GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์
เปิดฉายรอบพิเศษ 24 – 30 สิงหาคม
31 สิงหาคม ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
เรื่องย่อ
GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์ สร้างขึ้นจากเรื่องจริงอันเหลือเชื่อของทีมที่ถูกมองว่าด้อยกว่า ที่ประกอบไปด้วยคอเกมชนชั้นแรงงานที่ชีวิตกำลังลำบาก (อาร์ชี่ มาเด็ควี), อดีตนักแข่งอาชีพที่ล้มเหลว (เดวิด ฮาร์เบอร์) และผู้บริหารบริษัทกีฬามอเตอร์สปอร์ตผู้มองโลกแบบอุดมคติ (ออร์แลนโด้ บลูม) พวกเขาได้เสี่ยงกับทุกอย่างเท่าที่พวกเขามีเพื่อลงชิงชัยในสุดยอดกีฬาระดับโลก
GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์ เป็นเรื่องราวที่ระอุไปด้วยแอ็กชัน ความลุ้นระทึกและเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้หากคุณมีแรงขับเคลื่อนจากภายใน
โคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยเพลย์สเตชัน โปรดักชัน/2.0 เอนเตอร์เทนเมนต์ ภาพยนตร์โดยนีลล์ บลอมแคมป์ GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์ นำแสดงโดยเดวิด ฮาร์เบอร์, ออร์แลนโด้ บลูม, อาร์ชี่ มาเด็ควี, ดาร์เรน บาร์เน็ต, เกอรี่ ฮัลลิเวล ฮอร์เนอร์และดิมอน ฮันซู กำกับโดยนีลล์ บลอมแคมป์ อำนวยการสร้างโดยดั๊ก เบลเกรด, อาซัด คีซิลบาช, คาร์เตอร์ สวอนและดานา บรูเน็ตติ บทภาพยนตร์โดยเจสัน ฮอลและนีลล์ บลอมแคมป์และแซ็ค เบย์ลิน สร้างจากเกมจากค่ายเพลย์สเตชัน สตูดิโอส์ ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่แมทธิว เฮิร์ช, เจสัน ฮอล, คาซูโนริ ยามาอุจิและเฮอร์เมน ฮัลส์ ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่ยานน์ มาร์เด็นเบอระและดาร์เรน ค็อกซ์ ผู้กำกับภาพคือฌาคส์ โจเฟร็ท ผู้ออกแบบงานสร้างคือมาร์ติน วิสต์ มือลำดับภาพได้แก่โคลบี้ ปาร์คเกอร์ จูเนียร์, เอซีอีและออสติน เดนส์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือเทอร์รี แอนเดอร์สัน ดนตรีโดยลอร์เน บัลเฟและแอนดรูว์ คอว์ซินสกี้
จากสนามแข่งสู่จอเงิน
“GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์เป็นหนังที่เป็นการเติมเต็มความปรารถนาขั้นสูงสุดครับ” นีลล์ บลอมแคมป์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากเรื่องจริงของยานน์ มาร์เด็นเบอระ หนึ่งในผู้ที่จับพลัดจับผลูมาเป็นนักแข่งรถได้อย่างเหลือเชื่อที่สุดตลอดกาล กล่าว “คุณอาจมีเวลาในการตอบสนองที่ดีที่สุด มีทักษะสารพัดอย่าง แต่เมื่อคุณเหยียบคันเร่งจนมิดด้วยความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ตอนนั้นเองที่คุณจะมีโอกาสได้พิสูจน์ว่าคุณเป็นของจริง และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับยานน์ มาร์เด็นเบอระครับ”
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มาร์เด็นเบอระเป็นแฟนกีฬาแข่งรถมาโดยตลอด ในฐานะเด็กจากครอบครัวชนชั้นแรงงงาน เขาคลั่งไคล้การเล่นเกม Gran Turismo เพื่อที่จะได้สัมผัสกับความตื่นเต้นของการแข่งรถ แต่ก็จินตนาการว่าเขาคงไม่มีวันได้สัมผัสถึงความลุ้นระทึกของการได้ย่างเท้าลงบนรถสมรรถนะสูงจริงๆ…จนกระทั่งเขาได้ลงแข่งในการแข่งขัน Gran Turismo และชิงชัยกับคู่แข่งขันที่เก่งกาจที่สุด เพื่อไขว่คว้าโอกาสในการได้เป็นหนึ่งในทีมแข่งรถจีที อคาเดมีของนิสสัน เด็กอังกฤษธรรมดาๆ คนนี้ได้รับเลือกจากบรรดาคู่แข่งหลายพันคนโดยผู้บริหารฝ่ายการตลาดโลกสวย เขาถูกจับมาอยู่ภายใต้การฝึกสอนของอดีตนักแข่งตกอับช่างประชดประชัน และได้ควบคุมหนึ่งในเครื่องยนต์ที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยคิดประดิษฐ์ขึ้นมา โดยเขาได้ลงแข่งให้กับนิสสันด้วยรถสมรรถนะสูงของพวกเขาในการแข่งขันที่โด่งดังมากมาย อาทิ การแข่งขัน 24 ชั่วโมง เลอม็อง
GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์ ซึ่งเล่าเรื่องราวการที่มาร์เด็นเบอระกลายมาเป็นนักแข่งในชีวิตจริง เป็นภาพยนตร์ที่ซีเนมาเบลนด์เรียกว่า “Rocky แบบมีรถแข่ง” เป็นเรื่องราวกีฬาคลาสสิกของผู้มีแต้มด้อยกว่า ตามแบบอย่างของ Seabiscuit, Hoosiers และ Remember the Titans
บลอมแคมป์กล่าวว่า ยานน์เป็นตัวละครที่น่าติดตามเพราะเรื่องราวในชีวิตจริงของเขาเต็มไปด้วยความฝันเหลือเชื่อที่กลายเป็นจริงหลายต่อหลายครั้ง “ตอนที่ผมได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันสร้างขึ้นจากชีวิตจริงของยานน์ มาร์เด็นเบอระ” เขากล่าว “เหตุการณ์ในหนังแทบจะเป็นเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ เลยล่ะครับ”
“มีคุณสมบัติทุกอย่างของเรื่องราวกีฬาเยี่ยมๆ เกี่ยวกับคนที่เป็นพวกรองบ่อนครับ” ผู้อำนวยการสร้างดั๊ก เบลเกรดกล่าว “ยานน์มีความฝันแต่เขาถูกทุกคนดูถูก โดยเฉพาะคนแวดวงแข่งรถ ที่บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“การดัดแปลงเรื่องนี้ให้เป็นหนังไม่ได้มีแนวทางเดียวครับ” อาซัด คิซิลบาช หัวหน้าเพลย์สเตชัน โปรดักชันส์และผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าว “Uncharted, ซีรีส์ ‘The Last of Us’ และ GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์ มีแนวทางนำเสนอที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกเรื่องเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ‘ทำไมคนถึงรักเกมนี้’ สำหรับเกม ‘Gran Turismo’ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะพวกเราส่วนใหญ่คงไม่มีโอกาสได้ย่างเท้าเข้าไปในรถแข่งหรือเข้าโค้งชิคเคนในการแข่งเลอม็อง แต่เกมนี้จะทำให้คุณได้นั่งอยู่บนเก้าอี้คนขับ นั่นคือสิ่งที่เราอยากจะนำเสนอออกมาในหนังเรื่องนี้ และหนังเรื่องนี้ก็ทำได้ในสองรูปแบบ แบบแรกคือยานน์ มาร์เด็นเบอระสามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนมีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกนั้นในชีวิตจริง และในการเล่าเรื่องราวนี้ นีลล์ บลอมแคมป์ก็ได้สร้างหนังแข่งรถที่สมจริงที่สุดและลุ้นระทึกที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้ขึ้นมาครับ”
เช่นเดียวกับวัยรุ่นมากมาย ยานน์ดูเหมือนจะสนใจเล่นเกมมากกว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเขามีโอกาสได้เล่นของจริง “ยานน์กำลังเล่นเกม ‘Gran Turismo’ ในบ้านของพ่อแม่เขาตอนที่จู่ๆ เขาก็ได้เห็นตัวเลือกสำหรับจีที อคาเดมีขึ้นมา” บลอมแคมป์อธิบาย “ตอนนั้นเองเขาถึงได้เรียนรู้วิธีการขับรถที่ดี วิธีการเข้าโค้งให้ชิดเส้นมากที่สุดและวิธีการออกจากหัวโค้ง ทุกสิ่งที่เขาทำในเกมตามสัญชาตญาณแต่ไม่เคยมีใครสอนเขาน่ะครับ”
ในมือของบลอมแคมป์ GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์ เป็นภาพยนตร์ที่พาผู้ชมไปนั่งอยู่บนเก้าอี้คนขับและปล่อยให้พวกเขาจินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรหากพวกเขาได้นั่งอยู่บนยานอวกาศที่มีความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมงเป็นครั้งแรก “ผมรู้ว่านีลล์จะนำความรู้สึกที่น่าตื่นเต้น เลือดสูบฉีดพลุ่งพล่านมาสู่หนังเรื่องนี้ได้” เดวิด ฮาร์เบอร์ ผู้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ในบท แจ็ค นักแข่งตกอับที่กลายเป็นหัวหน้าวิศวกรของยานน์และสอนเขาถึงกลเม็ดเด็ดพรายต่างๆ ในการเป็นนักแข่งจริงๆ กล่าว “สิ่งที่ผมไม่รู้เลยคือเราจะทำงานกับรถจริงๆ นักแข่งจริงๆ และสนามจริงๆ ได้ยังไง เราอยู่ในรถ เราเปลี่ยนยาง ปรับแต่งเครื่องยนต์รถแบบเรียลไทม์พร้อมกับนักแข่งอื่นๆ ที่วิ่งไปตามสนามด้วยความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง เป็นตัวผมจริงๆ ที่นั่งอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ ที่บินอยู่เหนือบรรดารถแข่งสูงขึ้นไป 30 ฟุต ทุกอย่างเสริมสร้างความเข้มข้นของประสบการณ์นี้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างหนังเกี่ยวกับคนที่มีประสบการณ์สุดเข้มข้นและยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อสิ่งที่พวกเขารัก”
นักแสดงหนุ่มกล่าวว่า ตอนแรก เขารู้สึกเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่สร้างจากเกมซิมูเลเตอร์รถแข่งเพราะสำหรับเขาแล้ว ภาพยนตร์ไม่เหมือนกับวิดีโอเกม “คุณอยากจะเล่นเกม อยากจะควบคุมตัวละคร” ฮาร์เบอร์กล่าว “สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบจริงๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือมันไม่ได้เป็นหนังเกี่ยวกับวิดีโอเกม แต่มันเป็นหนังที่รวมเอาวิดีโอเกมเข้าไปในการเล่าเรื่องด้วย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มมากพรสวรรค์ ผู้ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อ และเกี่ยวกับโค้ชที่ผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากมายและแข็งแกร่งขึ้น แต่เขาก็เชื่อในเด็กคนนี้ครับ”
ผู้ที่แสดงประกบมาเด็คเวและฮาร์เบอร์คือออร์แลนโด้ บลูมในบทแดนนี่ มัวร์ ผู้บริหารการตลาดโลกสวยของนิสสัน ผู้เกิดไอเดียบรรเจิดในการให้นักเล่นเกมคอนโซลมานั่งอยู่ในเครื่องยนต์ที่เดินทางด้วยความเร็วแบบท้ามฤตยู “เขาเต็มไปด้วยหัวใจและความคลั่งไคล้ครับ” บลูมกล่าว “เขาถูกขับเคลื่อนด้วยความฝันที่ไกลเกินเอื้อม ในการนำนักแข่งรถซิมูเลเตอร์ไปขับรถจริงๆ และลงแข่งในสนามน่ะครับ”
เส้นทางสู่ภาพยนตร์เรื่องนี้ของบลอมแคมป์เกิดจากความรักยาวนานที่เขามีต่อรถยนต์ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ วิศวกรรม ศิลปะและการออกแบบ ซึ่งนั่นหมายถึงความเป็นไปได้อันน่าตื่นเต้นในการได้นำเสนอว่ารถพวกนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง “กับหนังแบบนี้ บางครั้งเราก็จะรู้สึกถูกล่อลวงให้ใช้ภาพดิจิตอลทั้งหมด แค่ถ่ายทำเพลทแบ็คกราวน์ ใช้รถดิจิตอล ให้นักแสดงแสดงจากสภาพแวดล้อมเสมือนจริง แต่ในกรณีนี้ ทุกอย่างเป็นของจริง ผมหมายถึงทุกอย่างจริงๆ ในตอนที่เรานำเสนอภาพนักแสดงขับรถ พวกเขากำลังตะลุยไปตามสนามแข่งด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกับความเร็วที่พวกเขาควรจะใช้จริงๆ น่ะครับ”
ผู้อำนวยการสร้างคาร์เตอร์ สวอนกล่าวว่า ในตอนที่มีการเสนอชื่อบลอมแคมป์ครั้งแรก เขาก็นึกถึงภาพยนตร์ไซไฟที่ขับเคลื่อนด้วยวิชวล เอฟเฟ็กต์ของผู้กำกับคนนี้เป็นอันดับแรก บลอมแคมป์จะสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้รึเปล่านะ “ตอนที่ผมได้รู้ถึงความคลั่งไคล้ที่เขามีให้กับรถยนต์และโลกรถยนต์และรู้ว่าเขาต้องการจะสร้างมันให้สมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นก็คือสิ่งที่เรานึกภาพเอาไว้สำหรับหนังเรื่องนี้มาโดยตลอดครับ” เขากล่าว “ด้วยความที่นี่เป็นเรื่องจริง เราก็เลยอยากจะรักษาความสมจริงของมันเอาไว้ครับ”
ส่วนหนึ่งของการสร้างมันขึ้นมาจริงๆ คือการนำรถจริงๆ มาถ่ายทำในสนามจริงๆ ซึ่งรวมถึงสนามสโลวาเกีย ริงในสโลวาเกีย สนามดูไบ ออโต้โดรม สนามเนอร์เบอร์กริงก์ สนามเรด บุลล์ ริงในออสเตรียและฮังการอริง ซึ่งสนามแห่งหลังสุดนี้ถูกใช้สำหรับทั้งการแข่งขันจีที อคาเดมี (ซึ่งมีเค้าโครงจากซิลเวอร์สโตน สนามแข่งรถในอังกฤษ) และเลอม็องด้วย
แต่เพียงแค่การมีรถที่เหมาะสมและสนามแข่งจริงๆ ก็ยังไม่เพียงพอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังจะต้องมีลุคและความรู้สึกจริงๆ ด้วย บลอมแคมป์กล่าวว่า การทำเช่นนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบด้านภาพวิชวลสองสิ่ง “องค์ประกอบหนึ่งคือเรื่องทางประสบการณ์ คุณจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ได้ยังไงครับ” สิ่งนี้สำเร็จลงได้ด้วยการตัดสินใจเลือกกล้อง ยกตัวอย่างเช่น ในการบันทึกภาพการแข่งรถจริงๆ สำหรับโทรทัศน์ ทีมงานมักจะใช้โดรนภาพยนตร์ ซึ่งทำให้ได้ภาพมุมกว้างที่งดงาม และบลอมแคมป์ก็ทำแบบนี้ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น บลอมแคมป์ยังใช้โดรนแบบบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งนักแข่งโดรนมักจะใช้กัน เพื่อติดตามรถแข่งและนำเสนอมุมมองที่แทบไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน
บลอมแคมป์เป็นหนึ่งในผู้กำกับคนแรกๆ ที่ใช้กล้องโซนี เวนิส 2 กับส่วนขยายเรียลโต้ ด้วยความที่เรียลโต้ทำให้ทีมผู้สร้างสามารถแยกตัวเซ็นเซอร์จากตัวกล้องได้ บลอมแคมป์จึงสามารถใส่กล้องของเขาเข้าไปในสถานที่เล็กๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้ ทั้งภายในและภายนอกของรถได้ “รถแข่งโปรโตไทป์เป็นค็อกพิตของเอฟ 16 ครับ” บลอมแคมป์กล่าว “เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใส่เซ็นเซอร์ 6K หรือ 8K ระดับถ่ายหนังเข้าไปในค็อกพิตนั้น ให้มันอยู่กับนักแสดงโดยไม่ต้องถ่ายทำผ่านกระจกโพลาไรซ์ ยกเว้นแต่เราจะใช้เรียลโต้ ถ้าคุณอยากได้ภาพใกล้ๆ อยากจะเปลี่ยนการออกแบบเสียง อยากจะอยู่ในค็อกพิตและอยากจะอยู่ในรถจริงๆ ไม่มีทางอื่นเลยครับ”
วิธีที่สองที่บลอมแคมป์ใช้ในการทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกสมจริงคือการใช้แสง การถ่ายทำและการออกแบบงานสร้าง “ถ้าคุณกดหยุดหนังและดูที่เฟรมๆ หนึ่ง มันไม่ควรจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สังเคราะห์ขึ้น หรือมีการให้แสงที่เกินจำเป็น มีแสงที่อิ่มตัวเกินหรือดูเสแสร้งน่ะครับ ทุกอย่างมีรากฐานจากความเป็นจริง การออกแบบงานสร้างเป็นของจริง สไตล์การถ่ายทำเป็นของจริง และการตัดสินใจเรื่องสีก็เป็นของจริงครับ” เขากล่าว “ถ้าเราสร้างสารคดีเกี่ยวกับการแข่งรถ และองค์ประกอบทั้งหมดนี้อยู่ตรงนั้น นี่คือวิธีที่เราจะถ่ายทำครับ”
