Meg 2: The Trench – เม็ก 2: อภิมหาโคตรหลาม ร่องนรก | 02 สิงหาคม 2023

0
393
Meg 2: The Trenchเม็ก 2: อภิมหาโคตรหลามร่องนรกเข้าฉายวันพุธที่  2 สิงหาคม ในโรงภาพยนตร์และในรูปแบบ 3D พร้อมทั้งในระบบ 4DX, Screen X,MX4D, ZigmaCineStadium

รายละเอียดเพิ่มเติม | https://www.meg2-thaiticket.com/#Meg2  #เม็ก2

เตรียมสัมผัสความตื่นเต้นที่จะทำให้อะดรีนาลีนพุ่งพล่านช่วงซัมเมอร์นี้ในภาพยนตร์เรื่อง “Meg 2: The Trench” ผลงานความระทึกขวัญที่เหนือกว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ปี 2018 และฉากแอ็คชั่นที่เข้มข้นขึ้น ได้พบกับเม็กส์ขนาดใหญ่ที่หลากหลายและอีกมากมาย! ดำดิ่งลงไปใต้น้ำพร้อมกับเจสัน สตาแธม และนักแสดงแอ็คชั่นรับโลก วูจิง พวกเขาจะนำทีมผู้กล้าไปดำน้ำสำรวจมหาสมุทรใต้ท้องทะเลลึก การผจญภัยของพวกเขาพบอุปสรรคเมื่อการทำเหมืองมาทำลายภารกิจของพวกเขา และทำให้พวกต้องต่อสู้เสี่ยงตายเพื่อหาทางรอดชีวิต มีการเผชิญหน้ากับเม็กส์ขนาดยักษ์และเหล่าร้ายในธรรมชาติ ฮีโร่ของเราต้องหาทางเอาชนะ หลอกล่อ และว่ายน้ำไปกับนักล่าที่จะมาสร้างความระทึกขวัญ พาตัวคุณมาสัมผัสกับประสบการณ์สุดตื่นเต้นแห่งปีในโรงภาพยนตร์ด้วยภาพยนตร์เรื่อง “Meg 2: The Trench” ความลึกของท้องทะเลเทียบเท่ากับความสนุกและความตื่นเต้นที่ไร้ขีดจำกัด! 

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ ซีเอ็มซี พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์เรื่อง “Meg 2: The Trench” นำแสดงโดยสตาแธมและจิง พร้อมด้วยทีมนักแสดงโซเฟีย ไค (“The Meg”), เพจ เคเนดี้ (“The Meg”), เซอร์จิโอ เพอริส-เมนชีตา (“Rambo: Last Blood”), สกายเลอร์ ซามูเอลส์ (“The Gifted”) และคลิฟฟ์ เคอร์ทิส  (ภาพยนตร์แฟรนไชส์ “Avatar”) 

ภาพยนตร์เรื่อง “Meg 2: The Trench” กำกับฯ โดยเบ็น วีทลีย์ (“In the Earth,” “Free Fire”) จากบทภาพยนตร์ของจอน โฮเบอร์ และ เอริช โฮเบอร์ (“The Meg,” “Transformers: Rise of the Beasts”) และดีน จอร์จาริส (“The Meg,” “Lara Croft: Toom Raider – The Cradle of Life”) และบทภาพยนตร์โดยดีน จอร์จาริส และ จอน โฮเบอร์ แอนด์ เอริช โฮเบอร์ สร้างอิงจากนิยายเรื่อง The Trench by Steve Alten อำนวยการสร้างฯ โดยโลเรนโซ ดิ โบนาเวนทูร่า (“The Meg,” “Bumblebee”) และ เบลล์ เอเวอรี่ (“The Meg,” “Before the Devil Knows You’re Dead”) อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยเจสัน สตาแธม, เคท อดัมส์, รุยแกงค์ ลี, แคทเธอรีน ซูจัน ยิง, วู จิง, อี. เบ็นเน็ตต์ วอลช์, เอริค ฮาวแซม, เจอรัลด์ อาร์ โมเลน และ แรนดี้ กรีนเบิร์ก

