โอ้ พระ เจ้า
ผลงานจากนิว ไลน์ ซีเนม่า สู่ภาพยนตร์เรื่อง “Shazam! Fury of the Gods” เรื่องราวภาคต่อของ บิลลี่ แบทสัน เด็กวัยรุ่นผู้เอ่ยคำวิเศษ “ชาแซม!” แล้วกลายเป็นผู้ใหญ่ในร่างซูเปอร์ฮีโร่ผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างชาแซม
เรื่องราวภาคต่อของซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นจะมาสร้างความตื่นเต้น การผจญภัย และความตลกมากขึ้น พร้อมด้วยดินแดนแห่งใหม่ อุปสรรคครั้งใหญ่ เหลาสัตว์ประหลาด และตัวละครแห่งตำนานของซูเปอร์ฮีโร่เรา ตอนนี้เขาได้รับพลังจากเทพเจ้าอย่างเต็มที่ บิลลี่ แบทสันและเพื่อนวัยเด็กของเขาต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นที่มีพลังซูเปอร์ฮีโร่ของผู้ใหญ่ แต่เมื่อลูกสาวของแอตลาสทั้ง 3 ของเทพสมัยโบราณผู้มีความแค้นเดินทางมายังโลก เพื่อตามหาพลังวิเศษที่ถูกขโมยไปเมื่อนานมาแล้ว บิลลี่หรือชาแซมและครอบครัวของเขาต้องอยู่ในสมรภูมิรบ เพื่อพลังวิเศษของพวกเขา ชีวิตของพวกเขา และชะตากรรมของโลก แต่กลุ่มวัยรุ่นจะปกป้องโลกนี้ได้หรือไม่?
ภาพยนตร์เรื่อง “Shazam! Fury of the Gods” ได้ทีมนักแสดงเดิมกลับมาร่วมงาน อาทิ แซคารี ลีวาย (“Thor: Ragnarok”) รับบทชาแซม; แอชเชอร์ แองเจิล (“Andi Mack”) รับบทบิลลี่ แบทสัน; แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์ (“It Chapter Two”) รับบทเฟรดดี้ ฟรีแมน; อดัม โบรดี้ (“Promising Young Woman”) รับบทซูเปอร์ฮีโร่เฟรดดี้; รอส บัตเลอร์ (“Raya and the Last Dragon”) รับบทซูเปอร์ฮีโร่ยูจีน; มีแกน กู้ด (“Day Shift”) รับบทซูเปอร์ฮีโร่ดาร์ล่า; ดี.เจ. โคโทรน่า (“G.I. Joe: Retaliation”) รับบทซูเปอร์ฮีโร่เปโดร; เกรซ แคโรไลน์ เคอร์รีย์ (“Annabelle: Creation”) รับบทแมรี่ บรอมฟิลด์ / ซูเปอร์ฮีโร่แมรี่; เฟธ เฮอร์แมน (“This Is Us”) รับบทดาร์ล่า ดัดลีย์; เอียน เฉิน (“A Dog’s Journey”) รับบทยูจีน ชอย; โจแวน อาร์แมนด์ (“Second Chances”) รับบทเปโดร พีน่า; มาร์ทา มิลานส์ (“White Lines”) รับบทโรซ่า วาสเควส์; คูเปอร์ แอนดรูว์ส (“The Walking Dead”) รับบทวิคเตอร์ วาสเควส์ ร่วมด้วยจีมง อูนซู (“A Quiet Place Part II”) รับบทพ่อมด
นักแสดงที่มาร่วมเสริมในทีม ได้แก่ ราเชล เซกเลอร์ (“West Side Story”) ลูซี่ หลิว (ภาพยนตร์แฟรนไชส์ “Kung Fu Panda”) และเฮเล็น เมอร์เรน (“F9: The Fast Saga”)
กำกับภาพยนตร์โดย เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก (“Shazam!,” “Annabelle: Creation”) อำนวยการสร้างฯ โดยปีเตอร์ ซาฟราน (“Aquaman,” “The Suicide Squad”) เขียนบทฯ โดย เฮนรี่ เกย์เด็น (“Shazam!,” “There’s Someone Inside Your House”) และคริส มอร์แกน (“Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw,” “The Fate of the Furious”) สร้างอิงจากตัวละครของดีซี ผลงาน Shazam! ผลิตโดยบิล ปาร์คเกอร์ และ ซี.ซี. เบ็ค อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยวอลเตอร์ ฮามาดะ, อดัม ชแล็กแมน, ริชาร์ด บรีเนอร์, เดฟ นิวสแตดเดอร์, วิคตอเรีย พัลเมรี่, มาร์คัส วิสซิดี้ และ เจฟฟ์ จอห์นส
ทีมงานเบื้องหลังผู้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ แซนเบิร์ก ได้แก่ ผู้กำกับภาพ กิลา ปาโดส (ภาพยนตร์แฟรนไชส์ “Jumanji”) ผู้ออกแบบฉาก พอล เคอร์บี้ (“The Old Guard,” “Jason Bourne”) และผู้ลำดับภาพ มิเชล อัลเลอร์ (“Shazam!,” “The Nun”) ผู้ควบคุมดนตรี ซีซัน เคนท์ (“DC League of Super-Pets,” “The Addams Family 2”) และดนตรีโดยคริสทอฟ เบ็ค (“Free Guy,” “Frozen II”) ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ บรูซ โจนส์ (“Aquaman,” “It”) และเรย์มอนด์ เชน (“Alita: Battle Angel,” “The Meg”) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย หลุยส์ มินเกนแบช (“Jumanji: The Next Level,” “Godzilla: King of the Monsters”)
นิว ไลน์ ซีเนม่า นำเสนอผลงานของ A Peter Safran Production of A David F. Sandberg Film เรื่อง “Shazam! Fury of the Gods” มีกำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ต่างประเทศเริ่ม 15 มีนาคม 2023 และในอเมริกาเหนือวันที่ 17 มีนาคม 2023
รายละเอียดการถ่ายทำ
เรามีภารกิจหนึ่งที่ต้องทำ: ปกป้องโลก!
—ชาแซม
ภาพยนตร์ผจญภัยสุดยิ่งใหญ่เรื่องใหม่ “Shazam! Fury of the Gods” เป็นจุดพลิกผันการกลับมาของซัคคารี่ ลีวาย ผู้รับบทชาแซม เด็กวัยรุ่นที่มีความจริงใจใสซื่อและมีไหวพริบผู้กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของดีซี พร้อมด้วยครอบครัวชาแซมที่ได้ครอบครองพลังวิเศษ เผชิญหน้ากับลูกสาวของแอตลาส พลังจากเทพแห่งกรีกทั้ง 3 และเหล่าสัตว์ประหลาดจะทำทุกทาง เพื่อทวงคืนเส้นทางชีวิตและทำลายล้างโลก!
ภาพยนตร์เพิ่มระดับความเข้มข้นของฉากแอ็คชั่น โลกใบใหม่ การเดิมพันกับเรื่องราวในตำนาน ความเป็นฮีโร่ ความร้ายกาจของเหล่าร้าย และมุกตลกอันเป็นเอกลักษณ์ในแบบลีวาย บวกด้วยการกำกับฯ ของเดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์กที่ตอบ “ตกลง” อย่างง่ายดาย ก่อนที่จะมีการเขียนบทของเฮนรี่ เกย์เด็น และ คริส มอร์แกน
“ผมสนุกกับเรื่องราวก่อนจะได้อ่านบทด้วยซ้ำ!” ลีวายเล่าถึงตอนนั้น “ตอนที่เดวิดและเฮนรี่เล่าคอนเซปต์ทั้งหมดให้ฟัง ทำให้ผมพร้อมมีส่วนร่วมด้วยเลย ผมคิดว่า ‘นี่คือส่วนผสมที่ลงตัวในการสร้างภาคต่ออย่างสมบูรณ์แบบจากสิ่งที่เคยสร้างเอาไว้ ผมตื่นเต้นมากที่จะได้กลับมาร่วมงานกับเหล่านักแสดงและทีมงานทุกคนที่ผมรัก และนี่เป็นบทที่สนุก ได้เป็นซูเปอร์ฮีโร่และมีความสนุกสนานมาก”
แซนด์เบิร์กกลับมาทำหน้าที่กำกับความตื่นเต้นของเรื่องราวและตัวละครในอีกขั้น เขาเล่าว่า “ท้ายที่สุดของ ‘Shazam!’ ทำให้เราได้รู้จักครอบครัวทั้งหมดในแบบซูเปอร์ฮีโร่ แต่ก็ยังมีเรื่องให้เราได้สังเกตเห็นบางอย่าง ความตื่นเตนอย่างหนึ่งสำหรับผม คือการได้สำรวจชีวิตวัยรุ่นของพวกเขา และการร่วมมือกันในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งเราน่าจะพอเดาได้ว่ามันไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป อย่างชาแซมที่ยังมีความเป็นเด็กในหัวใจ บางคนก็เด็กมากและทำอะไรแบบเด็กๆ”
แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องยังคงมีความลับอย่างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในหัวใจหลักของเรื่อง ลีวายเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ครองใจผู้ชมทุกวัย เขาเปิดเผยว่า “มันคือความสมปรารถนา! ช่วงหนึ่งในชีวิตเราจะอยากมีฝันที่ได้กลายเป็นอะไรสักอย่างเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ มีความเข้มแข็ง ว่องไว กล้าหาญขึ้น หรือมีส่วนสำคัญกับโลกใบนี้ นั่นคือเหตุผลที่หนังสือการ์ตูนเต็มไปด้วยสีสันแห่งจินตนาการ ความฝัน และความมหัศจรรย์ที่เราจะหายไปอยู่กับมันได้ ผสมกับอีกหลายความรู้สึก มุกตลก พร้อมด้วยการกำกับฯ ของเดวิด บทภาพยนตร์ที่น่าทึ่ง ทีมงานและนักแสดงที่มีฝีมือของเรา ทุกอย่างมารวมกันเพื่อสร้างหนังซูเปอร์ฮีโร่สำหรับทุกคน และเป็นหนังที่มีความสนุกมาก”
ผู้อำนวยการสร้างฯ ปีเตอร์ ซาฟรานได้กลับมาร่วมงานในภาคนี้ด้วยสไตล์อันมีเอกลักษณ์ ในแบบที่ทำให้ชาแซมออกมาเป็นชาแซมเช่นเดิม “เพราะนี่คือหนังของชาแซม มันต้องมีเรื่องของครอบครัวเป็นหลัก ไอเดียเรื่องความผูกพันในครอบครัวที่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องแค่ทางสายเลือด ฉะนั้นในภาคสองเราจะเห็นว่าบิลลี่มีครอบครัวแล้ว คำถามคือ เขาจะพร้อมปกป้องรักษาครอบครัวนั้นมากแค่ไหน?”
