกษาเรื่องราวในอดีตของใครคนหนึ่งเลยครับ”
คราวิตซ์เป็นอีกคนที่ตกใจกับการแปลงโฉมของฟาร์เรล “ฉันทึ่งไปเลยค่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลย!” เธอกล่าว “แม็ตต์ รีฟส์บอกฉันว่า ‘คุณจะจำเขาไม่ได้หรอก’ และฉันตอบว่า ‘จำได้สิ’ จากนั้นโคลินเดินเข้ามาในฉากและฉันไม่อากเชื่อเลย โคลินถ่ายทอดตัวละครนั้นออกมาจากการเคลื่อนไหว การเดิน การพูด… ทุกอย่างไร้ที่ติมาก”
ฟาร์เรลชื่นชมในการสร้างเดอะ เพนกวินขึ้นมาใหม่ของแม็ตต์ รีฟส์ที่ไร้ขีดจำกัด “แม็ตต์มีความหลงใหลอย่างเหลือเชื่อ พลังและมุมมองของเขามีความชัดเจนมาก” เขากล่าว “ในฐานะของผู้สร้างภาพยนตร์และคนเล่าเรื่อง เขาสิง
อยู่ในตัวละครเหล่านี้มานาน 5 ปี ความใส่ใจในรายละเอียดไม่เป็นรอง และเขาสร้างหนังที่มีความพิเศษ เต็มไปด้วยพลังและความรู้สึกออกมาได้”
หากอ๊อซมองหาอำนาจอันยิ่งใหญ่มากขึ้น เขาอาจอยู่ในจุดที่ควบคุมโดยคาร์ไมน์ ฟัลโคน หัวหน้าแก๊งค์อาชญากรรมชื่อดังของก็อตแธม เขาควบคุม The Shoreline Lofts และชอบเก็บตัว คอยคุมอำนาจและควบคุมเมืองโดยที่ไม่ต้องก้าวออกจากประตู บทนี้แสดงโดยเทอร์เทอร์โรที่คอยสนับสนุนตัวละครต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเขา ฟัลโคนคือคนที่แทบจะไม่ต้องเหลียวตามองสิ่งใดเพื่อควบคุมทั้งเมืองนี้เอาไว้เลย
เขาเล่าว่ารีฟส์โน้มน้าวให้เขามารับบทนี้ “ผมแอบเลี่ยงการมารับบทนี้ ไม่ใช่เพราะเรื่องหนัง ผมมีความสนใจในหนัง แต่ผมไม่รู้ว่าอยากมารับบทแนวนี้หรือเปล่า จากนั้นผมมีไอเดียบางอย่าง แม็ตต์เป็นคนที่เปิดกว้างมาก ไอเดียหนึ่งคือผมคิดว่าทุกคนก็เหมือนสวมหน้ากากบางอย่างเอาไว้ ผมเลยคิดว่า ‘แล้วหน้ากากของผมล่ะ?’ จากนั้นผมอ่าน Year One ของแฟรงค์ มิลเลอร์ ตอนที่เราคุยกันอีกครั้งผมเอาแว่นตานี้ไปให้เขาดูและเขาก็ชอบมัน
“ผมไม่ค่อยได้รับบทคนร้ายมากนัก” เทอร์เทอร์โรกล่าว “ช่วงแรกในเส้นทางอาชีพ ผมรับบทคนร้ายมาบ้างแต่จากนั้นผมก็ไม่อยากเล่นอีกแล้ว แต่ด้วยภาพรวมทั้งหมดและผมชอบแบทแมน ลูกของผมก็ชอบแบทแมน ตอนเป็นเด็กผมชอบดูแบทแมนทางทีวีด้วย ผมชอบซอร์โร ผมชอบที่แทแมนไม่ได้มีพลังวิเศษ เขาเป็นคนที่มีความขัแย้งอยู่ในตัว และไอเดียที่ให้เขาอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขายังไม่ใช่แบทแมนเต็มตัว ผมคิดว่ามันดูน่าสนใจดีครับ”
เทอร์เทอร์โรเล่าว่า “ยิ่งผมได้คุยกับแม็ตต์ เขาก็ยิ่งเปิดใจพยายามลองทำสิ่งใหม่ในแบบที่ผมต้องการ นั่นคือสิ่งที่เราสัมผัสความเป็นตัวตนของเขาได้ บางครั้งเราอธิบายบางเรื่องที่ดูไม่เวิร์ค แต่มันนำไปสู่บางสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด มัน
เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากครับ แม็ตต์ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนักแสดง และผมก็สนุกที่ได้ร่วมงานกับเขา ผมเห็นได้เลยว่ามันไม่ใช่แค่งานที่ร่างผ่านๆ ซึ่งบางครั้งมันเกิดขึ้นกับหนังฟอร์มยักษ์ ในเรื่องนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดที่เยอะเกินกว่าจะนึกภาพได้ เพราะเขากำหนดโทนเรื่องขึ้นมา ฉากก็มีความน่าทึ่งมาก ผมสนุกมากที่ได้มาร่วมงาน มันเต็มไปด้วยพลังและความกระตือรือร้น เวลาที่เราพยายามทำอะไรที่ไม่ธรรมดา เขาจะให้ความสนใจขึ้นมาทันที และเวลาที่เจอคนแบบนั้นเราจะเซอร์ไพรส์กับพวกเขา มันเป็นเรื่องที่ดีมากครับ”
เขาต้องแสดงหลายฉากร่วมกับฟาร์เรลและจำได้ว่า “ผมจำโคลินไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมชอบโคลินมาก เขาเป็นคนน่ารักและผมคิดว่าเขาดูดี เขาแสดงออกมาได้ดีเยี่ยมจนน่าทึ่ง มองใกล้ๆ แทบดูไม่ออกเลยว่าเขาแต่งหน้าขึ้นมา เชื่อผมได้เลย”
ในช่วงเปิดตัวจะเห็นได้ชัดว่าเป็นช่วงเลือกตั้ง และมีการแข่งขันชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองก็อตแธมที่… เคยเข้มงวด เบลล่า รีอัลเป็นผู้ท้าชิงที่อายุน้อยที่สุด เธอใช้วิธีเข้าถึงคนธรรมดาเพื่อสนับสนุนเธอ เธอเตรียมฉีกกฎเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมในเมือง และไม่เกรงกลัวที่จะออกมาเรียกร้องเพื่อประชาชน เธอเชื่อว่าจะทำอะไรได้มากขึ้นไม่ต่างกับบรูซ เวย์น
เจย์มี่ ลอว์สันรับบทผู้ทิ้งที่มีความมั่นใจ เขามองว่าการจัดระบบอาชญากรรมในเมืองก็อตแธมคืองานที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก ลอว์สันมาร่วมงานในเรื่องโดยเล่าว่า “ฉันเป็นแฟนแบทแมนคนหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าการจะเรียกตัวเองว่าแฟนตัวยงได้เราต้องโตมาพร้อมกับหนังสือการ์ตูน ซึ่งฉันไม่ได้อ่านเยอะมากนัก แต่ฉันหลงใหลในตัวแบทแมน เขาคือหนึ่งใน
ซูเปอร์ฮีโร่ที่ฉันรักมากกว่าใคร เพราะเขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไร และนั่นทำให้รู้สึกว่าเข้าถึงเขาได้”
ลอว์สันเล่าถึงตอนที่เธอเซ็นต์สัญญาจะมาร่วมงานในเรื่อง “The Batman” ว่า “ฉันจำตอนอ่านบทได้ ฉันส่งข้อความไปหาเอเจนท์และบอกเขาว่ามันเจ๋งมาก ฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่สนุกสุดๆ อย่างแรกคือเรารู้ว่าอะไรก็ตามที่แม็ตต์ รีฟส์เป็นคนสร้างจะต้องเกิดปรากฎการณ์ ตอนที่อ่านบทของแม็ตต์ฉันใจลอยไปเลยค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังที่เต็มไปด้วยจุดพลิกผัน และฉันรักการที่ได้เห็นแบทแมนในร่างของนักสืบ”
และเธอยังรักตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมาด้วย “เบลล่าพยายามสร้างจุดเปลี่ยนในเมืองที่เธอเกิดและโตขึ้นมา เธอไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เธอเป็นเพียงคนธรรมดาที่เข้าใจจุดบอดที่ซ่อนอยู่ในเมือง เธอพร้อมให้ความช่วยเหลือมาก เธอรู้จักความเจ็บปวด ปัญหาต่างๆ ในแบบที่นักการเมืองคนอื่นไม่รู้ และเธอเลือกที่จะพยายามสั่นคลอนทุกสิ่ง พยายามเป็นปากเสียงให้กับผู้คน”
อีกตัวละครหนึ่งที่จะเป็นปากเสียงให้กับผู้คนในเมืองไม่ว่าเล็กหรือใหญ่คืออัยการเขต ซึ่งอัยการเขตก็อตแธมอย่างกิล โคลสันกลับดูจะหลงทิศทาง เพราะโคลสันกลับมองอีกมุมหนึ่งเมื่อเกิดเรื่องเกี่ยวกับหัวหน้าแก๊งค์อาชญากรรมครั้งใหญ่ของก็อตแธม ขณะเดียวกันก็สนุกสนานกับผลประโยชน์ในฐานะของผู้กุมกฎหมายสูงสุดของเมือง โดยเฉพาะในช่วงค่ำคืน
ปีเตอร์ ซาร์สการ์ดมารับบทตัวละครสำคัญที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งเซลีน่าและแบทแมน ในจุดที่อัยการเขตส่วนใหญ่ไม่ทำกันและไม่ควรที่จะเกิดขึ้น
ซาร์สการ์ดออกความเห็น “กิลเป็นทนายในก็อตแธม เขาเป็นทั้งคนรักครอบครัวและเป็นจอมทุจริต ผมคิดว่าส่วนใหญ่เขาต้องจัดการด้วยความวิตกกังวลอย่างสูง ซึ่งสำหรับผมแล้วดูเขาเป็นคนทำอะไรไม่ถูกต้องตามหลักการ ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่ทำลายเส้นทางที่เขามีส่วนร่วมด้วย แต่เขาก็หาทางออกอะไรไม่ได้เลย
“กิลรู้การวางแผนภายในที่เกิดขึ้นกับเมือง” เขากล่าว “อีกมุมหนึ่งเขาเข้าใจดีก่อนคนที่อยู่รอบตัวเขาด้วยซ้ำ มันเหมือนสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวตนของเขา”
คลาร์กกล่าว “สำหรับแม็ตต์ เรามักจะมองย้อนไปที่เรื่องสำคัญและการทำงานร่วมกับนักแสดงที่ทำให้เรารู้สึกได้บางอย่าง แม็ตต์เป็นผู้กำกับนักแสดงที่เก่ง และเราเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่โชคดีมากที่มีทีมนักแสดงอย่างร็อบ แพททินสัน, โซอี้ คราวิตซ์, พอล ดาโน่, เจฟฟรีย์ ไรท์, แอนดี้ เซอร์คิส, โคลิน ฟาร์เรล, จอห์น เทอร์เทอร์โร, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด และนักแสดงหน้าใหม่อย่างเจย์มี่ ลอว์สัน นักแสดงเหล่านี้คือแกนนำสำคัญของโปรเจ็กต์หนึ่งในชีวิตของพวกเขา และตอนนี้เราได้พวกเขามารวมตัวอยู่ด้วยกัน”
เอาเลย ผู้ล้างแค้น มาหาความวุ่นวายกัน…
การฝึกฝนการต่อสู้
รีฟส์ขอความช่วยเหลือจากผู้ควบคุมด้านการแสดงผาดโผนและผู้กำกับกองย่อย โรเบิร์ต อลอนโซ่ มาควบคุมทีมฝึกฝนนักแสดงในการต่อสู้หลายฉาก และการใช้ท่าทางสำหรับการแสดงในฉากแอ็คชั่นที่จะเกิดขึ้นอีกมากในเรื่อง “The Batman”
สิ่งที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งแต่ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบคือสไตล์การต่อสู้ของอลอนโซ่ที่เกิดขึ้นระหว่างเซลีน่า ไคล์และเดอะ แบทแมน เขาต้องกดเธอลงเพื่อเค้นข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยสืบสวนเรื่องฆาตกรต่อเนื่ง การต่อสู้แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ยากจะจัดการ และนี่เป็นการพบกันครั้งแรก ฉะนั้นในฉากจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด
อลอนโซ่เล่าว่า “ความยากอย่างหนึ่งเรื่องการออกแบบท่าทางฉากต่อสู้ คือการแน่ใจว่าวัตถุที่สองตัวละครใช้มีความสมบูรณ์ มันเป็นหนึ่งในการต่อสู้ที่ยากมากสำหรับผม เพราะช่วงนั้นฉันไม่มีนักแสดงหญิงผาดโผนที่มาแสดงแทน และฉันต้องรับมือกับพละกำลังของผู้ชาย โดยปกติเวลาที่ฉันออกแบบท่าทางก็จะรับบททั้งสองฝั่ง แต่ครั้งนี้ค่อนข้างต่างออกไปเพราะฉันต้องการท่าทางของผู้หญิง และฉันต้องปรับเปลี่ยนทุกการเคลื่อนไหวให้เห็นชัดเจน มันเลยเหมือนการต่อสู้ที่ใช้ร่างกายสื่อสารออกมา ซึ่งมันดูดีมากเพราะไม่ใช่แค่ฉันที่ไม่ชอบการต่อสู้ให้จบๆ ไป แต่แม็ตต์ รีฟส์กก็รู้สึกแบบเดียวกัน ไม่มีใครอยากถ่ายทอดฉากแอ็คชั่นแบบผ่านๆ มันต้องมีแรงผลักดันของตัวละครด้วย”
อลอนโซ่ออกแบบท่าทางโดยมาจากความเครียดของทั้งคู่จากบทช่วงแรก “เวลาที่เราพบใครสักคนเป็นครั้งแรก มันอาจมีทั้งการหว่านเสน่ห์หรือความสนุกได้แม้จะต่อสู้อยู่” เขากล่าว “เราอย่างแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์หรือมิตรภาพอาจพัฒนาขึ้นได้ แต่ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือต้องรู้สึกเหมือนแบทแมนไม่อยากต่อสู้สักเท่าไหร่ เขาพยายามรักษาระยะห่างและต้องแน่ใจว่าเขาไม่ได้ทำร้ายเธอ เพราะเขายังไม่แน่ใจนักว่าเธอมีส่วนร่วมกับเรื่องที่เกิดขึ้นในก็อตแธมอย่างไร”
