แกลร์มง-แฟร็อง/ลียง (ฝรั่งเศสและกรุงเทพฯ (ไทย) – AFYREN (ISIN: FR0014005AC9 ชื่อในตลาดหลักทรัพย์: ALAFY) ผู้ผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบร่วมกับเทคโนโลยีการหมักเฉพาะ ลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพแห่งที่สองในประเทศไทยสอดรับการเติบโตของธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ร่วมกับ กลุ่มมิตรผล ผู้ผลิตน้ำตาลชั้นนำรายใหญ่อันดับที่ ของโลก[1]โดยมี มร. ออลีวีเย แบ็ชต์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (Mr. Olivier Becht, French Minister Delegate to the Minister of Europe) และ คุณวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานความร่วมมือฯ เมื่อเร็วๆ นี้

 

มร. นิโคลัส ซอร์เด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AFYREN (Mr. Nicolas Sordet, CEO of AFYRENกล่าวว่า “โครงการนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานและพัฒนาธุรกิจของ AFYREN ด้วยการจัดตั้งโรงงานแห่งที่สองในศูนย์กลางภูมิภาคเอเชีย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น ความร่วมมือกับกลุ่มมิตรผลในครั้งนี้จะช่วยให้ AFYREN สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบที่มีความยั่งยืนจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลได้ในระยะยาวในขณะเดียวกัน กลุ่มมิตรผลยังเป็นองค์กรที่มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนมาโดยตลอดเราจึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับกลุ่มมิตรผล พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคนี้ให้เติบโตยิ่งขึ้นต่อไป”

 

คุณวีระเจตน์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจน้ำตาลประเทศไทย พลังงาน และธุรกิจใหม่ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ AFYREN ในครั้งนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกลุ่มมิตรผลที่มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยโครงการฯ จะช่วยผลักดันให้เกิดการต่อยอด ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วยการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและแนวคิด เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า (From Waste to Value Creation) พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบ เพื่อต่อยอดอ้อยและน้ำตาลสู่ผลิตภัณฑ์ไบโอเบสที่มูลค่าสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โครงการดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกของ AFYREN ในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ สอดคล้องตามแผนการดำเนินงานตามที่ระบุในการเสนอขายหุ้น (IPO) หลังจากการก่อตั้งโรงงานแห่งแรกในประเทศฝรั่งเศส และเป็นกลยุทธ์หลักเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการประยุกต์ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีของ AFYREN กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของกลุ่มมิตรผล ผ่านการร่วมทุนในรูปแบบ 70:30 โดยมี AFYREN เป็นผู้ถือหุ้นหลัก และกลุ่มมิตรผลเป็นผู้ถือหุ้นรองซึ่งจะนำชีวมวลที่เหลือใช้ในภาคเกษตรของกลุ่มมิตรผลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ไบโอเบสและผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ ด้วยเป้าหมายกำลังการผลิตที่ 28,000 ตันต่อปี  

ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง AFYREN และกลุ่มมิตรผล ประกอบด้วยข้อตกลงเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ได้แก่

  1. ความสมบูรณ์แบบของที่ตั้ง

การเลือกจัดตั้งโรงงานที่อยู่ใกล้เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร เพื่อให้สามารถรองรับลูกค้าทั้งในประเทศและนานาประเทศได้ อีกทั้งการดำเนินงานในประเทศไทยยังเปรียบเสมือนศูนย์กลางของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความต้องการของตลาดเพิ่มสูงขึ้น โดยการเติบโตของตลาดนี้ขับเคลื่อนด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและโภชนาการสัตว์เป็นหลัก ทั้งนี้ สารอินทรีย์ชีวภาพของ AFYREN จะถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิดเพื่อประโยชน์ในการถนอมอาหารและการแต่งกลิ่น-รสธรรมชาติ รวมถึงเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และเป็นทางเลือกจากธรรมชาติ เพื่อทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ นอกจากการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยแล้ว AFYREN ยังจะได้รับประโยชน์จากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของประเทศไทย ซึ่งอยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นฐานการส่งออกผลิตภัณฑ์จากโรงงานแห่งใหม่ไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียอีกด้วย