ทีมงานเบื้องหลังของผู้กำกับฯ วีทลีย์ ได้แก่ ผู้กำกับภพา ฮาริส แซมบาร์ลูคัส (“Belfast,” “Murder on the Orient Express”) ผู้ออกแบบฉาก คริส โลวี (“The Gray Man,” “No Time to Die”) และผู้ลำดับภาพ โจนาธาน อามอส  (“Baby Driver,” “Paddington 2”) ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ พีท เบ็บบ์ (“Fantastic Beasts and Where to Find Them,” “Inception”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลินด์เซย์ พิวห์ (“The Matrix Resurrections,” “Krypton”) ดนตรีโดยแฮร์รี เกร็กสัน-วิลเลียมส์ (“The Meg,” “The Martian”)

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ ซีเอ็มซี พิกเจอร์ส นำสนอผลงานร่วมกับ DF Pictures, a di Bonaventura/Apelles Entertainment, Inc. production, a Ben Wheatley film เรื่อง “Meg 2: The Trench” จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส มีกำหนดเปิดตัวในโรงภาพยนตร์อเมริกาเหนือ 4 สิงหาคม 2023 และทั่วโลกเริ่มวันที่ 2 สิงหาคม  2023

หวนกลับมาเป็นครั้งที่ 2! ภาพยนตร์เรื่อง “Meg 2: The Trench” เป็นผลงานที่ได้รับความคาดหวังอย่างสูง ภาคต่อจากภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกซึ่งจะหวนคืนจอยักษ์อีกครั้ง และโผล่ออกมาในรูปแบบ 3 มิติ! เจสัน สตาแธมกลับมาเป็นผู้นำทีมอีกครั้ง โดยคราวนี้ประกบคู่กับ วู จิง ผู้แสดงภาพยนตร์ 5 ใน 10 เรื่องที่กวาดรายได้สูงสุดในประเทศจีน เหล่าฮีโร่ผู้กล้าของเราต้องต่อสู้กับเหล่าเม็กที่บ้าคลั่งอย่างน่ากลัว นำโดยเม็กผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล มาพร้อมกับเหล่าสิ่งมีชีวิตหน้าใหม่ขนาดยักษ์ใหญ่แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในภาพยนตร์แอ็คชันทริลเลอร์ พร้อมด้วยเอ็ฟเฟ็กต์ที่จะสร้างความทึ่งระทึกขวัญจนต้องนั่งติดขอบเบาะ รวมถึงการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น ภาพยนตร์เรื่อง “Meg 2: The Trench” เป็นผลงานสร้างความสนุกในช่วงซัมเมอร์ได้อย่างดีเยี่ยม!