แบทแมนอาจจะอย่างแอบย่องตามเซลีน่า ตแตต้องขอบคุณในการออกแบบของอลอนโซและท่าทางที่มั่นใจของคราวิตซ์ มันเห็นได้ชัดเจนว่าเธอมีการเคลื่อนไหวที่ดูมีพลังของตัวเธอเอง และเนื่องจากแพททินสันตัวใหญ่กว่าคราวิตซ์มาก อลอนโซ่ต้องมั่นใจว่านักแสดงในฉากดูน่าเชื่อถือ
“บางครั้งเวลาเราฝึกนักแสดง พวกเขาจะโฟกัสที่การเคลื่อนไหวจนลืมความตั้งใจ” อลอนโซ่กล่าว “ผมทำงานด้านการฝึกซ้อมการตอบสนอง ซึ่งจะเป็นการฝึกนักแสดงให้เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยการจำ เน้นที่การตอบสนองต่อกัน ผมเรียกมันว่าการสื่อสารผ่านร่างกาย มันเหมือนบทสนทนาที่เกิดขึ้นจรริง การเคลื่อนไหวแตละครั้งต้องสื่อถึงอะไรบางอย่างและพาให้ฉากนั้นก้าวไปข้างหน้า ระหว่างการถ่ายทำเรามีความท้าทายในสไตล์ของฉากที่แม็ตต์อยากจัดวางองค์ประกอบ จัดเฟรม จัดแสงไฟ เราจะเรียกความสนใจในฉากนั้นได้อย่างไรและโฟกัสตรงไหน สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความมุ่งมั่นของนักแสดงเอาไว้ และต้องเห็นทุกอย่างในฉากชัดเจนระหว่างช่วงนั้น ผมคิดว่าร็อบและโซอี้แสดงได้อย่างน่าทึ่งมาก”
แพททินสันใช้เวลาฝึกซ้อมนาน 7 สัปดาห์ เริ่มจากการฝึกซ้อมการต่อสู้ช่วงแรกของเรื่อง ซึ่งจะเกิดขึ้นในฉากชนชาลาก็อตแธมคืนวันฮาโลวีน แพททินสันยืนยันว่าเขารู้สึกตัวเองเตรียมตัวมาดีตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเล่าว่า “ร็อบมีสไตล์ที่โดดเด่น อย่างแรกคือต้องเรียนรู้การเคลื่อนไหวที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเราจะสร้างรูปแบบต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เราจะมีการผสมผสานรูปแบบต่างๆ โดยไม่ใช้การต่อสู้ที่ดูซับซ้อน จากนั้นเราฝึกแบบผสมผสานที่แตกต่างกันไปในหลายฉาก สุดท้ายจะรู้สึกว่าคล่องตัวและใกล้เคียงกับการต่อสู้จริงมากขึ้น เพราะเรากำลังดูคนที่ต่อสู้กันจริงๆ ไม่ใช่การเคลื่อนไหวตามที่จำได้”
“ร็อบ อลอนโซ่และทีมงานของเขาเป็นคนที่น่าทึ่งมาก” คราวิตซ์กล่าว เธอรู้จักอลอนโซ่มานานตั้งแต่ที่เขาเคยสอนเทควอนโดตอนเธออายุเพียง 7 ขวบ “ในเรื่องนี้เราจะไม่ทำอะไรที่ดูเกินจริง เช่น ฉันจะไม่สวมรองเท้าที่ดูเหมือนเดินไม่ได้ และหากฉันไม่สามารถยกใครขึ้นมาได้ ร็อบก็จะไม่ให้ตัวละครทำแบบนั้น เขาใส่ใจทุกอย่างที่ต้องอยู่บนความสมจริง และเกิดแรงผลักดันมาจากอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเป็นอะไรที่ดีมากเลยค่ะ”
นักแสดงหญิงยอมรับว่ามันไม่มีการเดินเล่นอย่างช้าๆ ในสวนกันเลย “ช่วงเดือนแรกของการฝึกซ้อมเต็มไปด้วยความเข้มข้น ฉันแทบจะเดินกะเผลกกลับบ้านเลยค่ะ!” เธอหัวเราะ “แต่มันก็ดีมากเลย ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขนาดนี้มาก่อน และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งด้วยค่ะ”
ข้างล่างนั่นใคร… กำลังซ่อนอะไรอยู่?
ชุดค้างคาว
ชุดค้างคาวเป็นชุดเกราะที่ปกป้องแบทแมน ผลิตขึ้นมาจากมือของเขาเอง บรูซ เวย์นได้ผสมผสานโครงสร้างทางเทคนิคและแผ่นกันกระสุนเพื่อให้เขาดูน่ากลัว รับมือกับพวกคนร้ายได้ดี สำหรับชุดค้างคาวที่สร้างขึ้นมานี้ได้สร้างความหวาดกลัวเหมือนอยู่ท่ามกลางเงาของเมืองก็อตแธม
รีฟส์มีความชื่นชอบด้านศิลปะในจินตนาการที่พิเศษมาก เมื่อเป็นเรื่องรายละเอียดที่สำคัญต่อการเก็บภาพในเรื่อง “ผมรู้สึกว่าหากบรูซจะสร้างชุดค้างคาวขึ้นมา โดยที่ชุดค้างคาวต้องมี 2 ชั้น ชั้นแรกเพื่อสร้างความหวาดกลัวและหวาดผวาให้พวกคนร้าย เพราะนั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกภาพลักษณ์แบบนี้ ในยามที่เขาออกจากเงามืด ส่วนอีกชั้นจะต้องป้องกันได้ดี และต้องเป็นเหมือนอุปกรณ์พิเศษ ผมรู้ว่าเวลาที่คุณมองใกล้ๆ อยากจะเห็นรอยต่อ อยากเห็นว่าเขาโดนทำร้ายที่หัวมาแล้วกี่ครั้ง และได้เห็นว่าชุดของเขามีร่องรอยตรงไหนบ้าง ผมอยากให้คุณสัมผัสได้ว่าบรูซนำทุกอย่างมารวมกันในถ้ำค้างคาว”
การสวมชุดที่มีความโดดเด่นแบบนี้ได้แปลงโฉมแพททินสันทันที เขายอมรับว่า “เราจะรู้สึกมีพลังอย่างเหลือเชื่อทันที จากนั้นจะรู้สึกว่าถึงแม้เราจะมีพลัง แต่เราก็ยังมีเหงื่อ ระหว่างที่พยายามนึกภาพการแสดงผ่านหน้ากาก เราจะนึกขึ้นได้ทันทีว่ามันยากกว่าบทบาททั่วไป และกลายเป็นความซับซ้อนเฉพาะตัวของมัน เราดูน่าเชื่อถือมาก
ภายใต้แสงไฟและผู้กำกับฯ เพราะเราสวมบทบาทใหม การแสดงใดก็ตามที่เคยเกิดขึ้นมันเป็นคนละเรื่องกันเลย เราต้องเรียนรู้ภาษาที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสุดท้ายเราทำได้แค่ขยับนิดหน่อย หลายครั้งผ้าคลุมยังช่วยอะไรได้มากกว่าการแสดงออกด้วยใบหน้าซะอีก”
“เราต้องการให้ชุดค้างคาวและแบทโมไบล์ดูเหมือนออกแบบมาจากคนเดียวคือแบทแมนเอง” คลาร์กกล่าว “ชุดจะมีลูกเล่นเหมือนชุดทหาร เป็นชุดที่มีจุดมุ่งหมาย ใช้งานได้จริง มีความโดดเด่น แบทแมนมีสัญลักษณ์ของตัวเองทั้งหมวกและผ้าคลุม เราออกแบบในแบบที่บรูซ เวย์น อายุ 30 ปีจะสร้างขึ้นมาได้”
ชุดค้างคาวออกแบบโดยหัวหน้าผู้ชำนาญด้านคอนเซ็ปต์ของชุดค้างคาว กลิน ดิลลอน และผู้ควบคุมด้านเสื้อผ้า เดฟ ครอสแมน ได้แรงบันดาใจจากชุดที่รองรับแรงกดดันของโซเวียต ผลิตด้วยมือและเห็นตะเข็บชัดเจน มีร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้ที่เห็นได้ชัด
แพททินสันเซอร์ไพรส์ในความสบายของชุด ขณะเดียวกันก็ปกป้องร่างกายเขาได้ด้วย ไม่ว่ามันจะดูดีขนาดไหน ความสบายคือสิ่งสำคัญต่อการออกแบบของดิลลอนและครอสแมน พวกเขาไม่อยากให้นักแสดงสวมชุดที่นั่งไม่ได้ ระหว่างเข้าฉาก หรือต้องอาศัยคน 5 คนพาเขาออกจากฉากเวลาที่ต้องการพัก
“ผมอยากแสดงทันทีเลย!” นักแสดงยอมรับ “เราสามารถกระโดดไปมาและชนสิ่งของได้ แต่มันก็ต้องเดินลากขาและมีน้ำตาบ้าง มันเลยไม่รู้สึกว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่สักเท่าไหร่ บนหมวกจะมีรอยกระสุนด้วย ตลอดทั้งเรื่องจะเห็นทุกร่องรอยบาดแผลที่เกิดขึ้น สำหรับผมมันเตือนให้เห็นถึงความผิดพลาดของแบทแมน”
สำหรับเรื่องประสิทธิภาพ ทุกส่วนของชุดจะต้องใช้งานได้จริง ตั้งแต่ถุงมือที่ต้องหยิบจับปืนและเหนี่ยวไกได้ สัญลักษณ์ค้างคาวกลายเป็นมีดที่พับเก็บได้ ชุดจะต่างจากของเก่าเพราะไม่มีช่วงไหล่ขนาดใหญ่และเน้นที่กล้ามเนื้ออันทรงพลัง แต่เป็นชุดที่ออกแบบให้ดูไม่โดดเด่นมากนัก เหมือนชุดสำหรับคนตัวผอม นักสู้ริมทางที่มีหุ่นกระชับ
ชุดส่วนของชุดจะมีจุดที่ “ตั้งใจทำให้เกิดรอย” ตั้งแต่หมวกที่ผลิตขึ้นจากยางและทำให้ดูเหมือนหนัง ซึ่งจะต้องสร้างร่องรอยให้เห็นชัดเจนด้วยมือ ไปจนถึงเข็มขัดอเนกประสงค์ซึ่งมีกระเป๋าเก็บของได้เหมือนของตำรวจ “รองเท้าบูทก็เช่นเดียวกัน” ดิลลอนกล่าว “มันไม่ใช่รองเท้าบูทของซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูหวือหวา แต่เป็นรองเท้าบูทของทหารออสเตรีย บรูซต้องสวมไว้เพื่อปกป้องหน้าแข้งของเขา”
พวกถุงมือของแบทแมนก็ได้แรงบันดาลใจจากที่ทราวิส บิคเคิล ตัวละครของโรเบิร์ต เดอ นีโรใช้ในเรื่อง “Taxi Driver” ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องมีเทคโนโลยีซ่อนอยู่ “มันให้ความรู้สึกเหมือนบรูซใช้อุปกรณ์ต่างๆ มาแล้ว” ดิลลอนกล่าว “เขาเลยมีการปรับแต่งพวกมีดพกหรือหลายส่วนได้ สนับแขนอิงมาจากการขว้างหอกของชาวญี่ปุ่นหรือจีนโบราณ แต่ในส่วนของแบทแมนมันคือฉมวก เขาจะยกแขนขึ้นมาปกป้องตัวเองได้”
สำหรับชุดตอนบินของแบทแมนที่ใช้ในฉากไล่ล่าสำคัญ ดิลลอนอิงจากความต้องการของรีฟส์ที่ดูเหมือนชุดมีปีก ซึ่งจะมีพื้นที่ระหว่างขาและด้านล่างแขน การออกแบบของดิลลอนต้องอาศัยผ้าชั้นในผ้าคลุมที่ทำให้แบทแมนสะบบัดแล้วเปิดชุดออกได้ “เขาต้องเอาแขนเข้าไปในนั้นได้ จากนั้นรูดซิปขึ้นและกระโดดออกจากตึกได้เลย” ดิลลอนกล่าว
ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ แดน เล็มมอน เล่าถึงชุดติดปีกว่า “ในหนังแบทแมนมักจะมีอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้เขาก้าวออกจากขอบตึกและร่อนลงได้อย่างปลอดภัย ในเรื่องนี้มันมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะเราพยายามสร้างให้สมจริงและ
ใช้งานได้ ถ้าผ้าคลุมของเขาขยับทื่อๆ มันจะดูไม่น่าเชื่อและขัดกับสิ่งที่เราพยายามสร้างในเรื่องนี้ ไอเดียของแม็ตต์คือผ้าคลุมและชุดของเขาต้องดูเหมือนปีกค้างคาว แม้ว่าชุดจริงจะไม่สามารถร่อนลงบนพื้นแข็งได้ แต่เพราะนี่คือแบทแมนและเขาเป็นวิศวกร เขามีความแกร่ง เขาได้พัฒนาชุดค้างคาวที่ทำให้เขาร่อนลงบนพื้นแข็งและเดินต่อไปได้”
ในส่วนฉากวิงสูทถ่ายทำที่ลิเวอร์พูล บนตึกชื่อดัง Liver Building และบางส่วนถ่ายทำที่ชิคาโก้ ใกล้กับ Chicago Board of Trade Building ในหนังสิ่งที่ผู้ชมจะเห็นคือภาพแบทแมนอยู่บนยอดตึกที่ออกแบบอย่างผสมผสาน สำหรับการสร้างภาพที่ดูซับซ้อนขึ้น ฉากที่เขากระโดดออกถ่ายทำที่ Leavesden นักแสดงผาดโผนจะสวมชุดค้างคาวมีปีกแสดงกับลวดสลิง ซึ่งจะถูกยกตัวขึ้นกลางอากาศได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นโดรนจะเก็บภาพฟุตเทจของถนนในชิคาโก้ที่ทีมงานถ่ายทำก่อนหน้านั้น และปรับสปีดใหม่ทำให้ดูเหมือนแบทแมนกำลังบินผ่านเมือง
“ขณะเดียวกันเรามีการใช้ LED เข้ามาช่วยตอนใช้ชุดเวลาเหาะด้วย และเราต้องลอยตัวกลางอากาศเพื่อให้ชุดดูมีการเคลื่อนไหว” เล็มมอนอธิบาย “เราใช้หลอด LED เพื่อสามารถสูบลมเข้าไปสร้างเอ็ฟเฟ็กต์ได้ เราต้องสร้างท่อลมออกจากแผง LED ที่เราให้แบทแมนบินผ่านไป และเราใช้วิธีเดียวกันนี้กับร็อบ แพททินสัน แม็ต์อยากให้ดูสมจริง พอจบฉากแล้วเราจะพูดได้ว่า ‘โอ้พระเจ้า ร็อบ แพททินสันร่อนลงบนถนนก็อตแธมด้วยชุดค้างคาวและลงมาบนพื้น!’”
ไม่ว่าการแสดงในฉากหรือเอ็ฟเฟ็กต์ที่ใช้กับนักแสดงจะเป็นอย่างไร ชุดค้างคาวนั้นทำให้แพททินสันมีพลังในการรับบทแบทแมนอย่างเต็มที่ “พอเราสวมชุดนั้นเป็นครั้งแรก จะสัมผัสได้ถึงพลังที่มากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ” เขากล่าว “ตัวละครที่มีชื่อเสียงนี้มีเรื่องราวมากมาย และมีหลายคนที่ผูกพันกับตัวละครนี้อย่างลึกซึ้งด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป คุณจะสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ตอนที่สวมชุดนั้น จะรู้สึกถึงภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ และเข้าถึงความรู้สึกของบรูซที่เป็น
แบทแมน ความรับผิดชอบที่มีต่อผู้คนมันยิ่งใหญ่มาก ซึ่งบรูซรู้สึกแบบเดียวกันต่อก็อตแธม มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากครับ”
การออกแบบเครื่องแต่งกาย
ผู้ร่วมงานคนสำคัญของผู้สร้างภาพยนตร์ฯ “The Batman” คือผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แจ็คเกอลีน เดอร์แรน ที่พร้อมช่วยสร้างผลงานที่ดูสมจริงให้รีฟส์อย่างทันที “ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือจินตนาการของแม็ตต์ รีฟส์ที่มีต่อเรื่องค่ะ” เธอกล่าว “เขาไม่อยากให้หนังดูเป็นแนวเรโทร มันมีเทคโนโลยีทันสมัยและอยู่ในโลกปัจจุบัน แต่ที่นั่นคือก็อตแธม สำหรับฉันแล้วคือการหาความสมดุลระหว่างไอเดียที่ใช้อ้างอิงและการทำให้มันดูร่วมสมัย การ์ตูนที่ฉันใช้อ้างอิงมากที่สุดคือ Batman: Year One มันคือส่วนหนึ่งในการช่วยผลิตชุดต่างๆ ค่ะ”
ระหว่างการออกแบบ เดอร์แรนพบว่าการร่วมงานกับรีฟส์เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ดีมาก “แม็ตต์มีไอเดียที่ชุดเจนว่าเขาอยากให้หนังมีภาพลักษณ์แบบไหน ตั้งแต่แรกเราจะเริ่มสร้างความแปลกใหม่ให้ไอเดียเหล่านั้น เป้าหมายและความหวังของฉันคือการสร้างแต่ละตัวละครให้ดูมีความแตกต่าง แต่ทุกคนต้องมีภาพรวมในรูปแบบเดียวกัน”
เดอร์แรนสรุปไอเดียการออกแบบของเธอเมื่อนักแสดงลงตัวแล้ว “พอรู้ว่าใครจะมารับบทตัวละครไหน มันจะมีผลต่อเสื้อผ้าที่จะออกแบบทันที” เธอกล่าว “คอนเซ็ปต์ช่วงแรกจะต่างออกไปตรงที่เราไม่เห็นรูปร่างของคนที่จะมารับบทนั้น”
สำหรับตัวละครสำคัญของ DC แน่นอนว่าจะต้องมีความคาดหวังเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ทำให้เกิดความท้าทายในการออกแบบอย่างมาก เดอร์แรนอธิบายว่า “ตัวอย่างเช่นเดอะ เพนกวิน เราไม่รู้ว่าจะเป็นคนตัวใหญ่หรือเล็ก นั่นคือสิ่งที่เราจะกำหนดไม่ได้เลย เพราะเราต้องสร้างคอนเซ็ปต์ตัวละครร่วมกับนักแสดงและบุคลิกท่าทางของพวกเขา”
เมื่อการคัดเลือกนักแสดงลงตัวแล้ว เดอร์แรนและทีมงานของเธอจะร่วมงานกันอย่างใกล้ชิด ในส่วนของโคลิน ฟาร์เรลจะต้องร่วมงานกับทีมเมคอัพและแต่งหน้าเทียมด้วย “เดอะ เพนกวินมีการปรับเปลี่ยนที่น่าสนใจค่ะ” เธอจำได้ “เมื่อโคลินถูกคัดเลือกให้มารับบท เรามีไอเดียเรื่องการใช้วัสดุเทียมบนร่างกายทันที ซึ่งมีการผลิตที่สหรัฐฯ เราได้แรงบันดาลใจจากพกอันธพาลยุค 1940 และ 1980 จนลงเอยที่การผสมผสานกันทั้งสองยุค มีเสน่ห์แบบยุค 40 ใช้เสื้อผ้ายุค 80 และมีชุดหนังสไตล์ยุค 80 เราผลิตทุกอย่างยกเว้นรองเท้า และโคลินก็ต้องตกแต่งอะไรหลายอย่างด้วย ส่วนแรงบันดาลใจเดียวที่ได้จากหนังสือการ์ตูนคือเรื่องสีม่วง”
ผู้ออกแบบการแต่งหน้าเทียม ไมค์ มาริโน่ มารับหน้าที่แต่งหน้าเทียมให้เดอะ เพนกวิน “แม็ตต์ รีฟส์อยากได้อะไรที่ดูน่าสงสารสำหรับเดอะ เพนกวิน” เขากล่าว “และเขาอิงจากเฟรโด้ในเรื่อง ‘The Godfather’ เดอะ เพนกวินก็เหมือนตัวละครอื่น เพียงแค่ช่วงแรกเขาไม่ค่อยมีโอกาสเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอะไรมากนัก ผมได้แรงบันดาลใจจากพวกอันธพาลรุ่นเก่าและหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ จนสุดท้ายผมแกะแบบคิ้วของเฟรโด้มาติดบนโคลินให้ดูใกล้เคียงมากที่สุด หลังจากนั้นเขาก็ดูเป็นตัวละครมาเฟียที่ดูน่ากลัว มีผมหงอก น้ำหนักเยอะ และดูไม่มั่นใจด้วย” เขายิ้ม
ความไม่มั่นคงนั้นอาจมาจากใบหน้าที่มีบาดแผลของเพนกวินและจมูกที่ยาวเหมือนปากนก ซึ่งจะเห็นได้จากประวัติ ขั้นตอนการแต่งหน้ายาวนานถึง 3 ชั่วโมง เพื่อทำให้ฟาร์เรลกลายเป็นเดอะ เพนกวิน ทั้งจมูก ริมฝีปากด้านบน คิ้วและใบหูด้านล่าง ต้องมีการแต่งหน้าทุกวัน มีการใช้กาวติดบนใบหน้าและลำคอของนักแสดง
“เมื่อแต่ละส่วนติดกาวเรียบร้อยเราก็จะเริ่มทาสี มีการลงสีแอร์บลัชในโทนที่ต่างกัน และเลือกสีที่ใกล้เคียงกับโทนสีผิวมากที่สุด” มาริโน่กล่าว “จากนั้นจะมีการติดหนวดลงไป แล้วค่อยเป็นคิ้วและวิกผม ผมไม่คิดว่าจะมีใครดีกว่าโคลินในการแต่งหน้าแล้ว เพราะเขามีบุคลิกที่โดดเด่นและใบหน้ามีความน่าสนใจ พอเพิ่มการเดินกระเผลกเข้าไปยิ่งทำให้เดอะ เพนกวินมีชีวิตขึ้นมา”
สำหรับการสร้างภาพลักษณ์ของเดอะ ริดเลอร์ เธอเล่าว่า “พอล ดาโน่ต้องมีการตกแต่งหลายอย่างในชุด มีหลายอย่างที่พัฒนาและทิ้งไป” เธออธิบาย “เขาก็บแม็ตต์อยากสำรวจร้านอื่นๆ ที่จะเป็นทางเลือกให้เดอะ ริดเลอร์ในก็อตแธม จนเขาได้แจ็คเก็ตเยอรมันและกางเกงอเมริกันกับรองเท้าบูท สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือหน้ากากที่ใช้ต่อสู้ช่วงหน้าหนาว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเข้าถึงตัวละคร
“อีกตัวอย่างที่ช่วยสร้างตัวละครขึ้นมาคือแว่นตาของเขา” เธอกล่าว “แว่นตาคือสิ่งสำคัญของคนทั่วไป เราเลือกไม่ได้ว่าแว่นตาแบบไหนจะเหมาะกับเราจนกว่าจะได้ลองสวม เราลองแว่นตากันเกือบ 200 ชิ้นกว่าจะเจอแว่นที่ใช่ ตอนนั้นพอลอยู่ที่ออสเตรเลียและไปหาคนขายแว่นตาเพื่อลองใส่และส่งรูปกลับมาให้ เดอะ ริดเลอร์คือตัวอย่างที่ดีมากสำหรับการทำงานด้านคอนเซ็ปต์ในชีวิตจริง”
ดาโน่ยอมรับในความกระตือรือร้นต่อการทำงานของเดอร์แรน “มันเป็นสิ่งที่ผมประทับใจทันทีที่ตัวละครออกแบบขึ้นมา” นักแสดงกล่าว “ชุดของเอ็ดเวิร์ด แนชตันสำคัญต่อผมและทีมงานมาก เพราะมันมีความเป็นตัวละครนั้นสูง เขาอาจเป็นคนที่นั่งทำงานโต๊ะข้างคุณในออฟฟิศ สวมกางเกงสีกากี ติดกระดุมบนเสื้อเรียบร้อย นั่นเป็นชุดที่สำคัญไมต่างกับชุดของเดอะ ริดเลอร์ เช่นเดียวกับเรื่องแว่นตา เราลองแว่นตากันหลายอัน แต่ทำไมอันที่ไม่มีเฟรมถึงเหมาะก็ไม่รู้ ผมแค่รู้สึกว่ามันใช่ ตอนที่ผมสวมแว่นบนหน้ากากต่อสู้ มันดูเหมือนคุณหมอกึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่ลงตัวมาก”
ดาโน่มายังเกิดไอเดียลุคของเดอะ ริดเลอร์ที่พัฒนาจากพลาสติกที่ใช้ห่อในครัวด้วย “ผมคิดว่ามันดูน่ากลัวและแปลกดี” เขาระวังคำพูดที่ไม่เป็นการเปิดเผยอะไรมากนัก “แม็ตต์ รีฟส์รักมัน เขารักทุกอย่างที่ดูชวนเศร้าหรือสร้างความกวนใจให้ตัวละคร”
สำหรับตัวละครเซลีน่า ไคล์ของโซอี้ คราวิตซ์ เดอร์แรนพิจารณาการออกแบบตัวละครว่าต้องมีความเป็นแคทวูแมนตั้งแต่แรก “เราเริ่มออกแบบชุดนางแมวที่อยู่ระหว่างโลกแห่งความจริงกับชุดเต็มรูปแบบ” เธอกล่าว “เราอยากให้ดูมีความเป็นชุดนางแมวมากพอ เพื่อจะสื่อว่าเธอกำลังจะกลายเป็นแคทวูแมน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ มันเลยเป็นการทำงานที่ท้าทายเพื่อหาจุดสมดุล เราใช้สายรัดมาช่วยทำให้ชุดเข้ารูป ซึ่งเป็นเทคนิคที่ยากเพราะมันต้องดึงจากหลายทิศทาง และมันเป็นชุดหนังที่ยืดหยุ่นได้ไม่มากด้วย พอเราผลิตชุดขึ้นมาได้ก็ต้องเอามาสวมใส่และทำรองรอยให้เธอเหมือนเธอสวมชุดนี้ตลอดเวลา ทำให้มันดูเหมือนผ่านอะไรมาแล้ว”
สำหรับฉากต่างๆ ของตัวละครในคลับที่เซลีน่าทำงาน เดอร์แรนผลิตชุดที่ชวนนึกถึง Batman: Year One กางเกงยาง เข็มขัด และเสื้อสั้น “ยางคือสิ่งที่โซอี้ชอบมาก และเราก็พิถีพิถันในการสร้างลุคนั้นขึ้นมา” เดอร์แรนกล่าว “เซลีน่ายังมีเสื้อโค้ทที่ให้ความรู้สึกคล้ายชุดนางแมว เป็นการผสมผสานกันระหว่างโค้ทกับชุดยางที่อยู่ด้านในมันดูดีมาก”
เดอร์แรนยังไม่จบแค่นั้น “เรายังมีวิธีบอกใบ้ถึงแคทวูแมนด้วยการตัดหมวกและทำรอยเย็บด้านบน ซึ่งบังเอิญทำให้มันดูเหมือนหูแมว” เธอยิ้ม”
รีฟส์ตื่นเต้นกับผลลัพธ์ที่ออกมาและเล่าว่า “ผมบอกกับแจ็คเกอลีนว่าอยากให้เซลีน่าสวมหน้ากากสกี พอเธอปรับให้มันมีหูเล็กๆ นี้ด้วยผมรู้สึกว่า ‘โอ้พระเจ้า มันเจ๋งมาก ผมรักมัน!’ ตอนนั้นผมเกิดไอเดียฉากผลักหัวด้านหลังของเธอ และคณจะเห็นเส้นขอบนั่น ซึ่งมันสื่อถึงไอเดียของหูแมว เราจะไม่ได้เห็นรายละเอียดอะไรอย่างตั้ใจ เพราะเธอยังไม่แต่งตัวเป็นแคทวูแมนอย่างเต็มขั้นหรือเรียกตัวเองว่าแบบนั้น แต่เราจะได้เห็นเส้นทางของเธอ ในอนาคตมันจะกลายเป็นชุดนางแมวและเธอจะกลายเป็นแคทวูแมน”
ผู้กำกับฯ รู้สึกประทับใจในความลงตัวของชุดนางแมว “องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญต่อลุคของเซลิน่าคือชุดมอเตอร์ไซค์ และหน้ากากสกีที่มีหูแมวของเธอ พร้อมด้วยแส้ที่ชวนนึกถึง Year One ไปจนถึงชุดที่มีความเข้ารูปและกางเกงหนัง”
ผลงานของเดอร์แรนถ่ายทอดให้เห็นถึงการเป็นผู้เอาใจช่วยที่มีความกระตือรือร้นในตัวคราวิตซ์ “แจ็คเกอลีนเป็นคนฉลาดและให้ความร่วมมือมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะมันจะสนุกมากที่ได้มีส่วนร่วมในการทำงาน” นักแสดงหญิง
กล่าว “แม็ตต์อยากให้ชุดนางแมวไม่ดูล้ำสมัยจนเกินไป แต่ต้องใช้งานได้จริง มันมีรูปร่างและเงาที่ต่างกันไป บางส่วนก็มีความเงา ซึ่งจะมีการใช้หนังที่ต่างกันไป คุณจะบอกได้เลยว่าเธอยอมใส่ชุดนี้จนวันตาย และฉันรักมันมากค่ะ มันรู้สึกได้ถึงความเป็นผู้หญิงและความเซ็กซี่ แต่ขณะเดียวกันก็ใช้งานได้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญต่อเรามาก”
สำหรับชุดของบรูซ เวย์น เดอร์แรนได้แรงบันดาลใจมาจาก Batman: Year One แต่ผลิตชุดให้กลมกลืนกับฉากหลัง ผลลัพธ์ที่ได้คือชุดทำงานผสมกับชุดกองทัพ “ร็อบอยากถ่ายทอดความเป็นชุดทำงานออกมา” เธอกล่าว “หากเราสวมชุดที่เหมือนเครื่องแบบ เราก็จะไม่เป็นที่จับตามอง เขาพูดถึงคนงานที่ท่าเรือในแมนฮัตตัน และการที่พวกเขาไม่เป็นที่สะดุดตาท่ามกลางฝูงชน ความท้าทายอย่างหนึ่งคือการหาหมวกที่ดูเหมาะสำหรับการขี่มอเตอร์ไซค์ แต่สุดท้ายเราก็พบกับหมวกที่ดูมีความเรโทรผสมกับมอเตอร์ครอส”
เนื่องจากตัวละครนั้นไม่ใช่เวอร์ชันที่ผู้ชมคุ้นเคย ฉากสำคัญอื่นที่มีบรูซ เวย์นจึงมีความท้าทายสำหรับเดอร์แรนเรื่องชุดของผู้ชาย “มันคล้ายกับชุดออกกำลังกาย แต่ก็เหมือนกับชุดอื่นๆ ที่ต้องย้อนกลับไปหาอดีต” เดอร์แรนกล่าว “เสื้อเชิ้ตของบรูซจะเป็นสไตล์มินิมอลแบบชาวญี่ปุ่น ส่วนสูทและโค้ทของเขาจะเป็น Saville Row มันมีความหรูแต่ไม่ดูโดดเด่นเกินไป ความเป็นเคิร์ท โคเบนคือสิ่งสำคัญที่แม็ตต์ใช้แนะนำบรูซ เวย์นของเราให้รู้จัก แต่เมื่อเคิร์ท โคเบนสวมสูท มันดูไม่โดดเด่นและไม่เหมาะกับบรูซ โชคดีที่ร็อบเลือกจะไม่สวมอะไรเพิ่มมากมาย บรูซเลยไม่ดูเหมือนเพลย์บอยสักเท่าไหร่… เขาดูเป็นคนมีความเจ็บปวดมากกว่า”
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับลุคนั้นคืออัลเฟรด พ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ของบรูซ เวย์น “แอนดี้ เซอร์คิสอยากให้อัลเฟรดแต่งตัวเนี๊ยบ มีความพิถีพิถัน และมีความเป๊ะแบบทหารกับชุดที่เขาสวมใส่” เดอร์แรนกล่าว “เราเลือกขนแกะวินเทจสีดำ
เพื่อทำให้ชุดของเขามีความเป็นยุค 60 และมีปกเสื้อ มันเป็นลุค Savile Row ที่ดูหรูหราและมีความดั้งเดิม ตัดกับชุดสูทของบรูซได้ดี”
สิ่งที่นักแสดงนำเสนอได้สร้างความท้าทายให้แผนกเสื้อผ้าอย่างพอตัว เช่น จอห์น เทอร์เทอร์โรเจอแว่นตาวินเทจที่นิวยอร์ค ซึ่งเพอร์เฟ็กต์กับคาร์ไมน์ ฟัลโคน “ปัญหาคือมันไม่มีอันอื่นอีกแล้วบนโลก!” เดอร์แรนหัวเราะ” เราต้องการอันสำรองสำหรับนักแสดงผาดโผน ซึ่งมันต้องเหมือนกันเป๊ะ เราเลยต้องผลิตแว่นที่ดูเหมือนต้นฉบับขึ้นมา มันต้องอาศัยเวลาแต่เราก็ทำได้
“สำหรับชุดของเขา” เธอเล่าต่อ “เรากำหนดให้เขาดูเรียบง่ายและไม่โดดเด่น คนที่มีอำนาจหลายคนบนโลกไม่ต้องการสร้างความสนใจให้ตัวเองแบบนั้น พวกเขาจะนั่งเงียบๆ และอยู่ในเงามืด นั่นล่ะคือสิ่งที่เขาต้องการ”
ในฐานะผู้ชำนาญด้านการถ่ายทอดภาพผ่านกล้อง ผู้กำกับภาพของรีฟส์ เกร็ก ฟราเซอร์ เล่าว่าเขาทึ่งกับการปรากฎตัวของนักแสดงทั้งหมด “ทีมเสื้อผ้าในเรื่องนี้น่าทึ่งมาก ทุกชุดที่ผลิตขึ้นมาดูงดงามและเล่นกับแสงไฟได้ดีมีความน่าสนุกและโดดเด่น ทุกครั้งที่ผมสาดไฟไปที่เสื้อผ้า มันจะดูน่าทึ่งมาก ไม่มีติดขัดอะไรเลย แต่กลับดูเป็นธรรมชาติและสมจริง”
เจอกันในนรก
การสร้างและถ่ายทอดก็อตแธมออกมา
สำหรับภาพลักษณ์ของหนัง รีฟส์และทีมงานของเขารวมถึงผู้กำกับภาพ เกร็ก ฟราเซอร์ และผู้ออกแบบฉาก เจมส์ ชินลันด์ มีเป้าหมายที่ไม่ธรรมดา คือการออกแบบโลกค้างคาวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รีฟส์เล่าว่า “เราเคยเห็นก็อตแธมในหนังหลายเวอร์ชันมาแล้ว ทั้งเวอร์ชันที่น่าทึ่งในหนังของเบอร์ตัน และเวอร์ชันที่ดูสมจริงแบบเจมส์ บอนด์ของโนแลน ส่วนเรื่องราวของเราจะถ่ายทอดความเป็นมาของสถานที่ และที่นั่นคือก็อตแธม”
รีฟส์พิถีพิถันกับการสร้างโลกที่ดูสมจริงและไม่คุ้นตาขึ้นมา “เราไม่อยากให้มีไทม์สแควร์ตั้งอยู่บนจัตุรัสก็อตแธม” เขากล่าว “เราเลยเพิ่มตึกสูงระฟ้าขึ้นมา และปรับปรุงรถไฟให้เป็นแนวโกธิคแบบเวลลิงตันสแควร์ในลิเวอร์พ ไอเดียนั้นจะทำให้เราคิดว่า ‘มันคือที่ไหนกัน?’ หนึ่งในตัวละครของเรื่องคือก็อตแธม เช่นเดียวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในก็อตแธม ไอเดียของการนำเสนอสถานที่นั้นเป็นตัวละครหนึ่งคือสิ่งสำคัญมาก”
ฟราเซอร์เข้าใจจินตนาการของรีฟส์ทันที “พอได้อ่านโปรเจ็กต์นี้แล้วผมรักมันเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม” เขากล่าว “ถ้าผมอ่านเรื่องอะไรหรือคุยกับผู้กำกับฯเรื่องไหนแล้วผมเดินออกมาด้วยความรู้สึกทึ่ง ผมจะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย แบทแมนมีความแข็งแกร่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มาอย่างยาวนาน และถูกรีเมคโดยผู้สร้างภาพยนตร์เก่งๆ หลายราย บอกได้เลยว่าผมไม่เลนสกายไดฟ์ ไม่ขี่สเก็ตบอร์ดหรือขี่มอเตอร์ไซค์ แต่ผมพยายามท้าทายตัวเองเวลาที่เล่นหนัง และเรื่องนี้ก็กระตุ้นผมได้ดีตั้งแต่แรกเริ่ม”
ช่างฝีมือถูกดึงตัวมาร่วมโปรเจ็ตก์นี้ผ่านตัวละครสำคัญ เขาเล่าว่า “สิ่งหนึ่งที่แม็ตต์กับผมคุยกันช่วงแรก คือเราอยากทำให้หนังดูมีความดาร์ก แต่ไม่ดาร์กจนดูไม่ไหว มันต้องเรียกความสนใจจากคนกลุ่มใหญ่ได้ แต่โทนเรื่องต้องย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้นของแบทแมนในหนังสือการ์ตูน โดยที่บรูซ เวย์นยังเป็นตัวละครที่มีบาดแผล และแบทแมนคือผลลัพธ์จากบาดแผลนั้น”
รีฟส์และฟราเซอร์รู้จักกันเป็ฯอย่างดีจากการสร้างหนังแวมไพร์ “Let Me In” พวกเขาคุยกันเรื่องแบทแมนมาเป็นเวลานานก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ “เราคลิกกับจินตนาการของแม็ตต์ได้อย่างง่ายดาย แม็ตต์มองโลกได้ไม่เหมือนใครและเป็นผู้กำกับที่มีความพิถีพิถันมาก มีหลายอย่างที่คล้ายกันระหว่างแบทแมนกับตัวเขา” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ผมรู้จากการที่ร่วมงานกับแม็ตต์มาก่อน เขาจะมีมุมมองและถ่ายทอดโลกนั้นออกมาอย่างไร ได้เห็นคอนเซ็ปต์ระหว่างแม็ตต์กับเจมส์ ชินลันด์แล้วยิ่งเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าแม็ตต์พยายามทำอะไร Batman: Year One คือสิ่งที่ใช้อ้างอิงหลัก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่จะเป็นหนังของเรา มันถ่ายทอดเรื่องราวของแบทแมนตอนยังอายุน้อยและดูโศกเศร้า นั่นคือสิ่งที่จะเป็นภาพสะท้อนของเรื่องราว
“สิ่งหนึ่งที่คอยเตือนผมตั้งแต่ช่วงแรกคือเรื่องความหดหู่” ฟราเซอร์เล่าต่อ “โดยเฉพาะการกำหนดแสงไฟท่ามกลางความหดหู่นั้นขึ้นมา มันฟังแล้วขัดกัน แต่มันมีวิธีการสร้างความสว่างในภาพนั้น แต่ต้องเห็นความเศร้าที่อยู่ในตัวละครด้วเย ชุดแบทแมนและหน้ากากมีความมืดมาก การจะเห็นตัวละครนั้นผ่านชุดที่เข้ม ผ่านแววตาที่เข้ม เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะมันท้าทายการจัดแสงไฟให้เหมาะสมต่อการสะท้อนอารมณ์ออกมา แต่ต้องไม่เปิดเผยอารมณ์มากเกินไปด้วย ต้องอาศัยความสมดุลเป็นอย่างมาก ระหว่างการทดสอบกล้องจึงเห็นได้ชัดว่าเราต้องกำหนดขอบเขต
การจัดแสงในดวงตา หาจุดสมดุลระหว่างการเห็นรายละเอียดกับซ่อนรายละเอียด นั่นคือเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่เราค้นพบตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม”
เมื่อเป็นตัวละครเซลีน่า ไคล์ ฟราเซอร์ได้พบกับโทนของความงดงามในอีกแบบที่ต่างไป “ผมได้พบกับความพิเศษ เพราะโซอี้สะท้อนแสงได้ดีและมีความโดดเด่น” เขากล่าว “เธอมีผิวที่สวย และผมพบว่าการเลนกับสีผิวแบบนั้นสำหรับแคทวูแมนเป็นเรื่องที่น่าสนุก เราพยายามรักษาความเรียบง่าย ไม่หวือหวามากไปสำหรับเรื่องการจัดแสงไฟ แต่สำหรับโซอี้มีหลายครั้งที่ต้องเพิ่มสีโทนฟ้าให้เธอ มันจะทำให้เธอดูโดดเด่นขึ้นในฉากและสว่างขึ้นมาอีกหน่อย”
ภาพที่ออกมางดงามเป็นตัวเน้นย้ำถึงการตัดสินใจของฟราเซอร์ “หนังเรื่องนี้ต้องการความเป็นธรรมชาติสูงมาก หมายความว่าแสงไฟทุกมุมต้องดูสมจริง ในเมืองใหญ่มักจะมีแสงไฟอยู่ทั่วทุกแห่ง เราต้องแน่ใจว่าทุกมุมของฉากมีการสะท้อนไฟที่สมจริงออกมา ผมไม่อยากให้ผู้ชมรู้สึกว่าพวกเขาคาดหวังความสมจริงอีกแบบ ไฟทุกดวงที่เราใช้ในฉากสามารถกำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้นผมจะสามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของฉากนั้นได้โดยการจัดแสงไฟที่มีอยู่ มันเหมือนโบนัสก้อนใหญ่สำหรับเรา เพราะนั่นหมายความว่าไม่ว่าเราจะมองไปทางไหนก็สัมผัสได้ถึงความสมจริง และมันทำให้นักแสดงได้เห็นว่าฉากหลังเป็นแบบไหนด้วย ทำให้พวกเขามีอารมณ์ร่วมกับสิ่งที่กำลังแสดงอยู่ มันยังกำหนดทิศทางแสงไฟที่เหมาะสมระหว่างฉากด้านหน้า ตรงกลาง และด้านหลัง ซึ่งทำให้สร้างวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ได้ง่ายขึ้นมาก รวมถึงมีความสำเร็จอีกหลายอย่างตามมา”
เมื่อถึงเวลาตัดสินใจว่าจะให้กล้องเคลื่อนที่แบบไหน ฟราเซอร์และรีฟส์ลงความเห็นว่าจะให้กล้องถ่ายอย่างเรียบง่ายที่สุด “เรามีการเคลื่อนกล้องอย่างพิถีพิถันที่สุด” ฟราเซอร์กล่าว “จะไม่ค่อยหันกล้องมุมกว้างหรือเอียงกล้อง
ไม่ค่อยขยับกล้องหลายครั้งในเวลาเดียวกัน เราจะไม่ขยับกล้องเข้าหรือออก แพนกล้องไปมาด้วย ในหนังจะมีความซับซ้อนและมีภาพมุมลึกจากการตกแต่งฉาก เนื้อเรื่อง และตัวละคร ฉะนั้นมุมกล้องต้องถอยออกมา และเหมือนผู้สังเกตการณ์ ต้องไม่สร้างความสับสนให้ผู้ชมโดยการเคลื่อนไหวมากเกินไป การเคลื่อนไหวกล้องอย่างเรียบง่ายทำให้เราไม่ต้องสร้างความซับซ้อนให้เรื่องราว”
ขณะเดียวกันฟราเซอร์ได้รับคำแนะนำจากการทำงานและจินตนาการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้กำกับฯ “แม็ตต์มีความพิถีพิถัน ใส่ใจเรื่องรายละเอียดในฐานะผู้กำกับฯ และนักเขียนมาก แม็ตต์อยากถ่ายทอดมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เห็นตรงหน้า อยากลงลึกเข้าถึงตัวตนของตัวละครนั้น การได้เห็นการทำงานของเขาร่วมกับนักแสดงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก เพราะแม็ตต์มีการกำกับที่ไม่เหมือนใคร เขาจะมอบโอกาสให้นักแสดงได้ลองทำและหาทิศทางของตัวเอง
ผู้ออกแบบฉาก เจมส์ ชินลันด์ ได้แรงบันดาลใจมาจากความต้องการของรีฟส์ ในการนำเสนอโลกของแบทแมนที่ดูแปลกใหม่ “เราอยากสำรวจโลกใบนั้นและพื้นที่ใหม่ๆ” เขากล่าว “ด้วยการนำทางและจินตนาการของแม็ตต์ ผมคิดว่าเราจะได้พบกับสิ่งที่เป็นแบบฉบับของเราได้”
ชินลันด์เป็นแฟนตัวยงของแบทแมนตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เขาเลยมีแนวทางเฉพาะตัวเป็นพิเศษ “แม็๖ต์อยากแน่ใจว่าเรานำเสนอโลกที่รู้สึกว่าพบได้ตามถนนหนทางทั่วไปได้ เป็นโลกที่ผู้ชมจะคุ้นเคยดี วิชวลหลายส่วนของแม็ตต์จะอิงจากหนังยุค 1970 และภาพของยุคนั้น รวมถึงพวกกรวดหินต่างๆ จากยุคนั้น ซึ่งนันคือต้นกำเนิดหรือดีเอ็นเอของโลกแบทแมน
“เราคิดถึงผลกระทบจากการทุจริตและอาชญากรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วย” เขากล่าวต่อ “มันช่วยกำหนดการวางภาพต่างๆ ที่จะพาเราเดินหน้าต่อ มันช่วยกำหนดจุดที่เราควรอยู่ได้ คือโลกของการผสมผสานที่เราเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา มีความคล้ายกับเมืองดีทรอยต์และคลีฟแลนด์ แต่ขณะเดียวกันก็มีความโดดเด่นเฉพาะตัว”
ชินลันด์ยังอธิบายถึงศิลปะของเขาที่สร้างขึ้นมาอีกว่า “ไอเดียที่ก็อตแธมเคยมีความอำนาจรุ่งเรือง และหลายปีผ่านไปการทุจริตได้นำมาสู่ความล่มสลายแบบนี้ แรงบันดาลใจหลายส่วนของเราได้มาจากพระราชวังในหนังอเมริกันที่มีสถาปัตยกรรมโกธิค และมีการผสมผสานของผลงานศิลปะ ภาพของแนวโกธิคทำให้รู้สึกถึงความกดดันและความโรแมนติค ฉะนั้นสถาปัตยกรรมแบบนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเมือง ทำให้เราได้สร้างตึกขนาดใหญ่เหล่านี้ที่ยังดูสร้างไม่เสร็จขึ้นมา ตัวอย่างเช่นซากหักพังของ World Trade Center ในยุค 70 ก็เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ เราได้เห็นแท่งเหล็กที่พุ่งสูงเสียดฟ้า ผมรักที่มันเหมือนโครงเหล็กบนฟ้าผสมกับศิลปะแนวโกธิค ทำให้เราสร้างโลกที่ดูทันสมัย แต่กลับไม่มีความสดใสและแปลกใหม่อะไร เราจะเห็นสิ่งที่สื่อถึงความล่มสลายของระบบอยู่บนฟากฟ้าของมันเอง”
รีฟส์และชินลันด์อยากให้มีโทนสีทั่วไปด้วย ซึ่งจะสะท้อนถึงความเศร้าและความมืดหม่น โดยการสร้างสีโทนอื่นขึ้นมาในเขตพื้นที่สีแดงที่เซลีน่า ไคล์อาศัยอยู่ “เราได้แรงบันดาลใจมาจากหนังของหว่อง กา-ไว ในเรื่องรายละเอียดและลวดลาย” ชินลันด์กล่าว “มันมีสีของความโรแมนติกในหนังเหล่านั้นที่เรารัก เราเลยเลือกใช้สีสันมากขึ้นในฉากพวกนี้ เช่น สีนีออน และอีกหลายสีจากแสงไฟบนท้องถนน โลกของเรามีความโหดร้ายในพื้นที่หลายแห่ง และนั่นคือบรรยากาศที่เราจะทำให้สีสันโดดเด่นขึ้นมา”
ในช่วงก่อนการถ่ายทำ ทีมงานได้สร้างฉากที่ใช้การทำงานเสมือนจริง ซึ่งทำให้รีฟส์ ชินลันด์ และฟราเซอร์ออกแบบฉากต่างๆ ได้ มีการเพิ่มกล้องและแสงไฟเข้าไป และกำหนดภาพจากที่ใดก็ได้บนโลกที่พวกเขาอยากให้เป็น จากนั้นเคลื่อนที่ไปรอบฉากเสมือนจริงก่อนที่จะสร้างขึ้นมา มันช่วยให้รีฟส์ปรับเปลี่ยนฉากตามที่เขาคิดและควรจะสร้างขึ้นมาได้
ชินลันด์ได้อธิบายถึงเทคนิคโลยีโดยยอมรับว่า “ข้อดีของการถ่ายทำเสมือนจริงคือทำให้เรา ‘ออดิชั่น’ เปลี่ยนแปลงเพื่อกำหนดฉากต่างๆ และสัมผัสความรู้สึกพื้นที่นั้นได้ เราสามารถใส่เลนส์เข้าไปในช่องดูภาพ และเราจะเห็นฉากที่ได้ เราต้องย้ายกำแพงเพื่อใช้งบน้อยลงกว่าที่เราสร้างขึ้นมา มันทำให้เราวางแผนการถ่ายทำฉากนั้นก่อนจะลงมือสร้างขึ้นมาจริงๆ ได้”
เมื่อเราออกเดินทางผ่านภาพเสมือนจริง และเห็นการทำงานที่เกิดขึ้นในฉากนั้นแล้ว รีฟส์เข้าใจพลังของเครื่องมือนั้นอย่างทันที มันช่วยพัฒนาการร่วมงานกันระหว่างฝ่ายสร้างสรรค์กับเอ็ฟเฟ็กต์ในเรื่องได้ดีมาก
รีฟส์เล่าว่า “ผมเคยใช้งานมันมาบ้างแล้ว เป็นการทำงานที่ตื่นเต้นในโลกของวีอาร์ เพราะเราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในการถ่ายทำตรงหน้า ไอเดียของการสร้างก็อตแธมแบบเสมือนจริงขึ้นมา เจมส์ทำงานอย่างหนักร่วมกับผู้ชำนาญคนอื่นๆ เพื่อลองวางแผนเมืองนี้ในแบบที่สะท้อนอารมณ์อันเป็นเอกลักษณ์ออกมา และเราจะเห็นสะพานพร้อมการออกแบบ ซึ่งนั่นเป็นการออกแบบของเจมส์ มันเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องและมีความสำคัญมาก ขณะเดียวกันเราต้องนึกภาพด้วยว่าจะใช้งานมันอย่างไร จะเข้าถึงฉากต่างๆ อย่างไร นั่นคือความตื่นเต้นและท้าทายมาก ในฉากไม่ได้ใหญ่โต
ขนาดนั้น แต่เวลาเราหันไปรอบตัวจะเห็นตึกอื่นๆ และสิ่งที่อยู่ด้านหลังตึกก็เป็นภาพเสมือนจริงเช่นกัน มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกและน่าตื่นเต้นมาก นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่งดงาม”
“เป้าหมายของเราคือนำเสนอโลกทั้งใบในวีอาร์ จากนั้นแม็ตต์จะไปวาดสตอรี่บอร์ดและวางการถ่ายทำอย่างที่เขาต้องการ” ชินลันด์กล่าว “เราได้สร้างรากฐานใหม่ และมันน่าตื่นเต้นสำหรับเราที่เห็นพลังของเครื่องมือนั้น และประสิทธิภาพของมันในการทำงานของแม็ตต์ ผมคิดว่ามันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระหว่างฝ่ายศิลป์ วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ สตอรี่บอร์ด และการวางภาพก่อนการถ่ายทำจริงได้มาก”
สำหรับฟราเซอร์ เทคโนโลยีดิจิตอลเหมือน “ตัวเปลี่ยนเกม นั่นหมายความว่าเราจะเห็นหนังล่วงหน้า 6 เดือนก่อนจะสร้างฉากขึ้นมา เราตัดสินใจเรื่องแสงไฟ การปิดถนน รวมไปถึงการเปลี่ยนขนาดหรือทิศทางที่แสงจะส่องมาได้ เพราะเรารู้ล่วงหน้าแล้ว ผู้สร้างภาพยนตร์คือคนจริงที่สามารถเห็นภาพนั้นได้ ซึ่งการเห็นทุกอย่างเหมือนโมเดลเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้มาก”
ในช่วงการหาสถานที่ก่อนการถ่ายทำ ทีมงานสถานที่ดูหลายเมืองในอเมริกา เช่น ชิคาโก้ พิตส์เบิร์ก คลีฟแลนด์ และนิวยอร์ค แต่เลือกจะถ่ายทำฉากสำคัญในลอนดอน ชินลันด์ไม่มั่นใจในช่วงแรก แต่เมื่อเริ่มสำรวจสถานที่ในแมนเชสเตอร์ ลิเวอร์พูล และแกสโกว์ เขาเริ่มเห็นภาพที่เป็นไปได้ขึ้นมา
“เราสังเกตการพังทลายของชิ้นส่วนแนวโกธิคที่เราไม่เห็นในสหรัฐฯ” เขากล่าว “มันทำให้เรามีโอกาสผสมผสานเข้ากับฉากจริงได้ และบางแห่งในชิคาโก้ก็เหมาะกับสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งจากยูเค จากนั้นลองนำมารวมเข้ากับเมืองในอเมริกาในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน”
ในที่สุดสถานที่อย่างลิเวอร์พูล แกสโกว์ และลอนดอนจึงใช้ถ่ายทำจริง ส่วนลีฟส์เดนและคาร์ดิงตันสตูดิโอจะมีฉากต่างๆ และพื้นที่ว่างสำหรับสร้างตึกขนาดใหญ่ขึ้นมา กองถ่ายย่อยจะใช้สถานที่ในชิคาโก้ร่วมกับนักแสดงผาดโผนที่มาแสดงแทนบนมอเตอร์ไซค์และแบทโมไบล์ รวมถึงการเก็บภาพฟุตเทจจากโดรนที่นำมาผสมกับฟุตเทจหลักอย่างแนบเนียน
แต่อย่างไรก็ตามการสร้างเส้นขอบฟ้าของก็อตแธมขึ้นมาเป็นเรื่องที่ยาก ชินลันด์เล่าว่า “เราคิดว่ามันจะดีกว่าหากเราหาสถานที่ที่สามารถเก็บภาพทั้งหมดได้ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดการเลือกใช้แสงไฟที่สะท้อนกับตึกอื่น เราเจอสถานที่หนึ่งใน Lower Manhattan ที่มีตึกสูงระฟ้า จากนั้นสร้างโลกรอบตึกนั้นขึ้นมา มันกลายเป็นส่วนสำคัญในพื้นที่ย่าน Tricorner Bridge ของก็อตแธม” เขายิ้ม “ยังมีบางส่วนของ Lower Manhattan ที่มีความสำคัญต่อเมืองของเราในภายหลังด้วย”
สถานที่ต่างๆ และบรรดาฉากในสตูดิโอใช้เวลาสร้างเป็นส่วนใหญ่ของการถ่ายทำ แต่วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่นำโดยแดน เล็มมอน คือสิ่งสำคัญที่เข้ามาช่วยเหลือ กองถ่าย “The Batman” มีการใช้เทคโนโลยี LED เยอะมากเพื่อทำให้สถานที่ต่างๆ ดูมีชีวิตชีวา สิ่งที่จาก LED มากกว่าบลูสกรีนคือทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ถ่ายทำโดยเห็นฉากหลังได้ ภาพด้านนอกและด้านในฉาก LED จะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกล้อง ซึ่งทำให้มันดูสมจริงมาก เทคโนโลยียังทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ถ่ายทำฉากด้านนอกในบรรยากาศของสตูดิโอที่ปลอดภัยอีกด้วย ทำให้นักแสดงเห็นภาพสถานที่นั้นได้อย่างชัดเจนขึ้น
“LED ไม่ได้ช่วยให้เห็นภาพโลกใบนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดแสงที่ดูเป็นธรรมชาติด้วย” ชินลันด์กล่าว “สำหรับนักแสดงการยืนมองโลกของก็อตแธมคือสิ่งที่มีพลังอย่างเหลือเชื่อ แดนและทีมงานของเขาจะให้เท็ด ดาวิส ผู้กำกับวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์มาร่วมงานด้วย ซึ่งมันน่าทึ่งมากที่เห็นภาพจริงผสมกับฉาก LED”
ฟราเซอร์เล่าจากมุมมองของเขาว่า “สิ่งที่ LED มอบให้คือแสงที่มีความสมจริง มันไม่ใช่แค่แสงสว่าง แต่เป็นความรู้สึก อารมณ์ หากเราจัดแสงผิด อารมณ์ของตัวละครก็จะผิดเพี้ยนไป แต่หากเราทำให้มันสอดคล้องกันได้ทั้งแสงไฟ เรื่องราว ตึกอาคมร เราก็จะได้สิ่งที่สื่อกับผู้ชมได้”
เล็มมอนใส่ใจเรื่องความสมจริงของหนังเป็นพิเศษ เขาได้พบกับความท้าทายที่น่าสนุก เพราะความกระตือรือร้นของรีฟส์ที่อยากให้หนังดูสมจริง มีความกล้าหาญ และอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้ “โดยทั่วไปในหนังแบบนี้จะต้องพยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้ผู้ชมเชื่อในตัวละครและโลกใบนี้ว่ามีจริง วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์คือสิ่งที่ช่วยเชื่อมโยงธีมและเป้าหมายของหนัง มันต้องสอดคล้องกันและแนบเนียนที่สุด เป้าหมายของหนังเรื่องนี้คือคุณจะเชื่อ 100% ว่าคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง”
เล็มมอนและทีมงานใช้เวลา 9 เดือนเพื่อนำภาพของก็อตแธมขึ้นสู่จอ LED นั่นหมายความว่าผลงานหลายส่วนที่เขาและทีมงานต้องสร้างให้เสร็จหลังการถ่ายทำจะปรากฎล่วงหน้า “ความท้าทายที่สำคัญอย่างหนึงคือการแน่ใจว่าการออกแบบนั้น การสร้างโมเดล 3 มิติ และภาพที่เร็นเดอร์ออกมาเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ก่อนที่เราจะเดินในฉากด้วยซ้ำ” เล็มมอนกล่าว “เราไม่ได้ใช้ LED มากมายแต่แรก แต่มันกลับเป็นว่าพอเราใช้แล้วสามารถสร้างโลกก็
อตแธม และมีอีกหลายส่วนที่ยังไมสร้างขึ้นมา แต่ปรากฏขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน นี่คือเรื่องใหม่ เราทำให้มันมีความยืดหยุ่นมาก ซึ่งเป็นความแปลกใหม่อย่างหนึ่งที่สำคัญ”
ชินลันด์และทีมงานมีฉากสำคัญมากมายที่ต้องออกแบบและสร้างขึ้นมา รวมถึง Iceberg Lounge อพาร์ทเมนท์ของเดอะ ริดเลอร์ ร้านอาหาร ห้องใต้หลังคาของฟัลโคนและอีกหลายฉาก ซึ่งเขาเล่าว่า “ทำให้เรามีโอกาสได้สร้างฉากหลายส่วนของก็อตแธม นั่นคือหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่เราต้องรับผิดชอบ นอกจากพวกส่วนประกอบสำคัญอย่างถ้ำค้างคาวและเวย์นทาวเวอร์”
สองฉากหลังทำให้ทีมงานถึงกับเกิดความกลัว ถ้ำค้างคาว ฐานปฏิบัติการของแบทแมนจะอยู่ด้านล่างเวย์นทาวเวอร์ ซึ่งจะต้องเปลี่ยนสถานีรถไฟ Wayne Terminus อันเก่าให้เป็นฐานทัพลับของเขา ซึ่งจะเชื่อมโยงกับอุโมงค์ลับอีกหลายส่วน
“ถ้ำค้างคาวและเวย์นทาวเวอร์สร้างขึ้นในโรงถ่ายที่ Leavesden Studios ทั้งสองฉากทำให้ผู้ออกแบบฉากถึงกับตื่นขึ้นมากลางดึกในสภาพที่เหงื่อเปียกชุ่ม!” ชินลันด์หัวเราะ “ทั้งสองฉากนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน เราจะสร้างสิ่งที่ไม่ทำให้เมืองหัวเราะได้อย่างไร? แม็ตต์กับผมตกลงกันว่าต้องถ่ายทอดสิ่งที่ดูสมจริงและรักษาความเป็นจริงของเรื่องราวเอาไว้”
การพูดคุยเรื่องการออกแบบเริ่มจากคำถาม: หากเวย์นทาวเวอร์สร้างขึ้นเมื่อปี 1920 มีทางเป็นไปได้มั้ยที่จะมีถ้ำอยู่ด้านล่าง? “ผมคิดถึงเรื่องการก่อสร้าง” ชินลันด์กล่าว “ผมจำได้ว่ามีสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ที่ Waldorf Astoria ในนิวยอร์ค ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องจริง มีรถไฟจอดอยูที่นั่นตลอด เวลาที่ประธานาธิบดีอยู่ในเมืองและมีเหตุฉุกเฉิน รถไฟจะ
พาเขาลอดผ่านอุโมงค์ลับที่วอลดอร์ฟ และพาเขาออกจากเมืองได้อย่างระมัดระวัง ผมรักไอเดียนั้นและคิดว่ามันโรแมนติกมาก คิดว่าหากเราเป็นเวย์นและสร้างเมืองนี้ขึ้นมา เราคงมีสถานีรถไฟลับข้างล่างตึกแน่ มันทำให้เห็นภาพที่วิเศษมากเมื่อเรามีสถานีรถไฟใต้ดิน และมีลิฟต์แก้วที่พาเราขึ้นไปสู่ยอดตึกได้”
การออกแบบของชินลันด์สำหรับบ้านและสมบัติของแบทแมนมาจากความคิดในแบบบรูซ เวย์น “เรารักไอเดียยที่บรูซไม่แคร์เรื่อง Wayne Industries เขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยตัวเอง” ชินลันด์กล่าว “ภาพลักษณ์ของเวย์นทาวเวอร์ หน้าตาของถ้ำค้างคาวและแบทโมไบลค์สะท้อนว่าเขาไม่แคร์เรื่องความร่ำรวยและ Wayne Industries เลย”
ในหนังเริ่มจากการเดินทางของบรูซในร่างของแบทแมนที่มีความน่าสนใจ “เราไม่อยากสร้างอะไรที่เรียกความสนใจมากเกินไป เพราะคุณจะไม่เชื่อว่าเขาสร้างตัวเองขึ้นมา” เขากล่าว
ชินลันด์ใช้ศิลปะ Central Saint Martins และการออกแบบวิทยาลัยในลอนดอนเพื่อจำลองเป็นหน่วยบัญชาการสถานีตำรวจก็อตแธมซิตี้ รวมถึงห้องเก็บศพที่เป็นหนึ่งในฉากโปรดของชินลันด์ “สถาปัตยกรรมและร่องรอยของตึกแห่งนี้ถ่ายทอดเรื่องราวของมันเองได้ถึง Gotham City Hospital ที่ไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่และดูขาดแคลนงบ”
ฉากอื่นที่สำคัญยังมี Gotham City Hall ที่มีการสร้างบรรยากาศภายในขึ้นมาใหม่ที่ Cardington Studios ในเบดฟอร์ม หนึ่งในสถานที่ที่มีความกว้างมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ส่วนบรรยากาศด้านนอกที่เป็นศิลปะนีโอคลาสสิคจะใช้ St. George’s Hall ในลิเวอร์พูล ในฉากนั้นต้องอาศัยทีมนักแสดงผาดโผน เพราะต้องมีรถพุ่งชนประตูและมีการขับขึ้นบันไดด้วย
อพาร์ทเมนท์ของเซลีน่า ไคล์ทำให้ชินลันด์มีโอกาสใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ อพาร์ทเมนท์ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่สีแดงของก็อตแธมเหนือโรงละครตลกที่เรียกว่า The East End ที่นั่นต้องดูเหมือนเป็นบ้านคนจริงๆ มากกว่าสถานที่สร้างขึ้นมาเพื่อล้อเลียนเรื่องราว ทีมงานได้แรงบันดาลใจด้านการสร้างผลงานมาจาก Batman: Year One มีฉากหนึ่งในบทที่ระบุว่ากล้องจะต้องเก็บภาพทะลุอพาร์ทเมนท์ ตามเซลีน่าที่กระโดดออกนอกหน้าต่างและขี่มอเตอร์ไซค์ของเธอที่อยู่ด้านล่าง ภาพโดยรวมต้องเป็นการถ่ายทำช็อตเดียวตั้งแต่ประตูไปจนถึงหน้าต่าง และลงไปยังโรงรถที่อยู่ด้านล่าง ฉะนั้นอพาร์ทเมนท์ต้องมีความสูงมากพอ
ผู้ออกแบบสนุกกับคอนเซปต์ของเซลีน่าและการเดินทางสู่การเป็นแคทวูแมนของเธอมาก ชินลันด์อธิบายว่า “อพาร์ทเมนท์ของเธอเหมือนมีการอยู่อาศัยจริง เฟอร์นิเจอร์มีรอยข่วนของแมวที่เธอเก็บมาเลี้ยง และตู้เย็นก็เต็มไปด้วยอาหารแมว มีแกลอรี่รูปแมวอยู่บนผนัง”
แน่นอนว่าบรรดาแมวจรจัดต้องอยู่ในอพาร์ทเมนท์ของเธอ กองถ่ายได้นำเพื่อนนักแสดงขนปุยมาฝึกซ้อมในพื้นที่จริงหลายสัปดาห์ เพื่อให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจและสนใจคราวิตซ์เวลาที่เธอเดินเข้ามา
อพาร์ทเมนท์ของริดเลอร์เป็นอีกฉากสำคัญของเรื่อง “การออกแบบที่นั่นต้องสื่อถึงความคลั่งของเขา เขามีความสนใจพอล ดาโน่มาก ต้องแน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกันในการนำเสนอเขาให้ดูเป็นนักบัญชีช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนจะเป็นนักคิดจอมคลั่ง” ชินลันด์ยืนยัน
อีกฉากสำคัญคือร้านอาหารที่เดอะ ริดเลอร์ดื่มกาแฟตอนที่ตำรวจจะเข้ามาจับกุมตัว “เรารู้ว่าเราอยากเห็นตำรวจเข้ามา” ชินลันด์กล่าว “มันทำให้เรานึกถึงด้านล่างของ Tricorner Bridge ที่มีการทอดสมอเรือขนาดใหญ่ และ
เป็นจุดศูนย์กลาง ภาพวาด ‘Nighthawks’ ของเอ็ดเวิร์ด ฮอปเปอร์อยู่ในจินตนาการของผมตอนที่ออกแบบฉากนั้น เพราะผมรักร้านอาหารที่มีโคมไฟท่ามกลางโลกอันมืดมิด เพื่อเป็นการนึกถึงภาพนั้นเราต้องมีกระจกขนาดใหญ่ในฉาก ผมรักไอเดียของการทำให้เหมือนตู้ปลา เดอะ ริดเลอร์ถูกกระจกคุ้มกันเอาไว้ในโลกที่มีความมืดและฝนตก”
ชินลันด์ยกเครดิตให้ทีมงานของเขาสำหรับการถ่ายทำที่ยาวนาน ซึ่งต้องทำงานอย่างแข็งขันกันทั้งในสหรัฐฯ และอังกฤษ “ความหนาวเย็นและฝนที่ตกช่วงฤดูหนาวของอังกฤษทำให้การทำงานยากขึ้น แต่การร่วมงานกับทีมงานชาวอังกฤษช่วยบรรเทาเรื่องสภาพอากาศได้ การได้ร่วมงานกับผู้ชำนาญด้านศิลปะที่น่าทึ่งในอังกฤษเหมือนฝันที่เป็นจริง ผมต้องเดินทางไปมา แกรนท์ อาร์มสตรอง ผู้ควบคุมกำกับศิลป์ช่วยผมสร้างทีมงานนี้ขึ้นมา และรวมเหล่าผู้มีความสามารถมารวมทีม ลี แซนเดลส์ ผู้ออกแบบฉากของเขาสร้างผลงานที่งดงาม และแอนดี้ อีวานส์ ผู้จัดการด้านการก่อสร้างของเราเป็นอีกคนที่มีชื่อเสียง และคอยให้ความช่วยเหลือเราตลอดเวลา รวมถึงสร้างฉากที่มีความสวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาด้วย”
เดอะ แบทโมไบล์
เดอะ แบทโมไบล์ เป็นพาหนะที่เป็นเอกลักษณ์อันตื่นตาของแบทแมน ผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ที่มีความเร็ว ทำให้แบทแมนสามารถโลดแล่นบนท้องถนนเพื่อไล่ล่าศัตรูได้อย่างมั่นใจ และพาหนะสำคัญของเขายังมีแบทไซเคิล ตัวช่วยในการเดินทางที่คล่องตัวที่สุดของแบทแมน เหมาะสำหรับการเดินทางบนท้องถนนก็อตแธมด้วยสปีดที่รวดเร็วมาก
เพราะบรูซ เวย์นอยู่ในร่างของแบทแมนเป็นปีที่ 2 ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงแรกเริ่ม รวมถึงเรื่องล้อรถของเขาด้วย โลกรอบตัวของเขามีแต่ความพังทลาย แบทโมไบล์สะท้อนถึงสิ่งนี้ผ่านการผลิตขึ้นมาด้วยมือ รถที่ดูแข็งแกร่ง ออกแบบชุดขึ้นมาเป็นพิเศษตามต้องการ
ชินลันด์ดูพัฒนาการของแบทโมไบล์ตั้งแต่แรกเริ่มจากหนังสือการ์ตูน ไปจนถึงอีกหลายโมเดลกลางศตวรรษจากทีวีซีรีส์ และรถจากหนังช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และช่วงต้นศตวรรษที่ 21 เขาและรีฟส์เริ่มคิดเรื่องการออกแบบรถก่อนที่บทจะเสร็จเรียบร้อย
“มีบางอย่างที่เราสร้างในหนังแบทแมนแล้วต้องเตือนตัวเอง” รีฟส์กล่าว “เราบอกตัวเองว่า ‘เราต้องการชุดและหมวกคลุมหน้าในแบบของเรา เราต้องมีพวกอุปกรณ์และแบทโมไบล์ในแบบของเรา’ ตอนเป็นเด็กผมรัก ‘Batman `66’ ผมรักอดัม เวสต์และแบทโมไบล์แบบนั้น ผมคิดว่ามันเป็นรถที่เท่สุด ผมรักเปลวไฟที่พุ่งออกมาจากด้านหลัง หลังจาก
นั้นก็มีแบทโมไบล์สุดเท่ออกมาอีกหลายแบบ สำหรับผมแบทโมไบล์ต้องเหมือนชุดค้างคาว มันต้องดูน่ากลัวเหมือนมอนสเตอร์ และเนื่องจากแบทแมนของเราอยู่ในช่วงแรกเริ่ม ผมอยากให้แบทโมไบล์ของเขาสัมผัสได้ถึงความสำคัญ”
รีฟส์และชินลันด์สังเกตรถหลายคันร่วมกัน “เรากลับมาที่ไอเดียเรื่องฟังก์ชันและการใช้ประโยชน์ของบรูซในหนังของเรา” ชินลันด์กล่าว “บรูซมุ่งมั่นที่ภารกิจของเขาและสร้างรถขึ้นที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา หากมันใช้งานได้เขาก็เก็บไว้ หากมีอะไรที่ดีกว่าเขาก็โยนทิ้งไป เรารักไอเดียที่เขาใช้รถอเมริกันคลาสสิคเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นมีการเสริมเฟรมพิเศษขึ้นมา เครื่องยนต์ เกราะ และอะไรอีกหลายส่วน บรูซผลิตชุดค้างคาวขึ้นมาอย่างมีจุดหมาย แต่ยังคงมีความหวาดกลัว และเรารู้ดีว่าเขาจะถ่ายทอดรถในรูปแบบเดียวกันออกมา”
เป็นเวลากว่า 2 ปีที่แบทโมไบล์ได้ความช่วยเลหือจากผู้วาดภาพรถ แอช ธอร์ป, เบ็นจามิน ลาสต์ และอีกหลายคน ตั้งแต่การออกแบบช่วงแรกจนทีมงานออกแบบภาพคอนเซ็ปต์ 3 มิติร่วมกับผู้กำกับศิลป์ของรถ โจ ฮิอูระ ผลลัพธ์ที่ได้คือรถที่มีขนาดใหญ่อย่างที่ผู้ชมภาพยนตร์คุ้นเคยดี ในเรื่อง “The Batman” แบทโมไบล์จะเป็นสีดำด้านทั้งคัน ซึ่งการออกแบบนั้นได้มาจากแบทโมไบล์ต้นฉบับจากทีวียุค 1960 มีไฟสีแดงและปีกด้านหลัง มีการติดกันชนเหล็กและเฟรมเหล็กรอบคัน ทำให้สามารถพุ่งชนได้ทุกอย่าง และเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังมหาศาลเมื่อรถเร่งความแรงและเปิดช่องลมที่เหมือนเหงือกปลา
ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ โดมินิค โทฮี และทีมงานของเขารับหน้าที่ผลิตรถที่มีชิ้นส่วนมากกว่า 1,000 ชิ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นรถที่มีรายละเอียดเยอะมาก และเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชินลันด์ภูมิใจมาก “มองไปทางไหนในรถก็จะเห็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น ไม่ว่าจะชิ้นส่วนกลไกหรือรายละเอียดบางอย่าง เช่น ตัวผลักที่ควบคุมเครื่องบินเจ็ท ซึ่งแบท
แมนใช้เวลาที่เขาต้องการเพิ่มพลังขึ้นมา กล้องมองด้านหลัง แผงควบคุม กันชนหุ้มหนัง และเกจรถที่ดูคุ้นตา มันมีความงดงามในแบบที่เน้นเรื่องฟังก์ชันมาก่อน” แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่ดีที่สุด นักออกแบบเล่าต่อว่า “พลังของรถเหมือนกับความฝัน มันน่าทึ่งมากที่พวกเขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้”
ทีมงานของโทฮีเริ่มสร้างรถจริงขึ้นมาใช้ระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแยกส่วนกันตั้งแต่เครื่องยนต์ ยาง กล่องเกียร์ รถที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษ เช่น ที่บังลมแบบที่ไม่เหมาะกับรถทั่วไป และต้องใช้ที่ปัดน้ำฝนพิเศษ สำหรับการขับขี่ท่ามกลางสายฝนตามที่บทระบุเอาไว้ “นั่นคือความสนุกของการสร้างแบทโมไบล์ขึ้นมา” โทฮีกล่าว “เราไม่ใช้รถที่ได้มา แต่ผลิตรถที่มีเพียงคันเดียว ซึ่งในเรื่องนี้ต้องสร้างขึ้นมาถึง 4 คัน”
แบทโมไบล์ผลิตจากเครื่องยนต์ V8 กำลัง 700 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงการเคลื่อนย้ายภายในที่ช่วยให้คนขับย้ายตำแหน่งล้อหน้าไปล้อหลังระหว่างขับขี่ โดยใช้ระบบอัดอากาศได้ โทฮีเล่าว่า “มีบางส่วนที่ใช้กันในรถแรลี่ เพราะมันช่วยให้รถเคลื่อนที่ได้อย่างไม่ธรรมดา และทำให้คนขับไปตามซอกซอยได้โดยการขับเคลื่อน 4 ล้อ เพียงแค่กดปุ่มเดียวก็จะมีพลังจากล้อหน้าหรือล้อหลังหรือทั้งคู่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรารู้ว่านักขับขี่ผาดโผนรักอะไรแบบนั้น เพราะพวกเขาจะใช้พลังได้ทันทีอย่างที่ต้องการ”
รถยังสามารถกระโดดได้อีกด้วย “นั่นคือส่วนที่เราออกแบบด้านหลังของรถขึ้นมา” โทฮีกล่าว “เราสร้างรถที่สามารถปรับเป็นโหมดขับขี่หรือโหมดกระโดดได้ พาหนะ 1 ใน 4 ของเราจะมีระบบกันสะเทือนและสามารถกระโดดได้ เรายังออกแบบด้านหน้ารถขึ้นมาใหม่ เพราะกันกระแทกจะเสริมพลาสติกเข้าไป ซึ่งจะดูดีและมีความแข็.แรง แต่เราต้องการให้มันดูสว่างตอนที่ลอยขึ้นไปด้วย เราเลยขึ้นรูปใหม่ด้วยไฟเบอร์กลาส ลดน้ำหนักลงไปได้เกือบ 100 กิโล”
สำหรับโทฮีแล้วสิ่งที่ดีที่สุดในโปรเจ็กต์นี้คือ “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นจริงๆ” เขากล่าว “มันไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิค สิ่งที่เราเห็นบนหน้าจอมาจากความสามารถของทีมนักแสดงผาดโผนล้วนๆ”
ซึ่งน่าแปลกใจที่ 1 ใน 4 แบทโมไบล์ที่ทีมงานโทฮีสร้างขึ้นมาเป็นรถไฟฟ้า เนื่องด้วยเหตุผลทางการใช้งานจริง ชินลันด์เล่าว่า “รถคันนั้นเป็นรถที่แสดงในฉาก และข้อดีของมันคือเสียงเงียบมาก ด้านบนมีที่นั่งด้วยทำให้นักแสดงผาดโผนที่เป็นคนขับสามารถนั่งได้ ส่วนร็อบ แพททินสันจะนั่งตรงที่คนขับด้านล่าง”
สำหรับแพททินสัน แบทโมไบล์เหมาะสำหรับตัวละครของเขามากในแง่ของความสวยงาม “มันเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ผลิตขึ้นด้วยมือในหนังเรื่องนี้” เขากล่าว “มันเจ๋งมากที่เราได้เห็นการผลิตจริง มันไม่ใช่เทคโนโลยีจากนอกโลกหรือซูเปอร์ไฮเทค บรูซสร้างมันขึ้นมาเองและเราเข้าใจขั้นตอนนั้น แบทแมนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่จับต้องได้ แม้ว่าเขาจะเป็นมหาเศรษฐี แต่เขาคือคนที่ผมคิดว่ามีแรงดึงดูดใครหลายคน เมื่อเรามองใกล้ๆ จะเห็นว่าแบทโมไบล์เหมือนงานแฮนด์เมดที่เราใช้ทั้งความมุ่งมั่นและเงิน… ผมว่ามันน่าสนใจมาก” และก็ดูเท่มากด้วย “พอได้ขับแล้วจะได้ยินเสียงที่น่าทึ่ง เหมือนขับเครื่องบินเจ็ทหรืออะไรสักอย่างเลย”
ด้านล่างสะพาน…
เสียงดนตรีและโน้ตเพลง
สำหรับเพลง “Ave Maria” ของชูเบิร์ตไปจนถึง “Something In The Way” ของเนอร์วาน่าและอีกหลายบทเพลงในเรื่อง “The Batman” ของรีฟส์เต็มไปด้วยความทรงจำ ความรู้สึกของยามค่ำคืนที่สะท้อนถึงความเป็นตัวบรูซ เวย์นในช่วงปีที่ 2 ของการอยู่บนถนนก็อตแธมในฐานะของศาลเตี้ย ที่มาจากความโกรธแค้นและการสืบสวนเพื่อแก้ไขความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเมือง
สำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์ รีฟส์ได้ร่วมงานอีกครั้งกับผู้ประพันธ์ดนตรี ไมเคิลจิแอคชิโน่ “นี่เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 5 ที่ผมกับไมเคิล จิแอคชิโน่ได้ร่วมงานกับ” ผู้สร้างภาพยนตร์กล่าว “และเป็นการร่วมงานที่น่าตื่นเต้น ผมรักการทำงานร่วมกับเขา เขาเป็นคนตลกมากแต่ก็อารมณ์อ่อนไหวเหลือเชื่อ ผมรักเขามากเป็นการส่วนตัวและเป็นหนึ่งในคนที่ผมชื่นชอบ ตอนที่ผมทำผลงานแรกในเรื่อง ‘Planet of the Apes’ เขาคือคนแรกที่ผมโทรหา เพราะผมรู้ว่าเขามีตุ๊กตา Planet of the Apes ครบทุกตัว ผมรู้ว่าเขามีความผูกพันแบบเดียวกันตั้งแต่เด็ก พอผมต้องทำเรื่อง ‘The Batman’ ผมบอกกับเขาว่า ‘เดาสิ จะเป็นยังไงต่อ?’ เขามีความรักและความผูกพันกับแบทแมนแบบเดียวกับผมเลยครับ”
แม้ว่าจะมีการแลกเปลี่ยนความหลงใหลในสิ่งเดียวกัน แต่จิแอคชิโน่ยืนยันอย่างรวดเร็วว่าเขาจะสร้างผลงานในแบบที่ต่างออกไป รีฟส์จำได้ว่า “เขาบอกผมว่าอยากทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน คือการบันทึกเสียงก่อนที่ผมจะถ่ายทำแม้แต่เฟรมเดียว เขาบอกว่า ‘ผมอยากให้เราบันทึกเสียงเพลงชุด ผมอยากให้นี่เป็นการค้นพบ Beethoven
Sonata ของแบทแมน และเราจะใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้งเรื่อง’ ผมตอบตกลงทันที ผมตื่นเต้นกับมันและเริ่มเขียนบท และระหว่างนั้นเขาจะส่งตัวอย่างเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาให้ฟังนิดหน่อย มีการบันทึกเสียงเปียโนที่เขาเล่นด้วย”
รีฟส์เล่าต่อว่า “คืนก่อนที่ร็อบจะทดสอบหน้าจอ ไมเคิลส่งเพลง MP4 มาให้ฟังนิดนึง เขาเล่นผสมกับวงออเคสตร้าจนกลายเป็นธีมของเพลงขึ้นมา มันเป็นทั้งธีมของบรูซและแบทแมนในเพลงชุดนั้น และผมทึ่งมากเลย! มันสื่ออารมณ์ได้มาก เช้าวันนั้นตอนที่ผมขับรถไปที่ฉาก ดีแลน คลาร์กอยู่ที่นั่นด้วย ผมบอกกับเขาว่า ‘คุณต้องขึ้นมาบนรถ’
“เขานั่งอยู่บนที่นั่งผู้โดยสาร และผมก็เปิดเพลงนั้นขึ้นมา” รีฟส์เล่าต่อ “ผมบอกเขาว่านี่เป็นเพลงของไมเคิลสำหรับหนัง และพวกเราก็ร้องไห้ออกมา เขารู้สึกว่ามันวิเศษมาก มันเป็นช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่ามีความพิเศษมากและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เพราะเราฟังเพลงนี้ด้วยกัน และร็อบ แพททินสันกำลังจะสวมชุดค้างคาวสุดคลาสสิค เพราะเราต้องเห็นว่าคนที่จะมารับบทแบทแมนดูเป็นอย่างไรเมื่อสวมชุดค้างคาว ซึ่งมันไม่มีอะไรน่าสงสัยอีกเลย คางของร็อบเหมือนแบทแมนที่สุดแต่เราต้องถ่ายบางฉากที่ต้องมีการฟังเพลงนี้ด้วยกัน เราได้ฟังเพลงนี้และรู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่มีความหมายสำหรับเรามาก และมีความหมายสำหรับทุกคนมาก
“เราเลยเข้าไปด้านใน ผมบอกร็อบก่อนที่เราจะถ่ายทำฉากต่างๆ ผมอยากเห็นคุณมองกระจก สวมชุดค้างคาวแบบไม่มีหมวก และอยากให้คุณแต่งหน้า เราเลยติดไฟสีแดงและจัดให้บรูซ เวย์นอยู่ในธีมตามที่ไมเคิลเขียนเอาไว้ และทำเหมือนร็อบแต่งตาของตัวเองเป็นแบบนั้น ผมรู้สึกว่า ‘นี่คือสิ่งที่อยู่ในหนัง เรากำลังถ่ายทำสิ่งนี้’ นั่นคือที่มาของฉากนั้น มันมาจากการออดิชั่นของร็อบโดยมีเสียงดนตรีของไมเคิล ดนตรีนั้นช่วยให้เขากลายเป็นแบทแมนได้ และเราฟังเพลงนั้นกันตลอดเวลา”
บทเพลงนั้นได้เดินทางมาถึงช่วงหลังการถ่ายทำ รีฟส์เล่าว่ามันเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมาก “ตอนที่วิลเลียม ฮอยและไทเลอร์ เนลสัน ผู้ลำดับภาพของผมและตัวผมเองอยู่ในช่วงตัดต่อ ปกติเราจะตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ แต่ครั้งนี้เราตื่นเต้นกับเสียงดนตรีของไมเคิล และทุกอย่างสร้างขึ้นจากเสียงดนตรีที่ไมเคิลแต่งขึ้นมาจากจุดเริ่มต้น ดนตรี่มีเอกลักษณ์ มีการสะท้อนและทรงพลัง มันจะคลออยู่ในหนังตลอดเวลา”
ดีแลน คลาร์กได้เล่าถึงประสบการณ์ในการสร้างหนัง และอีกไม่นานกำลังจะถ่ายทอดผลงานซูเปอร์ฮีโร่ที่มีชื่อเสียงของแฟนๆ “แบทแมนเป็นหนังที่อยู่คู่กับพวกเรา เพราะเรามักจะมองหาคนที่เป็นฮีโร่และแบทแมนคือตัวแทนสิ่งนั้น” เขากล่าว “เขามีความกล้าหาญและมีความเป็นฮีโร่อยู่ในคนๆ เดียวกัน แต่ก็มีความลึกลับซับซ้อนอยู่ในตัวด้วย แม็ตต์ได้สร้างหนังที่ใช้ความโกรธแค้นในตัวผลักดันความเป็นฮีโร่ของเขา การทำลายล้างและความเสียหายจากการเดินทางของเขา ซึ่งจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง สำหรับผมแล้วมันคือสัญลักษณ์แห่งความหวังที่แบทแมนเป็นตัวแทนและเป็นที่ต้องการในปัจจุบัน”
โรเบิร์ต แพททินสันเองก็เห็นความแตกต่าง ความตื่นเต้นของเรื่องราว และการพลิกอารมณ์ที่น่าสนใจ “ในหนังเรื่องก่อนๆ แบทแมนคิดว่าสัญลักษณ์ของแบทแมนและสิ่งที่เขาทำลงไปจะสร้างขวัญกำลังใจให้เมืองดีขึ้น และสร้างอนาคตที่สดใสขึ้น” นักแสดงชายกล่าว “แต่ในเรื่องราวของแม็ตต์ แบทแมนมีทั้งความโศกเศร้าและการททำลาย เขาไม่คิดว่าก็อตแธมจะเยียวยาตัวเองได้ แต่จะวนกลับมาสู่จุดเดิม เขาต่อสู้อย่างไร้ความหวัง ผมชอบไอเดียที่แบทแมนยอมให้ตัวเองมีความหวังขึ้นมาบ้างในท้ายที่สุด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด เพราะเขาปิดกั้นตัวเองจากการรับทุกความรู้สึก ก็อตแธมเปิดโอกาสให้เขาได้เห็นความหวัง”
รีฟส์กล่าวสรุป “ในฐานะของผู้เล่าเรื่องราว มีเรื่องราวมากมายที่ผมอยากถ่ายทอด แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมและทุกคน คือการทำให้หนังเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ชม เราอยากพาทุกคนออกเดินทางไปพร้อมกับแบทแมน หวังว่ามันจะมีความหมายสำหรับพวกเขา และยังคงเคารพในเรื่องความเป็นมาของตัวละครนี้ที่สร้างแรงบันดาลใจต่อการถ่ายทอดเรื่องราวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า”