เกย์เด็นและมอร์แกนต้องรับภารกิจที่ต่อเนื่องจากภาคแรก สู่อนาคตที่เด็กๆ ต้องกลายเป็นฮีโร่ทั้ง 2 ฟากฝั่งของชีวิตเขา “สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเขียนเรื่อง ‘Shazam!’ คือเมื่อเรารู้ว่าบิลลี่ต้องการอะไร เขาเป็นใคร เฟรดดี้เป็นใคร ตัวละครเหล่านี้มีความตลกขนาดไหน เนื้อเรื่องก็ลงตัวเหมือนจับวาง การพูดคุยกับเดวิด ปีเตอร์ และทาง New Line เรื่องการพัฒนาภาคต่อของเรา มันคือการให้เกียรติตัวละครเหล่านั้น และเป็นการสานต่อเรื่องราวของบิลลี่ เฟรดดี้ และคนอื่นๆ อย่างสมเกียรติด้วย”
ความงดงามในการรักษาความสมจริงของตัวละครเหล่านี้เอาไว้ เกย์เด็นเล่าว่าอยู่ตรงที่ “มุกตลกออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเราพยายามสร้างบรรยากาศชวนหัวเราะ มันก็เกิดขึ้นได้เลย และเรามีโอกาสแสดงสดหลายช่วงระหว่างที่มีฉากแอ็คชั่นสุดยิ่งใหญ่ เหมือนเป็นการเพิ่มการเดิมพันจากภาคแรกสูงขึ้นไปอีก”
การปรับเปลี่ยนพลังของชาแซมไม่ใช่แค่ความแปลกใหม่ที่เรียกความสนใจจากแซนด์เบิร์กได้ “มันน่าตื่นเต้นมากที่มีเทพกรีก ได้เห็นชาแซมรับพลังนั้นมา และเรียนรู้ความอันตรายจากผู้ที่ไม่แฮปปี้กับการใช้พลังของเขา จนทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพกับเหล่าซูเปอร์ฮีโร่” เขากล่าว
สำหรับนักแสดงลีวาย การจับคู่ระหว่างซูเปอร์ฮีโร่กับเหล่าเทพคือเรื่องที่ลงตัวมาก “ตำนานกรีกมักจะเห็นได้จากความเป็นดีซีในหลายเรื่อง ผมเลยคิดว่านี่เป็นไอเดียที่เจ๋ง พอพวกเขาเสนอไอเดียนี้ผมรู้สึกว่า ‘เอาเลยๆ!’ ชาแซมมีความเป็นเทพกรีกสูงมาก และมีความเป็นกึ่งเทพกับผู้มีอิทธิพล ทำให้เข้าใจได้ว่าโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร”
ทวยเทพผู้เป็นลางร้ายทั้ง 3 อย่างเฮสเพร่า คาลิปโซ และแอนเธีย รับบทโดยนักแสดงรุ่นเฮฟวี่เวทของฮอลลีวูดอย่างเฮเล็น เมอร์เร็น, ลูซี่ หลิว และ ราเชล เซกเลอร์
เมอร์เร็นเล่าว่า “สิ่งที่ฉันรักในเรื่อง ‘Shazam!’ ภาคแรก และเป็นเหตุผลที่ฉันยินดีจะเซ็นต์สัญญาแสดงในภาคนี้ คือไอเดียที่แหวกแนวของเด็กๆ ที่ถูกกลั่นแกล้งและล้อเลียน ทุกคนกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ พวกเขาบินได้ สร้างเรื่องมหัศจรรย์ได้ และพยายามทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น มันสะท้อนถึงความฝันตอนเราเป็นเด็ก และผสมกับตำนานที่ดูจะมีคาวามสนุกมาก ฉันคิดว่าบางทีเราลืมไปว่าเมื่อหลายพันปีก่อนผู้คนเชื่อในพระเจ้าเหล่านี้ และคิดว่าพระเจ้าควบคุมชีวิต เราเรียกว่าตำนาน แต่พวกเขาเชื่ออย่างจริงจัง และพวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรานี่ล่ะ”
หลิวเป็นแฟนตัวยงภาคแรก เธอแฮปปี้มากที่ได้มารับบทเข้มข้นอย่างคาลิปโซ่ “ในเรื่อง ‘Fury of the Gods’ ดูจะขยายใหญ่กว่าภาคแรกไปเยอะเลยค่ะ ซึ่งมันน่าสนุกมาก เราจะเห็นความเป็นชาแซมมากขึ้น พวกเขามารวมตัวกันต่อสู้กับพลังเทพอย่างไร และเทพทั้งหลายไม่ได้มาเล่นๆ! พวกเขามาสร้างสีสันเพิ่มจากความเป็น ‘Shazam!’ ที่มีอยูแล้วแต่เดิม ฉันตื่นเต้นมากค่ะที่ได้มีส่วนร่วม”
ในฐานะของน้องสาวคนเล็กสุด แอนเธียต้องหาทางรับมือกับพี่น้องของตัวเองที่มีพลังอย่างมหาศาล ไม่ต่างจากหลิว เซกเลอร์มากองถ่ายพร้อมด้วยความเข้าใจในโลกใบนี้อย่างดี “ฉันรัก ‘Shazam!’ ภาคแรกมาก แม้ว่าจะไม่ได้รับบทนี้ก็ยังเปิดดูบ่อยอยู่ดี มันเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ มีหลายความรู้สึก มีเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว และมีแง่คิดของเด็กๆ ที่มีพลังวิเศษอย่างที่เราเคยใฝ่ฝัน ตอนที่ได้อ่านบทมันมีกลิ่นอายแบบภาคแรกอย่างงดงาม และมีเหล่าร้ายที่มาอีกรูปแบบจนทำให้ผมรักเรื่องนี้ทันที”
“หนังเรื่องนี้อลังการยิ่งใหญ่กว่าภาคแรก” แซนด์เบิร์กกล่าว “เรามีพื้นที่ให้เล่นกว้างขึ้น และเรามีเอ็ฟเฟ็กต์ยิ่งใหญ่ที่จะสร้างความตื่นเต้นแน่นอน เรามีฉากแอ็คชั่น ภาพและเสียงต่างๆ ที่จัดเต็มเป็นพิเศษ หนังเรื่องนี้ถ่ายทำขึ้นมาสำหรับจอยักษ์และเสียงที่กระหึ่ม ผมดีใจมากที่เราจะฉายในระบบ IMAX, Dolby Atmos และฟอร์แมตระดับพรีเมียมอื่นๆ ที่เหมาะสำหรับการรับชม อย่างเวลาเรามีลำโพงบนเพดาน ผู้ชมจะได้ยินเสียงสายฟ้าที่ฟาดดังอยู่ด้านบน มังกรที่บินอยู่รอบตัว ลมหายใจที่ดังรดต้นคอ! คุณควรได้สัมผัสความรู้สึกนั้นในหนังเรื่องนี้”
ซาฟรานเห็นด้วยว่า “ในหนังเรื่องนี้เราได้พบกับสถานที่ใหม่ๆ ที่แอบเผยให้เห็นในหนังภาคแรก เรามีวายร้ายและสัตว์ประหลาดหน้าใหม่ ในเรื่อง ‘Shazam! Fury of the Gods’ มีครบทุกสิ่งที่ผู้ชมรักจากภาคแรกอย่างไม่มีตกหล่น”
แน่นอนว่าขณะที่ฉากแอ็คชั่นคือส่วนสำคัญของเรื่อง ผู้สร้างภาพยนตร์เองก็รู้สึกว่าความสำคัญอยู่ที่รายละเอียดต่างๆ จากภาคแรกด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะสิ่งที่แซนด์เบิร์กเลาว่า “นักแสดงต่างๆ ที่เรามีในเรื่อง เราโชคดีมากเรื่องนักแสดงจากภาคแรก พวกเขาแสดงให้เห็นความเป็นครอบครัว แต่ก็มีความเป็นครอบครัวร่วมกับแซ็คผู้เป็นเด็กตัวใหญ่กว่าทุกคนด้วย ความตื่นเต้นคือการได้หวนกลับมาสู่โลกใบนี้ร่วมกับพวกเขา และผมคิดว่าผู้ชมจะตื่นเต้นด้วยเช่นกัน”
ฉันใช้เวลานับพันปีเพื่อตามหาผู้ชนะที่คู่ควร—
นายรู้ดีว่าต้องจัดการเรื่องอะไร!
—พ่อมด
นักแสดง และ ตัวละคร
เวลาผ่านไป 2-3 ปีนับจากวันฉายภาคแรก เด็กๆ ในครอบครัวชาแซมโตขึ้นบ้างแล้ว ทำให้มีเรื่องที่ต้องตัดสิน เพราะไม่มีใครเหมือนบิลลี่ ที่มีความกระตือรือร้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนก็ตาม การตามหาซูเปอร์ฮีโร่ของพวกเขาจึงต้องใช้เวลาพอควร แต่ก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทุกคนที่จะต้องพบหลากหลายเรื่องราว ทั้งเรื่องหนุ่มๆ สาวๆ ที่โรงเรียน และเรื่องชะตาของทั้งเมืองและโลก
ช่วงเปิดตัวภาพยนตร์ บิลลี่ แบทสัน เติบโตไปมาก แต่ถึงแม้เขาจะเป็นส่วนหนึ่งในบ้านดูแลเด็ก Vasquez และครอบครัวอยู่พักหนึ่ง เขาคิดว่าทุกคนโตแล้วและมิตรภาพย่อมเปลี่ยนแปลงไป แต่บิลลี่ยังคงหาจุดหมายและที่พักพิงของเขาในช่วงการเปลี่ยนแปลงครอบครัว
แอชเชอร์ แองเจล กลับมารับบทบิลลี่ในร่างวัยรุ่น ผู้ชนะของพ่อมดที่ได้รับพลังวิเศษในการแปลงร่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่ผู้ใหญ่ได้เพียงเอ่ยคำว่า “ชาแซม!” พร้อมพลังวิเศษที่มาพร้อมความมั่นใจ และสร้างความเสียหายไว้เล็กน้อยเมื่อกลับเข้าสู่ร่างเดิม บิลลี่อายุมากขึ้นแต่ยังไม่ฉลาดสักเท่าไหร่นัก เขาต้องทำตัวให้คู่ควรกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่เขามี แต่การเดินทางมาถึงของเหล่าเทพที่ตั้งใจมาล้างแค้นทำให้อนาคตของครอบครัวเขาและมวลมนุษย์ตกอยู่ในอันตราย บิลลี่ต้องพยายามทำตัวเป็นฮีโร่ให้ได้อย่างที่ทุกคนต้องการ
แองเจิลเล่าว่า “เราโตมาพร้อมกับการดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ การได้เป็นส่วนหนึ่งในจักรวาลดีซีและเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของดีซีทำให้ผมทึ่งมาก มันรู้สึกพิเศษจริงๆ เวลาที่ผมอ่านบทเรื่องนี้จบ ผมโทรหาผู้สร้างฯ ปีเตอร์ ซาฟราน และบอกเขาว่าบทมีความเจ๋งขนาดไหน ผมบอกเขาทุกอย่างว่าผมชอบอะไรบ้าง ผมรู้สึกว่า ‘เอาเลย มาถ่ายทำเรื่องนี้กันเลย!’ ผมรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ ผมพร้อมมาก”
สิ่งสำคัญสำหรับนักแสดงและการเตรียมความพร้อมคือการสานต่อเรื่องราว รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครและนักแสดง “มันเป็นความรู้สึกดีที่ได้อยู่กับเด็กๆ ได้ใช้เวลาร่วมกับแจ็ค เฟธ โจแวน เอียน และทุกคนอีกครั้ง เรามีเวลาที่ดีร่วมกับ และผู้ชมจะได้เห็นเคมีระหว่างพวกเราบนหน้าจออีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่เราเฝ้ารอในเรื่อง” เขาสัญญา
ซัคคารี่ ลีวาย ผู้มีหัวใจเป็นเด็กกลับมารับบทบิลลี่ในร่างซูเปอร์ฮีโร่ผู้ใหญ่ ซาฟรานรับรองว่า “แซ็ค ลีวายอายุ 14 ขวบต้องอยู่ในร่างผู้ชายสุดหล่อสูง 6 ฟุต 4 ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากภาคแรกเลย เขามีความกระตือรือร้นกับบทนี้ที่กลายเป็นเด็กวัย 18 ปีที่ไม่หัวอ่อนเลย”
ลีวายเห็นด้วยว่าเขาตื่นเต้นกว่าเดิมที่ได้กลับมารับบทนี้ “เพราะในเรื่องนี้จะได้สัมผัสอารมณ์ของครอบครัว และบิลลี่อยากจะรวมตัวทุกคนไปพร้อมๆ กับการเป็นผู้นำขนาดไหน หากเขารู้สึกว่านั่นคือความรับผิดชอบของเขาในร่างชาแซม แต่เพราะเขายังเป็นเด็ก เขายังอายุน้อย เขาพยายามนึกภาพว่าการเป็นผู้นำคืออะไร และสิ่งที่ทำให้เขาสงสัยคือเฟรดดี้อยากมีเส้นทางของตัวเองอย่างลำพัง เพราะเขาอยากสร้างความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในแบบตัวเองขึ้นมา แม้บิลลี่จะรู้ว่าเขาคือส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่ก็มีบางอย่างในตัวเขาที่ยังไม่น่าเชื่อ เดี๋ยวก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร”
ความรู้สึกต่างๆ เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ แซนด์เบิร์กกล่าว “สุดท้ายบิลลี่ได้พบกับสิ่งที่เขาตามหาในภาคแรกคือครอบครัว แต่ตอนนี้เขากลัวจะสูญเสียมันไป เขาอยากให้ทุกคนร่วมมือกันเป็นทีมตลอดเวลา เขาต่อสู้อย่างหนัก เพราะทุกคนมีความต้องการต่างกัน และครอบครัวจะอยู่ติดกันตลอดเวลาไม่ได้ โดยเฉพาะเขาไม่อยากให้เฟรดดี้ออกไปทำภารกิจอะไรของตัวเองเลย”
แต่เฟรดดี้มีความคิดในแบบของเขา
เฟรดดี้ ฟรีแมนล่องลอยอยู่ในความฝัน เขาเพ้อฝันจริงๆ หลังจากที่ได้พลังวิเศษจากเพื่อสนิทของเขาและพี่น้องที่เลี้ยงดูมาด้วยกัน เขายังคงตามหาเส้นทางของตัวเอง ตอนนี้เฟรดดี้เอาชนะขีดจำกัดของตัวเองในแบบวัยรุ่นได้แล้ว และพยายามแสดงให้เห็นพลังที่เพิ่งค้นพบใหม่ โดยเฉพาะกับสาวหน้าใหม่ที่โรงเรียน แต่หากเขาจะฉีกแนวของตัวเองขึ้นมาจริงๆ เขาอาจจะพบกับหายนะ… ครั้งใหญ่ และอาจเลวร้ายกว่านั้นคือการทำอะไรลับหลังบิลลี่
แจ็ค ดีแลน กราเซอร์กลับมารับบทเดิม เขาเล่าว่า “ในภาคแรกเหมือนเป็นการทดลองและพบความผิดพลาดไปกับเฟรดดี้ที่ช่วยบิลลี่ค้นพบพลังในร่างชาแซม ส่วนในภาคนี้พวกเขารู้วิธีเหาะ มีปีกของตัวเอง ได้โชว์พลังเต็มที่ ในมุมของเฟรดดี้คิดว่าครั้งนี้เขาควรจะทำอะไรด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพากัน แน่นอนว่าเฟรดดี้อยากค้นหาคำตอบทุกเรื่องในสิ่งที่เขาคิดว่าจะแก้ไขได้ในฟิลาเดเฟีย”
ซึ่งการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ส่วนหนึ่งของทีม หมายถึงการรักษาความปลอดภัยให้กัน และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่เด็กๆ จะได้เรียนรู้มัน “ในเรื่อง ‘Fury of the Gods’ ยกระดับฉากแอ็คชั่นมากขึ้น มีดราม่าที่เข้มข้นขึ้น และได้พบกับเหล่าร้ายสุดอันตรายทั้ง 3 แต่ก็มีการสะท้อนให้เห็นด้วยว่าเด็กๆ พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เป็น” กราเซอร์ยอมารับ “ความคิดของเฟรดดี้คือ ‘ออกไปสู้กับเหล่าร้ายหรืออะไรก็ตามที่เราจะจัดการได้ภายใต้ผ้าคลุมและชุดนี้กัน’ เพราะเขาเห่อกับพลังใหม่ของตัวเองมาก
“ผมคิดว่าสิ่งที่หลายคนจะอินได้คือพวกเขาได้เรียนรู้จากความผิดพลาด และเติบโตตามที่ได้เรียนรู้มา” เขากล่าวต่อ “พวกเขาได้พัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้พวกเขาเรียนรู้การเป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้”
“บิลลี่ไม่อยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่สักนิด แต่เขาต้องเป็นแบบนี้และต้องเรียนรู้วิธีรับมือกับมัน” แซนด์เบิร์กกล่าว “เฟรดดี้พร้อมมากและเขาก็ชอบเหลือเกิน เขาอยากทำอะไรมากขึ้น อยากทำอะไรตามใจตัวเอง เป็นฮีโร่เต็มตัว ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของครอบครัว เพราะบิลลี่ไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เขาไม่มีกฎเกณฑ์อะไรสักอย่างจนทำให้เกิดเรื่องผิดใจกัน”
อดัม โบรดี้มองหาชุดซูเปอร์สูทอีกครั้งในแบบไซส์ผู้ใหญ่สำหรับซูเปอร์ฮีโร่เฟรดดี้ “นี่เป็นบทที่ดีมากทั้งภาคแรกและภาคต่อ มีการลงลึกถึงรายละเอียดตัวละครทั้งเด็กและผู้ใหญ่” เขากล่าว “และก็มีรายละเอียดหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ซึ่งจะสร้างความเซอร์ไพรส์ได้ มีความสนุกหลายเรื่องและมีความอลังการมากกว่าภาคแรก ผมตื่นเต้นมากที่ได้ขยายรายละเอียดออกมามากขึ้น ตัวละครมีความสนุกสนานและครั้งนี้ผมมีอิสระที่จะเข้าไปสำรวจอะไรมากขึ้น”
อิสระที่ว่านั้นโบรดี้เล่าได้แรงผลักดันมาจากแซนด์เบิร์ก “เดวิดเป็นผู้กำกับฯ ที่มีอิสระมาก เขาจะทำเพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ แต่เราก็ต้องถ่ายทอดการแสดงและใส่ไอเดียเรื่องต่างๆ ลงไปด้วย เขาเปิดรับกับสิ่งเหล่านั้นมาก”
โบรดี้มีความสุขที่ได้สำรวจในมุมความไม่ธรรมดาของเฟรดดี้ในครั้งนี้มากขึ้น “ชาแซมพร้อมใส่ใจรายละเอียดของภารกิจมากขึ้นในฐานะของผู้นำ ส่วนเฟรดดี้ไม่ได้รับการฝึกฝนแบบนั้น ซึ่งดูเขาจะมีความมั่นใจมากเกินไปสักหน่อย แต่ผมว่านั่นคือเสน่ห์ของเขาอย่างหนึ่ง” เขายิ้ม
แม้ว่าฉากต่างๆ ของเฟรดดี้จะดูไม่ถามหาภารกิจอะไร โบรดี้สนุกที่ได้เห็นการเทียบกันระหว่างเกรเซอร์กับพ่อมดของไจมอน ฮอนซู “ไจมอนมีความน่าทึ่งและผมต้องเข้าฉากร่วมกับเขาบ้าง แต่เมื่อไจมอนและแจ็คมาพบกัน มันเหมือนกันคู่หูตำรวจที่ไม่ถูกคู่สักเท่าไหร่ ผมจะไม่บอกอะไรมากนัก แต่ผมรักไอเดียของการสร้างความตลกให้พ่อมด เพราะปกติแล้วพ่อมดต้องดูเคร่งขรึม โดยเฉพาะเวลาที่เขาต้องเจอกับเหล่าวัยรุ่นที่ชอบแหกกฎ”
แน่นอนว่าตัวนักแสดงเองก็มีความเป็นวัยรุ่นอยู่ในตัว “ผมต้องรับบทเด็กและก็ต้องแสดงอะไรซื่อบื้อออกมา อันที่จริงทุกคนมีความซื่อบื้ออยู่ในตัว ลูซี่และเฮเล็นก็แสดงบนหน้าจอได้อย่างจริงจัง เพราะตัวละครของพวกเขาเป็นแบบนั้น แต่นอกจอพวกเขาก็ไม่เป็นแบบนั้น ผมรู้สึกชื่นชมมากเลย”
เมื่อพูดถึงความเคร่งขรึม… พี่คนโตสุดในบรรดาพี่น้องชาแซมอย่างแมรี่ บรอมเฟลด์อยู่ในช่วงที่จะก้าวเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว เธอต้องควบคุมพลังวิเศษเอาไว้ด้วยหน้าที่การงานช่วงกลางวัน และการเรียนในมหาวิทยาลัยของเธอกลับต้องใช้พลังเหนือมนุษย์
เกรซ แคโรไลน์ เคอร์รีย์กลับมารับบทเดิมอีกครั้งในภาคตอ “ตอนที่เราเล่นภาคแรกรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เล่นหนังที่มีผู้คนมากมายที่ฉันรู้จักและตื่นเต้นจะได้ดูหนัง เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ในเรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัวและการทำตัวติดกัน รวมถึงเรื่องความรักที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสายเลือดเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่งดงามมาก และเหมือนกับภาคแรกที่มีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเด็กๆ และพ่อแม่บุญธรรม รู้สึกอบอุ่นมากค่ะ
ครั้งนี้แมรี่เป็นคนหนึ่งที่พบความเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ “แมรี่อยู่ในช่วงเรียนจบไฮสคูลแบบงงๆ ไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัย เหมือนความรู้สึกเธอที่ซ่อนอยู่ปลดปล่อยออกมา ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป เธอกำลังเลือกถูกทางที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะเธอต้องต่อสู้กับทุกเรื่อง เธอรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขและไม่เป็นที่พอใจของที่บ้าน”
ในบางมุม แมรี่ ผู้ที่อายุมากสุดกลับเป็นผู้ที่เข้าใจดีที่สุดว่าน้องชายของเธอมาจากที่ไหน และรู้สึกว่าต้องดูแลรับผิดชอบกับน้องชายของเธอ “บิลลี่เกาะติดกับทุกคน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขามีครอบครัว เขาห่างเหินความรู้สึกนี้มาเป็นเวลานาน ตอนนี้เขามีพวกเรา เขาไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร”
การเกาะติดกันไม่จำเป็นว่าจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้ “เด็กๆ จะได้รู้ว่าการเป็นซูเปอร์ฮีโร่แล้วไม่ทำหน้าที่ตัวเองเป็นอย่างไร พวกเขาปกป้องผู้คน และปกป้องสะพาน จากนั้นเกิดความผิดพลาด! เหล่าร้ายได้ก้าเข้ามาพุ่งเป้ามาที่เด็กๆ ที่ไม่รู้ว่าจะสู้กับพวกเขาอย่างไร ทุกเหล่าร้ายคือฮีโร่ในเรื่องราวของตัวเอง โดยเฉาพะเฮสเพร่า คาลิปโซ่ และแอนเธีย ผู้เชื่อว่าพวกเธอนำความยุติธรรมสู่เทพ และพุ่งเป้าไปที่บิลลี่ผู้เป็นต้นเหตุ พวกเธอเชื่อว่าหากตามล่าตัวเขาและจัดการได้ ความอยุติธรรมจะหายไป”
แม้แต่ดาร์ล่า ดัดลีย์ สมาชิกน้องเล็กสุดในครอบครัวชาแซมก็ดูเปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ อย่างแรกคือในฐานะของซูเปอร์ฮีโร่ดาร์ล่า เธอดูแข็งแกร่งเหมือนพี่สาวของเธอ จากภายในสู่ภายนอก พลังของเธอเหมาะสมเข้ากับความขี้สงสัย ความจริงใจ และความมุ่งมั่นที่จะมอบความอ่อนหวานให้กับชีวิตทุกคน
“ตอนนี้ดาร์ล่าเติบโตขึ้นแล้ว แต่ยังอายุน้อยสุดในครอบครัวเหมือนเดิม และยังคงมองโลกแง่ดี มองเห็นข้อดีในตัวทุกคน” แซนด์เบิร์กมั่นใจ “แม้แต่ยามที่เธอต่อสู้กับวายร้าย เธอปฏิบัติกับทุกคนด้วยความเคารพและยุติธรรม” แม้ว่าเธอจะโตขึ้นแล้ว? “เธอก็ยังเชื่อในยูนิคอร์นเหมือนเดิม”
เฟธ เฮอร์แมน กลับมารับบทดาร์ล่าสาวน้อยสดใส เธอพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้พี่ชายไว้ใจ… แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ดาร์ล่าเป็นน้องสาวที่น่ารัก เธอเก็บความลับได้ดี แต่ฉันคิดว่าเธอไม่อยากมีความลับกับครอบครัว หากนั่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวของเธอ” เฮอร์แมนกล่าว “ในภาคแรกเธออยากบอกพ่อกับแม่เรื่องที่เธอรู้เกี่ยวกับบิลลี่ แต่ตอนนี้เธอได้เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจใหญ่ และสิ่งสำคัญคือต้องเก็บไว้เป็นความลับ”
ดาร์ล่าอาจโตพอที่จะได้รับความไว้ใจเรื่องความลับที่สำคัญทุกเรื่อง เธอกับพี่สาวต่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่อสู้กับความชั่วร้ายในบางเวลา แต่โชคดีที่เธอยังคงความเป็นเด็กอยู่ในตัว
เฮอร์แมนแชร์ความเห็น “ฉันคิดว่ามันดีมากเลยค่ะที่ดาร์ล่ารักกลิตเตอร์ ลูกกวาด และยูนิคอร์น แต่ก็มีความกล้าหาญมากพอและตื่นเต้นที่จะออกไปปกป้องโลกพร้อมยูจีน เปโดร บิลลี่ และทุกคน ซึ่งเธอช่วยได้มากเลยค่ะ”
“ฉันสนุกมากที่ได้รับบทดาร์ล่า” มีแกน กู้ด ผู้กลับมาร่วมทีมนักแสดงอีกครั้งและถ่ายทอดความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของดาร์ล่ากล่าว “ในภาคก่อนเรามีฉากแปลงร่างที่เท่มาก ผู้ชมได้เห็นพวกเขาใช้พลังซูเปอร์ฮีโร่ครั้งแรก แต่ในภาคนี้เราได้แสดงฝีมืออย่างเต็มตัว ได้ปกป้องผู้คนและเล่นฉากแอ็คชั่นที่น่าทึ่ง รู้สึกตื่นเต้นกับชุดใหม่และรูปร่างเข้าที่สำหรับภาคนี้
“ฉันรักตัวละครนี้และโดยเฉพาะที่สาวๆ ได้เห็นตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ เพราะดาร์ล่าคือสาวน้อยตัวจริง” กู้ดเล่าต่อ “ความวิเศษสุดของหนังเรื่องนี้คือพวกเด็กๆ ได้ใช้ชีวิตที่ดูมีความสุขมาก พวกเรามีครอบครัว มีพลังวิเศษ และตอนนี้ได้เผชิญหน้ากับเหล่าเทพ มีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง แตเรามีโอกาสได้เจอทุกคนเป็นการส่วนตัว ได้เห็นตัวตนที่แท้จริง และรู้เหตุผลที่พวกเขาต่อสู้ แม้จะเติบโตมาอย่างเจ็บปวด เราพยายามเป็นทีมต่อสู้ของฟิลลี่ ต้องพบหลายปัญหาและตัดสินใจว่าสิ่งที่เราทำมันถูกหรือผด แต่เราจะได้รู้ว่าเราทำได้ดีที่สุดขนาดไหน บางครั้งเราต้องทบทวนการตัดสินใจของเรามากขึ้นด้วย!”
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนในฉากเห็นด้วย คือการเลือกที่ซัคคารี่ ลีวายมีส่วนร่วมด้วยคือเสียงดนตรี กู้ดเล่าว่า “แซ็คเป็นคอดนตรี ในฉากเขาจะเปิดหลายเพลงมาก เราจะเริ่มเต้น ร้องเพลง เริ่มขอเพลง เราเพลินกับมันมาก วันแรกที่เฮเล็นมาเข้าฉากและเสียงเพลงดังขึ้น ตอนนี้เธอทั้งร้องเพลงและเต้นแล้ว ไม่ต่างกับลูซี่เลย พอเราอยู่ในชุดของเราที่พร้อมสำหรับฉากต่อสู้ แต่เสียงดนตรีดังขึ้นพวกเราถึงกับร้อง ‘เย้!’”
ในเรื่องราวจะมีตัวละครหนึ่งที่ไม่น่าจะร่วมปาร์ตี้เต้นรำได้ คือวัยรุ่นที่มีบุคลิกอย่างเปโดร พีน่า เขาต้องรับมือเรื่องความมั่นใจในตัวเอง แม้แต่การอยู่กับครอบครัว แต่การแปลงร่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของเขาได้ พร้อมความสนใจเรื่องเบสบอลทำให้เขาค่อยๆ ได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนอย่างไร
โจวาน อาร์มองด์กลับมารับบทเด็กที่คิดหลายเรื่องอยู่ในหัว “เปรโดร พีน่าเป็นเด็กขี้อายมาก แต่เขามีหลายสิ่งที่เขารัก ผมคิดว่าหนึ่งในนั้นที่สำคัญคือเรื่องเค-ป๊อป และตอนนี้เขาเริ่มชอบเบสบอล ซึ่งทำให้ โรซ่า แม่ของเขาแฮปปี้มากเพราะเป็นสิ่งที่แชร์ร่วมกันได้ เขามักจะสนใจเรื่อง ‘กล้าม’ และการสร้างกล้าม ผมคิดว่ามันก็ตลกดีที่สุดท้ายเขามีพลังของเฮอร์คิวลิส เพราะมันน่าจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการเลยล่ะ”
นอกจากเรื่องความมั่นใจแล้ว ยังมีบางอย่างที่เขาไม่กล้าบอกใคร และน้องสาวของเขาคือผู้ที่มอบความมั่นใจให้อย่างที่เขาต้องการ
“เปโดรจะเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบในกลุ่ม” แซนด์เบิร์กกล่าว “ตอนนี้เขาค้นพบตัวเองและในเรื่องนี้เราจะได้รู้จักเขามากขึ้น จากนั้นจะได้เห็นตัวตนของเขาเมื่อเขารู้จักตัวเองมากขึ้น”
