คณะทำงาน (Credits)
. พัฒนาและเขียนบท ผลิตโดย: Greg Coolidge, Kirk Ward, Shawn Simmons
เขียนบท: คืนที่ 1: Greg Coolidge, Kirk Ward, Shawn
Simmons
คืนที่ 2:
Story By: Greg Coolidge, Kirk Ward, Shawn Simmons
Teleplay By: Shawn Simmons, Greg Coolidge, Kirk Ward, Ken Kristensen
คืนที่ 3: Greg Coolidge, Kirk Ward, Ken Kristensen
อำนวยการผลิตโดย: Thunder Road Pictures’ Basil Iwanyk and Erica Lee, Albert Hughes, Kirk Ward, Greg Coolidge, Chad Stahelski, Derek Kolstad, David Leitch, Shawn Simmons, Paul Wernick, Rhett Reese and Marshall Persinger
ผู้กำกับ: Albert Hughes (ตอน 1 และ 3)
Charlotte Branstrom (ตอน 2)
นักแสดงหลัก: Mel Gibson รับบท “Cormac”
Colin Woodell รับบท “Winston”
Mishel Prada รับบท “KD”
Ben Robson รับบท “Frankie”
Hubert Point-Du Jour รับบท “Miles”
Nhung Kate รับบท “Yen”
Jessica Allain รับบท “Lou”
Ayomide Adegun รับบท “Charon”
Jeremy Bobb รับบท “Mayhew”
Peter Greene รับบท “Uncle Charlie”
นักแสดงสมทบ: Adam Shapiro รับบท “Lemmy”
Ray McKinnon รับบท “Jenkins”
Katie McGrath รับบท “The Adjudicator”
Claire Cooper รับบท “Mrs. Davenport”
Marina Mazepa รับบท “Gretal”
Mark Mushashi รับบท “Hansel”
Studio: Lionsgate
กำกับภาพ: Pål Ulvik Rokseth, FNF (ตอน 1 และ 2)
Peter Deming, ASC (ตอน 3)
ออกแบบเครื่องแต่งกาย: Sarah Arthur
ออกแบบการผลิต: Drew Boughton
ออกแบบทรงผมและแต่งหน้า: Csilla Horvath
ดนตรีโดย: Raffertie
ตัดต่อโดย: Ron Rosen (ตอน 1 และ 3)
Steven Lang, ACE (ตอน 2)
เรื่องย่อ (Synopsis)
ซีรีส์ทั้งสามตอนเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดและฉากหลัง “โรงแรมนักฆ่า” ศูนย์กลางของจักรวาลจอห์น วิค ผ่านมุมมองและภารกิจของวินสตัน สก็อตวัยหนุ่ม ผู้ถูกกระชากให้ไปอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ดุจนรกในมหานครนิวยอร์กช่วงทศวรรษที่ 1970 เขาต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่เขาต้องการลืม วินสตันต้องทำงานแข่งกับเวลาในโลกใต้ดินอันลึกลับของโรงแรม เสี่ยงตายพยายามยึดครองโรงแรม ซึ่งเขาจะเป็นผู้ครอบครองในไม่ช้า
สถิติสำคัญในแฟรนไชส์จักรวาลจอห์น วิค (Wick Franchise By The Numbers)
● ณ เดือนพฤษภาคม 2566 ภาพยนตร์ในจักรวาลจอห์น วิค ทำรายได้ไปแล้วมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญทั่วโลก
● ภาพยนตร์แต่ละภาคทำรายได้มากกว่าภาคที่ผ่านมา รายได้ระหว่างจอห์น วิค ภาค 2 มีรายได้มากกว่าภาคแรกถึงสองเท่า ส่วนภาค 3 ก็ทำรายได้มากกว่าภาค 2 สองเท่าเช่นกัน
● ภาพยนตร์สร้างฐานแฟนใหม่ที่รับชมที่บ้าน ร้อยละ 65 ของผู้ชมภาพยนตร์ในจักรวาลจอห์น วิคครั้งแรก รับชมที่บ้าน (ไม่ใช่ที่โรงภาพยนตร์)
● แฟนมักจะชมภาพยนตร์ซ้ำอีกหลายครั้ง รายได้ร้อยละ 50 มาจากการรับชมที่บ้านผ่านช่องทางสตรีมมิงต่าง ๆ (มากที่สุดในบรรดาภาพยนตร์แอคชันตั้งแต่ปี 2549)
เรื่องย่อแต่ละตอน (Episode Descriptions)
NIGHT ONE (คืนที่ 1)
เขียนบทโดย: Greg Coolidge, Kirk Ward, Shawn Simmons
กำกับโดย: Albert Hughes
มหานครนิวยอร์ก ปี 1975 หลังจากต้องพรากจากกันเป็นเวลา 20 ปี สองพี่น้อง วินสตัน และแฟรงกี้ สก็อต ได้โคจรกลับมาพบกัน แฟรค์กี้เพิ่งขโมยของมีค่าจาก คอร์แม็ค ฟิทซ์แพทริก ผู้จัดการโรงแรมคอนติเนนทัลคนปัจจุบัน ซึ่งอาชญากรใจอำมหิตจากอดีตของทั้งสองพี่น้อง เพื่อแก้แค้น หัวหน้ากลุ่มอาชญกรส่งมือสังหารไปกรุงลอนดอน นำตัววินสตันกลับมาเพื่อตามล่าหาแฟรงค์กี้ พี่น้องตระกูลสก็อตพร้อมกับ เย็น ภรรยาใจกล้าบ้าบิ่นของแฟรกี้ ต้องอาศัยทักษะเอาชีวิตรอดบนท้องถนนและคนรู้จักในโลกใต้ดินทมิฬมัว เพื่อช่วยหยุดยั้งกองทัพนักฆ่าของคอร์แมค แต่ก่อนทั้งสามคนจะถูกจับ แฟรงกี้ต้องตัดสินใจเสียสละครั้งยิ่งใหญ่
NIGHT TWO (คืนที่ 2)
เขียนโดย: Greg Coolidge, Kirk Ward, Shawn Simmons
บทโดย: Shawn Simmons, Greg Coolidge, Kirk Ward, Ken Kristensen
กำกับโดย: Charlotte Brandstrom
หลังจากแฟรงกี้สละชีวิต วินสตันก็โน้มน้าวเพื่อน ๆ ของแฟรงกี้ให้ช่วยขจัดคอร์แมค วินสตันเริ่มภารกิจพร้อมอาวุธ ทีมทหารรับจ้างเงา และนักฆ่าตัวฉกาจ คอร์แมคสั่งการให้ตามหาวัตถุล้ำค่าที่ปแฟรกี้ขโมยไป ยิ่งทำให้สถานการณ์เดือดขึ้น ในขณะเดียวกัน นักสืบ เคดี (KD) ก็เริ่มมุ่งเป้าไปยังคนที่เธอสงสัยว่าสังหารครอบครัวเธอ และนำเธอไปไปยังโรงแรม The Continental
NIGHT THREE (คืนที่ 3)
เขียนโดย: Greg Coolidge, Kirk Ward, Ken Kristensen
กำกับโดย: Albert Hughes
ในสมรภูมิห่ำหั่นคืนสุดท้าย แผนล้างแค้นของวินสตันกลับถูกเปิดเผย ระหว่างกำลังคิเหาทางหนีออกจากโรงแรม และฝึกฝนทีม A วินสตันก็ได้พยายามทำให้ชารอน ซึ่งเป็นมือขวาของคอร์แมค แปรพักตร์และหักหลังเจ้านายของเขา ว่าจ้างคนไร้บ้านให้เป็นทหาร และวางแผนให้ลักพาเขาเอง ด้วยความช่วยเหลือจากชารอน วินสตันและทีมโจมตีและกำจัดทีมรักษาความปลอดภัยของโรงแรมและคอร์แมคได้ในที่สุด ด้วยชัยชนะเหนือนายใหญ่ วินสตันจึงยึดครองขบวนการอาชญกรรมแห่งมหานครนิวยอร์ก โดยมีแผนที่จะพลิกโฉมโรงแรม The Continental จากที่หลบภัยเก่าให้เป็นปลายทางมีระดับสมชื่อจอห์น วิค
**EMBARGO’D SPOILERS UNTIL POST LAUNCH ** สปอยเลอร์จะเปิดเผยได้หลังปล่อยซีรีส์แต่ละตอนเท่านั้น
ขอความกรุณาไม่เปิดเผยรายละเอียดเหล่านี้ก่อนวันออกอากาศของแต่ละตอน (ตอนที่ 1 วันที่ 22 กันยายน, ตอนที่ 2 วันที่ 29 กันยายน, ตอนที่ 3 วันที่ 6 ตุลาคม) (ข้อมูลความลับ // ห้ามเผยแพร่)
● ชะตากรรมของแฟรงกี้ (ตอนที่ 1)
● ชะตากรรมของเล็มมี (ตอนที่ 3)
● เปิดเผยเหตุผลว่าทำไม เคดี จึงตามล่าหาวินสตัน (ตอนที่ 3)
● ชารอนหักหลังตอร์แมค (ตอนที่ 3)
● เปิดเผยเบื้องหลังพ่อของลูและไมลส์ (ตอนที่ 3)
● ทุกอย่างที่เกี่ยวกับห้องปฏิบัติการ (เช่น Defensionem / The Escape Pod) (ตอนที่ 3)
คำอธิบายตัวละคร (Characters Descriptions)
PRINCIPAL CAST นักแสดงหลัก
คอร์แมค (รับบทโดยเมล กิบสัน) น่าเกรงขาม โหดเหี้ยม เลือดเย็น แต่มีเสน่ห์ คอร์แมคเป็นบุคคลสำคัญของมหานครนิวยอร์กและผู้จัดการคนปัจจุบันของ The Continental Hotel คอร์แมคเคยเป็นกุนซืออาชญกรรมของทั้งวินสตันและแฟรงกี้ สก็อต ตอนที่ทั้งคู่ยังเป็นเด็ก แฟรงกี้ขโมยของมีค่ามหาศาลของจากนายใหญ่ของคอร์แมค คอร์แมคจึงส่งนักฆ่าไปลอนดอน จับตัวและนำตัววินสตันกลับมาที่นิวยอร์ก เพื่อให้ตามหาตัวน้องชายของเขา เราจะได้เห็นว่าคอร์แมค เมื่อยิ่งสิ้นหวัง ก็ยิ่งโกรธและบ้าคลั่ง
วินสตัน สก็อต (รับบทโดยโคลิน วูดเดล)
หล่อ ฉลาด เท่ และสุขุมเยือกเย็น วินสตันเป็นนักธุรกิจชั่วโมงบินสูงผู้คิดนอกกรอบ เหตุการณ์สะเทือนใจทำให้วินสตันเดินทางที่ตรงข้ามกับกฎหมาย วินสตันเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในลอนดอน แต่คอร์แมค หัวหน้าอาชญากรจากอดีต ส่งตัวเขาไปตามล่าหาตัวแฟรงกี้ น้องชายของเขาเอง วินสตันต้องอาศัยทักษะเอาชีวิตรอดบนท้องถนนจนพบแฟรงกี้ และยึดครองโรงแรมแหล่งที่คอร์แมคซ่องสุมพลังอำนาจ The Continental Hotel.
เคดี (รับบทโดย มิเชล ปราดา) เคดี เป็นนักสืบของสำนักงานตำรวจแห่งมหานครนิวยอร์กหรือ NYPD ทว่าเธอมีเธอมีความต้องการตามหาคนวางระเบิดบ้านคร่าชีวิตคนในครอบครัว เหลือเธอรอดชีวิตแต่ผู้เดียว การตามล่าฆาตกรทำให้เคดีพลัดหลงเข้าไปในโรงแรม The Continental จนในที่สุดก็ได้เผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ
แฟรงกี้ สก็อต (รับบทโดยเบน ร็อบสัน) แฟรงกี้ สก็อตเป็นพี่ชายของวินสตันและมีจิตใจเป็นนักฆ่าโดยกำเนิด วินสตันผู้เป็นน้องชายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในลอนดอน แฟรงกี้เข้ารับราชการทหารและร่วมรบในสงครามเวียดนาม เมื่อกลับมา แฟรงกี้ขโมยวัตถุล้ำค่ามาจากใจกลางโรงแรม The Continental จนทำให้ได้พบวินสตันน้องชายอีกครั้ง โดยที่เขาเองก็ไม่ได้คาดว่าการกระทำอันบ้าระห่ำของเขาจะทำให้ดุลอำนาจใน The Continental เปลี่ยนไปในอีกหลายปีต่อมา
ไมล์ส (รับบทโดยอูแบร์ ปวง-ดู-ฌูร์) บึกบึน ซื่อสัตย์และฉลาด ไมล์สเคยเป็นทหารในสงครามเวียดนาม และจับพลัดจับผลูไปยุ่งเกี่ยวกับการค้าอาวุธเมื่อครั้งกำลังร่วมรบในสงครามที่เขาไม่ต้องการ และเพื่อประเทศที่ไม่เคยให้เกียรติเพราะสีผิวของเขา ไมล์สค้าอาวุธกับแฟรงกี้ เลมมีและลู น้องสาวผู้ที่
ไม่เต็มใจร่วม เหตุผลที่เขาต้องทำธุรกิจอันตรายนี้ก็เพราะเป็นวิธีเดียวที่ยังทำให้โรงฝึกของพ่อผู้ล่วงลับยังดำเนินต่อไปได้ ไมล์สและผองเพื่อนเข้าร่วมกับวินสตันในการยึดครองโรงแรม The Continental
เยน (รับบทโดยนุห์ง เคท) เยนเป็นภรรยาของแฟรงกี้ เธอยอมทนร่วมทุกข์สุขกับเขา แม้ว่าจะต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ หลังจากแฟรงกี้ขโมยของจนทำให้ทั้งคู่ตกอยู่ในอันตรายมหันต์ เธอเป็นคนระแวงอยู่ตลอดเวลา และตกใจที่รู้ว่าแฟรงกี้มีน้องชายที่พรากจากกันไปนานคือวินสตัน เยนเป็นนักสู้มือฉกาจ ไม่มีอะไรหยุดเธอได้ หากเธอต้องปกป้องคนที่เธอรัก เยนเป็นตัวแทนของโอกาสครั้งที่สองและครอบครัวผสม ทั้งยังเป็นนักสู้ฝีมือไร้เทียมทานที่สุดในกลุ่มด้วย
ลู (รับบทโดยเจสสิกา อัลเลน) ฉลาดและใจเด็ด ลูเป็นกูรูเชี่ยวชาญศิลปะการป้องกันตัว ดูแลโรงฝึกที่พ่อทิ้งไว้ให้เธอและไมล์สผู้เป็นพี่ชาย ทว่า โรงฝึกขาดเงินและลูจำต้องฝืนทำงานกับพี่ชายธุรกิจค้าอาวุธ ด้วยความที่เป็นผู้รักสันติ ลูจึงไม่ยอมใช้ปืน แต่เรื่องนี้ก็เป็นบททดสอบเมื่อลูต้องช่วยวินสตันและทีมงานของพี่ชายเธอในการยึดครองโรงแรม The Continental
ชารอน (รับบทโดยอาโยมิเด อาเดกุน) ชารอน ในสมัยยังหนุ่มเป็นผู้ช่วยที่คอร์แมคไว้วางใจ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะทำให้ความจงรักภักดีของ ชารอน ถูกทดสอบ และเขาจะต้องเลือกระหว่างผู้พิทักษ์ของเขาและครอบครัวที่ไม่ได้ผูกพันกันด้วยสายเลือด
เมย์ฮิว (รับบทโดยเจเรมี บ็อบ) เมย์ฮิวเป็นนักสืบของสำนักงานตำรวจแห่งมหานิวยอร์ก ทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาของเคดี แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามีอะไรมากกว่าที่เห็น เมย์ฮิวแต่งงานและมีลูกแล้ว เขาชอบเคดีมากและพยายามกันเธอให้ห่างจากโรงแรม The Continental
ลุงชาร์ลี (รับบทโดยปีเตอร์ กรีน) ชาร์ลีเป็นผู้ใช้แรงงาน ใจแข็งแต่ก็อบอุ่น ดูเหมือนอารมณ์บูดอยู่ตลอดเวลา ชาร์ลีขับรถขนขยะของเทศบาล แต่ก็ลักลอบธุรกิจโรงเก็บขยะเอกชนที่ย่าน Upper East Side ชาร์ลีเป็นลุงของวิยสตันและแฟรงกี้ เป็นคนช่วยให้ทุกคนให้หนีจากกองสมุนของคอร์แมคได้
SUPPORTING CAST นักแสดงสมทบ
เลมมี (รับบทโดยอดัม ชาปิโร) เลมมีทำงานกับไมล์สและลูเป็นพ่อค้าอาวุธ เขาเป็นหบักแหลมเอาตัวรอดเก่งในถสานการณ์ล่อแหลม ช่วงแรกไม่ค่อยไว้ใจวินสตันมากนัก แต่ก็ยอมเข้าร่วมทีมยึดครองโรงแรม The Continental
เจงกินส์ (รับบทโดยเรย์ แมคคินนอน) นักล่ารางวัลเจ้าเล่ห์ใส่ใจรายละเอียดรักสันโดษ เจงกินส์เป็นคนไม่ยอมปรับตัวแต่ก็มืออาชีพ เคยแป็นเพื่อนกับพ่อของลูและไมล์ส และสัญญาว่าจะช่วยเหลือเมื่อต้องการ ไมล์สขอให้เจงกินส์ช่วยยึดครองโรงแรม เจงกินส์จึงเข้ามาร่วมทีมและได้พบรักในสถานที่ที่ไม่คาดว่าจะพบอีกด้วย
ตุลาการ (รับบทโดยเคที แมคแกรธ) สวมหน้ากากฮังการีในยุคทศวรรษ 1930 ตุลาการเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการขององค์กรอาชญากรรม เธอเฝ้าย้ำเตือนคอร์แมคอยู่เสมอเรื่องแรงกดดันที่จะต้องเผชิญเมื่อต้องตามหาของที่แฟรงกี้ขโมยไป อย่างไรก็ตาม เราจะพบว่าตุลาการไม่ใช่เพียงกระบอกเสียงขององค์กรอาชญากรรมนี้เท่านั้น เธอยังมีเรื่องแผนส่วนตัวด้วย
คุณนายดาเวนพอร์ต (รับบทโดยแคลร์ คูเพอร์) หลักแหลมและปราดเปรื่องเป็นที่สุด คุณนายดาเวนพอร์ตเป็นนักสังคมนิยมชาวลอนดอนผู้ร่ำรวยและชอบเล่นเกม ทั้งยังเป็นภรรยาของคุณดาเวนพอร์ตเศรษฐีมั่งคั่งชาวอังกฤษ ที่วินสตันขอให้ลงทุนสร้างที่จอดรถในลอนดอน
เกรทัล (รับบทโดยมารีนา มาเซปา) และแฮนเซล (รับบทโดยมาร์ก มูชาชี)
ยอดนักฆ่าทำงานปในโลกอาชญากรรมใต้ดินและในโรงแรม The Continental มือสังหารแม่นยำเลือดเย็น ไร้ความรู้สึก ทั้งคู่ถูกฝึกให้ต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ
บทสัมภาษณ์นักแสดง (Cast Interviews)
เมล กิบสัน
“คอร์แมค”
ช่วยแนะนำโลกของ The Continental หน่อย
คือที่นี่เป็นสถานที่แปลก มีโลกของมันเอง ออกไปทางแฟนตาซีครึ่งหนึ่ง แต่ส่วนมากก็จะรุนแรง จะว่าไม่สมเหตุสมผลก็ได้นะ เพราะมีข้อจำกัด มีกฎที่มากับสถานที่ ซึ่งทำให้คนค่อนข้างต้องป่าเถื่อน แต่ก็อยู่ปริ่ม ๆ ขอบกฎหมาย
ผู้ชมจะถูกสะกดให้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร
ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้หนังแอคชั่นออกมาดี ก็คือคุณต้องเข้าไปมีส่วมร่วมกับตัวละครในระดับหนึ่งเลย คุณต้องกร่นด่าตัวร้ายและเอาใจช่วยคนดี ตัวเอก หรือในทางกลับกัน จริง ๆ แล้วมีคนดีอยู่หรือเปล่า
ช่วยบอกลักษณะตัวละครคอร์แมค เขามีส่วนเกี่ยวพันกับวินสตันและชารอนอย่างไร
คือว่า เขาเป็นเหมือนที่ปรึกษา จริง ๆ แล้วเป็นที่ปรึกษาหรือผู้ทรมาน ผมก็ไม่รู้เป็นอันไหนดี ค่อนข้างเป็นคนชั่วร้ายซึ่งก็เป็นเหมือนพ่อของพวกเขานะ คือทั้งคู่มองเขาว่าเป็นแบบนั้นตอนยังเด็กอยู่ แต่เมื่อโตขึ้นและเริ่มรับรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไรจริง ๆ ก็เข้าใจว่าไม่น่าจะใช้ภาพพ่ออย่างที่แสร้งเป็น คอร์แมคเป็นคนเห็นแก่ตัว และหลอกใช้พวกเขาในทางที่ไม่ดี ผมคิดว่าเรื่องนี้ทำให้พวกเขาก็คุกรุ่นอยู่ในใจและต้องการจะเอาคืน ซึ่งก็สมควรแล้วล่ะ
เครื่องปั๊มเหรียญสำคัญอย่างไรต่อคอร์แมค
คุณจะอยู่บนโลกนี้ได้ คุณต้องมีเครื่องปั๊มเหรียญ ถ้าคุณไม่มีสกุลเงินแบบนั้น สถานการณ์คุณแย่เลย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องมีเครื่องนั้น แต่ก็ไม่มีเพราะถูกขโมย เหมือนว่าโลกนี้ขาดสมดุลขาดความกลมกลืนถ้าเขาไม่ได้เครื่องนั้นกลับมา และเขาเองก็รู้ดี จริง ๆ แล้ว อาจบอกได้ว่าเป็นจุดจบของเขาเลยถ้าไม่ได้คืนมา เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันนั้น
ซีรีส์พาเราย้อนไปมหานครนิวยอร์กช่วงทศวรรษ 1970 ช่วยบอกหน่อยว่าช่วงนั้นเป็นอย่างไร
ทศวรรษ 1970 เมืองค่อนข้างสกปรกเลยนะ ผมเกิดในนิวยอร์ก แต่ไม่ใช่ในตัวเมือง ผมอยู่ชนบท ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปในเมือง ผมจำได้ว่าต้องกลับมาล้างจมูก เอาควันเขม่าออกอยู่เป็นวันเลยล่ะ
ผมคิดว่าเขาเอามาจากโรงหนังช่วงทศวรรษ 1970 อย่าง เรื่อง Taxi Driver มาใส่แอคชั่น เลยทำให้น่าตื่นเต้น เดือดพล่าน เหนือจริง แล้วตัวคอร์แมค เขาเป็นคนนิวยอร์กเชื้อสายไอริช และคงจะเป็นอาชญากรแบบหนึ่ง ดังนั้น คงจะเป็นรุ่นที่สามหรือไม่ก็สี่แล้ว
ฉากและสไตล์บอกโทนซีรีส์อย่างไรบ้าง
เป็นแนวฟิล์มนัวร์ ฉากก็แนวเกือบ ๆ กอธิค เสื้อผ้าก็ดูเหมือนกับเกินจริงไปนิดหน่อย หมายความว่า ตัวละครผมใส่สูทสวยหรูก็จริง แต่ก็เป็นสูทจากช่วงปี 1920 ส่วนตัวซีรีส์เองก็เงียบ ในแง่ของบทสนทนา แอคติ้ง หรือทัศนคติ มีการเสียดสีสังคมอยู่เยอะ และตัวละครส่วนใหญ่ก็จะมีด้านมืด ซึ่งก็เข้ากับสไตล์ของซีรีส์ได้อย่างดี
โคลิน วูดเดล
“วินสตัน”
ช่วยแนะนำ The Continental
The Continental เป็นเรื่องราวก่อนหนังในจักรวาลจอห์น วิค และถ้าคุณเคยดูหนังเหล่านั้นแล้ว ซีรีส์นี้ก็จะเป็นตัวแนะนำโลกนั้นให้คุณรู้จัก เป็นช่วง 30-40 ปีก่อนหนัง เป็นการแนะนำตัวละครหลาย ๆ ตัว แนะนำแง่มุมต่าง ๆ ของจักรวาลจอห์น วิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรม The Continental นอกจากนั้น ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสนุกสนานซ่อนอยู่ถ้าคุณเคยดูหนังและจำมันได้
เราโชคดีมากที่ได้ผู้อำนวยการทุกคนจากหนัง พวกเขาดูแล เราเคารพความต่อเนื่องและสไตล์ที่มีอยู่ในหนังด้วย สิ่งที่ยอดเยี่ยมอีกก็คือ เป็นรช่วงทศวรรษที่ 1970 จึงทำให้มีสไตล์แตกต่างออกไป เราเพิ่มเติมเรื่องราวและสีสันลงไปในนี้ด้วย
สิ่งที่เจ๋งในจักรวาลนี้ก็คือเป็นเรื่องราวมที่เกิดในมหาคนนิวยอร์ก เลยทำให้เห็นองค์ประกอบทั้งหมดจากโลกจริง ๆ ของเรา แต่นำไปผสมผสานกับโลกอาชญากรรมใต้ดิน มีจิตวิญญาณมืดมัว แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีสีสันโดดเด่นไม่เหมือนใคร ที่เราไม่ได้เห็นในตัวหนังด้วย
อะไรเป็นเอกลักษณ์ของฉากบู๊ในซีรีส์นี้
ผมว่าการต่อสู้มีความโก้หรูอยู่ ซึ่งนี่แหละเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ ไม่เคยมีใครเห็นฉากการต่อสู้หรือการยิงปืนที่ออกแบบมาราวกับท่าเต้นรำแบบนี้มาก่อน ผมคิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากคีอานู (รีฟ) ที่นำมาสู่ตัวละครจอห์น วิค ตัวละครก็เต็มไปด้วยชีวิต กล่าวคือไม่ใช่ตัวละครที่ทำออกมาล้อเลียน เป็นคนจริง ๆ ผมว่าเจ๋งดีนะครับ เพราะเราจะได้เห็นด้านต่าง ๆ เล็ก ๆ ในตัวละครเหล่านี้ที่แสดงออกมา แต่ก็ไม่ได้ออกมามากเกินไป มันเลยทำให้คุณยิ่งอยากจะรู้เพิ่ม ตอนผมเห็นครั้งแรก ผมว๊าวออกมาเลย ไม่เคยเห็นการต่อสู้แบบนี้มาก่อน ผมว่ามันพิเศษมาก
สิ่งที่เจ๋งอีกอย่างคือเราได้ตัว 87eleven ทีมงานนักแสดงผาดโผน (สตันท์) (จากจอห์น วิค) แล้วการแสดงของพวกเขาคือสุดยอด ตะลึงไปเลย ดูพวกเขาแสดง ดูสิ่งที่พวกเขาสรรค์สร้างแล้วเหมือนดูร่ายรำ จึงเป็นการให้ยกย่องฉากต่อสู้ได้มากเลยครับเมื่อมีทีมงานนี้ด้วย
คุณมารับบทวินสตันได้อย่างไร
เราพูดถึงตัวละครตัวหนึ่งที่ผ่านเหตุการณ์อะไรมากมายในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง แล้วในฐานะที่เป็นนักแสดงที่สวมบทบาทนี้ ทุกครั้งที่เล่นต้องมองลึกเข้าไปในวิธีคิดและอารมณ์ความรู้สึก แล้วต้องเป็นทั้งคนทรามและฉลาด ผมว่ามันมีสิ่งดีดีที่เกิดขึ้นกับผมที่ไม่ใช่อะไรที่ตื้นเขินเลย ผมดีใจมาก เพราะผมไม่เคยดูวินสตันในเวอร์ชันที่ แมคเชน มารับบท ผมก็เลยบอกโอเค ผมก็แค่ต้องสวมบทบาทนี้ตามแบบที่ผมมองปแล้วดูว่าเข้ากันได้หรือเปล่า
คุณได้แรงบันดาลใจจากการแสดงของ เอียน แมคเชน หรือไม่
ผมว่าเนื่องจากผมไม่ได้ดูหนังตั้งแต่แรกและก็ไม่ได้ดูว่าเขาเล่นอย่างไร ผมแค่ทำให้เป็นแบบผมเอง แต่พอผมได้รับข้อเสนอและได้พูดคุยเรื่องโครงการนี้แล้ว ผมเลยไปดูหนังทั้งสามภาครวมเดียวจบในวันเดียว ซึ่งก็เยอะนะครับ แต่ก็ได้ข้อมูลมากมายว่าเขาแสดงอย่างไร จากนั้นก็พูดคุยกันว่าเราจะทำแบบที่แมคเชนทำไว้หรือเปล่า หรือมากน้อยแค่ไหน จริง ๆ แล้ว พวกเราก็คุยกันว่า โอเคแหละ เหตุการณ์มันเกิดขึ้น 30-40 ปีก่อนจะเจอตัววินสตันในหนัง แต่ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลย ดังนั้น ผมจึงมีอิสระ ดีนะครับที่ได้ดู แต่ผมก็ต้องลืมไปก่อน แล้วสวมบทตามแบบของผมเอง
คุณฝึกซ้อมมากแค่ไหนเพื่อฉากต่อสู้
ก็ตลกดีครับ พอไปถึง ผมตื่นเต้นมาก เพราะผมประมาณว่าในที่สุดก็ได้ฝึกซ้อมบทชายจอมบู๊ พอมาถึงที่นี่ เริ่มอ่านบทแล้วก็แบบ เออ ก็ไม่ค่อยได้มีอะไรทำมากนักนะ และถ้าจะต้องทำอะไรบ้าง ก็แค่หลบวิถีกระสุนเอาตัวเองรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ผมไม่ได้เตะต่อยอะไรเลย ผมว่าสิ่งที่เจ๋งของวิยสตันก็คือ เขาเป็นคนฉลาดหลักแหลม นี่เป็นพลังวิเศษของเขา ไม่ใช่เรื่องต่อยตี แล้วก็เอาชนะได้ทุกคน การฝึกซ้อมจึงขำ ๆ นิดหน่อย คือทุกคนก็จะแสดงฉากต่อสู้ผาดโผนแล้วก็จะพูดว่าเจ็บตรงนั้นตรงนี้ ส่วมผมก็ “ใช่ เหมือนกัน ไม่..อืม เจ็บคอก็ตายอยู่แล้ว” แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรเลย
ถ้าเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่นักสู้ คุณว่าวินสตันมีลักษณะอย่างไร
ถ้าดูจากการช่วงที่เติบโตมาแต่เด็กแล้ว วินสตันมีแผลในใจ และเราก็รู้ได้จากฉากย้อนเวลาหรือแฟลชแบค เราจะเห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่หัวร้อนเร็ว ในแง่ของการต่อสู้นะครับ แต่ก็ต้องเอาตัวรอด ดังนั้น สิ่งที่เราพูดคุยกันก็คือ ทำให้วินสตันเป็นคนที่เก่งในเรื่องพาตัวเองหลุดออกมาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ เขามักจะต่อสู้เพื่ออะไรบ้างอย่างเสมอ และก้ไม่ได้ชนะเสมอไป แต่เป็นข้อมูลที่ดีมากที่เราได้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง เพราะวินสตันได้เรียนรู้ว่าคุณจะต้องเป็นนักสู้หรือเป็นมันสมอง ส่วนตัวเขาเองก็เลือกปลายทางแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง และจะทำให้ประสบความสำเร็จ
ช่วยบอกหน่อยว่าเราจะพบวินสตันได้ที่ไหนในซีรีส์
คุณจะพบได้ที่ลอนดอน วินสตันเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการที่เขาได้ปิดดีลทางธุรกิจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เขาอยู่ที่ลอนดอนเป็นเวลานานกว่า 15 ปีแล้ว เพราะว่าเขาเคยทำสิ่งที่ผิดกฎหมายกับแฟรงกี้ พี่ชาย ตอนอยู่ที่นิวยอร์ก เขาจึงไปลอนดอนและพยายามพิสูจน์ตัวเอง ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ก็เปรียบเหมือนเป็นหมาป่าเดียวดาย ผมคิดว่าวินสตันมองว่าความสำเร็จเท่ากับความสุข จริง ๆ แล้ว เขาโฟกัสผิดจุดนะ ตัวเขาเองก็รู้ว่าไม่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวี่ลีก ไม่ได้เรียนที่ออกซฟอร์ด ไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่ง ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จ เขาจึงต้องทำสิ่งที่ง่ายที่สุดและทำทุกอย่างที่จะทำให้ไปถึงจุดที่เขาอยากจะไป
ดังนั้น เขาเลยฉลาดแกมโกงนิดหนึ่ง เขารู้ตัวว่าต้องคอยระมัดระวังตัวเพราะอดีตอาจจะตามมาหลอกหลอนได้ทัน
คุณช่วยอธิบายเรื่องเหรียญทองหน่อย เหรียญพวกนี้มีความหมายสำคัญอย่างไรในโลกนี้
เหรียญก็เป็นเหมือนสกุลเงิน คุณจะซื้ออะไรก็ได้ด้วยเหรียญ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือสิ่งที่เหรียญเหล่านี้เป็นตัวแทน กล่าวคือ เหรียญเหล่านี้เป็นตัวแทนของพิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน (rite of passage) มันทำให้คุณอยู่ในโรงแรม The Continental ได้ เหรียญเหล่านี้ยังเป็นตัวแทนสถานะของเจ้าของ ผมว่าคุณน่าจะเดาออกนะ มันขึ้นอยู่กับมูลค่าของเหรียญ เครื่องปั๊มเหรียญจึงสำคัญมาก เพราะถ้าเครื่องนี้ตกไปอยู่ในมือคนชั่ว ก็จะสามารถปั๊มเหรียญได้มากเท่าไหร่ก็ได้ และเหรียญก็ล้นตลาด ทำให้สูญเสียมูลค่า
ตัวละครวินสตันมีพัฒนาการอย่างไรบ้างในซีรีส์