  1. ข้อตกลงเชิงกลยุทธ์สำหรับทั้งสององค์กร

ข้อตกลงเบื้องต้นระหว่าง AFRYREN และกลุ่มมิตรผล ได้นำไปสู่การสร้างโรงงานผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพแห่งที่สองของกลุ่มบริษัท AFYREN ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจของ AFYREN คือ “การสร้างและลงมือทำ” ที่มีเป้าหมายในการตั้งฐานการผลิตให้อยู่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบและตลาดของกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด โดยให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียและอเมริกาเหนือเป็นหลัก มากไปกว่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวยังสอดรับกับวิสัยทัศน์ของกลุ่มมิตรผลอย่างการเป็น“บริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมน้ำตาลและไบโอเบส โดยการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีร่วมกับการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ เพื่อสร้างคุณค่า สร้างอนาคตให้กับสังคม” ทั้งนี้ คาดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะสามารถสรุปได้อย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี พ.ศ. 2566

  1. โครงการที่มีการดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

ด้วยปัจจัยในด้านสถานที่ตั้ง และการดำเนินงานของพันธมิตร สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของทั้งสององค์กรได้เป็นอย่างดี อาทิ

  • โครงการสามารถช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพโดยตรงกว่า 80 ตำแหน่ง และการจ้างงานทางอ้อมอีกกว่า 280 ตำแหน่ง ในการดำเนินการผลิต โดย AFYREN และกลุ่มมิตรผลจะใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่ทั้งในประเทศฝรั่งเศสและประเทศไทย รวมถึงยังมีการจัดหา ฝึกอบรม และพัฒนาทักษะให้พนักงานของโรงงานในอนาคต

  • โครงการมีการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบให้พื้นที่ตั้งของโรงงาน สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบได้โดยตรง นับเป็นการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นจากการขนส่งได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งกระบวนการผลิตของ AFYREN เป็นการนำวัตถุดิบมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้ โรงงานฯยังได้รับการออกแบบให้มีการใช้พลังงานไฟฟ้าชีวมวลและไอน้ำที่มีคาร์บอนต่ำของกลุ่มมิตรผล ซึ่งสนับสนุนหลักการดำเนินงานแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยกระบวนการผลิตของโรงงาน ยังคงยึดหลักการเดียวกันกับโรงงานแห่งแรกของ AFYREN คือ ไม่มีการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างสิ้นเปลือง และจะนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตมาใช้เป็นปุ๋ยเพื่อการเกษตรต่อไป

ความร่วมมือในครั้งนี้ AFYREN มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามคำมั่นสัญญาในการผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพที่มีการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำกว่าการผลิตโดยใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากปิโตรเลียมแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของกลุ่มมิตรผลในปี ค.. 2050 ผ่านการยกระดับการพัฒนาอ้อยและน้ำตาลสู่อุตสาหกรรมไบโอเบส ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางเพื่อสร้างความยั่งยืนให้สังคมและสิ่งแวดล้อมโลก โดยในปีนี้ กลุ่มมิตรผลได้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนอันดับที่ ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร จากการประเมินด้านความยั่งยืนขององค์กร หรือ Corporate Sustainability Assessment (CSA) โดย S&P Global

  1. โรงงานเพื่อการผลิตเชิงอุตสาหกรรมที่พร้อมด้วยประสบการณ์การดำเนินงานจากโรงงานแห่งแรกของ AFYREN ในยุโรป

โรงงานผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพในประเทศไทยจะตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของกลุ่มมิตรผล ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงเทพมหานครโดยนอกจากการจัดหาพื้นที่ในการจัดตั้งโรงงานแล้ว กลุ่มมิตรผลจะนำชีวมวลที่มีคุณภาพสูงจากกระบวนการผลิตอ้อยและน้ำตาลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ไบโอเบสและผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ เพื่อต่อยอดสู่การผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพของ AFYREN ต่อไป ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 28,000 เมตริกตันต่อปี และคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 60 ล้านยูโรต่อปี เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ AFYREN เคยประกาศไว้ในการเสนอขายหุ้น (IPO) เมื่อเดือนตุลาคม.. 2564 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าโรงงานจะสามารถเริ่มผลิตได้ภายในปี พ.. 2568 และจะนำเทคโนโลยีและประสบการณ์การบริหารโรงงานแห่งแรก AFYREN NEOXY กำลังการผลิต 16,000 ตันต่อปี ที่เปิดดำเนินการแล้ว มาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด