“ขุนพันธ์ 3” ภาพยนตร์ไทยแอ็กชันฟอร์มยักษ์ในรอบทศวรรษของ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ถือเป็นโปรเจกต์ส่งท้ายของไตรภาคขุนพันธ์กับภารกิจกำราบ 4 เสือระดับตำนานของภาคกลาง จึงเป็นที่มาของปรากฏการณ์รวมตัวของ เหล่านักแสดงซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทย มาร่วมแบทเทิลบทบาททางด้านการแสดงสุดเข้มข้น อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทั้งดราม่า แอ็กชัน สาดกระสุน ควันปืน โหนสลิง ฝ่าดงระเบิด และซัดอาคมกันไม่ยั้ง ทั้งรุ่นใหญ่มากฝีมือ ไปจนถึงรุ่นใหม่ไฟแรง
เรียกได้ว่ามาร่วมปล่อยของเชือดเฉือนบทบาทกันแบบจัดเต็ม ชนิดไม่เกี่ยงรุ่น ไม่ว่าจะเป็น อนันดา, มาริโอ้, โตโน่, ฟ้า ษริกา, พลอย ชิดจันทร์, เป้ อารักษ์, เอม ภูมิภัทร, ฟิลลิปส์, ชลัฎ ณ สงขลา ฯลฯ รวมไปถึงการร่วมบุกป่า ตะลุยทั่วสารทิศ ปีนหน้าผา ล่องแพ ในโลเคชันการถ่ายทำที่ถูกขนานนามให้เป็น แกรนด์แคนยอนเมืองไทย อุทยานแห่งชาติแม่จริม, วังศิลาแลง จังหวัดน่าน โดยทีมงานนักแสดงนับร้อยชีวิตต้อง ล่องแก่ง ถ่ายทำท่ามกลางกระแสน้ำที่มีความเชี่ยวกราก และอันตรายอยู่ในระดับที่ 3 (จากทั้งหมด 5 ระดับ) เพื่อถ่ายทอด และนำเสนอวิชวลของ “แก่งกินศพ” ดินแดนที่เต็มไปด้วยภยันตราย
“ในภารกิจของขุนพันธ์ในภาคนี้ คือการบุกล้างบางเพื่อปิดตำนานถ้ำเสือชุมโจร จึงเป็นที่มาของการเลือกจังหวัดกาญจนบุรี ในการสร้างชุมโจรขึ้นมาบนพื้นที่ 70 ไร่ ในโรงงานกระดาษสมัยสงครามโลก ขึ้นมาเป็นเมืองเมืองหนึ่งที่มีทั้งชุมชน, ตลาด, โรงพยาบาล, ชุมเสือก๊กต่างๆ และเนื่องจากชุมโจรแห่งนี้ เราตั้งใจให้มันเป็นชุมโจรที่เข้าถึงยาก ไม่เคยมีคนของทางการบุกเข้าถึงได้ เพราะมันมีหุบเขาสูงล้อมรอบติดกันเป็นปราการล้อมไว้ทั้งหมด และทางเข้าออกมีทางน้ำเป็นเส้นทางหลัก ซึ่งลำน้ำที่เข้าไปก็ลำบาก มีความเชี่ยวกราก ต้องล่องแพ เราก็เลยเลือกอุทยานแห่งชาติแม่จริม จังหวัดน่าน เพราะเราอยากได้แลนด์สเคปของที่นั่น และเป็นฉากที่จะต้องล่องแก่ง ผจญภัยกันก่อนจะเข้าไปถึงชุมโจรได้ ต้องเจอกับความลำบากจากธรรมชาติของเกาะแก่ง ที่เรียกกันว่า แกรนด์แคนย่อนเมืองไทย ซึ่งทั้งสนุกทั้งตื่นเต้น ทั้งน่ากลัวในเวลาเดียวกัน แต่เราก็ได้ภาพที่ดีมากครับ” ผู้กำกับโขม ก้องเกียรติ บอกเล่าถึงโลก และเรื่องราวของขุนพันธ์ในภาคนี้ที่ตั้งใจนำเสนอ
และด้วยภารกิจหลักของภาคนี้คือการบุกถล่มถ้ำเสือชุมโจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาคกลางของ 2 เสือในตำนานนั่นคือ เสือมเหศวร และเสือดำ รวมทั้งเป็นชุมเสือขนาดใหญ่ของเหล่าบรรดาเสือร้าย ซึ่งเป็นชุมเสือที่ยังไม่เคยมีผู้คนของทางการหรือฝ่ายรักษากฎหมายใดๆเหยียบย่าง และเข้าถึงมาก่อน จึงกลายเป็นโจทย์สำคัญที่บรรดาทีมงานในส่วนของโปรดักชั่นทั้งหมดของภาพยนตร์จะต้องผนึกกำลังสร้างสรรค์ และร่วมกันเนรมิตรให้จินตนาการตามความฝันของผู้กำกับก้องเกียรติกลายเป็นจริง ว่ากันว่าความสำคัญของฉากไฮไลต์ ชุมโจร จะปรากฎอยู่ในเรื่องราวของภาพยนตร์มากกว่า 50 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว ซึ่งโขม ก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า
“ภาคนี้เราอยากให้ทุกอย่างมันอัพขึ้นมา อยากให้มันพิเศษ เราก็เลยตีความว่ามันเป็นอีกสังคมหนึ่ง เราอยากให้ชุมโจรนี้มันมีความ unique และมีความพิเศษ มันก็เลยถูกดีไซน์ว่า แทนที่จะเป็นแค่ที่กบดานของพวกโจร แต่มันก็คือสังคมที่มีทุก element มีเสือเฒ่ารุ่นใหญ่ เสือรุ่นใหม่ มีหมอ มีผู้คน มีช่างตัดเสื้อผ้า มีร้านอาหาร มีบาร์ ซึ่งจะเป็นไอคอนนิกของหนังเรื่องนี้เหมือนกัน ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นไฮไลท์สำหรับคนดูมาก เพราะมันจะไม่ใช่ชุมโจรแบบที่คุณนึกถึง มันมีการดีไซน์ หน้า ผม เสื้อผ้า ทุกอย่าง ถ้าสำหรับผมเอง ผมว่าเซ็ตนี้เป็นฉากจำของเรื่องเลย และเหตุการณ์ส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นที่ชุมโจรเป็นโลเคชันใหญ่ที่สุด อลังการที่สุดของภาพยนตร์ขุนพันธ์ 3”
โดยเนรมิตโรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี บนพื้นที่กว่า 70 ไร่ และทีมโปรดักชั่นดีไซน์ภายใต้การนำของ ธนะ เมฆาอัมพุท และผู้กำกับศิลป์ สุดเขตร ล้วนเจริญ (เจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ สาขาออกแบบงานสร้างจากภาพยนตร์แสงกระสือ) ได้ปรับพื้นที่ เติมแต่ง เนรมิตทั้งพื้นที่ และตัวอาคารร้างให้กลายเป็นชุมโจร ซึ่งกลายเป็นฉากที่สมบูรณ์แบบตรงตามจินตนาการของผู้กำกับมากที่สุด
พร้อมกับการปรากฏขึ้นของอาคมที่ร้ายกาจที่สุดอย่าง มนตร์จระเข้ จนเป็นที่มาของการเนรมิตงานแอนเมทรอนิค แมคเคนิค เอฟเฟกต์เกิดเป็นจระเข้ขนาดยักษ์ ที่จะมาสร้างความน่าสะพรึง ดุดันบนจอภาพยนตร์ ซึ่งยังไม่รวมถึงเหล่าบรรดา อสูร ภูตผี วิญญาณร้าย ที่ผุดขึ้นมาจากอเวจี เพื่อคร่าและพิพากษาชีวิตมือปราบคงกระพัน อย่างขุนพันธ์ พร้อมบททดสอบสำคัญที่สร้างความเข้มข้นให้กับเรื่องราวของภาพยนตร์ในภาคนี้ นั่นคือ ความคงกระพันมีวันเสื่อมสลายหรือไม่ ซึ่งคือโจทย์ใหม่ๆ 1 ในเหล่ากองทัพศัตรูที่แตกต่างจากจินตนาการของผู้กำกับโขมที่ตั้งใจนำเสนอ นอกเหนือจากการเผชิญหน้ากับ เสือมเหศวร และ เสือดำ 2 เสือคู่ปรับตัวสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์สำคัญที่ท่านขุนจะต้องรับมือในภาคนี้ ซึ่งต่อยอดไปสู่การได้เห็นวิชวลใหม่ๆโดยเฉพาะอิทธิฤทธิ์อันเลื่องลือของ ดาบแดง ในตำนานของท่านขุนที่ใช้บั่นคอเหล่าภูตผีที่ถูกดีไซน์ขึ้นมาเป็นพิเศษจากฝีมือของ อาภรณ์ มีบางยาง ศิลปินเมคอัพเอฟเฟกต์เจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำจาก ขุนพันธ์ 2 มาทำหน้าที่สร้างสรรค์กองทัพผีผุดให้โลดแล่น และขับเน้นจินตนาการความบันเทิงของภาพยนตร์แอ็กชันฮีโร่สมกับที่ทุกคนรอคอย เรียกได้ว่าเป็นการทุ่มสุดตัวทั้งไอเดีย ทุนสร้าง หยาดเหงื่อ และความตั้งใจให้ภาพยนตร์เรื่องขุนพันธ์3 ที่ใช้เวลาในการถ่ายทำเกือบ1 ปีเต็มคือผลงานสุดอลังการในแง่ความบันเทิงชนิดจัดเต็มตลอดความยาว 2 ชั่วโมง 36 นาที เรียกได้ว่าทิ้งทวนคืนกำไรให้กับผู้ชมที่รักและสนับสนุนหนังเรื่องนี้มาอย่างยาวนานตลอด10 ปีพร้อมกับการตั้งคำถามกลับไปยัที่ตัวขุนพันธ์และคนดูว่า
“ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ขุนพันธ์ เริ่มพิพากษาตัวเองว่าตกลงสิ่งที่ทำลงไป มันคืออะไร หรือเราควรหยุดเสียที หรือเราต่อสู้กับระบบ มันมีปีศาจที่มันน่ากลัวกว่าหรือเปล่า มีสิ่งที่ต้านทานไม่ได้หรือเปล่า นี่คือความท้าทายในภาค 3 มันคือปัญหาใหญ่ เริ่มไกลตัวขุนพันธ์มากขึ้นๆ และเริ่มค้นพบว่าตัวเองอาจจะไม่ใช่คำตอบของความดีงาม หรือแม้กระทั่งคำว่าศรัทธาอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นคนที่จะพิสูจน์ได้ว่าความดีหรือศรัทธามันอยู่ที่ไหน หนังมันก็จะโยนพลังนี้กลับไปที่ประชาชนว่าเราจะฝากความหวังไว้ที่ซูเปอร์ฮีโร่คนเดียวหรือเปล่า ขุนพันธ์ตั้งคำถามกับตัวเองว่า หรือว่าฉันก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แล้วซูเปอร์ฮีโร่มันอยู่ตรงไหน ในภาค 3 มันเป็นประเด็นที่โตขึ้น ผ่านวุฒิภาวะมามากขึ้น สงบนิ่งมากขึ้น ตรงประเด็นมากขึ้น แต่บู๊กันหนักเหมือนเดิม เดือดเหมือนเดิม”
และนี่คือมุมมองและความตั้งใจจากผู้กำกับ และบางส่วนของไฮไลท์ที่คอหนังแอ็กชัน และแฟนๆของภาพยนตร์ขุนพันธ์จะได้สัมผัสกับความเดือด ที่มาพร้อมกับความบันเทิง ที่คนไทยและผู้ชมจากทั่วโลกจะได้เต็มอิ่มกับภาพยนตร์ไทยแอ็กชันฮีโร่ฟอร์มยักษ์ เตรียมพบกับ “ขุนพันธ์ 3” และร่วมเป็นคนดูกลุ่มแรกในโลกกับมหากาพย์ภาพยนตร์แอ็กชันอาคมสุดมันส์พร้อมกัน 1 มี.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
4 งานสร้าง 4 ฉากใหญ่ ใน ขุนพันธ์ 3: https://youtu.be/D-vb7OfH4N4
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