และในที่นั่งคนขับ บลอมแคมป์มีอาวุธลับอีกอย่างหนึ่งในการแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกของยานน์ มาร์เด็นเบอระตอนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งอาวุธลับที่ว่าก็คือตัวยานน์ มาร์เด็นเบอระเอง ผู้ทำหน้าที่เป็นนักขับรถสตันท์ของเรื่องสำหรับตัวละครยานน์เอง “เรื่องราวนี้สร้างขึ้นจากเรื่องของเขา อาร์ชี่รับบทเป็นตัวเขาและเขาก็เป็นนักขับรถสตันท์ที่ขับรถของอาร์ชี่ในฐานะตัวละครที่สร้างขึ้นจากตัวเขาน่ะครับ” บลอมแคมป์กล่าว “มันน่าทึ่งมาก เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นครับ”
“มันเซอร์เรียลมากๆ” มาร์เด็นเบอระกล่าว “ครั้งล่าสุดที่ผมไปฮังการี สนามเต็มไปด้วยรถบรรทุกสำหรับการแข่งขัน แต่ครั้งนี้ มันเต็มไปด้วยรถบรรทุกสำหรับหนังที่ถูกสร้างขึ้นเกี่ยวกับตัวผมเอง มันทำให้ผมตะลึงเลยล่ะครับ”
เกี่ยวกับตัวละคร
นักขับรถ
หัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือยานน์ มาร์เด็นเบอระ ที่รับบทโดย อาร์ชี่ มาเด็ควี “เขารู้สึกอึดอัด” มาเด็ควีกล่าว “เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ซ้ำซากจำเจในเมืองเล็กๆ ที่เรื่องเดิมๆ เกิดขึ้นทุกวัน แต่เขามีความคลั่งไคล้และความปรารถนาที่จะทำบางอย่างให้สำเร็จเกินกว่าที่สถานการณ์ของเขาจะเอื้ออำนวย เขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องรถ และเขาก็รัก ‘Gran Turismo’ สิ่งเดียวที่เขาฝันอยากจะทำคือการเป็นนักขับรถ แต่นั่นเป็นโลกที่เขาไม่มีทางเข้าถึงได้…จนกระทั่งเขาได้รับโอกาสจากการทดลองที่จะฝึกคอเกมให้เป็นนักแข่งรถตัวจริง
การเปลี่ยนจากนักแข่งซิมูเลเตอร์ไปเป็นนักแข่งรถจริงๆ ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวละครตัวนี้เช่นกัน มาเด็ควีกล่าว “เขามั่นใจเวลาอยู่กับเพื่อนๆ ก็จริง แต่เขาก็เริ่มต้นจากการเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อาย และอาจจะเก็บตัวนิดๆ เป็นคนที่ไม่รู้ถึงพลังของทักษะและพรสวรรค์ของตัวเองครับ” เขากล่าว “น่าขันที่ยิ่งเขาใช้เวลาอยู่ในรถคันเล็กๆ คันนั้นนานเท่าไหร่ ความมั่นใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นและกลายมาเป็นคนที่เขาควรจะเป็นมากขึ้นด้วยครับ”
อาชีพนักแสดงของมาเด็ควีอยู่ในขาขึ้นตลอด ด้วยการแสดงใน Midsommar และซีรีส์ “See” แต่ก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสให้ร่วมแสดงใน GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็อยู่ในสายตาของเขาแล้วผ่านทางความบังเอิญบางอย่าง “ผมได้พบกับมือเขียนบทคนหนึ่งเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน เขาเล่าเรื่องราวที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนให้ผมฟังและผมก็อึ้งไปเลยเมื่อผมได้รับของที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ที่มีทั้งพ็อดคาสต์ การสัมภาษณ์ และวิดีโอยูทูบน่ะครับ” เขากล่าว มันโดนใจเขาอย่างจัง “ผมประทับใจจริงๆ เพราะสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดใจผมในฐานะนักแสดงคือการค้นหาเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจที่ไม่เป็นที่รู้จัก เกี่ยวกับผู้คนที่ดูเหมือนผม ตอนที่ผมโตขึ้น เรื่องราวพวกนี้ เกี่ยวกับคนหนุ่มสาวที่ทำความฝันของพวกเขาให้เป็นจริง ไม่เคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่มีหน้าตาเหมือนๆ กับผมเลย ผมก็เลยรู้สึกกระตือรือร้นอย่างเหลือเชื่อที่จะเล่าเรื่องราวนี้ครับ”
ยานน์ มาร์เด็นเบอระตัวจริงกล่าวเห็นพ้องด้วย “ผมหวังว่ามันจะแสดงให้เด็กๆ ที่หน้าตาเหมือนผมว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจตัวเองได้และสามารถไล่ตามสิ่งที่พวกเขารักได้น่ะครับ” เขากล่าว
เช่นเดียวกับตัวละครของเขา มาเด็ควีมีอุปสรรคอย่างหนึ่งตอนที่เขาเริ่มแข่งรถ นั่นคือเขาขับรถไม่เป็น ในขณะที่ทำงานในกองถ่ายภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่ง ก่อนที่ GRAN TURISMO แกร่งทะลุไมล์ จะเริ่มต้นถ่ายทำ เขาจะถ่ายทำฉากของเขาในช่วงกลางวัน แล้วแทรกไปเรียนขับรถในตอนค่ำๆ
แต่การเรียนขับรถไม่ใช่ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เพราะเขาเรียนรู้ได้อย่างค่อนข้างง่ายดาย นั่นเทียบอะไรไม่ได้เลยกับการเรียนรู้ที่จะขับรถแบบปลอมๆ ซึ่งก็คือการลงแข่งจริงๆ ในเกม “Gran Turismo” “ผมจะต้องเล่นเกมนั้นเก่งครับ” เขากล่าว “ตอนที่ถ่ายทำฉากในร้านเกม เราเล่นเกมนั้นจริงๆ แข่งกับ AI ในโหมดยาก และผมก็ต้องชนะให้ได้ มันเป็นเรื่องที่หินมากๆ เพราะผมตระหนักดีว่ากว่าจะเล่นเกมได้เก่งแบบนั้น ต้องอาศัยการฝึกฝนและฝีมือขนาดไหนน่ะครับ”
ในการเล่นเกมนี้เก่ง มาเด็ควีได้รับการฝึกฝนจากเดวิด เพเรล ผู้เป็นนักแข่งซิมูเลเตอร์เช่นเดียวกับมาร์เด็นเบอระ และตอนนี้ ลงแข่งให้กับทีมเฟอร์รารี “เพลย์สเตชันส่งซิมูเลเตอร์มาที่บ้านผม มีที่นั่ง พวงมาลัยและที่เหยียบ” มาเด็ควีเล่า “แล้วพอผมปิดกล้องหนังเรื่องที่ผมถ่ายทำอยู่ก่อนหน้านี้ ผมก็ต้องฝึก ฝึก แล้วก็ฝึก ผมต้องใช้ความสามารถอย่างมากกว่าจะเรียนรู้สนาม เส้นแข่ง หัวโค้งและสัมผัสของการเบรคได้ และพอคุณเริ่มจะจับความรู้สึกของมันได้ คุณก็ต้องทำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้ผมชื่นชมและเคารพนักขับรถพวกนั้นมากๆ เพราะการที่พวกเขาสามารถทำแบบนั้นได้ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นมันบ้าชัดๆ ครับ”
และในตอนนี้ที่เขาได้ผ่านการฝึกฝนเหล่านั้นมาแล้ว เขาคิดว่าเขามีอนาคตในวงการแข่งรถบ้างมั้ยล่ะ “ด้วยความเคารพต่อนักแข่งรถทุกคนในโลกใบนี้…ไม่เลยครับ” เขากล่าว “ผมเกลียดการอยู่ในรถ มันทั้งร้อน น่าอึดอัด น่าเวียนหัวและทำให้ผมวิตกกังวลมากๆ ผมสูง 6 ฟุต 5 นิ้ว แทบจะเข้ารถไม่ได้อยู่แล้วครับ และนอกเหนือจากนั้น คุณต้องทำการตัดสินใจภายในชั่วพริบตาท่ามกลางสถานการณ์พวกนั้น ระหว่างแข่ง คุณอาจเสียเหงื่อเป็นปอนด์ๆ เลยก็ได้ มันเป็นประสบการณ์ที่ใช้ร่างกายและความคล่องตัวทั้งหมดจนถึงระดับสูงสุดจริงๆ ครับ”
หัวหน้าวิศวกร
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เดวิด ฮาร์เบอร์สนใจโปรเจ็กต์นี้คือการได้เห็นเรื่องราวของคนที่มีแต้มต่อน้อยกว่าของมาร์เด็นเบอระถูกสะท้อนออกมาผ่านทางตัวละครเหล่านี้ “เรื่องราวของแจ็คก็เป็นเรื่องราวของคนที่ด้อยกว่าเช่นกันครับ” เขากล่าว “เขาได้รับความทุกข์ทรมาน แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังคงรักกีฬาชนิดนี้ และไม่มีโอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมกับมันในระดับที่เขาอยากจะทำ” ฮาร์เบอร์กล่าวว่า “แม้ว่าเขาจะเริ่มต้นจากการเป็นคนช่างประชดประชัน แต่แจ็คก็เริ่มที่จะเห็นจีที อคาเดมีว่าเป็นโอกาสของเขา “ตอนแรก เขาไม่เชื่อในตัวเด็กพวกนี้ แต่เขาก็เริ่มที่จะตระหนักได้ว่าเขามีโอกาสจริงๆ ที่จะสอนยานน์ครับ”
ฮาร์เบอร์กล่าวว่า เขาสนใจในคนที่ปากอย่างใจอย่าง ที่ทำแม้กระทั่งโกหกตัวเอง “ในตอนที่จีที อคาเดมีเริ่มต้นขึ้น เขาช่างประชดประชัน ดูเหมือนจะโหดกับเด็กๆ พวกนี้ และไม่อยากให้พวกเขาประสบความสำเร็จ แต่ผมคิดว่าลึกลงไปแล้ว เขาปรารถนาเหลือเกินให้ยานน์ประสบความสำเร็จ มันเป็นสงครามที่เขาต่อสู้กับโลกใบนี้น่ะครับ”
ฮาร์เบอร์กล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวการแก้ตัวของแจ็ค “แจ็คเป็นหัวหน้าวิศวกร ผู้อำลาตำแหน่งและตกต่ำจนไปเป็นช่างเครื่อง โศกนาฏกรรมครั้งหนึ่งทำให้เขาถอดใจถึงขนาดไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้อีกครั้ง” เขากล่าว “แต่เขาก็รักในกีฬานั้นอย่างลึกซึ้งมานานถึง 15 ปี เขานั่งอยู่ข้างสนามในฐานะช่างเครื่อง คอยเฝ้าดูการแข่งขันจากด้านข้าง โดยที่ไม่สามารถใช้พรสวรรค์ที่แท้จริงของตัวเองได้ นั่นเป็นคุณสมบัติที่งดงามเหลือเกินในตัวเขา และผมก็ประทับใจกับเรื่องนั้นครับ”
ความเคารพที่ฮาร์เบอร์มีต่อสไตล์อันน่าตื่นเต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ตัวละครของเขามีต่อพลังของรถยนต์ “เมื่อมองโดยผิวเผินแล้ว จังหวะมันเต็มไปด้วยความตึงเครียดครับ” เขากล่าว “เด็กๆ พวกนี้ก้าวออกมาจากโลกของเกม และเขาก็ไม่เชื่อในตัวพวกเขา เขาเป็นคนที่มาจากอีกยุคหนึ่ง เป็นคนจำพวกช่างเครื่อง ที่ดูแลเครื่องยนต์ เชื่อว่าสิ่งต่างๆ ทำงานในรูปแบบหนึ่งๆ และโลกกำลังหมุนไป และเขาก็ต้องการเหลือเกินที่จะให้พวกเขาเข้าใจถึงพลังของโลกของเขา ว่าของจริงที่น่าตื่นเต้น ที่ออกมาจากหน้าจอสู่โลกแห่งความเป็นจริงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าน่ะครับ”
ชายเจ้าของความคิด
ถ้าแจ็คเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย แดนนี่ ที่รับบทโดยออร์แลนโด้ บลูม ก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี “เขาเป็นแฟนหมายเลขหนึ่งที่ชื่นชอบการแข่งรถครับ” เขาเล่า “เมื่อคุณจริงจังกับความฝันมากพอ ทุกสิ่งก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ มันสนุกมากครับที่ได้สวมบทคนแบบนั้น ที่เต็มไปด้วยความหวัง แรงขับเคลื่อนและความคลั่งไคล้ เขามีความสุขกับชีวิต มองโลกแบบอุดมคติ ซึ่งเป็นแนวคิดที่วิเศษสุดมากเลยนะครับ”
“เขากำลังสร้างบางสิ่งจากความว่างเปล่าครับ” บลูมกล่าวต่อ “ความกระตือรือร้นที่เขามีต่อสิ่งที่เป็นไปได้ทำให้คนอื่นรู้สึกแบบเดียวกัน ผมคิดว่าใครๆ ที่เคยมีไอเดีย มีความฝัน มีวิสัยทัศน์ต่อโลกอนาคต จะรู้สึกได้ถึงความรู้สึกนั้นในตัวแดนนี่ การที่คุณจะรู้สึกตื่นเต้นกับทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งก่อนที่จะเริ่มก้าวแรกของการเดินทางนั้นก็ตามที บางที ที่พิเศษไปกว่านั้นคือก่อนที่คุณจะตระหนักได้ว่าคุณได้รับงานที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนมาน่ะครับ”
ในรูปแบบนี้ แจ็คและแดนนี่ก็เป็นเหมือนคู่หูสลับขั้ว ผู้ดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดของกันและกันออกมาในท้ายที่สุด “ผมคิดว่าแดนนี่มองเห็นแจ็คอย่างที่เขาเป็นจริงๆ นั่นคือคนมองโลกในแง่ดีที่เจ็บช้ำมาหลายครั้งเกิน” บลูมกล่าว “แจ็คแค่ต้องการแรงบันดาลใจที่เหมาะสมในการปลุกไฟในตัวให้ลุกโชติช่วงอีกครั้ง และยานน์ก็คือสิ่งนั้นครับ”
ด้วยความที่แดนนี่เป็นผู้บริหารการตลาด คนก็อาจจะสงสัยว่าเขาเห็นยานน์เป็นแค่เครื่องมือ…เป็นเรื่องราวฟีลกู๊ดที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับรถนิสสันรึเปล่า แต่บลูมกล่าวว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น “วิสัยทัศน์ที่เขามีต่อจีที อคาเดมีชัดเจนเหลือเกิน” เขากล่าว “ตอนที่เขาได้เห็นว่ายานน์มีคุณสมบัติพร้อมสำหรับความสำเร็จ เขาก็ทุ่มสุดตัวเลยครับ”
ครอบครัว
ผู้ที่ร่วมแสดงในเรื่องนี้ด้วยคือเจอรี่ ฮัลลิเวล ฮอร์เนอร์ หรือจินเจอร์ สไปซ์ ผู้เป็นเหมือนราชนิกูลแห่งวงการรถแข่งในฐานะภรรยาของคริสเตียน ฮอร์เนอร์ ผู้บริหารทีมเร้ด บุล ฟอร์มูลา 1 ในบทของเลสลีย์ แม่ของยานน์ และดิมอน ฮันซู ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลออสการ์ มารับบท สตีฟ พ่อของเขา
“ตอนที่ฉันได้อ่านบท ฉันได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการดิ้นรน ครอบครัวและหัวใจค่ะ” ฮัลลิเวล ฮอร์เนอร์กล่าว “การไล่ตามสิ่งที่คุณรักในชีวิตต้องอาศัยความกล้าหาญ เราทุกคนอยากจะได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนๆ และครอบครัวของเรา การก้าวเท้าออกไปทำสิ่งใหม่ๆ เป็นเรื่องยากค่ะ ยานน์เป็นเด็กหนุ่มใจดีธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีสิ่งที่เขารักและเขาก็ไล่ตามมัน เขาก็แค่โหยหาการได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ของเขาเหลือเกินน่ะค่ะ”
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ สตีฟ พ่อของยานน์ รู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับในความปรารถนาที่จะเป็นนักแข่งรถของลูกชาย สำหรับฮันซู ความขัดแย้งนี้สะท้อนถึงอดีตของตัวเขาเองด้วยเช่นกัน “ในช่วงแรกๆ ที่ผมเป็นนักแสดง ผมก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคที่คล้ายๆ กัน ด้วยความที่ผมโตมาในฝรั่งเศส ผมได้รับการเกลี้ยกล่อมให้เรียนสูงๆ ขึ้นไป แต่ผมกลับเกิดความคิดที่จะเป็นนักแสดงขึ้นมา ผมต้องดิ้นรนต่อสู้ที่จะออกจากบ้าน และความท้าทายก็คือการค้นหาตัวเองในท้องถนนของปารีสและการต้องค้นหาเส้นทางของตัวเอง ผมก็เลยเข้าใจมุมมองของยานน์
์ และผมก็เข้าใจมุมมองของสตีฟ พ่อผู้มีความฝันยิ่งใหญ่สำหรับลูกชายของเขา แต่เป็นความฝันที่จับต้องได้มากกว่า ที่อยู่ภายในขอบเขตของความเป็นจริง พ่อแม่อาจมีส่วนทำให้เกิดความล้มเหลวของลูกได้โดยไม่ได้ตั้งใจ เราไม่สามารถวัดค่าความฝันได้ เรารู้สึกหวั่นใจกับความท้าทาย และพวกเราบางคนก็ไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคเพื่อมองไปที่เส้นชัยได้น่ะครับ”
เกี่ยวกับงานสร้าง
“แนวทางในการสร้างหนังเรื่องนี้ของนีลล์คือการพยายามสร้างเรื่องจริงนี้ให้สมจริงและน่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เบลเกรดกล่าว “ไอเดียของเราในที่นี้คือการพยายามช่วยให้ผู้ชมได้มีประสบการณ์ตื่นเต้นของการเป็นนักแข่งรถ สัมผัสของความเร็วและความลุ้นระทึกที่มาคู่กับการซิ่งสายฟ้าแลบ ดังนั้น เขาก็เลยต้องการรถจริงๆ ที่ขับโดยอดีตนักแข่ง เพื่อมาจำลองประสบการณ์การแข่งรถน่ะครับ”
การจัดการกับความท้าทายด้านโลจิสติกของภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการหารถยนต์ นักแข่ง สนามแข่ง และนำองค์ประกอบเหล่านั้นมารวมกัน เป็นหน้าที่ของผู้ควบคุมงานสร้างแมทท์ เฮิร์สช์
“แค่ได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นอะไรที่ท้าทาย และนั่นก็เป็นอะไรที่ดึงดูดใจมากๆ สำหรับผม” เฮิร์สช์ “แล้วผมก็ได้พบกับนีลล์ เขาบอกผมว่าเขาอยากจะทำทุกอย่างจริงๆ และผมก็อ้าปากค้างเลย เราจะทำได้ยังไง เราจะให้นักแสดงนั่งไปในรถแข่งที่แล่นไปตามสนามแข่งด้วยความเร็ว 140 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ยังไง มันปลอดภัยรึเปล่า เราจะทำแบบนั้นได้มั้ย สิ่งที่เริ่มต้นจากการเป็นหนังที่ท้าทายอยู่แล้วกลับยิ่งท้าทายมากขึ้นไปอีก เมื่อเราต้องคิดหาวิธีในการทำให้วิสัยทัศน์ของนีลล์ที่มีต่อหนังเรื่องนี้กลายเป็นจริงครับ”
วิธีการที่ทำให้ฉากต่างๆ เกิดขึ้นในรถที่ซิ่งสายฟ้าแลบได้คือการสร้างรถพ็อด มีการดัดแปลงแผงควบคุมของรถแข่งให้สามารถควบคุมได้ด้วยแผงควบคุมบนหลังคารถ ที่ซึ่งนักขับรถสตันท์มากประสบการณ์จะเป็นคนขับรถ ส่วนนักแสดงก็จะแสดงอยู่บนเก้าอี้คนขับตามปกติ พร้อมกับพวงมาลัย เกียร์และคันเร่งของปลอม วิธีนี้ทำให้นักแสดงมีปฏิกิริยาที่สมจริงต่อการเดินทางด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา
อย่างไรก็ดี ขั้นแรก เฮิร์สช์จะต้องรวบรวมรถต่างๆ และการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องอาศัยรถแบบละสามคัน ซึ่งก็คือรถพระเอก ที่กล้องจะถ่ายแบบระยะประชิดและจะขับโดยนักขับรถสตันท์ รถสำรองเผื่อเกิดการชนขึ้นมา และรถพ็อดคันที่สาม
รถที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ระหว่างการแข่งขันแกรนด์ ทัวริงรวมถึง:
นิสสัน จีที-อาร์ นิสโม จีที3
ลัมบอร์กกินี ฮูราคัน จีที3
คอร์เว็ทท์ ซี8.อาร์ จีที3
ออดี้ อาร์8 แอลเอ็มเอส จีที3
เฟอร์รารี 488 จีที3 อีเอฟโอ
ปอร์เช 911 จีที3 อาร์
แม็คลาเรน 720เอส จีที3
บีเอ็มดับบลิว เอ็ม6 จีที3
แอสตัน มาร์ติน แวนเทจ วี8
เล็กซัส อาร์ซี เอฟ จีที3
เชฟโรเล็ตต์ คามาโร จีที3
ฟอร์ด มัสแตง จีที3
ฟอร์ด จีที
นอกจากนั้น ที่สนามเลอม็อง นักแข่งรถยังได้ขับรถโปรโตไทป์หลายคันที่ออกแบบมาเพื่อนักแข่งที่หนุ่มแน่นกว่าโดยเฉพาะ:
ลิเจียร์ เจเอส พีเอ็กซ์
ลิเจียร์ เจเอส พี320
ลิเจียร์ เจเอส พี2
นอร์มา เอ็ม30
ด้วยการที่รถบางแบบมีจำนวนมากกว่าหนึ่งคัน ทำให้รวมแล้วมีรถพระเอก 22 คันและมีรถทั้งหมดในกลุ่ม 65 คัน
การรวบรวมรถเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น “รถพวกนี้ไม่เหมือนรถที่วิ่งตามท้องถนนทั่วๆ ไป ที่คุณจะสามารถนำมันออกวิ่งได้หลายๆ ชั่วโมงโดยที่ไม่เป็นอะไร” เฮิร์สช์กล่าว “รถพวกนี้ต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น เราก็เลยต้องรวบรวมทีมช่างเครื่องและช่างเทคนิคที่มีความสามารถและทีมคอมพิวเตอร์ที่จะสามารถจัดการกับรถพวกนี้ได้ทุกวันและทำให้เราลงสนามได้เรื่อยๆ” สรุปแล้วทีมงานประกอบไปด้วยผู้คนมากถึง 500 ชีวิต ที่ต้องย้ายกองจากสถานที่ถ่ายทำแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง จากบูดาเปสต์ สู่เยอรมนี ออสเตรีย สโลวาเกีย ดูไบและโตเกียว
รถเหล่านี้ถูกขับโดยทีมนักขับรถสตันท์ที่น่าทึ่ง ที่นำทีมโดยยานน์ มาร์เด็นเบอระ ผู้ลงแข่งในบทของยานน์ มาร์เด็นเบอระ “ฝีมือของนักขับรถสตันท์ที่เราสามารถรวบรวมมาได้สำหรับหนังเรื่องนี้น่าอัศจรรย์ใจมากครับ” เฮิร์สช์กล่าว “บางคนก็เป็นนักแข่งจริงๆ ที่ลงแข่งในสนามแข่งรถ ในขณะที่หลายๆ คนเป็นนักขับรถสตันท์ที่น่าทึ่ง ที่อยู่ในวงการนี้มากว่า 40 ปีแล้ว ผมคิดว่าสำหรับคนพวกนี้ โอกาสในการได้เข้าไปอยู่ในรถแข่งจริงๆ และได้ลงแข่งในสนามหกแห่งทั่วโลกเป็นเรื่องที่วิเศษสุดครับ”
นอกจากนี้ เฮิร์สช์ยังได้ร่วมงานกับผู้ออกแบบงานสร้างมาร์ติน วิสต์ ผู้เปลี่ยนฮังการอริง ซึ่งเป็นสนามแข่งฟอร์มูลา 1 ให้กลายเป็นเลอม็อง หนึ่งในสนามแข่งที่โด่งดังที่สุดของโลก “มาร์ตินมีวิสัยทัศน์ที่เหลือเชื่อ เขามองเห็นในสิ่งที่คนอื่นๆ มองไม่เห็นครับ” เฮิร์สช์กล่าว “งานออกแบบฉากของเขาน่าตื่นตาตื่นใจครับ ทีมงานของเรามีนักขับรถหลายคนที่แข่งที่นั่นและมีอีกหลายคนที่เคยไปที่นั่น ทุกคนทึ่งกับแนวทางที่มาร์ตินเปลี่ยนฉากนี้ให้กลายเป็นเลอม็องได้ ไม่ใช่แค่ส่วนของพิทและโรงรถเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสนามแข่งทั้งหมดและโพเดียมด้วย มันน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ครับ”
ในการบันทึกภาพการซิ่งที่เข้มข้น บลอมแคมป์ได้ใช้เทคนิคที่ทันสมัยหลายอย่าง “ผมอยากจะนำเสนอภาพของการแข่งรถความเร็วสูงในรูปแบบที่ผู้ชมสัมผัสได้” เขากล่าว “ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเกิดจากตัวเลือกเกี่ยวกับกล้องครับ” บลอมแคมป์ และผู้กำกับภาพฌาคส์ โจฟเฟร็ท ได้ใช้โดรนบุคคลที่หนึ่ง (เอฟพีวี) ในการบันทึกภาพเคลื่อนไหว “นักแข่งโดรนใช้โดรนพวกนี้ ซึ่งเป็นที่มาของแรงบันดาลใจของเรา และก็โชคดีสำหรับเราที่โดรนพวกนั้นไม่ค่อยจะถูกใช้ในการแข่งรถมาก่อน” บลอมแคมป์กล่าว “โดรนเอฟพีวีของเราทำให้เราได้มุมมองแบบอยู่ใจกลางการเคลื่อนไหวที่แจ่มชัดที่สุด นอกจากนั้น สไตล์การถ่ายทำที่ผมชื่นชอบคือการใช้กล้องห้อยต่ำมากๆ ติดไว้บนหัวรีโมตที่อยู่ด้านหน้ายานพาหนะความเร็วสูง เป็นเหมือนรถกล้องที่คอยถ่ายทำรถหลัก ด้วยความเร็วพอๆ กัน ด้วยความที่มันอยู่เหนือพื้นดินเพียงไม่กี่นิ้ว ความเร็วก็เลยถูกถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดีครับ”
“โดรนเป็นไอเดียของนีลล์มาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อแสดงการแข่งรถให้ผู้ชมได้เห็นในรูปแบบที่แตกต่างออกไปมากๆ และเป็นรูปแบบที่ไม่เคยถูกใช้มาก่อนสำหรับงานแบบนี้” โจฟเฟร็ทกล่าว “เป็นเรื่องสำคัญสำหรับนีลล์ที่รถจะต้องพุ่งไปด้วยความเร็วจริงๆ แบบเต็มที่ แต่ผมจะใช้ยานพาหนะอะไรในการแบกกล้องที่จะติดตามรถพวกนั้นได้ทันล่ะครับ โดรนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่อาจจะเป็นประโยชน์ได้ เพราะเราสามารถจัดวางโดรนหลายตัวให้อยู่ในตำแหน่งต่างๆ รอบสสนาม ดังนั้น โดรนแต่ละตัวก็จะมีอาณาเขตของตัวเองและนีลล์ก็สามารถนำเสนอภาพรถที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับนั้นได้ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากที่ผู้ชมเคยเห็นมาก่อนครับ”
ถึงแม้ว่าการนำเสนอแอ็กชันความเร็วสูงจะสำคัญแค่ไหน บลอมแคมป์ยังต้องการที่จะถ่ายทอดความรู้สึกแบบเซนที่นักแข่งสัมผัสได้ “นักขับรถพูดถึงการอยู่ในรถ คุณนั่งอยู่บนที่นั่งนานมากๆ ร่างกายคุณเหนื่อยแสนสาหัส รู้สึกเจ็บปวด หลังคุณปวดหนึบ มีปัญหาด้านกล้ามเนื้อ แต่คุณก็ต้องก้าวผ่านเรื่องทั้งหมดนั่นให้ได้ แล้วพวกเขาก็พูดถึงการเป็นหนึ่งเดียวกับรถ ระหว่างที่กำลังขับรถอยู่” เขากล่าว “ในตอนที่เราอยากจะนำเสนอเรื่องนั้น เราก็เปลี่ยนจากโดรนเอฟพีวี ซึ่งค่อนข้างจะออกหน้าออกตา ไปเป็นโดรนถ่ายหนัง ซึ่งจะสวยงามและนิ่งๆ มากกว่าครับ”
“มันค่อนข้างจะเหลือเชื่อทีเดียวเพราะเทคโนโลยีโดรนช่วยเสริมสร้างมิติให้กับการถ่ายทำในแบบที่ไม่สามารถทำได้เมื่อกว่าสิบปีก่อน” เบลเกรดกล่าว “มุมมองที่คุณสามารถได้จากโดรนพวกนี้และความเร็วในการเคลื่อนไหวของพวกมัน ซึ่งเร็วพอๆ กับรถแข่ง เป็นอะไรที่พิเศษสุด พวกมันสามารถแทรกตัวไปมาระหว่างรถแข่งต่างๆ ได้ คุณสามารถบังคับพวกมันด้วยการใช้มุมมองของพวกมัน เหมือนกับว่าคุณกำลังเลี้ยวไปตามสนามแข่งและหักโค้งด้วยความเร็วสูงน่ะครับ”
ข้อยกเว้นคือครั้งแรกที่ยานน์ก้าวจากคอนโซล วิดีโอเกมสู่รถจริงๆ “นีลล์ต้องการให้ผู้ชมสัมผัสถึงส่วนนั้นของเรื่องราวในแบบเดียวกับที่ยานน์ได้สัมผัส” โจฟเฟร็ทกล่าว “ทุกอย่างมาจากมุมมองของเขา ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ เรื่องแปลกสำหรับเขา ไม่ใช่แค่จากจุดยืนด้านอารมณ์เท่านั้น แต่จากจุดยืนด้านกายภาพด้วย ดังนั้น เราก็อยากจะอยู่กับเขาตลอดเวลา”
ความทุ่มเทที่มีให้กับความสมจริงยังครอบคลุมไปถึงเรื่องเครื่องแต่งกายด้วย “ไม่เคยมีการตั้งคำถามเลยว่าเราจะใช้ชุดแข่งอะไร” ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เทอร์รี แอนเดอร์สันกล่าว “ชุดพวกนี้เป็นชุดแข่งจริงๆ ที่ได้รับการรับรองจากเอฟไอเอ ส่วนอุปกรณ์ทุกชิ้นก็ป้องกันไฟได้ครับ”
สำหรับมาเด็ควี การใส่ชุดแข่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการค้นหาตัวละคร “นั่นมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับชุดครับ” เขากล่าว “ทันทีที่คุณใส่ชุดแข่ง ทันใดนั้นคุณก็จะตระหนักได้ว่าคุณไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไปแล้ว ชุดนี้มีความเฉพาะเจาะจงมากๆ มันจะส่งผลต่อลักษณะที่คุณยืน ลักษณะที่คุณวางตัว แล้วพอคุณสวมหมวกกันน็อค ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกกันออกไป คุณจะอยู่ข้างในจิตใจของตัวเอง จะได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง มันเหมือนกับว่าคุณจะได้ยินเสียงความคิดของตัวเองดังขึ้น ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณเอง มันเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของตัวละครอย่างสิ้นเชิง และผมคิดว่าจังหวะที่ผมค้นพบตัวเขาจริงๆ คือการทดลองชุดครั้งแรก…ตอนที่ผมสวมชุดแข่งนั้นเป็นครั้งแรกครับ”
ประวัตินักแสดง
เดวิด ฮาร์เบอร์ (แจ็ค ซอลเตอร์) เป็นนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและโทนี อวอร์ด ผู้ประสบความสำเร็จทั้งในแวดวงภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวทีมากว่าสองทศวรรษ
อีกไม่นาน ฮาร์เบอร์จะเริ่มถ่ายทำซีซันที่ห้า ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายของซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและลูกโลกทองคำเรื่อง “Stranger Things” การแสดงในบทจิม ฮ็อปเปอร์ของเขาทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลเอ็มมี, สองรางวัลแซ็กและรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดในปี 2018 ซีรีส์นี้ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงดีเด่นและแซ็ก อวอร์ดสาขาการแสดงดีเด่นโดยทีมนักแสดง
พร้อมกันนั้น เขาก็จะเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์มาร์เวลเรื่อง Thunderbolts ซึ่งเขาจะกลับมารับบท เรด การ์เดี้ยน ประกบเซบาสเตียน สแตน, แอนโธนี แม็คกี้, ฟลอเรนซ์ พิวห์และ ฯลฯ อีกครั้งหนึ่ง
ในปี 2023 ฮาร์เบอร์ได้นำแสดงในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง We Have a Ghost ประกบแอนโธนี แม็คกี้และเจนนิเฟอร์ คูลลิดจ์ ในปี 2022 ฮาร์เบอร์ได้แสดงในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง Violent Night ที่กำกับโดยทอมมี เวอร์โคลา ก่อนหน้านี้ ฮาร์เบอร์ได้นำแสดงในภาพยนตร์โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง No Sudden Move, ภาพยนตร์มาร์เวลเรื่อง Black Widow และ Hellboy
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฮาร์เบอร์รวมถึงภาพยนตร์ดีซีเรื่อง Suicide Squad, ภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Black Mass, ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลของแซม เมนเดสเรื่อง Revolutionary Road, The Equalizer ประกบเดนเซล วอชิงตัน, ภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง A Walk Among the Tombstones ประกบเลียม นีสัน, Sleepless ประกบเจมี ฟ็อกซ์และ Human Affairs ประกบเคอร์รี คอนดอน ผลงานจอแก้วของฮาร์เบอร์รวมถึงซีรีส์เอชบีโอที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีเรื่อง “The Newsroom,” “State of Affairs” และ “Q-Force”
ในปี 2005 ฮาร์เบอร์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีจากการแสดงของเขาในซีรีส์ “Who’s Afraid of Virginia Woolf?” ในปี 2022 เขาได้แสดงละครเวทีโดยเธเรซา รีเบ็คเรื่อง “Mad House” ประกบบิล พุลแมนบนเวทีลอนดอน ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของฮาร์เบอร์รวมถึง “The Merchant of Venice,” “Fifth of July,” “The Coast of Utopia” และ “The Invention of Love”
ออร์แลนโด้ บลูม (แดนนี่ มัวร์) เป็นที่รู้จักดีจากการแสดงในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลสองเรื่อง นั่นคือ The Lord of the Rings และ Pirates of the Caribbean หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยเดวิด มิค็อดเรื่อง Wizards! ประกบพีท เดวิดสันและนาโอมิ สก็อตสำหรับเอทเวนตี้โฟร์ และในภาพยนตร์อินดีโดยเอียนและอีชอม เนล์มส์เรื่อง Red Right Hand เมื่อเร็วๆ นี้ บลูมเพิ่งถ่ายทำภาพยนตร์ทริลเลอร์เกี่ยวกับการชกมวยโดยฌอน เอลลิสเรื่อง The Cut ซึ่งเขานำแสดงและอำนวยการสร้างผ่านทางอเมซซิง อาวล์ บริษัทโปรดักชันของเขา บลูมมีชื่อเสียงโด่งดังจากการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Retaliation และภาพยนตร์โดยร็อด ลูรีเรื่อง The Outpost ซึ่งได้รับการยกย่องจากสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติให้เป็นหนึ่งในสิบภาพยนตร์อิสระยอดเยี่ยมประจำปี 2020 ด้านจอแก้ว เขาได้แสดงในซีรีส์อเมซอนเรื่อง “Carnival Row” ซึ่งเขาควบคุมงานสร้างด้วย