ดี.เจ. โคโทรโน่ย้อนกลับมาหาเปโดรเวอร์ชันมีกล้ามหรือซูเปอร์ฮีโร่เปโดร “ผมอดที่จะตื่นเต้นกับการกลับมารับบทในเรื่อง ‘Shazam! Fury of the Gods’ ไม่ได้เลย” เขายิ้ม “ภาคแรกมันน่าทึ่งมาก เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวที่ดี แซ็ค แจ็ค แอชเชอร์และทุกคนแสดงฝีมือกันอย่างสนุกสนาน ทุกคนที่รับบทซูเปร์ฮีโร่ของครอบครัวมีความโดดเด่นในท้ายที่สุด และมีการบอกใบ้ให้เห็นว่าจะเจอเรื่องอะไรอีกบ้าง ความมั่นใจในทิศทางของหนังเรื่องนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมอยากมาร่วมงานด้วย และอยากสร้างความอลังการให้เกิดขึ้นในเรื่อง”
สุดท้ายโคโทรน่าอธิบายว่า “ช่วงแรกของเรื่องเราเข้าใจโลกที่พวกเขาอยู่ตั้งแต่นาทีแรก พวกเขาอยู่ในโลกที่คุ้นเคย เป็นครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่อย่างที่เห็น สำหรับผมแล้วความสนุกของเรื่องนี้อยู่ที่ได้เห็นเด็กๆ พยายามประคองชีวิตทั้งสองด้าน และพยายามเรียนรู้การทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี ความยิ่งใหญ่ของหนังเรื่องนี้มากกว่าภาคแรกและมีความมหัศจรรยากขึ้น มันมีความสนุกหลายอย่างจากภาคแรก และจะสร้างความน่าทึ่งได้นับพันเท่า”
โคโทรน่าเองก็รักเปโดรในเวอร์ชันที่เข้าถึงวัยรุ่น “ผมตื่นเต้นมากกับการรับบทนี้ เพราะมีความเป็นเด็กหลายมุมที่ผมสัมผัสได้จากช่วงที่ผมยังอายุน้อย” เขากล่าว “ผมคิดว่าเด็กหลายคนที่ขี้อายและรู้สึกไม่มั่นใจพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และนั่นคือเรื่องยาก ซึ่งเมื่อเด็กคนนี้มีพลังขึ้นมา เขากลายเป็นที่มีพลังวิเศษ เหมือนเป็นพระเจ้าในหลายเรื่องและมีความเข้มแข็ง แต่ความรู้สึกลึกๆ ยังคงไม่อุ่นใจอยู่ ผมคิดว่ามันมีสิ่งที่น่าสนใจในเรื่อง เวลาที่เราต้องรับผิดชอบทุกอย่างและมีพลังวิเศษ มันกระทบต่อสิ่งที่เราเป็นข้างในอย่างไร? เราหวังว่ามันจะเปลี่ยนเราได้ แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช่แบบนั้นเลย”
หนึ่งในพี่น้องที่ความสามารถไม่ต่างจากภาคแรกคือยูจีน ชอย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับเหล่าร้ายหรือการเตรียมตัวสำหรับสอบขับขี่ เมื่อเด็กติดวีดีโอเกมอย่างยูจีนเอ่ยคำว่า “ชาแซม!” ขึ้นมา เขาจะมีพลังวิเศษและความถนัดเรื่องการเล่นเกมของเขาสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ เมื่อเขาต้องแปลงร่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่ร่างผู้ใหญ่
เอียน เฉินรับบทวัยรุ่นและยืนยันว่า “ยูจีนเป็นคนชอบเล่นเกมและติดวีดีโอเกมมาก เขาคลั่งมันสุดๆ ผมคิดว่าในภาคแรกจะได้เห็นมุมนั้นกันบ้างแล้ว เพราะเขาชอบตะโกนใส่คอมพิวเตอร์ บางครั้งก็ลืมไปเลยว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่เขาจะใช้ความสามารถด้านเทคโนโลยีอย่างเป็นประโยชน์ เหมือนตอนที่เขาแฮ็คระบบรัฐบาลเพื่อช่วยบิลลี่ตามหาพ่อแม่ของเขา
“ตอนนี้เวลาผ่านไปพอควรแล้ว ผมคิดว่ายูจีนไม่ต่างจากคนอื่นที่ได้พบกับจุดแข็งของตัวเอง” เฉินเลาต่อ “แน่นอนว่ามันต้องแลกกับอะไรหลายอย่างเพื่อให้ได้พลังใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แต่เวลาผ่านไป 2 ปีพวกเขาเก็บตัวเงียบมาก และยังสร้างพลังสำหรับบิลลี่ที่ทำอะไรได้หลายอย่างหรือทำไม่ได้เลย พวกเขาต่อสู้กันกับทุกคน ไม่ก็ช่วยเหลือผู้คนทุกคนหรือไม่ช่วยใครเลย”
รอส บัตเลอร์กลับมาสวมชุดซูเปอร์ฮีโร่ของเขาอีกครั้งในร่างซูเปอร์ฮีโร่ยูจีน และเห็นด้วยกับเฉิน “ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ผู้คนจะสนุกกับการค้นพบว่าเราจะใช้พลังของพวกเราอย่างไร เราอยู่ในร่างนี้กันมานาน 2 ปีแล้ว ต้องใช้พลังของเรา ต้องมีหัวหน้าซูเปอร์ฮีโร่ แน่นอนว่าจะต้องเจอกับเรื่องตลกกันบ้าง และที่ขาดไม่ได้คือฉากแอ็คชั่นแบบจัดเต็ม”
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวยูจีน บัตเลอร์เล่าว่า “เมื่อตัวละครของผมเติบโตขึ้น ผมคิดว่าเพราะเขาอายุมากขึ้นเลยดูมีความฉลาดขึ้น” เขาหัวเราะ “เขาอยู่ในช่วงอายุที่เด็กวัยรุ่นเริ่มดื้อสุดๆ และเริ่มสร้างพื้นที่ของตัวเอง เขามีการเลือกใช้พลังของตัวเอง ตอนนี้เราจะเห็นเด็กพังค์คนนี้ยังคงเล่นวีดีโอเกม ยังคงวนเวียนกับสิ่งหเล่านั้น แต่ตอนนี้เขามีความคิดเห็นกับครอบครัวมากขึ้น พอมาผสมกับพลังที่มีจึงกลายเป็นการผสมผสานที่น่าสนุก”
โดยปกติแล้วเหตุผลสำคัญอยู่ที่พ่อแม่บุญธรรมผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างวิคเตอร์และโรซ่า วาสเควส์ พวกเขายังคงสนับสนุนสิ่งที่ลูกๆ สนใจ พวกเขาระวังเรื่องความเสี่ยงต่างๆ ที่จะกระทบการเงินของครอบครัว โดยที่ไม่ทันรู้ว่าเด็กๆ สามารถมีพลังเหมือนพระเจ้า และโตมาในร่างซูเปอร์ฮีโร่ต่อสู้กับเหล่าร้าย… หรือทำให้เกิดไฟฟ้าขึ้นในบ้านได้
แน่นอนว่าต้นกำเนิดพลังมาจากขุมพลังวิเศษที่คิดว่าหายไปแล้ว แต่เมื่อเกิดความมหัศจรรย์ขึ้น ใครจะให้นิยามได้ว่าความตายคืออะไร? หลังเวลาผ่านไปนับพันปีในการเฝ้ารอแชมป์ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ พ่อมดได้เลือกบิลลี่ แบทสัน เด็กวัยรุ่นผู้มีพลังเหมือนพระเจ้าที่แปลงร่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่ชาแซมร่างผู้ใหญ่ได้… ก่อนจะทำให้ตัวเองกลายเป็นฝุ่น แต่เมื่อเส้นแบ่งระหว่างเทพกับมนุษย์ถูกทำลายลง พ่อมดต้องพบกับความอ่อนแอและความลึกลับที่ยังคงอยู่
ในการกลับมารับบทสำคัญ ไจมอน ฮอนซู เล่าว่า “เราคิดว่าเขาตายไปแล้ว ซึ่งโชคดีที่พวกเขาพาผมกลับมา นั่นคือความมหัศจรรย์ในการเล่าเรื่องราว และผมดีใจมากที่ได้กลับมาอีกครั้งในภาค 2 ของ ‘Shazam’ รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นครอบครัวประหลาดนี้กลับมารวมตัวอีกครั้ง”
สำหรับฮอนซู บิลลี่เป็นฮีโร่เพียงคนเดียวในเรื่องที่สร้างขึ้นมา “แซ็คโผล่มาในเรื่อง ‘Fury of the Gods’ พร้อมด้วยความกระตือรือร้น เขาคือหัวใจของครอบครัว บนหน้าจอ และเบื้องหลังฉากต่างๆ เรียกว่าเป็นแชมป์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเลย”
ในเรื่อง “Shazam!” พ่อมดแทบจะสนใจแต่บิลลี่ ครั้งนี้เขาร่วมมือกับเฟรดดี้ได้เป็นอย่างดี “การร่วมงานกับแจ็คเป็นเรื่องที่สนุกมาก เขาทำตัวเป็นกันเองสุดๆ” ฮอนซูหัวเราะ “แต่มีความน่าทึ่งและมีความตลกที่เป็นธรรมชาติ ผมโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับเด็กเหล่านั้นครับ”
“ผมตื่นเต้นมากที่ทุกคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพราะนี่คือกลุ่มที่เจ๋งมาก” แซนด์เบิร์กกล่าว “และพวกเขาก็ทำให้งานของผมในฐานะผู้กำกับฯ ง่ายด้วย ไม่มีเรื่องดราม่าอะไรเว้นจากบนหน้าจอ นั่นคือตอนที่จะมีดราม่าเกิดขึ้นแต่นอกจอมีแต่เสียงหัวเราะและความสนุกสนาน”
ลีวายเล่าว่าสิ่งหนึ่งที่เขารักมากที่สุดในการกลับมารวมตัวกันคือ “ทุกคนมีการเดินทางของตัวเอง เด็กทุกคนมีการเติบโตและตัวตนชัดเจน มีช่วงเวลาที่สร้างความสดใสในเรื่อง และนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเวลาที่มีหลายตัวละคร”
แซนด์เบิร์กอธิบายว่า “เป็นช่วงเวลา 2 ปีแล้ว และพวกเขาก็ถูกยกเป็นฮีโร่มาตลอด แต่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขาเสมอไป พวกเขามีปัญหาเรื่องการร่วมงานกัน แม้ว่าจะไม่เคยเจออุปสรรคอะไรมาก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นที่ฟิลาเดเฟียเรียกว่าพวกเขาสร้างความเสียหายมากกว่าปกป้องอะไรได้ด้วยซ้ำไป แต่ตอนนั้นไม่มีเหล่าร้าย โดยเฉพาะไม่มีเหล่าร้ายระดับไม่ธรรมดา ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง”
เราอยู่ท่ามกลางสงคราม เราจะทำลายทุกสิ่ง
ผู้ชนะในอาณาจักรนี้ไม่สามารถขัดขวางเราได้!
—เฮสเพร่า
“ภาพยนตร์จากหนังสือการ์ตูนที่สุดย่อมมีความดีพอๆ กับความชั่วร้าย” ซาฟรานกล่าว “ในครั้งนี้เรามีเฮเล็น เมอร์เร็น, ลูซี่ หลิว และ เรเชล เซกเลอร์ มับบทบุตรแห่งแอตลาส และพวกเธอก็เกรี้ยวกราดสุดๆ เพราะพ่อมดขโมยพลังแห่งแอตลาสไป ซึ่งเป็นพลังที่ครอบครัวชาแซมได้ครอบครองตอนนี้ ผมรักที่เราสร้างตัวละครโหดเหี้ยมหน้าใหม่มาสู้กับครอบครัวชาแซม มันเป็นการต่อสู้ด้วยพลังวิเศษ เทพต่อสู้กับเทพด้วยกันเอง ผมบอกหรือยังว่าพวกเขามีมังกรที่มาร่วมการผจญภัยกับพวกเขาด้วย?”
เฮสเพร่า
บุตรแห่งแอตลาสคนโตสุดและการ์ดแห่ง Tree of Life คือเฮสเพร่า ผู้เดินทางมายังโลกเพื่อแก้แค้นให้กับการตายของพ่อและเหล่าเทพ ด้วยพลังที่เรียกว่า Power of the Elements เฮสเพร่าใช้มันเพื่อควบคุมพลังธรรมชาติสู้กับมนุษย์ รวมถึงครบอครัชาแซมในภารกิจของเธอที่จะมาทวงคืนความสมดุล
เฮเล็น เมอร์เร็นรับบทเทพผู้มาล้างแค้น “ฉันรักการรับบทเทพและราชินีค่ะ คุณน่าจะรู้อยู่” เธอกล่าวติดตลก “มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย บังเอิญทั้งนั้น! แต่แน่นอนว่าเฮสเพร่าคือเทพที่กลับมายังโลก พยายามทวงพลังจากเทพที่เคยมีเมื่อครั้งโบราณ”
ด้วยคำว่า “เทพธิดา” ทำให้นึกถึงสมัยโบราณที่ต้องมีผ้าคลุม มีการเล่นเกมกับชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์เพื่อความสนุก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทั้ง 3 ทำ
“ในเรื่องนี้มีการผสมผสานของตำนานกรีกกับตัวละครต่างๆ ในจินตนาการและความมหัศจรรย์” เธอกล่าว “และมีมังกรด้วย! แม้แต่พวกมังกรก็ยังโผล่มาให้เห็น อันที่จริงฉันอิจฉาน้องตัวเองมากที่ได้ขี่มังกรด้วย
“อันที่จริงแม้ว่าเฮสเพร่าจะโกรธแค้นเรื่องพลังของพ่อ และมีประเด็นเรื่องพ่อเป็นพิเศษ เฮสเพร่าจัดการทุกอย่างพ่อมดที่เอาพลังพ่อของเธอไปและมอบพลังนั้นให้แด็กที่ดูงี่เง่า กระโตกกระตากเกินตัว มีจิตใจดีแต่ยังมีความเป็นเด็กสูงมาก เธอรู้ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่ และพยายามจะทวงพลังกลับคืนมา”
แต่พลังวิเศษของลีวายในการรับบทนี้ก็สร้างความประทับใจให้เมอร์เร็นได้มาก “เสเพร่าไม่อาจรับมือกับความอ่อนโยนและพลังจากตัวละครชาแซมนี้ที่ถ่ายทอดผ่านแซ็คได้อย่างมีเสน่ห์ มันสนุกมากที่ได้เห็นการแสดงของจริงในเรื่องที่ฉันเคยสนุกบนหน้าจอมาก่อน”
ลีวายกล่าวชมกลับโดยพูดว่า “เฮเล็นเป็นอย่างที่เราอยากให้เธอเป็นเลยครับ มีความเยือกเย็น ดูมีเหตุผล เคร่งขรึม สนุกสนาน สวย มีพรสวรรค์ เป็นผู้หญิงที่มีความเป็นอมตะอย่างที่เห็นในเรื่องจนคิดว่า ‘ชีวิตจริงเธอเป็นแบบนี้หรือเปล่า?’ ใช่ครับ เธอเป็นแบบนั้นเลย นั่นล่ะชีวิตจริงเลย”
ระหว่างชื่นชมในพลังความกระตือรือร้นของลีวาย เมอร์เร็นเองก็ชื่นนชมกับความเป็นธรรมชาติของแซนด์เบิร์กด้วย เธอเล่าว่า “ฉันรักการทำงานร่วมกับเขา เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่เคยออกคำสั่งว่า ‘ทำแบบนี้ ทำแบบนั้น’ เขามีจังหวะสื่ออารมณ์ในฉากที่ชัดเจน และนันเป็นเทคนิคที่มีความซับซ้อน ทำให้ถ่ายทอดเรื่องราวและตัวละครได้มากขึ้น พร้อมกับการถ่ายทอดโลกที่มีรายละเอียดซับซ้อนออกมาได้สมบูรณ์แบบ”
คาลิปโซ่
เธอคือลูกสาวของแอตลาสผู้โหดเหี้ยมที่สุด และเป็น Guard of the Tree of Life คาลิปโซกุมพลังแห่งความโกลาหลเอาไว้ เธอจะกระซิบความน่ากลัว ความคลั่ง ความไร้สติออกมาเพื่อแก้แค้นพวกมนุษย์ที่ทำลายเหล่าเทพ เธอพร้อมทำทุกอย่างเพื่อทวงพลังกลับมา แม้ว่าจะต้องทำลายครอบครัวตัวเองก็ตาม
ลูซี่ หลิวรับบทคาลิปโซ่ผู้มีความซับซ้อน “เพราะฉันเคยดูเรื่องแรกมาก่อน จนคิดว่าจะวิเศษขนาดไหนหากได้มีส่วนร่วมกับดีซีและอยู่ในกลุ่มเหล่าเทพ” เธอกล่าว “อย่างเฮเล็น เมอร์เร็นก็มีความเป็นเทพธิดาอยู่ในตัว ไม่ต้องอาศัยการแต่งตั้งหรือสร้างตัวละครเลย ส่วนราเชลก็เป็นเทพธิดาสาวน้อยที่มีจิตใจงดงาม เราสามคนเข้ากันได้ดีลงตัวมากค่ะ”
หลิวผู้เคยอ่านหนังสือการ์ตูนมาก่อนอตนเป็นเด็ก รู้สึกชื่นชอบตัวละครของเธอเหมือนแฟนทุกคนที่ไม่ได้เติบโตมาพร้อมกับฮีโร่อย่างเดียว แต่ยังมีเหล่าร้ายด้วยเช่นกัน ในบทกล่าวว่าเธอมีรอยยิ้มอย่างที่ปีศาจคลั่งไคล้ หลิวเล่าว่า “นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เธออาจจะดูโหดเหี้ยมไปบ้าง ซึ่งนั่นก็จริง แต่ยังมีความซนอยู่ในตัว เรียกว่าเธอมีชะตาลิขิตให้เป็นแบบนั้นดีกว่า แทนที่จะมีแต่ความชั่วร้ายเต็มตัว เธอกลับมีบางอย่างที่ทำให้ตัวละครดูมีพลังมากกว่านั้น เธอมีความรู้สึกที่ซ่อนอยู่เพราะนี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อของเธอ นี่คือจุดที่ทำให้เข้าใจเธอได้ง่ายและรายละเอียดหลายอย่างพัฒนามาจากจุดนั้น เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นจากจุดนั้น เพื่อทวงคืนความยุติธรรมของเธอ”
สำหรับการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเธอ ไม่ว่าจะดูมีจุดพลิกผันอย่างไรก็ต้องอาศัย “ความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ในเรื่อง ‘Fury of the Gods’” หลิวกล่าว “ความมหัศจรรย์คือเหตุผลที่โลกของพวกเขาถูกทำลาย”
…และความโหดเหี้ยมของคาลิปโซที่หวังจะล้างแค้น ทำให้เธอสร้างความโกลาหลขึ้นมาจากคำเตือนเพียงครั้งเดียว “พลังแห่งความโกลาหลก็ตรงตามชื่อเลยค่ะ” หลิวอธิบาย “มันทำให้เกิดพลังที่ไม่มีความปราณีใดทั้งนั้น และเธอมีพลังกระซิบถ้อยคำด้วย เมื่อคำเหลั่น้นออกมามันก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ที่สร้างผลกระทบได้ มันเกินกว่าคำว่าสะกดจิต มันเป็นส่วนผสมทางเคมีอันเหลือเชื่อที่ทำให้คนหนึ่งกลายเป็นทาสรับใช้เธอได้เลย แล้วความวุ่นวายก็กระจายตัว เพราะเมื่อคนหนึ่งกระซิบกับอีกคนหนึ่งก็จะไม่มีวันสิ้นสุด จนกระทั่งมนุษย์กลายเป็นศัตรูร้ายของตัวเอง เพียงแค่กระซิบเดียวของคาลิปโซ”
มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเดียวที่คาลิปโซจะสะกดได้ สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งในตำนานที่น่ากลัวก็เช่นกัน ลาดอนเป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของมังกรที่มีขนาดใหญ่ มาจาก Tree of Life itself มีพลังน่ากลัวและสร้างความหวาดกลัวให้ผู้ท่ากล้าเข้าไปยังสวนเอเดนเพื่อตามหาแอปเปิ้ลสีทอง
หลิวรู้สึกโชคดีมากที่ได้เป็นผู้บังคับเจ้าลาดอน เธอเล่าว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ขี่มังกร และเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ลองใช้สลิงอย่างที่เราใช้กัน ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในเทคโนโลยีแบบใหม่นั้น ทีมนักแสดงผาดโผนและควบคุมสลิงเองก็ตื่นเต้นกับมันมากด้วย มันน่าทึ่งมากค่ะ บางคนในทีมนักแสดงและทีมงานก็อิจฉาที่ฉันได้ขี่มังกร” เธอยิ้ม “แซ็คยังเข้ามาในฉากและพูดว่า ‘ทำอะไรอยู่น่ะ? เจ๋งไปเลย! ผมอยากขี่บ้าง!’ และฉันตอบว่า ‘เสียใจด้วยนะ เพราะคุณต้องคุมบังคับแบบไม่ถนัดและบิน!’ แต่ให้พูดตามตรงคือฉันคิดว่าตัวเองโชคดีมากค่ะ”
แอนเธีย
นี่คือเด็กใหม่ในโรงเรียนที่ดูเงียบๆ และลึกลับ เธอเป็นเพื่อนกับเฟรดดี้ ฟรีแมนและมีอายุนับล้านปี เธอมีพลังควบคุมแกนกลางที่เป็นจุดสำคัญได้ สามารถหมุนโลกที่อยู่ใต้เท้าและหมุนทุกอย่างได้
ราเชล เซกเลอร์รับบทเด็กนักเรียนที่อายุมากสุดในประวัติศาสตร์ของฟิลลี่ “แอนเธียอายุน้อยสุดในบรรดาพี่น้องทั้ง 3 และเธอก็มีจิตใจที่งดงามมาก เธอมีอายุแค่ 6,000 ปีเอง” เซกเลอร์หัวเราะ “ฉะนั้นฉันเดาว่าเธอยังไม่รู้จักโลกมากนัก และคิดว่าในบรรดาเราทั้ง 3 คนเธอจะดูมีความลังเลในการลงมือสร้างความโหดร้ายมากที่สุด”
เซกเลอร์อธิบายถึงความสามารถพิเศษตัวละครของเธอว่า “เธอมีพลังควบคุมแกนกลางได้ ซึ่งหมายความว่าแค่เธอยกมือขึ้นมือขึ้นมา ทุกอย่างก็ดูเบาหวิว ทั้งโลกดูจะหมุนรอบตัวเธอได้เพราะตอนนี้เธอคือแกนกลางสำคัญของโลก”
พลังเหล่านั้นก่อให้เกิดอันตรายกับฮีโร่ของเราได้อย่างมหาศาลในช่วงที่พวกเขาต้องบินผ่านท้องฟ้า “ถึงจุดหนึ่งเธอควงตึกทุ่มใส่ชาแซมของซัคคารี ลีวายเลยค่ะ เป็นเรื่องที่สนุกมาก” เซกเลอร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “และเมื่อทุกอย่างมารวมกัน พลังของเราดูน่าอัศจรรย์มาก เหมือนเรื่องราวในตำนานที่ฉันคิดว่าหลายคนต้องสนุกเมื่อได้ดูบนจอ”
การเข้าฉากเดียวกันของตัวละครที่ต้องเรียนในโรงเรียนเดียวกัน ทำให้เซกเลอร์และกราเซอร์กลายเป็นเพื่อนซี้กัน “ผมโตมากับละครเวทีและรักมันมาก มีความผูกพันพิเศษกับ ‘West Side Story ผมแสดง A-Rab ตอนที่ยังเป็นด็ก’” กราเซอร์กล่าว “ผมดูตัวอย่างแล้วได้พบกับราเชล เราคุยกันเรื่องอดีตของพวกเรา เธอเป็นคนน่ารัก สนุกสนาน และฉลาดมากครับ เธอเหมือนมาจากหนังสือเลย! ผมดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับเธอ”
เซกเลอร์กล่าวเสริม “แจ็คกับฉันเป็นเพื่อนสนิทกันไปเลยจากการเล่นเรื่องนี้ เขาอายุ 17 ตอนนั้น ส่วนฉันอายุ 20 เขามีพลังแบบคนวัย 17 อย่างที่ฉันอยากจะมีเลยค่ะ! ทีมนักแสดงทุกคนสนิทกันมาก ทุกคนคอยดูแลกัน ออกไปเที่ยวด้วยกันช่วงวันหยุด และมีบรรยากาศที่อบอุ่น ฉันคิดถึงมันมากเลย!”
เซกเลอร์ก็รู้สึกผูกพันกับพี่น้องบนหน้าจอของเธอ เธอเล่าว่า “ไม่มีอะไรเหนือกว่าคำว่ามหัศจรรย์! ในฐานะของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในโลกใบนี้ การมีผู้หญิงที่น่าทึ่งอีก 2 คนที่มีผลงานการทำงานอันน่าเหลือเชื่อ คอยให้คำปรึกษาได้ นับเป็นเรื่องที่วิเศษมากค่ะ สำหรับการเดินทางในหนังเรื่องนี้ไปพร้อมกับพวกเธอ มีทั้งการทำงาน การได้สวมชุดเกราะ สู้กับมังกรพร้อมกับเฮเล็น เมอร์เร็นและลูซี่ หลิว ฉันไม่คิดว่าระหว่างเรามีอะไรตกหล่นเลยสักนิด เราชื่นชอบในประสบการณ์นี้มากเลย”
แซนด์เบิร์กจำได้ว่า “ตอนที่เราคุยกันเรื่องวายร้ายในเรื่อง ตั้งแต่แรกเราตั้งความหวังไว้สูงมาก เราต้องการใครสักคนอย่างเฮเล็น เมอร์เร็นมารับบทร้าย นั่นคือเป้าหมายและเราก็ลองเสนอบทให้กับเธอ เธอตอบตกลงทันทีจนรู้สึกว่า ‘โอ้ เราได้คนในฝันมารับบทนี้แล้ว!’ มันรู้สึกว่า ‘ถ้าเราได้เธอมาร่วมงานแล้ว เราจะได้อะไรอีก?’
“จากนั้นเราคัดเลือกลูซี่ หลิวมารับบทคาลิปโซ่ เธอราวกับฝันที่เป็นจริงที่ได้ร่วมงานด้วย” เขาเล่าต่อ “จากนั้นยังมีลูกสาวคนที่ 3 ของแอตลาสคือแอนเธีย ราเชล เซกเลอร์ส่งเทปมาให้และลองอ่านบทร่วมกับแจ็คผ่านซูม แม้ว่าจะเป็นการแสดงผ่านซูมแต่ก็เห็นภาพได้ชัดเจน มันดูลงตัวมาก พวกเขาเข้ากันได้เป็นอย่างดี ราเชลดูมีเสน่ห์และน่าจับตามองมากเลย”
แซนด์เบิร์กเล่าว่าจากจุดเริ่มต้นจนถึงตอนนี้พร้อมด้วยการเพิ่มเข้ามาของทั้ง 3 คน “ทีมนักแสดงในเรื่อง ‘Shazam!’ เหมือนครอบครัวเดียวกันนอกจอเลย พวกเขาเริ่มเรียกตัวเองว่าครอบครัวชาแซม และในภาคแรกพวกเขาออกไปเที่ยวกันนานเป็นชั่วโมงเลย ผมคิดว่าทุกคนดีใจที่ได้กลับมาร่วมงานกันในเรื่องนี้ เพราะพวกเขารักกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดให้เห็นในหนัง ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่หนังภาคแรกออกมาดีมาก และคิดว่าในภาคนี้คุณจะสัมผัสได้ถึงพลังของครอบครัวและความสนุกที่อยู่ในเรื่อง”
ไม่มีอะไรยั่งยืนตลอดกาล —ซูเปอร์ฮีโร่แมรี่
มันเรียกว่าหินแห่งนิรันดร์ —ชาแซม
การออกแบบการถ่ายทำ
สำหรับภาพลักษณ์และอารมณ์ของเรื่อง “Shazam! Fury of the Gods” แซนด์เบิร์กอยากให้มีการผสมผสานระหว่างความเป็นจริงและความมหัศจรรย์ โดยมีผู้ออกแบบฉาก พอล เคอร์บี้ มาช่วยสร้างสรรค์ สำหรับเคอร์บี้จุดสำคัญคือการออกแบบฉากต้องเป็นที่น่าชื่นชมและให้เกียรติภาพที่เคยสื่ออกมาในภาคแรก
เคอร์บี้เล่าว่า “‘Shazam!’ ทำให้เราได้รับการยอมรับ และมีอิสระในการสร้างตัวละครใหม่ๆ ในการผจญภัยนี้ด้วย”
ในโลกใบนั้นเคอร์บี้รู้ดีว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก และการออกแบบเริ่มต้นจาก “ห้องทำสงคราม” ซึ่งเป็นห้องที่เต็มไปด้วยรูปที่ใช้อ้างอิง สร้างแรงบันดาลใจ สีสัน และภาพโดยรวมจากภาคก่อน ซึ่งช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์เห็นภาพจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดจบ ทำให้ทีมออกแบบสามารถจำแนกรายละเอียดแต่ละส่วนออกมาได้
หินแห่งความเป็นนิรันดร์
แม้ว่าบรรยากาศจะพัฒนาสร้างขึ้นมาตามหนังสือ แต่ก็ต้องมีการปรับให้ตรงตามยุคสมัยด้วย พื้นที่ว่างยังคงเป็นสีเทาเข้ม โดยมีการตกแต่งหินภูเขาไฟและเพิ่มบรรยากาศชวนตื่นเต้น ซึ่งยังมีความคล้ายกับบรรยากาศภาคก่อนและหน้าตาของยุคปัจจุบัน
เฮนรี่ การ์เดนเล่าว่า “หินแห่งความเป็นนิรันดร์เริ่มจากบรรยากาศที่ดูหมอง
เศร้าและดูเป็นลางร้าย มีพวกรูปปั้นปีศาจและมีไฟริบหรี่ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีเด็กๆ ทำให้ที่นั่นเป็นพื้นที่ของพวกเขามากขึ้น”
สภาของพ่อมดไม่ใช่บ้านอีกต่อไป ที่นั่นเหมือนเป็นฐานทัพลับที่ห้ามผู้ใหญ่เข้ามากกว่า เมื่อเด็กๆ เข้ายึดครองที่นั่นก็ดูน่ากลัวน้อยลง มีพลังของพ่อมดมากขึ้นและเหมือนบรรยากาศ “เด็กถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในบ้าน” คือเต็มไปด้วยกล่องพิซซ่าเปล่า ตู้พินบอล วีดีโอเกม เปลือกลูกอม และอะไรอีกหลายอย่าง เคอร์บี้อยากให้ที่นั่นดูมีความสนุกสนานแต่ไม่ไร้สาระจนเกินไป ตัวอย่างเช่น รูปปั้นของบาปทั้ง 7 ที่มีการตกแต่งให้ดูน่าตลก และห้องแห่งประตูที่ตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ที่สื่อว่า “อย่ามายุ่ง”
เกรเซอร์เล่าถึงบรรยากาศนั้นว่า “หินแห่งความเป็นนิรันดร์มีความเจ๋งมาก! ฉันรักการอยู่ที่นั่นมาก มันเหมือนความฝันของเด็กเลยที่ได้อยู่ที่นั่น”
เคอร์รีย์เห็นด้วยและกล่าวว่า “ทุกที่เต็มไปด้วยลูกอม หนังสือการ์ตูน… และเก้าอี้บีนแบ็กที่แมรี่นั่งแล้วดูสบายมาก”
สิ่งที่อยู่บนหน้าจอคือสิ่งที่เป็นจุดหมายปลายทางของเบื้องหลัง โคโทรน่ากล่าว “หินแห่งความเป็นนิรันดร์เป็นที่รู้จักดีในฉากของ ‘Shazam!’ แต่ตอนนี้มันมีรูปร่างมากขึ้น และความเป็นตัวละครของเราก็ปรากฏอยู่ในที่แห่งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในฉากมีความสนุกสนานมาก เรามีการตั้งตู้เกมสมัยก่อนขึ้นมาในฉาก มีวีดีโอเกมและมีอาหารอยู่ทุกที่.. เราไม่เข้าไปในเทรลเลอร์ของเรานานนับอาทิตย์ตอนที่ถ่ายในฉากนั้น เพราะมันเหมือนรถเทรลเลอร์และมีทุกอย่างที่เราต้องการ”
ฉากภายนอก: อาณาจักรแห่งเทพเจ้า
หินแห่งความเป็นนิรันดร์อิงจากสีเทา และมีการใส่รายละเอียดที่ทำให้ดูมีอายุเก่าแก่ขึ้น เหมาะสำหรับจะแปลงเป็นอาณาจักรแห่งเทพเจ้า โลกที่ดูดชีวิต สีสัน และความมหัศจรรย์ ด้านหน้าจะมีต้นไม้แห่งชีวิตที่ดูรูปร่างเหมาะสม มีกิ่งก้านใบที่ขยายกว้างใหญ่ และมีรากที่ดูคล้ายขาแมงมุม เคอร์บี้ทำให้ผู้ชมได้เห็นความเป็นหยินหยางของต้นไม้ที่บางครั้งก็ดูน่ากลัว บางครั้งก็ปกป้องชีวิต ความหวังยังไม่ตาย.. หายไป
ด้านบนของ Mount Othrys เป็นซาก Temple of the Gods ที่แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ไร้ชีวิตชีวา ผู้สร้างภาพยนตร์อิงจากภาพของเปตรา เมืองทะเลทรายที่มีหินทรายอันกว้างใหญ่ ครั้งหนึ่งที่นั่นเคยเป็นเมืองที่เจริญ มายุนานนับพันปีเหมือนกับ Temple of Gods ต่อมาที่อิงตามเปตราคือสีสันของฉากด้านนอกที่มีหินทรายพื้นเรียบ สะท้อนถึงสีของหินสมัยกรีซโบราณและเมดิเตอเรเนียน แต่พวกหินทรายนั่นดูเรียบเกินไป จนเคอร์บี้และทีมงานของเขาทำให้มันดูเก่าแก่ขึ้นในช่วงนาทีสุดท้าย ทำให้ดูเป็นโลกที่ไร้ชีวิตชีวามากขึ้น ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นโลกที่ครั้งหนึ่งเคยมีความงดงามซ่อนอยู่ภายใต้ความเก่าแก่นั้น
ฉากภายใน: อาณาจักรแห่งเทพเจ้า
เคอร์บี้เล่าว่าฉากด้านในคือสิ่งที่ยากมาก เช่น การออกแบบห้องสมุดต้องดูไม่ผิดเพี้ยน เว้นแต่ห้องสมุดนี้อยู่ในถ้ำ พื้นที่คือสิ่งสำคัญและการออกแบบต้องสะท้อนถึงผู้ดูแลคือเหล่าเทพ เคอร์บี้พบว่าได้แรงบันดาลใจมาจากรูปทรงกรวยและหินงอก บวกกับการสร้างสรรค์ของทีมงานที่ทำให้ห้องสมุดกลายเป็นผลงานศิลปะ มีการสร้างบันไดทรงกรวยขึ้นมา มีการเพิ่มหินและหนังสือที่สร้างความรู้สึกมีพลังและความพิเศษขึ้นมา
ช่วงที่ออกแบบห้องเล็กๆ เคอร์บี้ได้แรงบันดาลใจจากเปตราอีกครั้ง การออกแบบตั้งใจว่าต้องดูน่าอึดอัด แสดงให้เห็นถึงความมืดมิดจนแทบมองอะไรไม่เห็น มีการผสมผสานของธรรมชาติกับหินแกะสลักที่ทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่นั่นคือสิ่งก่อสร้างสมัยโบราณ
ห้องแห่งบัลลังก์คือฉากโปรดของเคอร์บี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากควีนวิคตอเรีย เคอร์บี้ออกแบบห้องเพื่อเพิ่มความหรูหราและความเป็นผู้หญิงขึ้นมา มีการตกแต่งมังกรบนบัลลังก์ สีสันที่เลือกใช้คือสีเทาและหินน้ำตาลที่มีสีบรอนซ์
ผลลัพธ์จากการออกแบบของเคอร์บี้คืความงดงาม และการผสมผสานระหว่างความจริงและจินตนาการอย่างน่าตื่นเต้น สีสันทั้งเรื่องมีตั้งสีเทา หินทรายเพิ่มรายละเอียดและความเก่าแก่ ซึ่งจะยิ่งทำให้สีสันของชุดตัวละครโดดเด่นมากขึ้น
มีซูเปอร์ฮีโร่สวมชุดสีแดงและมีสัญลักษณ์สายฟ้าบนชุดอยู่แล้วนี่…!