รายละเอียดการถ่ายทำ

เหล่านักล่า

  • จุดเริ่มต้นพัฒนาการของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์ในเรื่อง “Meg 2: The Trench” เริ่มจากเบื้องลึกในทะเลแปซิฟิคที่ความลึกมากกว่า 25,000 ฟีตและมีความอบอุ่นจากช่องกระแสน้ำ จึงเป็นบรรยากาศที่เอื้อต่อการเปิดระบบนิเวศวิทยาอันซับซ้อนจากโลกเมื่อหลายล้านปีด้วยกระแสน้ำ รวมถึงผืนทรายด้านล่างท้องมหาสมุทรที่ถูกกลุ่มไฮโดรเจนซัลไฟด์ปกคลุมโลกอันลึกลับที่อยู่เบื้องล่าง
  • สำหรับครั้งนี้ผู้สร้างภาพยนตร์ตั้งใจจะสร้างเม็กในเรื่อง “The Meg” ให้โดดเด่นโดยการสร้างเม็กผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ประสบการณ์อันโชกโชนถูกซ่อนไว้ในรอยแผลเป็น และตั้งใจให้มีความโหดเหี้ยมมากกว่าสิ่งใดที่เคยเห็นมาก่อนในภาพยนตร์ต้นฉบับ ผู้กำกับฯ เบ็น วีทลีย์ เล่าว่า “เขาผ่านการต่อสู้มาอย่างสาหัส”
  • ผู้สร้างภาพยนตร์ได้รวบรวมแง่มุมทางประวัติศาสตร์ของพวกเขาเอาไว้ โดยการสร้างนักล่าในแบบของพวกเขา จากอดีตที่ยาวนานเกินกว่า 2 ยุคและผุดขึ้นมาจากเทอร์โมไคลน์:
    • สแนปเปอร์ส: ได้แรงบันดาลใจมาจากไดโนเสาร์ที่มีชื่อว่าโคเรียโนซอรัส เป็นพวกสัตว์กินพืช เดิน 4 ขา มีจงอยปากเหมือนนก ผู้สร้างฯ ได้คิดสแนปเปอร์ขึ้นมาให้กินเนื้อได้เพียงเล็กน้อย มีกล้ามเนื้อ ฟันแหลม และกินได้อย่างไม่รู้จักอิ่ม วีทลีย์เล่าว่า “มันคือหนึ่งในตัวเอกแห่งตำนาน พวกมันไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ผู้ชมอาจรู้สึกเสียใจกับพวกมันด้วยซ้ำ”
    • เมกา-ออคโตปุส: ถูกลำดับขั้นเอาไว้ว่า “น่ากลัวน้อยกว่าเม็กเพียงเล็กน้อย” สิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมากถูกทำลายลง และเมื่อเกิดเหตุการณ์ท้องทะเลตื้นขึ้น “ผมต้องพูดจากมุมของเรย์ แฮร์รีเฮาเซนว่าผมมีหนวดขนาดใหญ่ยักษ์” วีทลีย์กล่าว
  • การคิดทุกท่วงท่าอันน่ากลัวของเม็กขึ้นมามีจุดเริ่มต้นเดียวกัน วีทลีย์กล่าว: “ทุกท่วงท่าของฉลามเริ่มจากดินสอ ผมนั่งวาดรูปเองและคิดว่าคงสนุกดีถ้าได้เห็นภาพมัน ต่อมาผมได้เข้าไปหาศิลปินผู้วาดสตอรี่บอร์ด เจค ลันท์ ดาวีส์ และเราช่วยกันคิดว่าฉากนั้นควรจะออกมาแบบไหน ต่อมาคือหน้าที่ของผู้สร้างภาพเคลื่อนไหวบนคอมพิวเตอร์ เขาจะสร้างภาพเวอร์ชันหนึ่งขึ้นมา จากนั้นเราจะนำมาตัดต่อใส่ในภาพยนตร์ และเราก็จะเริ่มถ่ายทำกัน” มันมีหลายขั้นตอนต่อเนื่องกัน และการผจญภัยเผชิญหน้ากับฉลามทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ดินสอมาจนถึงในภาพยนตร์ ใช้เวลาราว 6 เดือน สำหรับผู้กำกับฯ เมื่อเม็กมาอยู่ในช่วงขั้นตอนหลังการถ่ายทำได้ “เราต่างพูดว่า ‘โอ้ พระเจ้า!’”
    • สตอรี่บอร์ดทั้งหมดที่รวบรวมไว้สำหรับภาพยนตร์ มีจำนวนภาพวาดรวมราว 5,000 แผ่น