รับบทวินสตันสนุกดีนะครับ เพราะผมได้เห็นว่ามันมีพัฒนาการเร็วมากและพัฒนาการเกิดขึ้นยังไง จนบางทีทำให้เราไม่มีเวลาคิดเลย ด้วยความที่เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายที่ลอนดอน เขาจึงกดดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จ เพราะเขาคิดว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุข แต่พอเขาไปเจอพี่ชาย เขาจึงเริ่มเข้าใจแต่ก็ยังไม่ทั้งหมดว่าสิ่งที่เขาขาดไปคือครอบครัวและความรัก ดังนั้น สำหรับเขาซึ่งเคยขับเคลื่อนตัวเองด้วยเพียงสิ่งเดียวมาเป็นเวลานาน แล้วมาฉุกคิดได้ว่าอยู่ในการโกหกมาโดยตลอด จึงทำให้ต้องใช้เวลาไตรตรองอยู่นานจนกว่าจะรู้ว่า มาถึงจุดนี้ เขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และก็จะต้องจัดการด้วยตัวเขาเอง
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวินสตันและชารอนเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนเจอกันครั้งแรก ก็ใช่ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอย่างที่เราเห็นในหนัง เมื่อวินสตันเริ่มเข้าใกล้ชิดชารอน ก็ดูเขม่นกัน เป็นศัตรูกัน มีความโกรธอยู่ เพราะชารอนไปอยู่ฝั่งศัตรู วินสตันจึงเหมาว่าชารอนก็เป็นตัวการด้วย ความสัมพันธ์จึงไม่ดีเลยช่วงแรก แต่ผมคิดว่าวินสตันสามารถไปทำความรู้จักกับเด็กและเห็นว่าจริง ๆ แล้วภาพลักษณ์ของเด็กน่าสงสารนี้สะท้อนตัววินสตันเองที่ถูกล้างสมอง ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าไปเกี่ยวพันกับโลกนี้ได้ยังไง ผมคิดด้วยว่าวินสตันต้องการให้มีใครสักคนที่เข้ามาช่วยเขาและครอบครัวได้
ส่วนตัวแล้ว ผมชอบความสัมพันธ์ระหว่างวินสตันและชารอนในเวอร์ชันของเอียน แมคเชนและแลนซ์ เรดดิกส์นะ แล้วผมก็ตื่นเต้นที่จะได้เล่นบทเดียวกับกับอาโย และเราทั้งคู่ก็จะสวมบทตัวละครสำคัญสองคนนี้กัน แล้วเริ่มพัฒนาเรื่องราวและความสัมพันธ์ของเรา ผมคิดถึงวันที่อยู่บนรถบัสที่ผมพยายามจะทำให้เขาเข้าร่วมงานด้วย มันเหมือนมีความเชื่อมโยงที่เริ่มขึ้นช้า ๆ แล้วเราก็จะเห็นว่าความสัมพันธ์พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ผมว่า “โอเค ผมเป็นวินสตันส่วนคุณก็เป็นชารอน น่าตื่นเต้นจัง”
มิเชล ปราดา
“เคดี”
ช่วยอธิบายโรงแรม The Continental และความเชื่อมโยงกับจักรวาลจอห์น วิค
ในจักรวาลจอห์น วิค โรงแรม The Continental ถือเป็นตัวละครตัวหนึ่งเลย เราจะตามวินสตันไปถึงต้นกำเนิดของโรงแรม ซึ่งเป็นส่วนที่น่าตื่นเต้นของหนังจอห์น วิค แล้วก็จะได้เห็นโรงแรมในช่วงทศวรรษ 1970 ด้วยว่าเป็นยังไง
ผู้ชมชอบอะไรในจักรวาลนี้
แฟนหนังรักจักรวาลจอห์น วิค มาก เป็นการนำเสนอความเจ็บปวดในด้านที่น่าสนใจมาก ในทางที่เราคงไม่ทำกับชีวิตจริงของเรา คุณต้องย้อนกลับ ทำงานเก้าโมงเลิกห้าโมง หรือต้องเป็นแม่ที่ดีของลูก ซักผ้า งานอะไรต่าง ๆ แต่ก็มีส่วนหนึ่งของเราที่สงสัยว่าจะเป็นยังไงถ้าเราเปลี่ยนความเจ็บปวดนั้นเป็นตัวผลักดันให้เราทำสิ่งที่อยากทำจริง ๆ เหมือนเป็นฉีกทุกอย่างทิ้งจนกว่าเราจะได้รับความยุติธรรม ฉันเลยคิดว่านี่คือส่วนที่ผู้ชมชอบ แล้วก็สนุก การออกแบบท่าต่อสู้สุดยอดมาก คุณจะเห็นว่านักแสดงจะเล่นบทผาดโผนเอง ฉันว่าไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้นะคะ เท่าที่ได้ยินมา
คุณชอบนิวยอร์กในทศวรรษที่ 1970 หรือเปล่า
แม่ของฉันเป็นคนรุ่น 70 นะคะ ตอนนั้นคงเด็กมาก อยู่ที่นิวยอร์ก จึงน่าสนใจมากที่จะได้เห็นส่วนหนึ่งของประวัติครอบครัว คือครอบครับของฉันอพยพมาอยู่นิวยอร์กจากสาธารณรัฐโดมินิกันและเปอร์โตริโก แต่ก็ดีใจมากที่ได้เห็นว่าชุมชนเปอร์โตริโกและโอมินิกันเป็นอย่างไรช่วงนั้น ฉันรับบท เคดี แล้วก็เป็นตัวแทนสาวลาตินาคนเดียวในทีมนักแสดงหลัก เหมือนย้อนกลับไปดูประวัติของตัวเอง แล้วนำมาสู้ปัจจุบันเลยค่ะ สนุกมากและน่าสนใจมาก
นิวยอร์กยุค 70 คอนข้างป่าเถื่อนอยู่นะ เหมือนเมืองจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เคดี เป็นตำรวจ คู่หูคือเมย์ฟิว ทั้งคู่เป็นตัวแทนส่วนหนึ่งของนิวยอร์กที่เรียกว่า นครแห่งความกลัว หรือ Fear City ตำรวจสมัยนั้นลำบาก งบประมาณไม่มี เหมือนกับว่าเป็นตัวกันชนระหว่างคนมีกลับคนไม่มี
เราได้พบนิวยอร์กในช่วงนั้น คุณก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมตำรวจจึงเหมือนเป็นแก๊งค์ ๆ หนึ่งเลย คุณจะเห็นว่าติดสิยบนง่ายมาก เพราะคุณไม่มีกำลัง ไม่มีอำนาจ ดังนั้น การได้ไปเห็นว่าช่วงทศวรรษที่ 70 เป็นยังไง ยิ่งเป็นตำรวจหญิงแถมเป็นลาตินาอีกในสถานีตำรวจนั้น จึงเป็นบทสนทนาที่น่าสนใจในซีรีส์
ช่วยบอกหน่อยว่าฉากโลดโผนสำคัญกับตัวละครอย่างไร
สไตล์การต่อสู้ของ เคดี จะเป็นแบบท้องถนน เคดีเป็นเด็กกำพร้า ก็แปลว่าต้องเข้าระบบที่มีครอบครัวอุปถัมภ์ ซึ่งไม่ดีต่อเด็กผู้หญิงตัวคนเดียว เธอจึงต้องเรียนรู้ที่จะต่อสู้ด้วยมือ ต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดตอนเดินอยู่บนถนน ต่อสู้เพราะเป็นผู้หญิง ตอนคุยกับลาร์เนลก็สนุกดีค่ะ เขาบอกว่าเป็นส่วนที่เขาตื่นเต้น นั่นคือได้เสนอภาพเด็กหญิงคนหนึ่งที่ไม่เรียนการต่อสู้ในชั้นเรียน แต่ก็สามารถสู้เอาตัวเองรอดได้
แล้วเคดีไปเกี่ยวข้องกับโรงแรม The Continental ได้อย่างไร
โรงแรม The Continental เปรียบเป็นธรณีประตู เมื่อคุณข้ามผ่านไปแล้ว จะกลับออกไปไม่ได้ คุณจะเห็นเคดีตามหาความยุติธรรม ตามหาแฟรงกี้ ตามหาสิ่งที่เธอต้องการมาตลอด ไม่ใช่แค่เป็นธุรกิจหรือเรื่องงานอีกแล้ว กลายเป็นเรื่องส่วนตัว เคดี ไม่ได้เป็นคนที่ไม่ชอบเดินตามกฎ ดังนั้นถ้าบอกว่า “อย่าไป ไม่ใช่เรื่องของเธอ” สิ่งแรกที่เธอจะทำก็คือไปตรงนั้นแหละ มันมีปริศนา และนี่แหละเป็นสิ่งที่เธอถนัด เธอเก่งเรื่องไขปริศนา สมองจะทำงานหาทางออกที่ดีที่สุดเสมอ
ดังนั้น เมื่อเธอไปโรงแรม The Continental ครั้งแรก สัณชาตญาณของเธอบอกเลยว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ก็ย้อนกลับไปไม่ได้ ราวกับว่าได้กลิ่นอะไรแล้วต้องตามกลิ่นนั้นไป เธอเก่งเรื่องนี้ เราจะเห็นเธอค่อย ๆ แก้ปัญหาตลอดการเดินทาง ลึกลงไปใต้โรงแรม The Continental.
แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเคดีและเมย์ฮิวเป็นอย่างไรบ้าง
ความสัมพันธ์ระหว่างเคดีและเมย์ฮิวเหมือนมีพลังขับเคลื่อน ทั้งคู่เจ็บปวดอ่อนแอจากชีวิต ในทุก ๆ ฉาก ทั้งคู่ก็แข่งกันเป็นผู้นำ ฉันคิดว่า สำหรับเคดีแล้ว นี่เป็นตัวผลักและเสริมพลังให้เธอสามารถควบคุมบางอย่างได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอ คือไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตเกิดขึ้นกับเธอ แต่รู้สึกว่าเธอเกิดมาเพื่อชีวิต
แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจของเคดี
โฟกัสเดียวของเคดีก็คือตามหาฆาตกรและแก้แค้นให้แก่ครอบครัวและตัวเธอ ไม่มีอะไรหยุดเธอได้ และเมื่อเธอเข้าใกล้ความจริง ก็ยิ่งคลั่งยิ่งเดือด เคดีเป็นคนรักความยุติธรรมอย่างยิ่ง เพราะความยุติธรรมเหมือนทำให้คุณควบคุมอะไรได้ เหมือน เอ เท่ากับ บี และทำให้เกิด ซี และก็จะผลที่ตามมาจากการกระทำนั้น ๆ เราจะได้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเธอเข้าใจว่ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคิด
เบน รอบสัน
“แฟรงกี้”
ผู้ชมชอบอะไรในจักรวาลจอห์น วิค
ผมคิดว่าคนที่ชอบศิลปการป้องกันตัวและทักษะการยิงปืนหรืออาวุธต่าง ๆ และความเจ๋งเรื่องพวกนี้ แถมฉากหลังเป็นนิวยอร์ก สถาปัตยกรรมสวยงาม และตัวละครสุดยอด ผมว่าเรามีเครื่องปรุงครบรสที่ทำให้คนชอบ อย่างน้อยก็ผมและก็คนอื่นอีกหลายคน
คุณรับบทแฟรงกี้ได้อย่างไร
เป็นอักก้าวหนึ่งแตกต่างจากที่ผมเคยทำมาก่อน ผมชอบความท้าทายแบบนี้มาก คือถ้ามีอะไรมาทำให้ผมกลัว แสดงว่านั่นแหละ คือสิ่งที่ผมต้องทำ สำหรับแฟรงกี้เอง เขาให้คุณค่ากับครอบครัวมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ครอบครัวจำเป็นต้องแตกแยก
เขาทำในสิ่งที่เขาเต็มใจทำเพื่อน้องชายวินสตัน ทำทุกอย่างเพื่อให้วินสตันมีได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต ผมเองก็มีน้องชาย และน้องสาว ผมจึงคิดแบบพี่คนโตว่ามันมีโอกาสให้คว้า ผมคิดว่าจะสนุกมากที่จะได้เข้าใจผ่านตัวแฟรงกี้ ผู้ซึ่งมีวิธีทางไม่เหมือนกันตลอดเรื่องราวของเขา
นิวยอร์กยุค 70 เป็นอย่างไรบ้าง
นิวยอร์กยุค 70 เป็นช่วงลำบาก เศรษฐกิจตกต่ำ อุตสาหกรรมย่ำแย่ คอร์รัปชันในวงการตำรวจ มาใรใครทำตามกฎหมายเลย ผู้คนก็ตกงาน ตอนนั้นเมืองย่ำแย่มากจนมีชื่อเล่นว่า กอแทม ผมคิดว่าเด็กอย่างแฟรงกี้และวินสตันพยายามกรุยทางเพื่ออนาคตที่เหมือนว่าจะสิ้นหวัง ในโลกอันแสนลำบากนี้ โอกาสหายาก
ดังนั้น พอทั้งคู่เริ่มหาทางออกไปจากเมืองนี้ได้ แม้ว่าดูเหมือนจะไม่มีทางก็ตาม จึงรีบคว้าโอกาสเอาไว้ เพื่อจะได้ไปทำสิ่งที่คงไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าโอกาสมีมากมาย ผมว่าไม่ว่าจะยุค 70 หรือยุคอื่น ๆ ผู้คนก็จะเลือกทำแบบเดียวกัน เราก็จะได้ความคิดจากสองคนนี้ ว่าผู้คนต้องทำอะไรเพื่อให้หลุดพ้นไปจากสถาพเลวร้าย และเพื่ทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น
แต่ยุคแต่ละสมัยก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง สิ่งที่น่าสนใจใน The Continental ก็คือ มันเป็นหนังสือจอห์น วิค บทหนึ่งเลย คุณต้องเปิดและดูรากฐานของจักรวาลจอห์น วิค ดูว่าสร้างขึ้นอย่างไรในยุค 70 ซึ่งสไตล์ 70 เป็นตัวสร้างรูปร่างให้ซีรีส์ ในแง่ของเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า ดรตนี วัฒนธรรม สิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญ คุณจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านส่วนที่น่าอัศจรรย์ต่าง ๆ ในซีรีส์ เป็นตัวแสดงถึงวิธีการตีความเรื่องราวด้วย
ทำงานกับทีมงานสตันท์เป็นอย่างไรบ้าง
ค่อนข้างเหนื่อยนะครับ ผมไม่เคยทำมาก่อน แต่เราได้ทีมงานฝีมือเยี่ยมอย่างโรเจอร์ ไมกี และเจอาร์ ที่มาสอนทักษะการต่อสู้ที่ต้องใช้เวลาฝึกนานในเวลาปกติ แต่กับทีมนี้ พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ สอนเก่ง ทำให้ช่วยเล่าเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม อะไรจะสุดยอดไปกว่าการได้เริ่มท่าต่อสู้ที่ท้าทาย ทีมงานช่วยทำให้มันง่ายขึ้น ทำให้ผมสบายใจและสนุก ได้เรียนรู้แง่มุมต่าง ๆ ที่ผมเคยคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
ผลที่ออกมาคือดีมาก ๆ แม้ว่าฟันผมจะหักในฉากต่อสู้ฉากหนึ่งก็ตาม แต่คุ้มมากครับ ผมคิดว่านี่แหละเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ เป็นลักษณะที่สำคัญมาก ๆ ของตัวละครแฟรงกี้ ซึ่งก็ไปตรงกับความต้องการของผู้ชม หวังว่าผู้ชมจะชอบเหมือนที่ผมชอบในหนังจอห์น วิค
คุณมีฉากบู๊ในดวงใจหรือไม่
มีฉากเปิดตอนที่แฟรงกี้ขึ้นบันได เป็นงานยากนะ เหมือนกับต้องฝึกบินด้วยเลย สิ่งที่เราเรียนในยิมเยี่ยมยอดมาก พอคุณไปเข้าฉาก บางอย่างมันไม่เหมือนกับตอนที่เราซ้อมกันอยู่ในยิมที่มีพื้นที่กว้าง เพราะบันไดมันแคบ คุณจึงต้องทำให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมคิดว่างานออกมาดี และหวังว่าผู้ชมจะชอบและสนุก
แรงบันดาลใจของแฟรงกี้ในซีรีส์คืออะไร
พอเขาหาทางหายตัวไป หาเงินและทำลายคนที่ทำให้ชีวิตเขาพังทลายได้ ก็เหมือนได้ขนแกะทองคำ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างผิดหมด จึงมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามคืนให้เราได้ดู ผมคิดว่าท้ายสุดแล้วเป็นวิธีหาสันติสุขของแฟรงกี้แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีความสุข เขาคิดว่าเขาหาสิ่งนั้นสำหรับวินสตันได้ จึงคิดว่าถึงเวลาหาให่ตัวเองด้วย
แฟรงกี้รู้สึกอย่างไรกับวินสตันในช่วงต้นซีรีส์
พอทั้งคู่กลับมาเจอกันอีกครั้ง แฟรงกี้รู้สึกว้าวุ่นใจในตอนแรก เหตุผลที่เขาทำทุกอย่างก็เพื่อปกป้องวินสตัน และกันตัวเขาให้ห่างโลกที่เขากลับเข้าไป ฉากที่ทั้งคู่กลับมาพบกันจึงเป็นฉากที่มีความหมาย เต็มไปด้วยความไม่วางใจกัน พยายามทำความเข้าใจว่าวินสตันมาอยู่ที่นั่นได้ยังไง เพราะไม่เหตุอะไรที่จะต้องมาที่นั่น หลังจากนั้น ก็จะเป็นการเดินทางของทั้งสองคนต้องหาทางเข้าใจซึ่งกันและกัน ว่ายังเป็นพี่น้องกันอยู่หรือไม่ ยังไว้ใจกันอยู่หรือไม่
แล้วคุณสร้างความสัมพันธ์พี่น้องกับโคลิน วูดเดลอย่างไร
ดีเยี่ยมเลยครับ ตั้งวันแรกที่เจอโคลิน เราทำงานทันทีเลย เราต้องทำให้เสร็จหลายอย่างภายในเวลาอันน้อยนิด เช่น หาสมดุลในความสัมพันธ์ของพี่น้อง พี่น้องรู้จักกัน อะไรเป็นตัวกระตุ้น อะไรไม่เป็น แต่ไม่แสดออกมาเด่นชัด เราทั้งสองคู่จึงสนุกทั้งในและนอกฉาก เราพยายามหาทางให้ออกมาดี เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นเสาหลัก เก่ง และทำงานกับเขาก็สนุก เราทำงานเหมือนกัน ผมดีใจมากที่ทำงานร่วมกับเขา
แล้วความสัมพันธ์ระหว่างแฟรงกี้กับเยนล่ะ
เป็นคู่ที่น่ารักมาก เป็นคู่ที่ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์มากที่สึดเท่าที่ผมเคยอ่านหรือรับบท ทั้งคู่มีที่มาต่างกัน เข้าใจผิดซึ่งกันและกัน แต่ก็พยายามหาสถานที่ที่เป็นของพวกเขาเอง หลังจากที่หากันเจอแล้ว ก็ต้องช่วยกันก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดเรื่องวัฒนธรรม หรือภาษา แต่ทั้งคู่ก็มีภาษาเดียวกันอยู่หนึ่งภาษา นั่นคือสงคราม กลายเป็นว่านี่คือสิ่งที่เชื่อมคนทั้งสองคนนี้ และทั้งคู่ก็มีฝีมือเยี่ยมยอดในแบบของตนเอง แม้ว่าส่วนสตัวแล้ว ทั้งคู่เหมือนเป็นคนที่ทุกข์ทรมาน เวลาที่มีความสุขที่สุดก็คือเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน
ดังนั้น เมื่อมีอะไรก็ตามมาขวางทาง แยกพวกเขาจากกัน คุณจะเห็นสัญชาตญาณดิบ คือทั้งคู่จะทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องกันและกัน ไม่ใช่ฌพาะตัวเอง คุณจะเห็นเลยว่าลึก ๆ แล้วพวกเขาเป็นยังไง แต่ละคนทำให้อีกคนสงบลงได้ เมื่ออยู่ด้วยกัน แต่เมื่อต้องพรากจากกัน ก็ราวกับว่าโลกแตกออกเป็นสองส่วน
แล้วเรื่องการสร้างสัมพันธ์กับนุงห์ เคทล่ะ
เคท เป็นคนเก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานร่วมมา ผมคิดว่าไม่เคยได้รับปรสบการณ์ที่ท้าทายเหลือเชื่อแบบนี้มาก่อน มันมีความสัมพันธ์แฟรงกี้-เยน จริง ๆ แรก ๆ ก็มีข้อจำกัดด้านภาษาบ้าง แต่เราก็หาวิธีสื่อสาร จนกลายเป็นภาษาของเราเอง เคทเป็นคน
อดทน ใจเย็นมาก โดยเฉพาะกับผมที่พยายามเรียนภาษาเวียดนามภายในเวลาอันจำกัด ดังนั้น เราเลยใช้ความสัมพันธ์แบบนี้กับตัวละครแฟรงกี้และเยน นั่นคือพยายามสอนให้แฟรงกี้พูดภาษาเวียดนาม แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางสงคราม ผมคิดว่าเขาก็ต้องการเวลาหรือทำทุกอย่างเพื่อพยายามสื่อสารกับคู่หูของเขา
และเยนก็เป็นคนกวน ๆ เหมือนกัน เราเห็นได้ตลอดเรื่อง เธอรู้จักจัดการตัวเอง ไม่หยุดที่จะทำให้คุณประหลาดใจมื่อดูซีรีส์ ผมคิดว่าโชคดีสุด ๆ ที่ได้ทำงานกับคนทั้งสองคนในซีรีส์นี้ ผมมีความสุขและตื่นเต้นมากครับ
อูแบร์ ปวง-ดู ฌูร์
“ไมล์ส”
คุณคิดว่าสไตล์ของซีรีส์เป็นยังไง
ผมว่ามีหลายสไตลส์ผสมผสานกัน ซึ่งออกมายอดเยี่ยม มีสุดยอดฉากต่อสู้ แต่ก็สอดแทรกความตลกเข้าไปด้วย ผมชอบมาก แล้วก็มีโลกใต้ดินพิศวง ทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติด แล้วบอกว่า “อะไรกันเนี่ยะ” มีปริศนา ผมชอบมากครับ
คุณคิดยังไงที่เข้ามาร่วมทีมในโปรเจคใหญ่แบบนี้
ผมผ่านประสบการณ์ละครเวทีมาเยอะ แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังเป็นมือใหม่หน้าจอระดับนี้ นี่จึงเป็นโปรเจคใหญ่ ยักษ์ อลังการและสนุกสำหรับผม และยังเป็นความท้าทายใหม่เพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์ฉากต่อสู้มากก่อน ผมต้องพูดภาษาเวียดนามด้วยในซีรีส์ เลยเป็นงานใหญ่แต่ก็น่าสนใจมาก เพราะผมชอบความท้าทายเวลาต้องทำงานในโปรเจคหนึ่ง
การฝึกการต่อสู้เป็นยังไงบ้าง
ง่ายสุด ๆ ผมพูดเล่นนะ [หัวเราะ] แค่อยากเห็นหน้าคุณและอยากได้ยิน “อะไรนะ” เฉย ๆ แต่จริง ๆ ไม่ง่ายเลย ก่อนเซ็นสัญญามาทำงาน อัลเบิร์ต ฮิวช์ เตือนผมแล้วล่ะ บอกว่า “รู้เปล่า ผมไปคุยกับผู้ประสานงานการต่อสู้ เขาบอกว่าจะต้องฝึกพวกคุณอย่างหนัก เมื่อมาถึงที่นี่กันแล้ว” แล้วผมก็แบบ “ดีเลย ผมพร้อม ผมทำได้” แต่พอฝึกวันแรก เหงื่อท่วมเลย พวกเขาก็พยายามผลักดันเรา เป็นเรื่องท้าทายสุด ๆ
คุณอธิบายตัวละครไมล์สว่าอย่างไร
ไมล์สเป็นปรมาจารย์ด้านอาวุธ เพราะเขาใช้เวลาอยู่มนสงครามมานาน ซีรีส์นี้เกิดขึ้นช่วงหลังสงครามเวียดนามสองสามปี ในช่วงสงคราม ไมล์สสั่งสมทักษะการใช้อาวุธ เขาเข้าใจอาวุธ จริง ๆ มันมากกว่าความเข้าใจที่คนอื่นเข้าใจ เขาจึงล้ำหน้ามาก เขารู้จักพลิกแพลงอาวุธ ผมว่าเป็นเรื่องสนุกที่ได้ฟสวมบทตัวละครแบบนี้ เพราะเขารักและสนใจอาวุธจริง ๆ ซึ่งแตกต่างจากผมและการศึกษาของผม
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้สนุกในการสวมบทบาทปรมาจารย์ด้านอาวุธก็คือ ตอนเด็ก ๆ ผมก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอาวุธ ผมชอบเล่นจินตนาการ จินตนาการว่ายิงปืนเล่นกับเพื่อน ฟังดูยากจน แต่ก็ต้องทำแบบนั้นเพราะเป็นจินตนาการที่ผมมีตอนเด็ก ส่วนหนึ่งในใจ
ก็คิดถึงเด็กคนนั้น ตอนนั้นสนุกมาก มีโลกที่จินตนาการเอง เหมือนได้สร้างเองด้วยข้าวของต่าง ๆ แล้วตอนนี้ก็ได้ฝึกต่อสู้จริง ๆ มันดูเหมือนป่าเถื่อนนิดหน่อย
ช่วยบอกความสัมพันธ์ระหว่างลูกับไมล์ส และระหว่างไมล์สกับเลมมีหน่อย
ลูกับไมล์สเป็นพี่น้องกัน เติบโตในโรงฝึกด้วยกัน บนพนังมีรูปเราสองคนตอนเป็นเด็ก เราสองคนสายดำเลยนะ พ่อเป็นเจ้าของโรงฝึกนี้ ดูแลจนกระทั่งเสียชีวิต ผมไปสงครามและกลับมาด้วยเหตุผลหลายอย่าง จนผมไม่มีกะจิตกะใจจะดูแลต่อ ลูจึงลงทุนลงแรงดูแล จึงทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเราสองคน เลยมีระยะห่างระหว่างเราสองคน ส่วนไมล์สกับเลมมี เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สงครามเวียดนาม ผูกพันกันมาก พอกลับมาจากสงคราม เลมมีและผมจึงร่วมกันเป็นทีมและดัดแปลงอาวุธด้วยกัน เราทำแบบนี้ที่ชั้นใต้ดิน
แล้วความสัมพันธ์ระหว่างไมล์สกับแฟรงกี้ล่ะ
คือว่า ความสัมพันธ์จองไมล์สกับเลมมีลึกซึ้งมากครับ หมายความว่า เขาผ่านสงครามมาด้วยกัน ต่างคนต่างช่วยชีวิตกันหลายต่อหลายครั้ง
นุงห์ เคท
“เยน”
ช่วยแนะนำตัวละครคุณหน่อย
ฉันรับบทเยน ซึ่งเคยเป็นพวกต่อต้านอเมริกาสุดโต่ง จนกระทั่งไปตกหลุมรักกับทหารอเมริกันคนหนึ่ง
คุณว่าความสัมพันธ์ระหว่างแฟรงกี้กับเยนเป็นยังไง
ความสัมพันธ์เป็นเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เลยลึกซึ้งซาบซึ้ง
อะไรคือแรงบันดาลใจของเยน
ความรักและการแก้แค้นค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเธอรู้ว่าเธอสามารถกำจัดคนที่ทำให้เธอเจ็บปวดได้ มันทำให้เธอมีพลังจะก้าวต่อไป
เจสสิกา อัลเลน “ลู”
คุณอธิบายจักรวาลจอห์น วิคว่ายังไง
หนังแอคชันมีโฟกัสต่างกันไป หนังในจักรวาลจอห์น วิค จะเด่นเรื่องฉากบู๊ ฉากดวลปืนหรือฉากต่อสู้คือตื่นตาตื่นใจมาก เต็มไปด้วยแอคชัน อารมณ์ก็ออกมาดูดี แหวกแนว มีสไตล์โดดเด่น ชวนให้ติดตาม เพราะใส่ใจรายละเอียดมาก ฉันไม่เคยเห็นซีรีส์แอคชันแบบนี้
คุณมาสวมบทบาทลูได้ยังไง
เมื่ออ่านบทลูครั้งแรก ฉันตะลึงเลยล่ะค่ะ ผู้หญิงคนนี้คือทุกสิ่งที่ฉันอยากจะสวมบทบาท ฉันไม่เคยเล่นหนังแอคชัน นี่คือเหตุผลที่ฉันเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ เพราะอยากจะเข้าร่วมแสดงหนังแอคชัน อยากเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแอคชัน ลูเป็นคนไม่เกรงกลัวอะไร ทรงพลังมาก และยังเป็นคนที่มีหลายมุมหลายชั้น เป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตในยุค 70 เธอพยายามจะเป็นคนดี ทว่ารอบล้อมไปด้วยเรื่องราวดรามาและอาชญากร พอฉันได้อ่านบท บอกเลยว่า “โอ้โห เหลือเชื่อจริง ๆ”
ผู้ชมจะได้เห็นเรื่องน่าตื่นเต้นอะไรบ้าง
ฉันตื่นเต้นแทนแฟน ๆ และผู้ชมที่จะได้ดูหรือที่เคยดูหนังในจักรวาลจอห์น วิค เพราะว่าจะมีส่วนที่คล้ายกัน แต่ก็จะมีคนใหม่ ๆ ตัวละครใหม่ ๆ มีตัวละครเดิมด้วย แฟน ๆ จะได้รำลึกความหลังและก็จะได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน
นิวยอร์กในยุค 70 ทำให้ซีรีส์มีลักษณะอย่างไร
เป็นโลกที่น่าสนใจนะคะ โดนเฉพาะสำหรับผู้หญิงผิวสี เพราะในช่วงปีทศวรรษที่ 1970 เรากำลังหาเสียง หาอำนาจ หาว่าเราเป็นใคร สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อลู เธอภูมิใจในสิ่งที่เธอเป็น เธอยืนหยัดในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้จัดการโรงฝึก อยู่ท่ามกลางผู้ชาย แต่ก็ยังมีอำนาจ ฉันต้องทำงานมากเมื่อมารับบทลู เพื่อทำให้ผู้ชมเห็นว่าเธอเป็นหญิงแกร่งในยุค 70 แต่ก็มีหลายชั้น เธอยังเป็นผู้หญิงที่มีความรัก เธอเป็นผลผลิตจากสภาพแวดล้อมของเธอและสถานการณ์ของเธอกับพ่อ
แล้วเรื่องภาพของซีรีส์ล่ะ
การกำกับภาพเรื่อง The Continental ยอดเยี่ยม ภาพออกมาสวยงามมาก สะท้อนภาพยุค 70 ได้ดี เครื่องแต่งกายก็เยี่ยมยอด การแต่งผม เสื้อผ้า คือไม่ได้เป็นภาพล้อเลียนยุค 70 เลย มันดูแหวกแนวและมีสไตล์ เจ๋งสุด ๆ เลยค่ะ
ทำงานกับทีมสตันท์เป็นอย่างไรบ้าง
โอ้ เข้มข้นมากค่ะ แต่ก็สนุกและเปิดโลกมาก นี่คือสิ่งที่ฉันอยากทำ ครูฝึกเราก็ดีที่สุดในโลก เป็นทีมเดียวกับหนัง จึงช่วยให้เรามีไสตล์เดียวกับหนัง ฉันไม่เคยฝึกฉากโลดโผนก่อนจะเดินเข้าไปในโรงยิม และครูฝึกบอกว่าฉันคงได้สายน้ำเงินถ้าไปทดสอบ จริง ๆ อยากทำนะคะ จำได้ว่า วันนหนึ่งเดินเข้าไปในโรงยิมแล้วเกิดพลาดไปทำให้คนหนึ่งเลือดออก ฉันร้องไห้ตลอดระยะเวลาสามชั่วโมงที่ฝึกเลยค่ะ
แต่มันก็จะมีวันดีกับวันไม่ดีนะ แต่ก็ดีที่ได้เรียนรู้วิธีที่ถูกต้อง เพราะลูเป็นกูรูเรื่องคาราเต้ เป็นเจ้าของโรงฝึก ครูฝึกในทีมจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคาราเต้ ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการแสดงบทบู๊ในฉาก อีกด้านหนึ่งเราก็มีทีมสตันท์ที่ดีที่สุดในโลก ฉันจึงมีครูฝึกสองคนแตกต่างกัน แต่ฉันคิดว่า สิ่งสำคัญก็คือได้โชว์คาราเต้ในซีรีส์ และต้องทำให้ถูกต้อง จักรวาลจอห์น วิคเป็นแบบนี้ กล่าวคือการต้อสู้ที่ถูกต้อง ไม่ใช่สำหรับบนจอเท่านั้น
ช่วยบอกเราเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลูกับความรุนแรง
ลูไม่ชอบปืน ไม่อยากใช้ปืน แต่เธออาศัยอยู่ในโรงฝึกที่มีห้องปืนอยู่ใต้ดิน จึงหนีไม่พ้น แต่ลูรักพี่ชายและครอบครัวมาก จึงต้องยอมรับ แต่ก็อยู่ให้ห่างอาวุธ ฉันคิดว่าเธอคงลำบากใจ เราเห็นได้ตลอดทั้งซีรีส์เลยว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบเธอจริง ๆ
ลูใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ในโรงฝึก มีรูปเธอตอนอายุ 5 ขวบ กำลังเตะอยู่ เธอจึงได้รับการฝึกฝนจากพ่อ ผู้ที่เคยต่อสู้กับคนที่เก่งหลายคน และเป็นเจ้าของโรงฝึกในย่านไชนาทาวน์
ก็ถือว่าลูประสบความสำเร็จ เธอเติบโตในสถานที่สวยงามนี้ มีสไตล์คาราเต่ของตัวเอง แต่ก็มาจากนิวยอร์ก เธอเก่งคาราเต้ แต่เธอก็มาจากท้องถนนด้วย เธอมีการเคลื่อนไหวของคาราเต้แบบดั้งเดิม แต่ก็ผสมผสานอย่างอื่นลงไปด้วย มีฉากการต่อสู้ที่ เอล กามีโน (El Camino) เธอต้องสู้กับคนห้าหกคน เธอดูมั่นใจมาก ไม่รู้กลัวเลย พร้อมอยู่เสวมอ และชอบความท้าทาย
ช่วยเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างลูกับไมล์ส พี่ชายหน่อย
ไมล์สทำธุรกิจที่ลูต่อต้านมากที่สุดภายในบ้านของตัวเอง จึงไม่ค่อยลงรอยกัน ไมล์สเองก็พร่ำบอกว่า “จะทำเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จะไม่ทำอีกแล้ว” แต่ก็ยังยังเข้าไปพัวพันอยู่กับเรื่องอาวุธ เลมมีก็ร่วมด้วย ทำเหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าลูกับเลมมีมีความผูกพันกันมากกว่า คุยกันได้ทุกเรื่อง เราจะเห็นจากทุก ๆ ตอนได้เลยว่าลูกับเลมมีเหมือนมองตาก็รู้ใจ ฉันคิดว่ามากกว่าลูกับพี่ชายของเธอ
โรงฝึกมีความหมายต่อลูอย่างไร
พ่อของลูเป็นคนเปิดกิจการโรงฝึก ฉันคิดว่ามันเป็นภาพสะท้อนของตัวพ่อ ลูสนิทกับพ่อและยังรู้สึกเศร้าที่ขาดพ่อไป เพราะสภาพแวดล้อมด้วย เราจะเห็นจากหน้าลูเลยว่าเธอรู้สึกขาดอะไรไปและคิดถึงพ่อ
พ่อเธอสู้ชีวิต ไต่เต้าขึ้นไป จนสามารถเปิดโรงฝึกในไชนาทาวน์ได้ ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก โรงฝึกก็ใหญ่และสวยงาม สำหรับลูแล้ว โรงฝึกเป็นศูนย์กลางของชีวิต เป็นความภูมิใจและความสุขของเธอ ฉันคิดว่าที่นี่ก็เคยเป็นศูนย์กลางชีวิตของไมล์สด้วย แต่ก็เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเขามุ่งไปที่เรื่องการค้าอาวุธมากกว่า
โรงยิมคือบ้านของลู เรื่องราวของครอบครัวเบอร์ตันและโรงฝึกในไชนาทาวน์จะซับซ้อน เราเป็นครอบครัวคนผิวดำ ครอบครัวคนสีผิวในไชนาทาวน์ จึงมีความตึงเครียดในไชนาทาวน์เสมอ
อาโยมิเด อาเดกุน
“ชารอน”
คุณบรรยายซีรีส์นี้ยังไง
ผมคงจะบอกว่าเป็นซีรีส์ที่อัดแน่นไปด้วยแอคชัน
คุณเข้ามารับบทชารอนได้อย่างไร
ผมชอบหนังแอคชัน ผมมักจะหาทางมาในทางนี้ ผมมีมีเชื้อสายไนจีเรีย พ่อแม่อพยพจากไนจีเรียไปยังสหราชอาณาจักรช่วงทศวรรษ 1980 หลังจากที่ผมอ่านเรื่องย่อของตัวละครชารอนแล้ว ผมรู้เลยว่า นี่แหละเรื่องที่ผมอยากจะบอกเล่า
คุณได้แรงบันดาลใจมากจากแลนซ์ เรดดิกในภาพยนตร์หรือเปล่า
การแสดงของแลนซ์ เรดดิก เป็นแรงบันดาลใจผมจริง ๆ เขาเป็นยอดคนและยอดนักแสดง ผมพยายามจะมองในสองแง่มุม ผมมองว่าจะเป็นแรงกดดันตัวผมเอง หรือเชื่อว่าการตีความตัวละครของผมจะเป็นไปตามภาพตัวละครชารอนที่รับบทโดยแลนซ์ เรดดิก
คุณคิดว่า ทำไมชารอนจึงเลือกทำงานในสถานที่อย่างโรงแรม The Continental
ชารอนเติบโตที่ไนจีเรีย อยู่กับพ่อ พื้นเพไม่ใช่คนร่ำรวยเลย แต่เขามีภูมิหลังวัฒนธรรมไนจีเรียอันร่ำรวย นั่นคือความเคารพและความซื่อสัตย์ เขาเลือกเข้าร่วมองค์กรอาชญกรรมซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับชีวิตเขา คือเขาหาความมั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ผมว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในใจเขามาโดยตลอด เขาต้องการพาตัวพ่อมาที่สหรัฐอเมริกา เพราะต้องการให้พ่อมีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้น เหมือนอย่างที่พ่อทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น ผมจึงคิดว่า นี่แหละคือเหตุผล
คุณคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างชารอนกับคอร์แมคเป็นยังไง
เขาชื่นชมคอร์แมค เพราะคอรืเป็นคนทำให้เขามีชีวิตดีหว่าที่เคยมี จึงเป็นทั้งความรักและความชื่นชม
วันแรกที่มาเข้าฉาก The Continental เป็นอย่างไรบ้าง
วันแรกผมมีฉากที่ต้องถ่านระยะใกล้ อัลเบิร์ต ฮิวช์สั่งหยุดทุกแอคชันเลย แล้วบอกทุกคนว่า “ทุกคน นี่เป็นฉากถ่ายระยะใกล้ครั้งแรกของอาโย” ทุกคนปรบมือส่งเสียงเชียร์ ผมแบบ “โอ้ ผมไม่รู้นี่จะช่วยผมได้มากน้อยแค่ไหน” แต่เป็นช่วงเวลาที่ผมจะไม่มีวันลืม
อาดัม ชาปิโร
“เลมมี”
คุณบรรยาย The Continental ยังไง
มันสุดห่าม สุดแหวกแนวที่สุด คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยไปดูหนังแบบนี้มาก่อน คุณมองภาพออกใช่มั้ย ผู้ชมไปซื้อหนังดูและกลับ แต่นี่ทางโทรทัศน์ ฉากบู๊แบบนี้ในซีรีส์เหรอ สุดยอดจริง ๆ เพราะผมรู้สึกว่าฉากต้อสู้ในซีรีส์ชอบมีคนเอาไปล้อเลียน แต่แล้วนี่คือฉากต่อสู้สไตล์จอห์น วิก
คุณคิดว่าตัวละครเลมมีเป็นอย่างไร
เลมมีเป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างแอคชันกับตลก จึงเป็นความท้าทายของผม บางครั้งผมคิดว่าเลมมีเป็นหมา หมาตัวเล็กน่ารัก ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายมาก เลมมีกลับมาจากสงครามเวียดนามกับไมล์ส ไมล์สทำทุกอย่างเพื่อเลมมี พอทั้งคู่กลับมาจากสงคราม ไม่มีอะไรให้ทำ ไม่มีงาน ไม่มีโอกาสอะไรเลย ผู้คนไม่ได้มองทั้งสองคนนี้เหมือนฮีโรจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เลมมีต้องผ่านความลำบากเยอะ สูญเสียเยอะ สูญเสียภรรยา สูญเสียบ้าน แต่ยังโชคดีบ้าง ที่ไมลส์และลูช่วยเหลือได้
ทำงานกับสุดยอดทีมสตันท์เป็นยังไงบ้าง
ทีมที่มาฝึกสอนเราคือที่สุดของที่สุด วันแรกที่ผมไปฝึก เขาถามผมว่า “คุณมีประสบการณ์ใช้ปืนหรือศิลปะการต้อสู้หรือเปล่า” ผมบอกว่า “ปืนเหรอ ล่าสุดก็คือเล่นเกม Duck Hunt ในนินเทนโด ส่วนศิลปะการต่อสู้ ก็แค่เคยดู Cobra Kai ทาง Netflix” ประสบการณ์ผมมีแค่นั้น ผมเหมือนเป็นดินเหนียว ดังนั้นปั้นผมตามใจชอบได้เลย
และผมก็อยากเรียนวิธีเปลี่ยนกระสุนให้รวดเร็วเหมือนจอห์น วิก ในซีรีส์ เลมมีเปลี่ยนกระสุนไม่เร็วเท่าไหร่ ผมคงจะดีถ้าผมรู้วิธีทำให้เร็ว ตอนผมดูคีอานู เราจะเห็นเลยว่าเขาเปลี่ยนกระสุนเร็วมาก อยากให้เป็นแบบนั้น ผมอยากได้แบบคีอานู
อะไรทำให้ผู้ชมซีรีส์นี้ตื่นเต้นมากที่สุด
ผมคิดว่าแฟน ๆ หนังในจักนวาลจอห์น วิก จะตื่นเต้นเมื่อได้ดูภูมิหลังของวินสตัน ทุกครั้งที่เอียน แมคเชนทำอะไรก็ตาม เขาต้องสวมบทบาทอย่างดีที่สุด ใช่มั้ยครับ ในเมืองอาชญกรรมใต้ติดสุดบ้าระห่ำนี้ ไม่มีใครปฏิเสธวินสตัน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เขาได้รับความไว้วางใจได้ยังไง แล้วกลายเป็นคนคุ้มกฎเหล่านี้ในโลกนี้ได้ยังไง ผมตื่นเต้นแทนแฟน ๆ จักรวาลจอห์น วิก ที่จะได้ดิ่งลึกลงไปในตัวละครอีกตัวหนึ่ง เพราะมันคือโลกที่เต็มไปด้วยสีสัน ผมอยากให้ทุกคนได้ลงลึกไปพร้อมกับตัวละครทุกตัวในจักรวาลจอห์น วิก ผมจึงคิดว่า เริ่มจากตัวละครตัวอื่นนอกไปวินสตันก็จะดีกว่าครับ
เรย์ แมคคินนอน
“เจงกินส์”
ศีลธรรมในจักรวาลจอห์น วิก แตกต่างออกไปอย่างไร
ในหนังหรือเรื่องราวปกติ ก็จะมีความดีและความเลว แต่ในที่นี้คือ คนเลวที่ดีและคนเลวที่เลวจริง ๆ แล้วเราก็เป็นคนเลวที่ดี กลุ่มคนในซีรีส์เป็นอาชญากร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กฎ ส่วนหนึ่งของซีรีส์เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือการเอากฎกลับมาใช้ใหม่ จะได้ไม่เกิดความโกลาหลและการเสียเกียรติ
ฉากนิวยอร์กยุค 70 ทำให้ซีรีส์เป็นยังไง
ซีรีส์ดำเนินไปตามช่วงเวลาที่วุ่นวายทางวัฒนธรรม ก็คือทศวรรษที่ 60 ถึงต้น 70 มีการวางระเบิด สถานการณ์วุ่นวายต่าง ๆ และจากที่ผมเข้าใจ นิวยอร์กเป็นทมิฬและอันตราย ในเรื่องราวของเรา นิวยอร์กไม่ใช่เป็นเพียงฉากหลัง แต่เป็นตัวละครตัวหนึ่ง เมืองในช่วงเวลานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อมุมมองจักรวาลของตัวละครในซีรีส์ ทุกคนลงเรือลำเดียวกัน ไม่มีใครไม่สกปรก
เครื่องแต่งกายช่วยกำหนดโทนของยุคนั้นอย่างไร
คุณเข้าฉาก คุณจะเห็นหนุ่มสาวที่แต่งตัวกันอย่างกับหลุดออกมาจากยุค 70 ผมไม่เคยคิดเลยว่ายุค 70 จะเจ๋งแบบนี้ แต่ตัดอคติออกไป แล้วมองดูเสื้อผ้าตอนนี้ มันเจ๋งสุด ๆ ผมไม่คิดว่าจะกลับมาชอบเสื้อผ้ายุค 70 อีกครั้ง มีหลายชุดที่สะดุดตา ซึ่งผมเห็นวัยรุ่นสวยหล่อแต่งกันแล้ว สำหรับผมเอง ผมจะขอให้ได้ใส่แค่เสื้อคอเต่าทุกฉากที่ผมเล่น
คุณคิดว่าทีมสตันท์เป็นอย่างไร
โชคดีของผม ผมไม่ต้องมีฉากต่อสู้ยาก ๆ สิ่งที่ผมทำก็แค่ถอดประกอบส่วนต่าง ๆ ของปืนไรเฟิลซุ่มยิงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โหลดกระสุน แล้วก็ทำเหมือนที่นักแม่นปืนสไนเปอร์ทำกันปกติ ผมทำงานกับปืนแบบนี้และกับนักแม่นปืนระดับแชมป์โลก พวกเขาตื่นเต้นกับสิ่งที่ต้องการ สำหรับผมคือเป็นเรื่องท้าทายมาก ส่วนที่ต้องพูดไม่มีปัญหาเลย ผมฝึกฝน แต่ [หัวเราะ] ประกอบปืน และทำเหมือนว่าคุณทำสิ่งนี้มาเป็นพันพันครั้งแล้ว ต้องใช้เวลาฝึกฝน
คุณทำสมาธิแบบนักแม่นปืนสไนเปอร์ที่ผ่านการฝึกฝนเข้มข้นได้ยังไง
ในโลกนี้มีนักฆ่าจำนวนมาก คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่นักฆ่าทุกคนจะเป็นคนโรคจิต ดังนั้น ถ้าคุณไม่ใช่คนโรคจิต คุณก็เป็นนักฆ่า คุณต้องสามารถแยกให้ออก คุณต้องจับทุกอย่างใส่กล่อง นี่เป็นสิ่งที่คนที่ต้องไปสงครามทำกัน มีนักแม่นปืนจริง ๆ แล้วพวกเขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับมันให้ได้ ผมคิดว่าเจงกินส์เป็นคนที่จับทุกอย่างใส่กล่องนะ
เคที แมคแกรธ
“ตุลาการ”
คุณบรรยายเรื่องราว The Continental ยังไง
มันเป็นเรื่องราวการแก้แค้น โดยผลที่ได้คือความเจ็บปวด เห็นได้ตลอดซีรีส์และโลกในซีรีส์ ผมคิดว่าเป็นเหมือนพินัยกรรมของคนเขียนบทและคีอานู รีฟส์ ที่สร้างตัวละครในโลกที่ส่งผลกระทบไปถึงทุกผู้ทุกคน
ฉากและยุคทำให้ซีรีส์ออกมาเป็นยังไง
มีอะไรที่เหมือนจับต้องได้ รับรู้ได้ เป็นที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญและความมืด แต่ก็ลงลึกไปอารมณ์ที่ส่งเสียงสะท้อนไปทั่ว เป็นโลกที่ดูเหมือนจริงมาก แต่ก็แยกออกจากโลกจริงด้วยเหมือนกัน ผมรู้ว่าอาจฟังดูแปลก ๆ แต่ถ้าคุณดูหนังจอห์น วิก ก้จะทำให้เข้าใจตัวละครง่ายขึ้น ตัวละครดูเหมือนจริง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่รู้สึกจริงในโลกที่คุณจะเอาตัวคุณเองไปเปรียบเทียบได้ แต่คุณก็หลีกหนีไปพร้อมกับพวกเขา ผมคิดว่า The Continental และจอห์น วิก ออกมาดีก็เพราะมันรู้สึกว่าเป็นจริง แต่ก็รู้สึกมหัศจรรย์ และแยกคุณออกได้ ดังนั้น คุณยังสามารถปิดมันและสนุกกับมันได้
คุณมีความเชื่อมโยงกับตัวละครตุลาการหรือไม่ หลังจากอ่านบทแล้ว
ฉันรู้เลยค่ะว่าเธอเป็นใคร ฉันอ่านทุกบรรทัดและบอกกับตัวเองว่า “เราติดเทปไว้เลย ฉันได้ละ” ฉันกับแม่ติดเทปไว้ที่มุมห้องในไอร์แลนด์ ก่อนจะเดินทางไกล ฉันไม่วิตกอะไรเลย เพราะฉันรู้เธอคือใคร และต้องเล่นยังไง และฉันจะต้องเล่นยังไง ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับภาพที่ฉันวาดไว้หรือเปล่า แต่ฉันรู้ว่าฉันต้องการให้เธอเป็นยังไง ฉันอยากให้เธอแข็งแกร่ง ควบคุมตัวเองได้ ทำตัวสบาย และน่าเกรงขาม และก็ทุ่มเท คุณอยากรู้จักเธอมากขึ้น แต่ก็กลัวว่าจะรู้มากขึ้น ทุกอย่างที่ว่าอยู่ในหน้าเดียวนั่น ฝีมือของเกร็กและเคิร์ก และฉันก็เห็นด้วยกับพวกเขา
ฉากและยุคทำให้ตัวละครคุณเป็นอย่างไร