ในปี 2023 อาร์ชี่ มาเด็ควี (ยานน์ มาร์เด็นเบอระ) ได้สร้างชื่อเสียงด้วยการแสดงนำในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์สองเรื่องติดกัน นอกเหนือจาก Gran Turismo แล้ว ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ เขายังจะได้แสดงในภาพยนตร์ใหม่ของเอเมรัลด์ เฟนเนลและลัคกี้ แช็ปเรื่อง Saltburn โดยมาเด็ควีได้แสดงในทริลเลอร์ตลกร้ายเรื่องนี้ร่วมกับจาค็อบ เอลอร์ดี้, แบร์รี คีโอแกน, โรซามุนด์ ไพค์, ริชาร์ด อี. แกรนท์และอลิสัน โอลิเวอร์ เรื่องราวนี้เกี่ยวกับวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่มาเที่ยวพักผ่อนในปราสาทแสนสวยแห่งหนึ่งในเมืองซอลท์เบิร์นของอังกฤษ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์และจะแพร่ภาพทั่วโลกทางไพรม์ วิดีโอ
ผลงานในปีสำคัญนี้ของมาเด็ควียังรวมถึงการแสดงในละครเวทีเรื่อง “Further than the Furthest Thing” ที่โรงละครยัง วิคในกรุงลอนดอนและการได้แสดงในภาพยนตร์ที่กำกับโดยอารี แอสเตอร์เรื่อง Beau Is Afraid ประกบวาคิน ฟินิกซ์สำหรับเอทเวนตี้โฟร์ นอกเหนือจากนั้น เขายังได้แสดงในผลงานการกำกับเรื่องแรกของอเล็กซ์ ลอว์เลอร์เรื่อง For People in Trouble ซึ่งได้อาร์ชี่และเอ็มมา ดิ’ อาร์ซีมารับบทคนสองคนที่ความสัมพันธ์รักผลิบานและร้าวฉานระหว่างที่มันสอดประสานไปกับความล่มสลายทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้น ภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกาปี 2023 ในนิวยอร์ก
ผลงานจอแก้วของมาเด็ควีรวมถึงการแสดงนำในซีรีส์ออริจินอลของแอปเปิลเรื่อง “See” ประกบเจสัน โมมัวและอัลเฟร วู้ดดาร์ด ซึ่งเปิดตัวในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2019 โดยมีการเปิดตัวทั่วโลกทางแอปเปิล ทีวีพลัส ซีรีส์แปดเอพิโซดเรื่องนี้เป็นดรามาอีพิคเกี่ยวกับการสร้างโลก ที่เรื่องราวเกิดขึ้นในอนาคต ที่ซึ่งมนุษย์ได้สูญเสียสัมผัสการมองเห็นไปและสังคมจะต้องค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการมีปฏิสัมพันธ์และมีชีวิตรอด ทั้งหมดนี้ถูกท้าทายเมื่อสองฝาแฝด โคฟัน (มาเด็ควี) และฮานีวา (เนสต้า คูเปอร์) เกิดมาพร้อมกับสัมผัสการมองเห็น ซีซันที่สาม ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายได้เปิดตัวในวันที่ 26 สิงหาคม ปี 2022
ในปี 2017 มาเด็ควีได้เปิดตัวบนเวทีเวสต์เอนด์ในละครเวทียอดนิยมโดยเอ็ดเวิร์ด อัลบี้เรื่อง “The Goat” ที่กำกับโดยเอียน ริคสัน เขาได้แสดงในบทลูกชายของเดเมียน ลูอิสและโซฟี โอโคเนโด โดยเขาได้รับบทที่หลายคนหมายปองนี้ทันทีหลังจากที่เสร็จจากการฝึกฝนที่แลมดา การแสดงในครั้งนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลดาราดาวรุ่งแห่งอนาคตของสกรีนในปี 2017
ประวัติทีมผู้สร้าง
ผู้กำกับ/มือเขียนบทชาวแอฟริกาใต้ นีลล์ บลอมแคมป์ (ผู้กำกับ/บทภาพยนตร์) ย้ายไปแคนาดาเมื่ออายุได้ 18 ปี และเริ่มต้นทำงานเป็นฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ในงานจอแก้วและจอเงิน เขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดในฐานะมือเขียนบทร่วมและผู้กำกับของ District 9 (2009), Elysium (2013), Chappie (2015) และภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา Demonic (2021) นับตั้งแต่ปี 2015 เขาได้พัฒนาภาพยนตร์ทดลองสำหรับโอทส์ สตูดิโอส์ สตูดิโออิสระของเขา ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของพวกเขารวมถึง Rakka (2017), Firebase (2017) และ Zygote (2017)
แซ็ค เบย์ลิน (บทภาพยนตร์) เป็นมือเขียนบทที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, บาฟตาและสมาพันธ์นักเขียนและได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบมือเขียนบทน่าจับตามองประจำปี 2021 ของวาไรตี้
เบย์ลินได้เขียนบทภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์เรื่อง King Richard สำหรับวอร์เนอร์ บรอส. ซึ่งเปิดตัวท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมในปี 2021 และได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลออสการ์ รวมถึงสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ซึ่งวิล สมิธคว้ารางวัลไปได้จากการแสดงในบทริชาร์ด วิลเลียมส์ของเขา
ล่าสุด เบย์ลินได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Creed III ซึ่งเป็นภาคสามของแฟรนไชส์ Rocky ที่ถูกปัดฝุ่นใหม่ สำหรับเอ็มจีเอ็ม ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยไมเคิล บี. จอร์แดน ผู้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วยภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากนี้ เขายังได้เขียนบท Exodus ภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่องใหม่ของมาร์คัส กรีนเกี่ยวกับชีวิตของบ็อบ มาร์ลีย์อีกด้วย เบย์ลินได้เขียนบทภาพยนตร์ที่นำภาพยนตร์คลาสสิกยุค 90s เรื่อง The Crow กลับมาสร้างใหม่ สำหรับผู้กำกับรูเพิร์ต แซนเดอร์ส ก่อนหน้านี้ เบย์ลินได้เขียนบทโปรเจ็กต์ต่างๆ ให้กับไลออนส์เกท, อิเมจิน, ทีเอ็นที, สตูดิโอ เอธและวิป รวมถึงสำหรับผู้กำกับชื่อดังอย่างเจมส์ เกรย์, เจเรมี ซอลเนียร์, ฟรานเชสโก้ มันซีและโจนาธาน เลอไวน์อีกด้วย
เบย์ลินได้ร่วมมือกับเคท ซัสแมน ภรรยาของเขา ในการก่อตั้งยังบลัด พิคเจอร์ส บริษัทพัฒนางานภาพยนตร์และโทรทัศน์ ที่มุ่งมั่นในการเล่าเรื่องราวจริงๆ เกี่ยวกับตัวละครที่ซับซ้อนและไม่ได้รับการป่าวประกาศ ที่ยังบลัด ซัสแมนและเบย์ลินกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินหลายเรื่อง รวมถึง The Order ทริลเลอร์อาชญากรรมการปล้นที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นระหว่างการเคลื่อนไหวทางทหารที่อันตรายของอเมริกาในช่วงยุค 80s ซึ่งเพิ่งปิดกล้องไป โดยภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยจู๊ด ลอว์, นิโคลัส โฮลท์, ไท เชอริแดนและเจอร์นีย์ สมอลเล็ตต์ โดยมีจัสติน เคอร์เซลกำกับ และผลงานภาพยนตร์ที่จะทำให้พวกเขาได้ร่วมมือกับสตาร์ โธรว์เออร์ ผู้อำนวยการสร้างเบื้องหลัง King Richard อีกครั้ง นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังได้เขียนบทและอำนวยการสร้างซีรีส์จำกัดเรื่อง “Black Rabbit” สำหรับเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งจะนำแสดงและควบคุมงานสร้างโดยเจสัน เบทแมนและจู๊ด ลอว์