เหล่ามนุษย์

  • สำหรับผู้กำกับฯ วีทลีย์ สรุปเอาไว้อย่างเรียบง่ายสั้นๆ ว่า “ปลุก “The Meg” และพลิกโฉมครั้งใหญ่ มีสิ่งมีชีวิตที่ตัวใหญ่ขึ้น ฉากแอ็คชั่นยิ่งใหญ่ขึ้น สัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขึ้น บรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ขี้น ทุกอย่างยิ่งใหญ่อลังการขึ้น”
  • ผู้อำนวยการสร้างฯ โลเรนโซ ดิ โบนาเวนตูรา ยอมรับว่า “ในภาคแรกไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเล่นมุกตลกกับผู้ชมอย่างไร แต่พวกเขาก็คิดได้ว่า “พวกเราอย่าเครียดกันเกินไปเลย สร้างความสนุกและฉากน่ากลัวกันดีกว่า” ในภาคนี้เราจะเห็นความน่ากลัวมากขึ้น และความโหดเหี้ยมทั้งด้านล่างและเหนือน้ำ นักแสดงชื่อดังระดับโลกอย่างเจสัน สตาแธม และ วู จิง รวมถึงนักแสดงหน้าใหม่อีกหลายคน ฉากแอ็คชั่นอีกมากมาย… และเหล่าเม็กที่เยอะขึ้น มีความสมดุลระหว่างการเตือนให้พวกเขานึกถึงสิ่งที่ตัวเองรักและตัวละครที่พวกเขารัก รวมถึงการพบกับประสบการณ์ใหม่ของพวกเขา”
  • ผู้อำนวยการสร้างฯ เบลล์ เอเวอรี่ เล่าว่า  “ทุกคนจะได้เซอร์ไพรส์กับความสนุกในความเป็น “The Meg” เพราะเราจะเครียดมากไม่ได้เลยเวลาที่สร้างหนังเกี่ยวกับฉลามขนาดยักษ์ มันเลยต้องสนุกเข้าไว้ และสร้างโทนเรื่องที่มีความสดใส เราสร้างให้มีพวกสิ่งมีชีวิตมากขึ้น พวกเม็กมีตัวตนในแบบของตัวเอง และได้ค้นพบอะไรมากขึ้นในท้องทะเล ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งสำคัญคะ มนุษย์คือผู้ที่ทำลายหลายสิ่ง และเราะนำเสนอเรื่องนั้น แต่เหมือนที่โจนาสเล่าไว้ในภาคแรกว่า “เม็กสู้กับมนุษย์อย่างโหดเหี้ยม” เราจะได้เห็นกันในภาคนี้ด้วย แต่เป็นความโหดเหี้ยมที่สนุก (หัวเราะ)”
  • เจสัน สตาแธมทุ่มเทการแสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเอง ถ้าเห็นนักแสดงขี่เจ็ตสกีกลางน้ำ แน่นอนว่าต้องเป็นเขา วีทลีย์เล่าว่า “เพราะโครงสร้างใบหน้าคือสิ่งที่ยากจะปลอมได้ หากเราต้องตีลังกากลับหัวเราก็ต้อทำแบบนั้นจริงๆ เราให้เขาอยู่บนเครื่องห้อยโหนขนาดยักษ์ และเราจะเหนี่ยวไกหมุนเขาไปรอบตัว สาดน้ำไปที่หน้าของเขา เราอยากใช้การจำลองฉากน้อยที่สุด เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเขาเล่นเองเลย แน่นอนว่าไม่ใช่การกระโดดใส่คลื่นยักษ์ แต่เขาขี่เจ็ตสกีได้เร็วมาก น่ากลัวด้วย เราดูบนจอแล้วต้องพูดว่า “กลับมาได้แล้ว ใช้ได้แล้ว!””

  • วู จิงเป็นนักดำน้ำที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วได้กล่าวว่า “บอกตามตรงเลย ผมกลัวพวกหนังสัตว์ประหลาดมาก ให้ผมกระโดดออกจากตึกสูงยังง่ายซะกว่า และการต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดในจินตนาการน่ะหรือ? ก็เป็นเรื่องที่ยากมากเลย” 
  • ช่วงหนึ่งระหว่างการถ่ายทำฉากระเบิด จิงอาสาขอติดกล้องไว้กับตัวเพื่อถ่ายภาพโคลสอัพในฉากระเบิดจริง วีทลีย์อธิบายว่า “เราถายทำฉากนั้นไม่กี่ครั้ง และมันก็ออกมาดีมาก ทำให้ผู้ชมได้เข้าไปอยู่เหตุการณ์นั้นจริงๆ เขาพร้อมที่จะแสดงทุกอย่างและไม่เคยบ่นเลย ผมคิดว่าเขายอมหักขาตัวเองโดยที่พร้อมพูดว่า ‘ครับ ผมสบายดี’”
  • การแต่งหน้าทีมนักแสดงระดับโลกถึงการเดินทางผจญภัยทางวิทยาศาสตร์ วีทลีย์เล่าว่า “ทีมนักแสดงของเราทั่วโลกพบจากโลกวิทยาศาสตร์ ปกติแล้วกลุ่มนักสำรจทางทะเลจะรวมคนเก่งๆ จากทั่วโลกเอาไว้ ซึ่งเป็นการผสมผสานผู้คนจากทุกแห่ง”

สถานที่ต่างๆ และสิ่งน่าทึ่ง

  • “Meg 2: The Trench” ถ่ายทำฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิปี 2022 ที่ Warner Bros. Studios Leavesden และใช้สถานที่ในประเทศไทย
  • ผู้ออกแบบฉาก คริส โลว์ เล่าว่า “สำหรับการออกแบบฉากมีการพูดว่า ‘เราไม่ได้สร้างภาพยนตร์สารคดี แต่เป็นภาพยนตร์ทั่วไป’ เราพาทุกคนออกจากชีวิตจำเจในทุกวัน พาพวกเขาไปอยู่ในธรรมชาติที่น่าตื่นตา เดินวนรอบห้องแล็บ และระหว่างที่พวกเขากำลังอยู่ในสถานที่อันน่าทึ่งนี้ ตามหลักของภาพยนตร์จะดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้น นั่นเป็นหน้าที่ของแผนกศิลป์ ที่จะต้องเทียบให้เห็นความสมจริง ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องจริง เรามีฉลามขนาด 65 ฟุตที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เราเล่นกับความเชื่อของมนุษย์ ซึ่งนั่นเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องสร้างเม็กตัวนั้นให้สมบูรณ์แบบ”

  • สำหรับการสร้างสถาบันจาง โลว์ได้ร่วมงานกับวีทลีย์ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรและห้องทดลอง สังเกตโลกแห่งความจริงเพื่อหาแรงบันดาลใจ
    • สำหรับสถานที่ โลว์เริ่มจากภาพชายหาดที่งดงามในเมดิเตอเรเนียน Voidokilia Beach ตั้งชื่อตาม  Omega Beach เพราะคล้ายกับตัวอักษรโอเมก้าของกรีก 
    • สำหรับสถาบัน ทีมออกแบบสังเกตจาก London Aquatics Centre และปรับเปลี่ยนให้เป็น “การออกแบบกระเบนแมนต้า” สะท้อนถึงวัฒนธรรมของสถาบัน ผลลัพธ์ที่ได้คือ “ทางเข้าออกจะแคบ เพื่อเป็นตัวดักวิจัยเม็ก ไฮชิ ในอ่าวธรรมชาติ” โลว์กล่าว 
    • เทคโนโลยีต่างๆ ในโลกของภาพยนตร์ ผู้สร้างเน้นให้ภาพรวมดู “เงามันวาว” โดยได้แรงบันดาลใจจากนักลงทุนด้านเทคโนโลยี อีลอน มัสก์
    • สำหรับบรรยากาศด้านใน โลว์เล่าว่า “ด้านบนสถาบันตั้งชื่อตามเขา จิวมิง จาง ผู้ออกแบบ และผมอยากให้มีการสะท้อนถึงน้ำ พระอาทิตย์ และทะเล แม้แต่กำแพงก็มีลวดลายคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน แต่ก็มีจอภาษาจีนด้วย ทุกอย่างมีการสื่อถึงบรรยากาศตะวันออก”
    • สำหรับเรือดำน้ำลึกในทะเล Dive One และ Dive Two การออกแบบของทีมงานคือเหมือน  “เบนท์ลีย์รวมกับเจซีบี” สะท้อนถึงโลก 2 ใบที่มารวมกัน แบรนด์หนึ่งเป็นพาหนะสุดหรูและอีกแบรนด์เป็นอุปกรณ์ด้านการก่อสร้าง (JCB มาจาก Joseph Cyril Bamford ผู้เริ่มธุรกิจโดยใช้ส่วนที่เหลือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945)
    • สำหรับชุดดำน้ำ คอนเซ็ปต์มาจากผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลินด์เซย์ พิวห์ ผู้เคยร่วมงานกับผู้กำกับฯ วีทลีย์ และ ปิแอร์ โบฮานนา ผู้ออกแบบเอ็ฟเฟ็กต์พิเศษให้เสื้อผ้า ทีมงานของพวกเขาเป็นผู้ผลิตชุดต่างๆ โดยชุดจะรวมถึงเอ็กโซสูท (พลังที่ดันนักดำน้ำผ่านกระแสน้ำได้) ด้านล่างชุด (ป้องกันร่างกายจากความลึก) หมวกและเครื่องช่วยหายใจ  (พัฒนาร่วมกับ เดฟ ชอว์ ผู้ประสานงานด้านการดำน้ำและเดินเรือ) ทีมงานผลิตชุดขึ้นมา 25 ชุด โดยแต่ละชุดมีชิ้นส่วนมากกว่า 200 ชิ้น
      • พิวห์เล่าว่า “นั่นเป็นชุดที่เหมาะสมแล้ว เสื้อผ้าชุดอื่นจะผลิตขึ้นมาหรือไม่ก็ซื้อมา สะท้อนให้เห็นความเป็นธรรมชาติชัดเจนมาก ต้องสื่อให้เห็นว่าเป็นเพียงคนธรรมดาที่ทำสิ่งยิ่งใหญ่ แต่อันที่จริงนี่เป็นชุดที่ไม่ธรรมดาเลย ผลิตขึ้นมาระหว่างการถ่ายทำหนัง ต้องใช้ชิ้นส่วนพิเศษ ฉะนั้นทุกส่วนจึงออกแบบและวางแผนขึ้นมาจากศูนย์”
      • โบฮานนาเล่าต่อว่า “นั่นไม่ใช่ชิ้นส่วนเสื้อผ้าคลาสสิคในการผลิตเลย มีชิ้นส่วนทางวิศวกรรมและสิ่งที่คิดขึ้นมา ต่างจากภาพที่เราคิดถึงเสื้อผ้าธรรมดาเอาไว้เลย”
      • สำหรับการย้ายเสื้อผ้าให้ง่ายขึ้นระหว่างการถ่ายทำ มีการผลิตระบบแขวนเสื้อขึ้นมาเพื่อให้ชุดตั้งตรงระหว่างที่นักแสดงต้องแสดงในชุดนั้น
    • สำหรับ Mana One Dive Centre สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ผลิตเหนือแทงค์น้ำด้านนอกที่ Warner Bros. Studios Leavesden พร้อมด้วยทางเดินเท้าลอย 30 ฟีตเหนือผิวน้ำ
  • สำหรับ Club Paradise ที่มีผู้คนมากมายมาพักผ่อนบนเกาะมหาสนุก ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ตกแต่งท่าเรือ  South Seas (ที่จะกลายเป็นฝันร้าย) ที่ภูเก็ต ประเทศไทยบนหาดพาราไดซ์ ที่แห่งนั้นมีการปิดตัวลง 2 ปีจากโรคระบาด ทีมงานสามารถใช้หาดทรายบริเวณตื้นและอ่าวเล็กๆ เป็นฉากหลังว่าง และมีการสร้างท่าเทียบเรือยาว 200 เมตรลงทะเล 
    • ตัวละครโคโค่ เจ้าสาวจาก “The Meg” ตอนนี้กลายเป็นผู้ดูแลโซเชียลของ Club Paradise บน Fun Island และเธอพาเจ้าหมาพิปพินตัวโปรดของแฟนๆ มาด้วย
  • ผู้กำกับภาพ แฮริส แซมบาร์ลูคัส ที่วีทลีย์เรียกว่า “เป็นนักเซิร์ฟบอร์ดที่ช่างสังเกต เหมือนเป็นลูกครึ่งปลา” ใช้อุปกรณ์พิเศษของกล้องที่เรียกว่าเมกะโดม เลนส์ปกติที่ใส่น้ำลงไปทำให้ขนาดของวัตถุผิดเพี้ยน (มนุษย์จะดูตัวใหญ่ขึ้นเมื่ออยู่ใต้น้ำ) แต่เมกะโดมทำให้ขนาดเท่ากันได้ การถ่ายทำสตาแธมดำน้ำในทะเลจึงดูมีขนาดเดียวกับเวลาอยู่บนบก 