นิวยอร์กในช่วงทศวรรษที่ 1970 ไม่ใช่อย่างที่ฉันรู้จักตอนนี้ Big Apple ตอนนี้สว่างกว่า มีชีวิตชีวากว่า เป็นเมืองที่เหมือนกับว่ากำลังล่มสลาย มีอาชญากรรมทั่วทุกหนแห่ง ฉากในซีรีส์ จึงสะท้อนอาชญากรรมและด้านมืดของเมือง เห็นแล้วคุณก็จะรู้เลยว่าเป็นเมืองที่อันตราย และโรงแรม The Continental ก็เป็นสถานที่อันตราย จึงไปด้วยกันได้ดีเลยค่ะ
รู้สึกอย่างไรบ้างที่ต้องสวมหน้ากากตุลาการไปเกือบทั้งเรื่อง
ถึงตอนนี้คุณคิดว่าเราน่าจะชินกับการสวมหน้ากากแล้ว คุณว่ายังงั้น แต่ไม่เลย ฉันชินกับการสวมหน้ากาก แต่ไม่ชินกับหน้ากากเซรามิกที่ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย หน้ากากยาวมาปิดคางเลย ฉันจึงไม่สามารถเปิดปากได้ เลยต้องพูดโดยที่ไม่เปิดปาก ต้องออกเสียงชัดเจนทุกตัวอักษรเพื่อให้ทุกคนได้ยิน ต้องตะโกนผ่านหน้ากากที่ทำให้เหมือนเป็นตุ๊กตาเคลือบ
มาร์ค มูซาชิ และ มารีนา มาเซปา
“แฮนเซล” และ “เกรเทล”
เป็นยังไงบ้างมารับบทนี้
มารีนา มาเซปา: ฉันไม่เคยได้รับบทฆาตกรใจทรามมาก่อน แต่ก็เฝ้ารอมาตลอด ฉันดีใจมากที่ได้รับโอกาสนี้ ฉันรับบทนี้ และก็มีพี่ชายด้วย
คุณรู้ได้ยังไงว่ามีบทนี้ และมารับบทนี้ได้ยังไง
มาร์ค มูซาชิ: ลาร์เนล ผู้ประสานงานสตันท์และผู้กำกับยูนิตที่สอง โพสต์ข้อความว่า กำลังหานักแสดงแบบเฉพาะเจาะจง และผมก็กำลังแสดงบทสตันท์ให้เด็กที่เท็กซัสตอนนั้น ผมจึงไม่ได้ไว้เคราเหมือนที่เคย ผมจึงว่า “ผมน่าจะเหมาะ” เลยสมัครมาคัดเลือก มารู้ตัวอีกทีตอนไปถ่ายทำที่บูดาเปสต์ ผมบอกกับตัวเองว่า “ไม่อยากจะเชื่อเลย” ผมดีใจมากที่ได้บทนี้ สุดยอดจริงไปเลย
ตัวละครของคุณทั้งสองคล้ายกันหรือแตกต่างกันหรือไม่
มารีนา มาเซปา: เราคล้ายกัน แต่ในขฯเดียวกันก็ต่างกันด้วย ถ้าคุณมองดี ๆ คุณจะเห็นความแตกต่างอยู่ทุกที่เลย ทั้งในการเคลื่อนไหว บุคลิกลักษณะ อารมณ์และทัศนคติ
มาร์ค มูซาชิ: เราต้องพัฒนาตัวละคร มีพัฒนาการไปในทางที่เราทั้งสองคนมีบุคลิกต่างกัน แต่ก็ทำอะไรสอดประสานกัน ทำงานเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน
มารีนา ประสบการณ์การทำงานของคุณช่วยคุณรับบทนี้อย่างไร
มารีนา มาเซปา: ฉันมีประสบการณ์การเต้นและการดัดตัว ได้เรียนแอคชัน ศิลปะการต่อสู้มาสามสี่ปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสจะได้ใช้สิ่งที่เรียนมา สำหรับฉันแล้ว น่าตื่นเต้นมาก และต้องขอขอบคุณทีมสตันท์ที่มาฝึกซ้อมให้ ฉันทำงานกับสุดยอดฝีมือในอุตสาหกรรมนี้ รู้สึกประทับใจมาก ลาร์เนล ผู้ประสานงานสตันท์ และไมเคิลและโรเจอร์ ผู้ประสานงานการต่อสู้ เป็นคนยอดเยี่ยมมืออาชีพ พวกเขามองเห็นเอกลักษณ์ของคุณ แล้วดึงออกมาได้อย่างเยี่ยมยอด แม้ว่าฉันจะเจ็บตัวและเหนื่อย บางครั้งรู้สึกว่าทำไม่ได้ แต่ก็รู้สึกดีใจ เพราะรอบตัวมีแต่คนแกร่งกว่า ฉลาดกว่า สุดยอดกว่าฉัน
ทำงานกับทีมสตันท์เป็นอย่างไรบ้าง
มาร์ค มูซาชิ: เราได้ทีมงานสตันท์ฉากโลดโผนบทรถระดับตำนานแนวหน้า ทีมนี้มีประสบการณ์แบบนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว มีทีมของ Taran Tactical ได้ J.R. ที่มาสอนเราว่าควรจะใช้ปืนให้ถูกต้องอย่างไร โปรเจคส่วนใหญ่ เราจะได้รับข้อมูลที่เพียงพอจากจุดเอไปจุด
บี แต่ที่นี่ คุณได้รับข้อมูลทั้งหมดที่ตัวละครต้องรู้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างจุดเอและจุดบี คุณก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ คุณจะทำงานต่อไปได้ คุณสวมบทบาทนั้นอย่างแท้จริง
มารีนา มาเซปา: เราทำงานร่วมกับคนที่สามารถดึงเอาศักยภาพของคุณออกมาได้ มองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เห็นว่าเขาผสมผสานความแตกต่างของเรายังไงให้ออกมาเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น เราจะเห็นอะไรที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อน เราพยายามหาสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งบางครั้งก็ใหม่สำหรับฉันด้วยเหมือนกันค่ะ
รู้สึกอย่างไรที่เป็นส่วนหนึ่งของทีมสุดยอดนักแสดง
มารีนา มาเซปา: ทีมนักแสดงสุดยอดจริงค่ะ ไม่เคยฝันว่าจะได้ทำงานกับทีมที่ดีกว่าแล้ว พวกเรากลายเป็นเพื่อนกัน อย่างเจสสิกาหรือมิเชล ฉันปลื้มใจมากที่ได้ร่วมงานกับยอดนักแสดงหญิง เพื่อนแท้ หญิงแกร่งรอบ ๆ ตัวฉัน ฉันทำงานกับเคท เราฝึกซ้อมกันเยอะมาก เธอเป็นน่าเคารพ ฉันรู้ว่าแสดงแล้วพูดภาษาอังกฤษยากแค่ไหน เพราะฉันเป็นคนยูเครน และภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองของฉัน
คุณชอบช่วงเวลาไหนมากที่สุดจากโรงถ่าย
มารีนา มาเซปา: ช่วงเวลาที่ชอบที่สุดก็คือฉากแรก ที่ฉันต้องสวมแค่เสื้อชั้นในกับกางเกงใน เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ฉันยังเก็บไฟล์ฉากนี้ ที่ทีมงานสาดเลือดมาบนตัวฉันอยู่เลย ตอนนั้นหนาวมาก ฉันบอกว่า “โอเค เอาเลย สาดมาเลย พร้อม ฉันพร้อม ฉันดูดี ฉันไม่เป็นไร” ฉากนั้นใช้ 21 เทค ฉันว่าเป็นฉากเริ่มต้นที่เราไม่รู้ว่าจะต้องการโชว์อะไรกันแน่ และจะนำเสนอตัวละครกับผู้ชมยังไง จึงต้องทดลองอะไรหลายอย่าง
บทสัมภาษณ์ทีมงานสร้างสรรค์ (Creatives Interviews)
เคิร์ก วอร์ด
(โชว์รันเนอร์)
คุณมาพูดถึงโลกที่เป็นที่รักอย่างโลกของจอห์น วิก ได้อย่างไร
การได้ตัวผู้กำกับหนังอย่างอัลเบิร์ต ฮิวช์ มาทำงานเป็นเรื่องที่ควรจะเป็น และแชด สตาเฮลสกี ก๋เป็นผู้ยื่นกุญแจสู่อาณาจักรนี้ แล้วบอกกับเรา ทำให้เป็นตัวของเราเอง แต่สิ่งที่ผมคิดว่าแฟน ๆ จะชอบก็คือตัวละครที่เราเจาะลึกลงไปอีก และก็ตัวละครใหม่ ๆ ที่จะเข้ามา ส่วนตัวโรงแรม The Continental เองก็เป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งของซีรีส์นี้ และแน่นอนครับ แอคชัน ความเจ๋งก็คือเราได้ทีมสตันท์ 8711 ที่ออกแบบท่าการต่อสู้ในหนังจอห์น วิก ทั้งหมด ดังนั้น พวกเขารู้ว่าการต่อสู้ ฉากบู๊จะมีหน้าตาเป็นยังไง มีสไตล์ไหน ตามแบบฉบับในหนัง และนำมาประยุกต์ให้เป็นของเราเองอีกที
คุณจัดการฉากแอคชันอย่างไร
เริ่มแรก เรานั่งคุยกับแชด สตาเฮลสกี เล่าเรื่องย่อให้ฟัง เขาบอกว่า “จำไว้นะครับ แอคชันก็เป็นตัวละครตัวหนึ่ง” เราก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เราทำให้ตัวละครเหล่านี้มีสไตล์การต่อสู้เฉพาะตัวเองได้อย่างไร และจะดึงลักษณะนั้นออกมาเพื่อทำให้แอคชันน่าตื่นตาตื่นใจอย่างไร และจะทำเพื่อซีรีส์ทางโทรทัศน์ได้อย่างไร
ทำไมฉากจึงต้องเป็นยุค 70 และทำไมวินสตันเข้าไปร่วมอยู่ในเรื่องราว
เริ่มมาจากบทบรรทัดหนึ่งในหนังจอห์น วิก ภาคแรก วินสตันพูดว่า “ผมดูแลจัดการโรงแรมนี้มา 40 ปีแล้ว” เรารู้เลยว่าต้องใช้ตรวนี้แหละ เราจะมาทำเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม The Continental ปัจจุบันโดยไม่มีวินสตันไม่ได้ ผมเลยหยิบเครื่องคิดเลขมา แล้วบอกว่า “เอาล่ะ หนังออกฉายเมื่อปี 2015 2016 เกิดอะไรขึ้นที่นิวยอร์กเมื่อ 40 ปีก่อน” แล้วก้ไปเจอบทความเกี่ยวกับเมืองปห่งความหวดกลัวหรือ Fear City และอันตรายในเมือง การล้มละลาย ความรุนแรง ย่านบรอนซ์ลุกเป็นไฟ
ถึงช่วงนั้น เราก็ อ๋อ แล้วบอก “เดี๋ยวนะ แล้วถ้าเราจะย่อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นล่ะ แล้วถ้าเราจะกลับไปช่วงที่ห่างไกลจากจอห์น วิกล่ะ แต่ก็หว่านเมล็ดว่าจอห์น วิก มาอยู่ในจักรวาลนี้ได้อย่างไร” ส่วนเรื่องวินสตันในหนังนั้น เราไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเขา เขาเป็นคนเดียวที่เรียกจอห์น วิกว่า “โจนาธาน” เมื่อโรงแรมถูกยึดครองในจอห์น วิก ภาค 3 เขาขังตัวเองอยู่ในตู้เซฟ เครื่องดื่มในมือ นั่งสั่งการ Continental.
ดังนั้น สำหรับเราแล้ว นั่นเป็นตัวละครที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด “โอ้ แล้วถ้าเราจะเริ่มที่นั่นล่ะ ถ้าตัวละครวินสตันเข้าทางเราล่ะ”
มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับโรงแรม The Continental คือคุณจะไม่ทำอะไรกับสิ่งที่มีอยู่ในเรื่องราวมานานและทำให้มีความหมายมากขึ้น หรือให้มีประโยชน์มากขึ้นหรือ เรารู้ว่าต้องทำ เราต้องมีวินสตันและชารอน และสร้างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นพี่น้องและความผูกพัน เพราะจะช่วยให้บอกเล่าเรื่องราวของโรงแรม The Continental
คัดเลือกนักแสดงมารับบทวินสตันตอนหนุ่มอย่างไร
มีอะไรบางอย่างในตัวโคลิน (วูดเดล) เขามีคุณลักษณะที่ไม่มีเก่าน่ะครับ แล้วก็ดูเหมือนดาราหนัง ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำไรอื่นนอกจากการแสดง เพราะเวลาที่คุณเอากล้องถ่ายเขาแล้ว…ผมยังจำวันที่เทสหน้ากล้องได้ อัลเบิร์ต (ฮิวช์) กับผมดูมอนิเตอร์ แล้วพูดกันว่า “คนนี้คือดาราหนัง” แล้วตาของเขา เวลาคุณมองไปที่เอียน แมคเชน จะเห็นความลุ่มลึกและความเศร้าโศก มันมีเรื่องราวยิ่งใหญ่ในดวงตาคู่นั้น
มันคงเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นบทที่ยากมาก คุณจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยได้อย่างไร แต่มันก็ต้องเป็นโคลินครับ เราคัดเลือกจากนักแสดงหลายร้อยคน พวกเขายอดเยี่ยมนะครับ แต่มันจะมีอยู่อย่างหนึ่งที่นักแสดงต้องมี อย่างหนึ่งที่คุณบอกว่า นี่แหละ คนนี้แหละ เรารู้ได้เอง
แล้วการคัดเลือกนักแสดงมารับบทชารอนล่ะ
คือว่า การคัดเลือกชารอนเหรอ เรามีนักแสดงเป็นร้อย ๆ คนเหมือนกัน ภสพของแลนซ์ เรดดิก ยังตรึงตาอยู่ใช่มั้ย เขาไม่ต้องพูดอะไรเลย เขามีอำนาจและสะกดห้องไว้เลย แล้วเราจะไปหาแบบนี้ได้ที่ไหน แต่ในบรรดานักแสดงหนุ่มเหล่านี้ เขาไม่มีบริบทเกี่ยวกับชีวิต
และผมก็ไม่มีวันลืมวันที่อาโยเข้ามาให้คัดเลือก ผมมองเขาแล้วมามองจอมอนิเตอร์ แล้วก็รีบวิ่งหาอัลเบิร์ตในห้องทำงาน แล้วบอกว่า “ใส่นี่ ดูนี่เร็ว” เพราะอัลเบิร์ตทำแบบนี้มา 30 ปีแล้ว เขารู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่ อาโยปรากฏตัวในจอพร้อมด้วยคุณสมบัติที่เราตามหา พวกเราบอกกันว่า “เราต้องการคนนี้” และเราก็รู้ว่าเขาอยู่ที่โรงเรียน เขาไม่เคยผ่านจอมาก่อน ไม่เคยถ่ายทำอะไรเลย
คุณไม่มีวันรู้ได้เลย เขาเข้าฉากแรกกับเมล กิบสัน แล้วเขาก็มีสมาธิมาก มืออาชีพมาก อินสุด ๆ เขาเรียกผมว่า บิ๊ก บราเธอร์ (หรือพี่ใหญ่) ส่วนผมเรียกว่า ลิตเติล บราเธอร์ (หรือน้องเล็ก) เราทุกคนต่างก็อ้าแขนโอบกอดและสนับสนุนเขา
ช่วยเล่าเรื่องดนตรีประกอบหน่อย มีดนตรีจากแผ่นเสียงที่เด่นดัง
เมื่ออัลเบิร์ตเข้ามาร่วมงาน เขาส่งรายชื่อเพลงที่เขามีมาให้เกือย 300 เพลง เขาชอบร็อคแบบคลาสสิก เขารู้จักดิสโก ฟังก์ ฮิบฮอบ เรามี 46 เพลงในซีรีส์นี้
จะว่าไปดนตรีก็เป็นตัวละครหนึ่งได้ เพลงบางเพลงที่เราใช้ อาจทำใวห้ผู้ชมคิดว่า “โอ้ ถูกใจใช่เลย” แต่กลับยุค 70 มันก็จะมีเพลงหาฟังยาก เพลงหน้าบี แต่เพลงอย่างของบ็อบ โอเลลี ซึ่งเราก็ใช้ด้วย พอฟังเพลงพวกนี้ไปเรื่อย ๆ เข้ากับเรื่องได้ดีเลย
ช่วยเล่าการถ่ายทำตัวโรงแรมเองหน่อย
เป็นตึกรูปทรงประหลาด เป็นสามเหลี่ยม ดูไม่ค่อยใหญ่ แต่เราต้องทำให้ดูใหญ่ สิ่งที่น่าสนใจของ The Continental ก็คือ เมื่อคุณดูหนังแล้วมาดูซีรีส์ ทุกอย่างมันเข้าไปอยู่ในโรงแรมหมดเลย มันเป็นคุณสมบัติที่ลึกลับของ The Continental เหมือนถามว่ามีห้องแบบนี้จริง ๆ หรือ คำตอบคือมี ล็อบบี้โรงแรมจากในหนังเป็นสิ่งวิเศษ แล้วมันเหมาะจริง ๆ หรือเปล่า ล็อบบี้ใหญ่มาก มีห้องเตาผิง จึงเป็นอะไรที่เราต้องการให้มีขนาดพอเหมาะ เพื่อแสดงให้แฟน ๆ เห็นว่า มีอีกด้านหนึ่งของโรงแรมมที่คุณไม่เคยเห็น
ทำไมแฟนหนังจึงไม่ควรจะพลาดซีรีส์
ผมคิดว่าแฟน ๆ ไม่ควรจะพลาดแม้วินาทีเดียว ผมจะบอกให้ว่าทำไม ก็เพราะจะได้เห็นสิ่งที่อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว พวกเขารู้เรื่องราวแล้ว ใช่มั้ยครับ นั่นคือกุญแจสำคัญ เป็นเรื่องราวของโรงแรม เราต้องการทำให้โรงแรมนี้เป็นตัวละคนตัวหนึ่งมีบุคลิกของตัวเอง นอกจากจะได้รู้เรื่องวินสตันแล้ว ยังได้รู้เรื่องชารอนด้วย เขามาร่วมงานกันได้ยังไง เราจะได้ไปชม the Bowery และเรียนต้นกำเนิดของมัน
ช่วยเล่าการเดินทางของวินสตันตลอดซีรีส์นี้
เมื่อซีรีส์ดำเนินเรื่องไป เราจะสนุกที่ได้เห็นตัวละครมมากไปเครื่องแต่งกาย ถ้าคุณสังเกตตอนเราเจอวินสตัน คุณจะได้ยินสำเนียงนิดนห่อย เราได้ยินสำเนียงนี้ตอนเขาพูดอยู่ในลอนดอน แต่พอเขากลับมาและรื้อฟื้นอดีต สำเนียงอังกฤษหายไป เขาเริ่มมีสไตล์ถนน เริ่มต่อติดกับรากและจำต้องย้อนกลับไปอดีตที่พังพินาศ ผมมักจะบอกกับโคลินเสมอ ตอนที่เราต้องร่วมกันพัฒนาตัวละครนี้ เขาทุ่มเทมาก “คุณดูเหมือนป่วยเหมือนกับความลับของคุณ และอดีตของคุณก็ตามมาหลอกหลอนอยู่เสมอ”
เครื่องปั๊มเหรียญมีความหมายอย่างไรต่อซีรีส์
ในหนังจอห์น วิก คุณจะเห็นเหรียญทอง สำหรับผม ผมว่าน่าสนใจว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่ ผมเลยถามแชด สตาเฮลสกี เขาบอกว่า เหรียญไม่มีมูลค่า คุณซื้อน้ำดื่มด้วยเหรียญหนึ่งเหรียญ คุณจ้างนักฆ่าด้วยเหรียญหนึ่งเหรียญ คุณเช่าห้องโรงแรมด้วยเหรียญหนึ่ง
เหรียญ เหรียญพวกนี้จึงไม่มีค่าเป็นเงิน มันเป็นใบเบิกทาง ถ้าคุณมีเหรียญ คุณก็จะเป็นส่วนหนึ่งของโลกใต้ดิน คุณก็จะเข้าในว่าองค์กรอาชญกรรมคืออะไร
ดังนั้น ความคิดก็คือ แล้วถ้าเครื่องปั๊มเหรียญคือตัวกำหนดทางผ่านเข้าสู่โลกใต้ดิน โลกอีกโลกหนึ่ง ถ้ามีคนขโมยไปล่ะ ระบบแบบองค์กรอาชญากรรมจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าอยู่ในมือคนไม่ดี ก็จะสามารถปั๊มเหรียญได้ไม่จำกัด เหรียญก็จะล้นตลาด แล้วทมุกคนก้จะพเป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีอะไรให้ค้นหา ไม่มีปริศนาลึกลับ
อัลเบิร์ต ฮิวช์
(ผู้กำกับ ตอนที่ 1 และ 3)
คุณบรรยาย The Continental ว่าอย่างไร
0The Continental ไม่ได้เป็นภาคแยกจากหนังจอห์น วิก แต่เป็นหนังภาคก่อน หรือ prequel ย้อนกลับไปที่นิวยอร์กยุค 70 จึงให้ความรู้สึกเหมือนนิวยอร์กในภาพจินตนาการ ไม่ใช่ความจริงเช่นเดียวกับหนังจอห์น วิก เป็นการหลบหนี เป็นโลกคู่ขนาน มีกฎของตัวเอง เสียงของตัวเอง และสีของตัวเอง ไม่มีอะไรจับต้องได้จรองในโลกจริง สร้างมาเพื่อให้ผู้ชมสนุกสนาน ดังนั้น จึงไม่จริง สนุก ป่าเถื่อน อธิบายลักษณะของตัวละครวินสตัน ซึ่งรับบทโดยเอียน แมคเชนในหนัง อธิบายว่าทำไมวินสตันถึงเข้ามามีอำนาจและยึดครองโรงแรม The Continental ได้
ทำไมแฟน ๆ จึงต้องดู The Continental
ถ้าคุณเป็นแฟนหนังจอห์น วิก ผมว่าคุณจะชอบThe Continental เพราะคุณจะเห็นจุดกำเนิดของตัวละตร ตัวละครไปที่นั่นได้ยังไง คุณจะเห็นตัวละครในช่วงเวลาที่ต่างกัน เป็นเรื่องราวก่อนจอห์น วิก เราจึงไม่เห็นตัวเขา แต่ก็เห็นอะไรที่เกี่ยวกับตัวเขาบ้าง อาจจะได้รู้ว่าใครคือพ่อแม่ หรือเปล่า คุณอาจจะได้เห็นตัวละครในหนัง ในเวอร์ชันที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ในซีรีส์ และก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรงแรมที่จอห์น วิก เข้าไปอยู่
นอกจากนั้น ยังมีชารอน ที่ผู้ชมคุ้นเคยกันแล้ว มีวินสตัน ก็คุ้นเคยกันแล้ว แต่ก็ยังมีตัวละครอีกหลายตัวที่เรายังไม่เคยเจอ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้น องค์กรอาชญากรรม กฎ ปริศนา อันตราย ความรุนแรง และความสนุกสนาน
ซีรีส์ได้รับอิทธิพลอะไรบ้าง
ระหว่างเคิร์ก วาร์ดกับผม เคิร์กชองหนังยุค 80 เขาชอบหนังของโจแอล ซิลเวอร์ เมล กิบสัน หนังเรื่อง Lethal Weapon หรือ 48 Hours หรือ The Terminator อะไรประมาณนั้น เขามีสไตล์ป็อปครับ ผมก็ชอบเหมือนกัน แต่ผมจะไปทาง Sergio Leoni และ Martin Scorsese หรือ Francis Ford Coppola มากกว่า แต่ในโลกนี้ คุณมีพื้นที่ให้เล่นเยอะกว่า คุณไม่ต้องให้เหมือนความจริง
ฉากนิวยอร์กยุค 70 เป็นอย่างไรบ้าง
คือว่า ผมมาทำงานหลังที่เขียนบทไปแล้ว ตอนแรกบทเป็นนิวยอร์กปี 1975 แล้วผมก็ต้องการใส่ดนตรีหรือเพลงสไตล์ต่าง ๆ ที่มาจากยุคนั้น ผมเลยบอกว่า “เอางี้มั้ย ไม่เอาแล้วปี 1975 เอาเป็นทศวรรษ 1970 เลย เป็นจินตนาการยุค 70” เหตุผลก็คือเพื่อเพลง
ล้วน ๆ แล้วมันปลดล็อกเรื่องภาพด้วย ว่าภาพจะเป็นยังไง เพราะผมเติบโตมาในยุคนั้น ผมเป็นเด็กสองเชื้อชาติ แม่ผมซึ่งเป็นคนขาวฟัง Led Zeppelin Pink Floyd และ Jimmy Hendrix พ่อผมเป็นคนดำ ก็จะฟัง James Brown และ Motown แนวเพลงหลากหลายนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจของผม และผมก็เห็นว่ามันเข้ากันได้ดี
ช่วยเล่าเรื่องทำงานกับโคลิน วูดเดล ในฐานะวินสตัน
ดูจากภายนอก ดูเหมือนว่า เขาขึ้นกล้องนะ เขาเป็นดาราหนัง เป็นมืออาชีพ เขาทำการบ้านมาดี ฝึกการต่อสู้ ทุ่มเมมาก
นอกจากนั้น เขาฉลาดด้วย พูดจาเฉลียวฉลาด ในบทจะมีตอนหนึ่งที่ต้องด้นสด แล้วเขาก็ทำได้อยู่นาน ผลลัพธ์ออกมาคือน่าทึ่งมาก โคลินสนุกไปกับตัวละครของเขา แต่ก็ตั้งใจอย่างยิ่ง นี่เป็นคุณลักษณะของเขา เขาเหมือนดารารุ่นเก๋าอย่าง Clark Gable Humphrey Bogart หรือ Harrison Ford
กล้องรักเขาและเขาทำอะไรก็ไม่ผิด คุณจะต้องอยากดูเขา เชื่อในตัวละครวินสตันชาญฉลาด ผมคิดว่าเขาทำได้ดี
แล้วหาชารอนผู้สมบูรณ์แบบได้อย่างไร
เราตามหาชารอนจากนักแสดงที่มาคัดเลือกจำนวนมาก มีคนหนึ่งกลับมาถึง 5 ครั้ง ในที่สุดเราก็เจอชายหนุ่มคนนหึ่ง อาโย เราเรียกเขาเข้ามา เขากำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนการแสดงที่เวลส์ เราไปเอาตัวเขาออกมาก่อนเรียนจบเสียอีก เขาต้องกลับไปเรียนจนจบก่อนมารับบทชารอน ผมจำได้ว่าวันหนึ่งผู้กำกับภาพมาบอกผมว่า “คนนี้เป็นใครกัน มีออร่ามาก” และทุกคนก็ได้เห็นเหมือนกัน
แล้วมิเชล ปราดา ในบทบาทเคดีล่ะ
มิเชล ปราดาเป็นยอดมนุษย์ เธอเรียนการแสดงแบบปกติทั่วไป แต่สิ่งที่ผมเห็นตั้งแต่วันแรกที่ทำงานกับมิเชลที่มารับบทเคดีคือเป็นคนที่มีของ เมื่อคุณมองตาเธอ คุณจะเห็นประกาย เธอดูเป็นธรรมชาติ มีสมาธิ ทุ่มเท เธอเลือกได้อย่างฉลาดทุกวันเลย ทำให้ตัวละครมีน้ำหนัก เราอยู่ในโลกจินตนาการแห่งการหลบหนี และเธอทำได้ดีมาก คุณต้องการรสชาติแบบนี้แหละ ผมคิดว่าเธอเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของซีรีส์ เป็นหัวใจของเรื่องที่เล่า
แล้วพัฒนาการของตัวละครวินสตันในซีรีส์ล่ะ
พัฒนาการของตัวละครวินสตันอยู่ในบทก่อน แต่พอต้องถ่ายทำ เคิร์กและผมก็ปรับแก้ไปเรื่อย ๆ ระหว่างถ่ายทำ เมื่อคุณได้ทำงานกับนักแสดง คุณก็จะได้เห็นว่าเขามีใส่อะไรลงไปในตัวละครบ้าง แล้วมันก็เกิดขึ้นในช่วงปลายของตอนที่ 1 เป็นฉากโศกเศร้าสะเทือนใจ แต่ก็ทำให้เข้าใจตัวละครมากขึ้น เขาไม่ใช่คนหลอกหลวง เดินอมยิ้ม ปล่อยปะละเลยชีวิตอีกต่อไป เขาเปลี่ยนไป เหมือน Michael Corleone เลย
เขาไม่ต้องการได้สิ่งนี้ แต่สถานการณ์บังคับ แต่ก็เกิดโศกนาฏกรรมอย่างเฉียบพลัน เขาต้องมุ่งไปที่ภารกิจเดียวเท่านั้น ตัวละครตัวนี้จึงเปลี่ยนไปด้วยเหตุนี้ และเมื่อเขาทำภารกิจสำเร็จ ก็จะกลายเป็นอีกคนหนึ่งอีกครั้ง ราวกับกิ้งก่า เขาเป็นคนเทา ๆ คุณอาจจะคิดว่าไว้ใจเขาไม่ได้ ถ้าไม่สนิทสนมกับเขาจริง ๆ แต่เขาเจ็บปวดใจตั้งแต่ตอนต้นของซีรีส์ มีสตันท์แสดงแทนฉากต่อสู้ ทำให้เขาเข้าใจภารกิจได้อย่างดี
สิ่งที่ท้าทายที่สุดคืออะไร
สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือเราต้องทำตามสิ่งที่แฟน ๆ คาดหวัง เหมือนมันมีดีเอ็นเออยู่แล้ว ดังนั้น ก็เป็นแรงกดดันและความท้าทาย แล้วพอได้มาสร้างสรรค์แล้ว คุณต้องสร้างโลกใหม่ สร้างนิวยอร์กใหม่ จริง ๆ ก็คือนิวยอร์กสมัยก่อนนั่นเอง
ผมจึงคิดออกมาได้ว่าเป็นคำที่มีพลัง ที่ให้แรงบันดาลใจทั้งผมและทีมงานหรือตากล้องหรือผู้กำกับภาพ ผมพยายามจะหาวิธี คุณคงเคยได้ยินเรื่อง neon noir หรือ neo noir และก็ disco noir ผมเอาเรื่องดิสโกกับฟิล์มนัวมาผสมกัน นี่ก็เป็นความท้าทาย แต่เราทำกันยังไง แล้วมันหมายความว่าอะไร มันเรื่องของสไตล์ เสียง และการออกแบบหรือสถาปัตยกรรม และยังเกี่ยวกับความรู้สึก วัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรมแบบก้าวหน้า
ความท้าทายอีกอย่างก็คือ เหมือนเราแบกภารกิจเอาไว้ พารกิจนั้นก็คือต้องไม่ทำให้ผู้ชมเบื่อ ซึ่งเราจะต้องนำอข้าไปใส่ในทุก ๆ ฉาก ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก เพลง เสื้อผ้า การแสดง กล้อง ไฟ หรือเสียง ซึ่งต้องมีตลอดเวลา จนทำให้ผู้ชมพูดว่า “วาว อะไรกันเนี่ยะ น่าสนใจมาก”
เบซิล อิวานิก
(ผู้อำนวยการสร้าง)
ทำไมคุณถึงคิดว่าผู้ชมชอบหนังจอห์น วิก
สำหรับพวกเราเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ได้เกี่ยวข้องกับหนัง เพราะทุกอย่างเริ่มจากตรงนั้นในสถานที่เล็ก ๆ เราเลยคิดย้อนกลับไปถึงซีรีส์ทางโทรทัศน์ จะเป็นเรื่องแยกออกมาหรือเป็นภาคต่อ แล้วเราจะสร้างโลกจอห์น วิก ยังไงกันดี ทำให้เราต้องดูลงไปลึก ๆ ว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ชมยังไง อย่างแรกเลย คือมีคีอานูในหนัง พร้อมกับสไตล์ของหนัง ไสไตล์การต่อสู้ การออกแบบท่าต่อสู้ บวกกับสิ่งที่สะกดคนดูในโลกที่เราสร้างขึ้น โลกของอาชญากรและโรงแรม The Continental กฎเกณฑ์ต่าง ๆ หนังแต่ละเรื่อง เรื่องราวแต่ละส่วนในจักรวาลจอห์น วิก จะพัฒนาไปได้อย่างไรในโลกนี้
ผู้ชมจะค่อย ๆ ค้นพบโลกนี้ และค่อย ๆ ชอบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของที่นี่ รวมถึงความบ้าระห่ำด้วย ผู้ชมรู้ว่า ถ้าได้ดูเรื่องราวของจอห์น วิก ก็จะต้องสนุกสนาน บ้าระห่ำแน่นอน เราไม่มีอั้น อยากทำอะไรก็ทำ เราแค่อยากให้ออกมาสนุกและน่าตื่นเต้น รวมทั้งลื่นไหลและเซ็กซี่ด้วย
ทำงานที่เกี่ยวกับหนังในจักรวาลจอห์น วิก เป็นอย่างไรบ้าง และสิ่งที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ The Continental คืออะไร
สิ่งน่าสนใจในจักรวาลจอห์น วิก ก็คือเป็นเรื่องจินตนาการใหม่ ไม่ได้มาจากซีรีส์การ์ตูนหรือหนังสือ และก็ไม่ใช่หนังเอามาทำใหม่ ดังนั้น ข้อทูลที่เราให้ผู้ชมก็จะเป็นข้อมูลใหม่ที่ผู้ชมได้รับครั้งแรก และก็ต้องเพิ่มระดับไปเรื่อย ๆ ตลอดซีรีส์ เหมือนกับการสร้างเครื่องบินที่กำลังบินอยู่ แต่ละส่วนที่เราใส่ลงไป จะทำให้ผู้ชมสนใจ ด้วยความที่หนังจอห์น วิก ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หน้งสามภาคแรกเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ เราจึงไม่ชะลอเวลาและพูดถึงแต่เรื่องตำนาน ดังนั้น ในซีรีส์นี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวส่วนหนึ่ง รวมไปถึงรายการโทรทัศน์หรือภาคแยกออกมา เราจึงใช้เวลาพยายามเจาะลึกลงไป และพยายามตอบคำถามที่ผู้ชมถามไว้ เพราะเราใส่ตำนานลงไป ผู้ชมก็จะชอบและอยากรู้ แต่เราเจาะลึกลงไปอีก
ทำไมจึงเลือกฉากยุค 70