- ชาแซม
การออกแบบเครื่องแต่งกาย
ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย “Shazam! Fury of the Gods” หลุยส์ มิงเกนแบชคุ้นเคยกับการออกแบบชุดซูเปอร์ฮีโร่เป็นอย่างดี เธอพร้อมทำให้ทีมนักแสดงกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริงได้ ซึ่งแต่ละชุดของเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย มีการผลิตจากเหล็กและต้องใช้เวลานาน 4-6 เดือน จนกว่าจะพร้มสำหรับการถ่ายทำ มีการอัพเดทชุดและลองสวมใส่ตลอดการทำงานช่วงนั้น ส่วนชุดที่หนักสุดจะเป็นชุดเฮสเพร่าของเฮเล็น เมอร์เร็นที่มีน้ำหนักถึง 20 ปอนด์
มินเกนแบชอธิบายว่า “ตั้งแต่เราพัฒนาลุคต่างๆ หนึ่งในหน้าที่ของฉันคือการสานต่อความงดงามนั้น พัฒนาเทคนิคใหม่ๆ และอัพเดททุกความเป็นไปได้ เป้าหมายสูงสุดคือการรักษาสีสันที่สดใสและรายละเอียดที่ซับซ้อนเอาไว้ เช่น ชุดของชาแซมที่ถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่มันมีการผสมสผานของชิ้นส่วนรายละเอียดพิเศษมากกว่า 15 ชิ้น ทุกลวดลายปรินท์ในรูปแบบของตัวเองบนเนื้อผ้า”
แซนด์เบิร์กเล่าว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้กลับมายังโลกใบนี้ เพราะอย่างแรกเลยคือผมรักมัน คิดว่าเหล่าตัวละครดูเท่มากและมีอีกหลายเรื่องที่เราเล่าออกมาได้ แต่เวลาที่เราสร้างหนังสักเรื่อง มักจะมีสิ่งที่เราได้เรียนรู้และรู้สึกว่าน่าจะทำในแบบอื่นได้ นี่เป็นโอกาสที่จะได้พัฒนาสิ่งเหล่านั้น เช่น เราได้เรียนรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับชุด สำหรับชุดแรกมีหลายอย่างที่ไม่ค่อยลงตัว เราจึงคิดว่า ‘โอเค ตอนนี้เราย้อนกลับไปหามันได้ และลองทำสิ่งใหม่ๆ ได้ เราอยากปรับเปลี่ยนหลายสิ่ง’ พวกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างในภาคแรกที่เขามีหมวกบนเสื้อคลุม ซึ่งนั่นเป็นเวอร์ชันหนึ่งของหนังสือการ์ตูน ครั้งนี้เราลองตัดหมวกและออกแบบบางอย่างให้ดูต่างออกไป เพื่อดูว่าเราจะทำอะไรให้ดีขึ้นได้บ้าง”
ลีวายเห็นด้วย “ชุดแรกก็ดูเท่ดีนะครับ มันดูทันสมัยและเหมือนต้นฉบับ และหนังของเราต่างจากเรื่องอื่นในจักรวาลดีซียุคนั้นด้วย แม้แต่ตอนนี้ผมคิดว่าเราก็มีรูปแบบของตัวเองได้ แต่สำหรับหนังเรื่องนี้เราได้เรียนรู้ไปกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของเราคือหลุยส์และเดวิด พวกเขามาร่วมงานด้วยกันเพื่อปรับเปลี่ยนชุดให้ดูเท่ขึ้น แต่ยังเคารพในต้นฉบับที่เป็นจุดเริ่มต้นของเราอยู่ เพียงแค่ดูทันสมัยและโตขึ้น
“เด็กทุกคนเติบโตกันมากขึ้น ฉะนั้นการออกแบบจะไม่คิดในมุมของเด็ก สีสันต้องดูเท่ขึ้นอีกนิด และใช้สีทอง สีเงิน สีบรอนซ์กับถุงมือและรองเท้าบูท”
สำหรับการผลิตชุดให้เหมาะกับสภาพบรรยากาศที่ต่างออกไปและการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ของเดิมมีการผลิตด้วยผ้าสแปนเด็กซ์ที่รองรับการยืดหยุ่น มีความทนทานต่อการใส่รายละเอียดลงไปบนเนื้อผ้า บางครั้งมีการใส่รายละเอียดสีสันต่างกันถึง 2-3 สี ทุกชิ้นมีการลงสีลงไปลึกเพื่อให้กล้องจับภาพรายละเอียดนั้นได้ และเมื่อมีการพิมพ์เสร็จเยบร้อย ชุดที่ออกมาจะดูไม่ออกเลยว่าใช้เนื้อผ้าอะไร
แม้ว่าโทนสีของชุดซูเปอร์ฮีโร่กับเหล่าร้ายจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ชุดยังมีความคล้ายกันตรงสีทอง สีเงิน และสีบรอนซ์ที่ช่วยเชื่อมโยงทุกคนเข้ากันได้อย่างชัดเจน
การอัพเดทของชุดผู้วิเศษ
ชุดของซูเปอร์ฮีโร่มีการอัพเดททั้งรายละเอียดและความเหมาะสมที่ลงตัวหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดมีการปรับปรุงให้เข้ากับชุดดังนี้:
เสื้อคลุมแบบสั้นและหมวกเปลี่ยนเป็นผ้าคลุมยาวที่ดูทันสมัย ทำให้สามารถติดซิปได้ ช่วยประหยัดเวลาการแต่งตัวของนักแสดงแต่ละคน
สัญลักษณ์สายฟ้าไม่สามารถติดแบตขนาดใหญ่ได้ จึงถูกแปะเอาไว้ให้ดูกลมกลืนกับร่างกาย และมีการพัฒนาต่อทีหลังด้วยซีจีไอ
ถุงมือยาว เข็มขัด และรองเท้าต้องดูเหมาะสมเข้ากับนักแสดงแต่ละคน
กล้ามที่เสริมขึ้นมาถูกพัฒนาให้หายใจสะดวกมากขึ้น
ชุดซูเปอร์ฮีโร่แมรี่ต่างจากชุดอื่นมาก ได้แรงบันดาลใจจากเนื้อผ้าที่เสริมเข้ามา มีการเพิ่มปกเสื้อและกระโปรง
การอัพเดทของชุดพ่อมด
เสื้อคลุมของพ่อมดมีการลงสีมากกว่า 14 สีสัน จากนั้นทำการ “ออมเบร” อีกหลายครั้ง ทำให้เห็นกลุ่มโทนสีเขียวและผสมผสานหลายรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ในตัวละคร
เทพธิดา (เฮสเพร่า, เคย์ลิปโซ่ และ แอนเธีย)
เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เริ่มจากการวาดภาพผ่าน Onyx ที่ต้องใช้เวลานานราว 5 เดือน นักแสดงจะถูกสแกนและระหว่างนั้นจะมีการผลิตเสื้อผ้าออกมา เพื่อให้เสื้อผ้าเข้ารูปกับลุคนั้นทันที มีการใช้ยูรีเธนเพื่อง่ายต่อการแก้ไขและกลมกลืนกัน ทีมงานจะใช้การปรินท์แบบ 3 มิติ เพื่อเพิ่มความโดดเด่นและรายละเอียดของชุดท่อนบนและกระโปรง
เมอร์เร็นเล่าว่า “นี่เป็นเสื้อผ้าที่สวยมากค่ะ เสื้อผ้าทุกชุดไม่ธรรมดาเลย และฉันพูดได้ว่าความดีใจอย่างหนึ่งในเรื่องนี้คือการผสมผสานระหว่างศิลปะที่ดูเหลือเชื่อ งานคราฟท์ ศิลปิน และความสร้างสรรค์ ในทุกแง่มุมนับตั้งแต่การออกแบบเสื้อผ้าไปจนถึงช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโปรเจ็กต์นี้ คือการได้เดินทางไปยังห้องเสื้อสำหรับการลองชุดครั้งแรก พวกเขาจะทำการสแกนร่างกายเพื่อผลิตเสื้อผ้าออกมา หลุยส์ออกแบบและส่งผลิตให้ฟิตเข้ารูปที่สุด ซึ่งแต่ละชิ้นส่วนไม่ใช่การเย็บติดกัน ฉันบอกได้เลยว่ามันหนักมาก เป็นชุดที่หนักสุดในเรื่องเลยค่ะ แต่ก็น่าตื่นเต้นมากและฉันดีใจที่จะมีโอกาสสวมใส่มัน”
เมอร์เร็นเปิดเผยว่าตอนที่เธอลองเสื้อผ้า เธอได้เชิญแขกพิเศษมาคนหนึ่งด้วย “ฉันชวนหลานมาด้วยค่ะ อายุ 8 ขวบ ฉันคิดว่าเขาคงตายตาหลับและขึ้นสวรรค์แล้วที่ได้เห็นการผลิตชุดสวยๆ พวกนี้ ถ้าสังเกตใกล้ๆ ตรงช่วงท่อนแขนของฉัน มันสวยมากเลยค่ะ ผลิตออกมาอย่างประณีตมาก เป็นผลงานที่น่าตื่นเต้นจริงๆ การได้ร่วมงานกับผู้คนเหล่านี้และมีส่วนร่วมในงานสร้างสรรค์ของพวกเขาทำให้ฉันตื่นเต้นมากค่ะ ฉันกล้าพูดเลย”
เดวิด แซนด์เบิร์กรู้สึกว่า “ผู้ชมจะตื่นเต้นมากกับหนังเรื่องนี้ เพราะเราไม่ได้มีแค่ฉากอลังการและการต่อสู้ธรรมดา แต่เป็นการต่อสู้ที่อลังการและยิ่งใหญ่มากในหนังเรื่องนี้” เขากล่าว “ประเด็นสำคัญคือเรามีตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมด้วยหลายความรู้สึกที่สมจริงและเข้าใจได้ เวลาเราสนใจกับตัวละครในหนังเราจะรู้สึกอินไปกับมัน และจะเกิดความสะเทือนใจมากขึ้น บวกกับการที่ในหนังมีทั้งมังกร ตัวละครในตำนาน ชะตากรรมโลกที่อยู่บนความเสี่ยง และกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ที่จะต้องปกป้องโลก เราจะอยากได้อะไรไปมากกว่านี้อีก?”