  • ฉากผาดโผนที่น่าทึ่งมาจากผู้ควบคุมการแสดงผาดโผน มาร์ค เมลลีย์ และผู้อำนวยการสร้างฯ เบลล์ เอเวอรี่ เล่าว่า “มาร์คน่าทึ่งมาก ในการออกแบบฉากผาดโผนให้เจสัน สตาแธมและอู จิงขึ้นมา ฉันคิดว่าทุกคนจะได้เห็นอะไรในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เจสันขี่เจ๊กสกี ส่วนอู จิงอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ มันน่าทึ่งและตื่นเต้นมากค่ะ”

ข้อมูลจริงเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในทะเล

  • ซากของฉลามโบราณที่พบ เมื่อดูจากขนาดแล้วมีอายุย้อนไปราว 450 ล้านปี ฉลามรอดชีวิตจาก 5 เหตุการณ์ใหญ่ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (อย่างน้อย 75% ของสายพันธุ์ได้สูญไปแล้วในช่วงเวลาไม่ถึง 2 ล้านปี) ตัวสุดท้ายซึ่งเป็นจุดจบของยุค ปรากฏตัวเมื่อ 65 ล้านปีก่อน และได้เห็นจุดจบของไดโนเสาร์ บ๊ายบายที-เร็กซ์ สวัสดีฉลาม!
  • ปลาหมึกยักษ์ขนาดใหญ่พิเศษในเรื่องแสดงให้ถึงความสามารถด้านการเปลี่ยนแปลงผิว จากผิวเรียบสู่ขรุขระและมีหนามแหลมคม สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาอิงจากความสามารถของหมึกในธรรมชาติที่มีอยู่จริง

  • ดีเอ็นเอฉลามใหญ่กว่าดีเอ็นเอมนุษย์ 1 ½ เท่า สามารถเข้ารหัสได้ในแบบที่มนุษย์ทำไม่ได้ โครงสร้างแรกคือดีเอ็นเอฉลามขาวที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ ปกป้องสัตว์จากโรคมะเร็งและโรคอื่น เอเวอรี่เล่าว่า “ดีเอ็นเอฉลามใช้กันในด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อซ่อมแซมกระดูกอ่อนและทุกด้าน ขณะที่เราหวาดกลัวพวกมัน เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างด้วย คิดว่ามนุษย์สนใจในสิ่งที่อันตราย โดยเฉพาะพวกสัตว์ดุร้าย ไม่ได้หมายความว่าเราอยากไปยืนใกล้พวกมัน แต่เรารู้สึกชื่นชม ทุกคนมีความเป็นฉลามอยู่ในตัวเอง”
  • ตอนนี้แนวคิดที่กลายเป็นที่นิยม คือให้ฉลามทุกตัวเคลื่อนไหวในน้ำเพื่อให้น้ำผ่านเหงือกของมันไม่เช่นนั้นจะตาย ซึ่งนี่เป็นเรื่องจริงสำหรับสัตว์บางสายพันธุ์ บางตัวว่ายผ่านน้ำได้ผ่านระบบหายใจ โดยการเคลื่อนไหวคอหอย พวกมันอหยุดพักใต้ทะเลโดยที่ยังหายใจได้ มีความเป็นไปได้เพราะการเปิด (ระหว่างตาและแนวเหงือก) ที่เรียกว่ารูเปิดนั้น ทำให้เลือดไหลเวียนออกซิเจนสู่ตาและสมองได้โดยตรผ่านหลอดเลือดที่แยกกัน ทำให้พวกมันลอยตัวนิ่งๆ ได้ก่อนจะพร้อมออกไปล่าเหยื่อ ฉลามส่วนมากจะมีรูเปิดนี้ แต่ไม่ใช่พวกฉลามปะการัง ฉลามแมคเคอเรล (รวมถึงฉลามขาว) หรือฉลามหัวค้อน เพราะสำหรับพวกมันแล้วหลักการสมัยก่อนที่ว่าจะ  “ว่ายน้ำหรือจะตาย” เป็นความจริง