เจสัน ฮอล (บทภาพยนตร์/ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้กำกับผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ผู้ซึ่งผลงานภาพยนตร์ได้ผสมผสานการวิพากษ์สังคมที่เฉียบคมและเรื่องราวความเป็นมนุษย์ที่น่าเห็นอกเห็นใจ และเปลี่ยนคนจริงๆ และประเด็นที่ท้าทายให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่เพลิดเพลินและน่าติดตาม
ฮอลได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวน่าทึ่งของคริส ไคล์และได้รับมอบหมายให้นำการเดินทางของเขาขึ้นสู่จอเงิน American Sniper ที่เขียนบทและควบคุมงานสร้างโดยฮอลและกำกับโดยคลินท์ อีสต์วู้ด ได้เข้าฉายในปี 2014 โดยวอร์เนอร์ บรอส. และได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมสำหรับฮอล
หลังจากติดตามเส้นสายสุดท้ายที่ไม่ได้รับการบอกเล่าของชีวิตที่ต้องยุติลงก่อนวัยอันควรอย่างแสนเศร้า ฮอลก็หันไปหาเรื่องจริงเกี่ยวกับทหารที่คล้ายคลึงกัน Thank You for Your Service ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของเดวิด ฟิงเคล เล่าเรื่องชีวิตของอดีตทหารผ่านศึกที่กลับมาบ้าน แต่ก็ยังคงต้องสู้รบกับผลกระทบที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของสงคราม ฮอลได้เขียนบทและกำกับโปรเจ็กต์นี้ ซึ่งเข้าฉายในปี 2017 ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยสตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้เอื้อเฟื้อคอยแนะนำฮอลในผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา ที่นำแสดงโดยไมลส์ เทลเลอร์
ฮอลเกิดที่เลค แอร์โรว์เฮด เขาเข้าศึกษาที่ฟิลิปส์ เอ็กซ์เตอร์ อคาเดมี และยูเอสซี เขาเริ่มต้นทำงานเป็นนักแสดงก่อนที่จะขยับไปทำงานเบื้องหลัง ผลงานในฐานะคนเบื้องหลังของเขารวมถึงภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Spread และทริลเลอร์เรื่อง Paranoia ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ดและแกรี โอลด์แมน
ยานน์ มาร์เด็นเบอระ (ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง) วัย 31 ปี ได้ทำการแข่งขันในระดับโลกมานานกว่าสิบปี โดยเขาได้แข่งขันในการแข่งขันซูเปอร์ จีที, ฟอร์มูลา อี, แอลเอ็มพี1, แอลเอ็มพี2, จีที3 รวมถึงการแข่งขันรถยนต์ที่นั่งเดี่ยวมากมาย และประสบความสำเร็จทั่วโลก
ล่าสุด มาร์เด็นเบอระยังคงมีบทบาทสำคัญในทีมนิสสัน อี.ดัมส์ในการแข่งขันเอฟไอเอ ฟอร์มูลา อี ในฐานะนักแข่งทดสอบและซิมูเลเตอร์ของทีม และมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับการพัฒนารถเจน 2 และเจน 3 ของทีม มาร์เด็นเบอระได้ปรากฏตัวในการแข่งขันออฟฟิซ รุคกี้ เทสต์ในปี 2019 และ 2020 ในมาร์ราเกช ด้วยการทดสอบรถนิสสันและแข่งขันในการแข่งขันสำหรับรถไฟฟ้า
ตลอดการแข่งขันเอฟไอเอ ฟอร์มูลา อี ฤดูกาลปี 2022 ตั้งแต่รอบการแข่งขันที่เม็กซิโก มาร์เด็นเบอระได้รับหน้าที่นักแข่งซิมูเลเตอร์สำหรับทีมนิสสัน อี.ดัมส์ และให้การสนับสนุนทีมในช่วงการแข่งสุดสัปดาห์จากสำนักงานใหญ่ของทีม ในซีซันปี 2022 เดือนมิถุนายน มาร์เด็นเบอระได้ขับรถเจน 3 คันใหม่ของทีมที่เมืองกาลาฟาต ประเทศสเปน เพื่อรวบรวมข้อมูลและการตอบรับที่สำคัญให้กับทีม เมื่อไม่ได้ทำงานกับนิสสัน มาร์เด็นเบอระยังได้ลงแข่งในการแข่งขันนิโอ 333 เรซซิงในเดือนกันยายน เมื่อเขาได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบส่วนตัวของทีม
ในปี 2023 มาร์เด็นเบอระได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมนีออม แม็คลาเรน ฟอร์มูลา อี
มาร์เด็นเบอระ ผู้เป็น “คอเกมสู่นักแข่ง” ตัวจริงเสียงจริง ประสบความสำเร็จอย่างยาวนานนับตั้งแต่เขาได้แจ้งเกิดในวงการในปี 2011 เมื่อเขาแซงคู่แข่ง 90,000 คนและคว้าชัยมาได้ในการแข่งขันจีที อคาเดมี ซึ่งจัดโดยนิสสันและ “Gran Turismo”
ในอาชีพที่ตามมาของเขา มาร์เด็นเบอระได้สั่งสมชื่อเสียงที่ยอดเยี่ยมจากความเร็วสายฟ้าแลบ ความชำนาญด้านเทคนิคและการพัฒนาล้อรถที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะผลงานของเขาในโครงการนิสโม จีที3
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มาร์เด็นเบอระได้แข่งในประเทศญี่ปุ่นหลายครั้ง เขาประสบความสำเร็จในการแข่งขันรายการต่างๆ และรางวัลมากมายที่เขาได้รับยังรวมถึงรางวัลรองชนะเลิศการแข่งขันฟอร์มูลา 3 ของญี่ปุ่นในปี 2016 ด้วย ในการแข่งขันซูเปอร์ จีที มาร์เด็นเบอระเป็นผู้ชนะในคลาสจีที 300 และได้ขึ้นไปยืนอยู่บนโพเดียมและตำแหน่งโพลในการแข่งขันซูเปอร์ ฟอร์มูลา
มาร์เด็นเบอระได้ขยับไปแข่งคลาสจีที500 กับทีมคัลโซนิค อิมพัลของนิสสัน และปิดจบด้วยตำแหน่งโพเดียมที่ซูโงะในปี 2018 ก่อนที่จะลงแข่งในการแข่งขันคอนโดะ เรซซิงก่อนหน้าฤดูกาลปี 2019 ที่ซึ่งเขาลงแข่งต่อในปี 2020
นอกเหนือจากงานในแวดวงแข่งรถแล้ว มาร์เด็นเบอระยังได้ร่วมมือกับโครงการฟอร์มูลา อีของนิสสันในฐานะนักแข่งซิมูเลเตอร์อย่างเป็นทางการของพวกเขา โดยเขาได้ช่วยเหลือทีมให้ครองอันดับสองในการแข่งขันเอบีบี เอฟไอเอ ฟอร์มูลา อี แชมเปียนชิพ ปี 2019-20 ได้สำเร็จ
ก่อนหน้าความสำเร็จในประเทศญี่ปุ่น มาร์เด็นเบอระครองอันดับสามในคลาสแอลเอ็มพี2 ของการแข่งขัน 24 ชั่วโมง เลอม็องปี 2013 และได้ร่วมแข่งขันในการแข่งขันบริติช จีที แชมเปียนชิพและบลังค์เพน เอ็นดูแรนซ์ รวมถึงเอฟไอเอ ยูโรเปียน เอฟ3 และจีพี3 โดยคว้าชัยชนะมาได้ในการแข่งระยะสั้นของรอบฮ็อคเคนเฮมในการแข่งขันรอบซัพพอร์ทของเอฟ1ในปี 2014
ทีมเพลย์สเตชัน โปรดักชันส์ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 เป็นผู้รับผิดชอบในการดัดแปลงเกมที่แฟนๆ รักของโซนี อินเตอร์แอ็กทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ให้กลายเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ แนวทางการพัฒนาเกมที่ขับเคลื่อนด้วยการเล่าเรื่องของเพลย์สเตชันเป็นจุดแข็งของพวกเขาเพราะเกมของเราก็เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งต่อการดัดแปลงเป็นสื่อเล่าเรื่องรูปแบบต่างๆ ทีมงานนี้มุ่งมั่นกับการร่วมมือกับผู้มีความคิดสร้างสรรค์ระดับแนวหน้าที่มีความชื่นชมอย่างแรงกล้าต่อเกมของเราและเข้าใจดีว่า สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกของเราคือการได้นำเสนอคอนเทนท็คคุณภาพที่คู่ควรกับเกมและชุมชนที่น่าทึ่งของเรา นับตั้งแต่ก่อตั้ง เพลย์สเตชัน โปรดักชันส์ได้ประสบความสำเร็จในการนำเสนอ Uncharted (ภาพยนตร์) และ “The Last of Us” (ซีรีส์โทรทัศน์) ทางเอชบีโอ ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ในกระแสหลัก