  • ฉลามมีความสามารถพิเศษ พวกมันเคลื่อนที่ง่ายมากเมื่ออยู่ในระดับน้ำลึกที่ต่างกัน มีลักษณะเหมือนเครื่องบิน พวกมันใช้ครีบเพื่อบังคับการเคลื่อนไหวตำแหน่งสูงขึ้นหรือต่ำลง ฉลามเองก็มีตับที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำมัน ซึ่งช่วยควบคุมเรื่องการลอยตัว (ต่างจากกระดูกขอปลาที่มีข้อจำกัดเรื่องระดับความลึก พวกมันมีกระเพาะปัสสาวะที่ลอยตัว ด้านในมีแก๊ซที่ช่วยเรื่องการลอยตัวให้พวกมัน หากอยู่ระดับความลึกที่ไม่เหมาะสม กระเพาะปัสสาวะอาจระเบิดหรือแตกได้) และแน่นอนว่าฉลามไม่มีกระดูก!
  • ฉลามมีมากกว่า 500 สายพันธุ์ พบพวกมันได้ตามมหาสมุทรโดยส่วนใหญ่ (แม้แต่ใต้น้ำแข็งทะเลอาร์คติก) ขณะที่คนส่วนใหญ่หวาดกลัวฉลามจากภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง “Jaws” แต่มีเพียงฉลามไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่อันตรายต่อมนุษย์ การทำร้ายมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งแอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย และฟลอริด้า (พบการทำร้ายส่วนใหญ่ที่ฟลอริด้า แต่ถึงแก่ความตายน้อยมาก) แต่มีฉลามขนาดใหญ่ที่สุด 2 สายพันธุ์ ได้แก่ s) ฉลามบาสกิ้นและฉลามวาฬที่ไม่มีฟันและอยู่ได้ด้วยการกินแพลงค์ตอน ฉลามส่วนใหญ่อยู่ได้ด้วยปลาและสัตว์ไมมีกระดูกสันหลัง มีเพียงบางส่วนที่กินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น แมวน้ำและสิงโตทะเล น้อยครั้งที่ฉลามจะกัดกินคน และมักเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รุกรานฉลาม หรือฉลามต้องการความอร่อย (เพราะดูเหมือนสิงโตทะเลเวลาที่แหวกว่ายอยู่บนเซิร์ฟบอร์ด)

  • ฉลามขาว (อันที่จริงคือทุกฉลาม) ถูกจัดอันดับเป็นนักล่าระดับสูงสุด ไม่มีอะไรจะโค่นล้มมันได้ มีไม่กี่ครั้งที่ออร์ก้าจะมาท้าทายฉลามขาว และฉลามส่วนใหญ่เป็นสัตว์เลือดเย็น (อุณหภูมิร่างกายขึ้นอยู่กับน้ำที่อยู่รอบตัว) ฉลามขาวมีระบบไหลเวียนที่ซับซ้อน สามารถรักษาและกระจายความร้อนให้กับร่างกายเฉพาะจุดได้ ให้คิดภาพว่าพวกมันมีระบบเทอร์โบชาร์จ สามารถเคลื่อนที่ได้ไวขึ้นในยามล่าเหยื่อ