มีเหตุผลนะครับว่าทำไมเราจึงเลือกยุค 70 ก็เพราะว่าภาพยุค 70 เหมาะกับหนังมาก ขึ้นกล้องมาก ดูแหวกแนว ดูเถื่อนดิบ นิวยอร์กในสมัยนั้นวุ่นวาย มีอาชญากรรมเยอะ เป็นช่วงหลังสงครามเวียดนาม มีแก๊งต่าง ๆ ตามมา ดูเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน จึงทำให้เราสร้างความโกลาหลที่เกิดขึ้นในจักรวาลจอห์น วิก ได้ดี เราใช้เมืองในช่วงเวลานั้นทำให้ผู้ชมเชื่อไปด้วย อีกทั้งยังดูเจ๋ง แตกต่าง น่าสนใจ เหมือนหนังของ William Friedkin และยังเหมือนหนังของ Sidney Lumet อีกด้วย ซึ่งเราชอบกันมาก เพราะในที่สุดแล้ว หนังจอห์น วิก ก็คือหนังที่แสดงเรื่องราวของแก๊งต่าง ๆ นั่นเอง
หนังในจักรวาลจอห์น วิก ทุกเรื่องไม่ใช่โลกจริงนะครับ ดูเป็นศิลปะ มันคือโลกเหนือจริง เราใส่แนวคิดปรัชญาในยุค 70 เลยออกมาดูเถื่อนดิบ สุดขีดจำกัด วุ่นวายกว่า แต่ยังคงรู้สึกว่าเหนือจริง ดูเจ๋ง ตัวละครก็สุดยอด ทั้งทรงผม เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายต่าง ๆ เราพยายามสะท้อนภาพของยุค 70 เราไม่ได้หมายความว่ามันจะสกปรกโสโครกนะครับ แต่มันมีเนื้อหนังมังสา สุดโต่ง แบบที่หนังจอห์น วิก ก็มี
ทำไม The Continental จึงเน้นที่ตัวละครวินสตัน แล้วโคลิน มารับบทนี้เป็นอย่างไรบ้าง
สิ่งที่น่าสนใจในตัวละครวินสตันในหนังจอห์น วิก ภาคแรก เราถ่ายทำสามวัน จึงมีเวลาบทจอน้อย แต่ก็สามารถแสดงออกมาจับใจตรงกับจินตนาการของทุกคน ผมคิดว่าเป็นการผสมผสานระหว่างเอียน ในฐานะนักแสดง ตาของเขา และความเข้มข้น แน่นอนที่สุดตัวบทเองด้วย ขั้นแรกก็คือ เราจะทำยังไงให้ได้คนที่มีลักษณะแบบเดียวกัน มีพลังแบบเดียวกัน มีออร่าเหมือนกับเอียน ซึ่งตาของเขาเป็นรได้ทั้งดวงตาที่คุกคามและดวงตาที่เป็นมิตร เราไม่ทางรู้ได้เลยว่าคิดอะไรกันแน่ เพราะในหนังจอห์น วิก วินสตัน ยุยงให้คนไม่ลงรอยกัน มีพลังอำนาจรอบด้าน โคลินทำแบบนั้นได้ โคลินมีรูปร่างแบบนั้นเลย มีลักษณะเช่นนั้น แต่สิ่งที่โคลิน และผมก็คือว่ามันวิเศษสุดก็คือตาคู่นั้น ที่ช่างเหมาะกับที่จะเป็นตาของวินสตัน เป็นตาที่จับจ้องคุณ เป็นตาที่จะชักใยคุณ แต่ตุณก็ยังรักเขาที่เป็นเขาอย่างนั้น
แล้วการได้อาโยมารับบทชารอนล่ะ
แลนซ์ เรดดิก ทำเอาไว้ดีมาก เป็นตัวละครที่คลาสสิกที่คุณจะพบได้ในภาพยนตร์ ถ้าดูในบท เขาดูไม่ค่อยมะไร แต่ในหนัง เขามีรัศมีจับ เพราะสิ่งที่ชารอนทำคือการมีปฏิสัมพันธ์ เราเห็นผ่ายดวงตาของเขา เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ดังนั้น เราต้องหานักแสดงที่จะทำได้ดี มีออร่า มีศักดิ์ศรี มีความสง่างาม นักแสดงที่ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ จนทำให้คุณไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ฝั่งไหนกันแน่ หรือว่าเขาจะเห็นด้วยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือไม่
และก็ต้องเป็นนักแสดงที่เข้ากันได้ดีกับวินสตัน มีเคมีตรงกัน อย่างที่เราได้เห็นจากจอห์ วิก ภาค 4 เขาทั้งสองคู่เป็นเพื่อนสนิมกันมาก หรืออาจจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของวินสตันในโลกนั้นเลยก็ว่าได้ และมีความซื่อสัตย์ลึก ๆ เต็มไปด้วยความรู้สึก
องค์ประกอบจากหนังอะไรบ้าง ที่คุณนำมาใช้กับซีรีส์ The Continental
สิ่งหนึ่งที่แฟน ๆ ภาพยนตร์ชอบ แล้วเราก็นำมาใช้กับซีรีส์ก็คืออารมณ์ขัน ถ้าจอห์น วิก เล่นทื่อ ๆ มันอาจจะดูน่าขัน แต่ทุกคนก็นึกว่าเป็นเรื่องตลก นักแสดง ทีมงาน ต่างก็รู้ดีว่ามันสนุก เราผลิตซีรีส์ก็เพื่อความบันเทิง เราเอาพลังจากในหนังมาใส่ในซีรีส์ แม้ว่ามัน
จะบ้าระห่ำ รุนแรง เป็นเรื่องของแก็งอาชญกร แต่โดยรวมแล้วก็สนุก สนุกในแบบฉบับจอห์น วิก ดูแล้วมีความสุข เรารู้ดีว่าสิ่งที่เราทำดูบ้าบิ่น แต่นั่นแหละสิ่งที่เราอยากทำ ดังนั้น อารมณ์ขันหรือความสนุกสนานจึงเป็นส่วนสำคัญที่เรานำมาใช้กับซีรีส์ของเรา
นอกจากนั้น ยังมีส่วนประกอบที่เกี่ยวกับการเล่าเรื่องในโทรทัศน์ ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะ ผมก็เคารพนะครับ ในหนัง คุณจะต้องให้คำตอบที่ผู้ชมถาม พอได้คำตอบแล้ว หนังก็จะจบ แต่ในโทรทัศน์ คุณต้องหลอกล่อ ยื้อเวลาออกไป เป็นอีกคืนหนึ่ง หรืออีกตอนหนึ่ง
ดังนั้น โครงสร้างการเล่าเรื่องในโทรทัศน์จึงเป็นเอกลักษณ์ของมันเอง และเราก็พยายามจะทำตามนั้น เพราะเราต้องการให้ผู้ชมอยากรู้มากขึ้นไปอีก เราอยากให้ผู้ชมถามคำถามไปเรื่อย ๆ และถ้าเราตอบคำถามหมดภายในคืนเดียว ผู้ชมก็จะเบื่อ เรื่องราวก็จะซ้ำไปซ้ำมา คือเราก็ต้องค่อยปล่อยทีละนิด ๆ ซึ่งก็จะทำให้เรารู้ได้ว่าจะปล่อยอะไรบ้างตลอดซีรีส์
เรารู้อะไรเกี่ยวกับ The Continental ในซีรีส์บ้าง
เราไม่รู้เรื่องราวของโรงแรม The Continental จากภาพยนตร์เลย เรารู้ว่ามีกฎ เรารู้ว่าวินสตันอยู่ที่นั่นมา 40 ปีแล้ว และเราก็รู้ว่าชารอนเป็นมือขวาของเขา เรารู้แผนผังของโรงแรม แต่เราไม่เรื่องราวอะไรเลย รู้แค่ว่ามีโรงแรม Continental อยู่ทั่วโลก มีผู้จัดการโรงแรมอยู่ทั่วโลก แต่ก็ไม่รู้เรื่องราวความเป็นมา แล้วพอเราเริ่มคิดจะทำซีรีส์ เรากลับไปดูหนัง แล้วเราก็รู้ว่า เราไม่มีอะไรให้ผู้ชมเลย
โรงแรม The Continental ที่เราเห็นในซีรีส์ตอนต้น น่าจะเป็นสาขาโรงแรมที่แย่ที่สุด ทั้งเสื่อมโทรม ฉ้อฉล และวุ่นวาย ผู้จัดการคือคอร์แมค เขาเป็นคนไร้ศีลธรรมและมีจิตอาฆาต ราวกับเป็นกระจกสะท้อนภาพนิวยอร์กสมัยนั้น สิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากซีรีส์ไม่ใช่แค่ทำไมถึงมีโรงแรมนี้ มันคือโรงแรมในแบบฉบับของวินสตัน วินสตันและบุคลิกของเขาในฐานะที่เป็นผู้จัดการโรงแรมและอาชญากรเป็นตัวละครสำคัญได้อย่างไร เขาสร้างโรงแรมนี้ขึ้นตามภาพลักษณ์ของเขาอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่เสนอในหนัง กลายเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในโลก หนึ่งในโรงแรมที่ทรงพลังที่สุด วินสตันกลายเป็นคนที่องค์อาชญากรรมเกรงกลัว นี่คือเรื่องราวการเดินทางที่เราอยากเห็น เพราะโรงแรม The Continentals สาขาต่าง ๆ มีอายุเป็นร้อย ๆ ปี The Continental สาขานิวยอร์ก มีอายุราว ๆ 200 ปี แต่เป็นโรงแรม The Continental ในแบบฉบับวินสตันซึ่งกลายเป็นโรงแรมที่ทรงพลังที่สุดในโลกในภาพยนตร์ แล้วเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร
คุณเล่าเรื่ององค์กรอาชญกรรมว่าพวกเขาเข้ามาอยู่ใน The Continental ได้อย่างไร
องค์กรอาชญากรรมเป็นกลุ่มปริศนา ลึกลับ ที่คอยจัดระเบียบโลกของเหล่านักฆ่า มีอายุหลายร้อยปี นานเกินกว่าจะจินตนาการ แนวคิดของพวกเขาก็คือ ถ้าเราใช้กฎ ใช้ระเบียบกับความรุนแรง ระเบียบโลกก็จะมีสมดุลและปกติ สถานทูตขององค์กรอชาญากรรมก็คือโรงแรม The Continental ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกนั่นเอง โรงแรมเหล่านี้เป็นสถานที่แห่งความสุขสงบ ความสะดวกสบาย ความผ่อนคลายของเหล่านักฆ่า นักฆ่าไม่สนใจกฎ ถ้าสนใจกฎ ก็จะไม่เป็นนักฆ่า แต่โรมแรมเหล่านี้มีกฎมั่นคงเข้มงวด ถ้าคุณไม่ทำตามกฎ ก็จะถูกฆ่าหรือถูกอัปเปหิ ซึ่งก็เหมือนกันถูกฆ่า คุณอาจเป็นนักฆ่าที่ฆ่าคน 200 คนที่ไทม์ สแควร์ แต่ถ้าคุณไปที่โรงแรม The Continental ที่นั่น คุณต้องให้เหรียญผม แล้วก็จะไม่มีใครทำอะไรคุณได้ กฎและผลที่ตามมาเหล่านั้น เป็นส่วนสำคัญของหนังในจักรวาลจอห์น วิก ซึ่งก็มาจากองค์กรอาชญากรรมนั่นเอง
คุณอธิบายคืนแต่ละคืนในซีรีส์ด้วยคำหนึ่งคำว่าอย่างไร
หนี่งคำสำหรับคืนที่หนึ่งคือ ความรู้สึก หนึ่งคำสำหรับคืนที่สองคือ ความโกรธแค้น และคืนที่สามคือ การแก้แค้น เหมือนการระเบิดในจอห์น วิก
แฟน ๆ จะได้ตื่นเต้นกับอะไรบ้างเมื่อดู The Continental
สิ่งที่สุดยอดเกี่ยวกับ The Continental ก็คือเราลงไปลึกมาก ไม่ใช่แค่ในตัวโรงแรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการสร้างโรงแรมด้วย ไม่ใช่แค่ตัวละครวินสตันหรือชารอน ซึ่งเป็นตัวละครที่ทุกคนรัก แต่ยังรวมไปถึงกฎต่าง ๆ ที่แผ่ขยายต่อมาจากจักรวาลของจอห์น วิก ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่อธิบายเรื่องที่ผู้ชมรักลึกลงไปหรือเล่าบริบทดราม่า แต่ยังเป็นการต่อยอดจากโลกที่เรารู้จักกันแล้วในวันนี้ รวมกับฉากการต่อสู้และข่มขู่กัน เนื้อหนังมังสาของหนังจะเข้ามาอยู่ในซีรีส์ ในแง่ของภาพที่ออกมาแล้ว เราจะได้อะไรที่ทรงพลังมาก ส่วนทางด้านอารมณ์ความรู้สึก เราจะได้รู้ว่าวินสตันคือใคร รู้ว่าเขาไม่ใช่ชายคนหนึ่งที่ดูดิบมาทั้งชีวิต แต่มันเหมือนเป็นการเดินทางของความรู้สึก ที่ทำให้เขาเป็นคนแบบทุกวันนี้ สิ่งที่ผู้ชมจะชอบก็คือ ผู้ชมจะอยากรู้เพิ่ม แล้วเราก็อยากจะให้เพิ่ม แต่ก็ยังคงให้ความบันเทิงอย่างสุด ๆ ด้วย โดยฉากแอคชันอันตื่นตาตื่นใจ เล่าบริบทของโลกนี้ ที่ผู้ชมจะต้องรักมาก แต่เราจะไม่ตอบคำถามตลอดทั้งเรื่อง
องค์ประกอบของ The Continental ที่จะทำให้แฟน ๆ ตื่นเต้นก็คือ พวกเขาจะได้เข้าใจว่าวินสตันคือใคร วินสตันไม่ใช่ชายชาวอังกฤษที่สุภาพ เจนโลกมาโดยตลอด ส่วนชารอนก็ไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่สุดมาโดยตลอด ตัวละครของเมล กิบสัน นั้นบ้าบิ่น ระห่ำ และเล่นใหญ่เวอร์วัง นั่นแหล่ะที่สนุก มีแอคชัน มีพลัง มีความรู้สึกเยี่ยม ผมคิดว่าผู้ชมชอบแน่นอน ที่เราเสนอโลกที่พวกเขารู้จักและคุ้นเคย แล้วเอามาต่อยอดเพิ่มเติมนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ทิ้งกลิ่นอายของจักรวาลจอห์น วิก
เอริกา ลี
(ผู้อำนวยการสร้าง)
ทำไมถึงโฟกัสเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงแรม The Continental
คือว่า โรงแรม The Continental เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในหนัง เป็นที่อยู่ของตัวละครเอก ในหนัง เราไม่ค่อยมีเวลาพูดถึงหรือสำรวจโรงแรม เป็นเรื่องที่แฟน ๆ หนังถามกันมาโดยตลอด ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ The Continental แฟน ๆ สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในนั้น ในหนังตัวละครวินสตัน ที่รับบทโดยเอียน แมคเชน เป็นผู้จัดการโรงแรม แต่ในฐานะที่เป็นคนทำหนัง เราต้องการจะสำรวจเจาะลึกลงไปถึงเบื้องหลังโรงแรมนี้ เช่น เหล่าอาชญากรเอาเสื้อผ้าไปซักที่ไหน คนสร้างอาวะทำงานกันยังไง ครัวเป็นยังไง
คุณคิดว่าการนำเสนอตัวละครหญิงในซีรีส์มีความสำคัญอย่างไร
เรานำเสนอตัวละครหญิงในหนังจอห์น วิก ให้เป็นหญิงแกร่งอยู่เสมอนะคะ ในหนังเราได้แฮลลี เบรี มารับบทโซเฟีย และรินา ซาวายามามารับบทอากีรา แต่สิ่งที่ทำให้ผมภูมิใจก็คือจำนวนตัวละครหญิงใน The Continental ฉันเป็นผู้อำนวยการสร้างผู้หญิงคนเดียวของหนังจอห์น วิก และก็คอยถามว่าเราทำอะไรได้มากกว่านี้บ้าง หลังจากที่ได้จากบมเรื่อง The Continental ฉันก็ตื่นเต้นมาก เพราะมีบทบาทหญิงที่น่าในใจ หลายมิติในซีรีส์ และฉันรู้สึกสนุกที่จะได้สำรวจค่ะ
อารมณ์จากหนังจอห์น วิกอะไรบ้างที่คุณนำมาใช้กับซีรีส์
จอห์น วิก ไม่ใช่ใช้เทคโนโลยีแม้ว่าจะอยู่ในโลกดิจิทัล ใช้มั้ยคะ ใช้โทรศัพท์มือถือน้อยมาก ก้เลยนำมาใช้กับยุค 70 ได้ จะมีแกหนึ่งที่เราเห็นห้องควบคุมภายในโรงแรม ตัวละครตัวหนึ่งกำลังจัดการกับระบบคอมพิวเตอร์ แล้วก็ได้ยินเครื่องประกาศแบบดั้งเดิม เป็นลำโพงประกาศไปทั่วโรงแรม เราเล่นสนุกเลย เห็นว่าการโจมตีโรงแรมในยุค 70 เป็นยังไง
สถานที่ใหม่ใน The Continental ไหน ที่คุณคิดว่าแฟน ๆ ได้เห็นแล้วจะตื่นเต้น
คลังอาวุธเป็นสถานที่ผู้ชมทักจะสงสัย อาวุธมาจากไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหล่าอาชญากรรมติดอยู่ในโรงแรม อีกเรื่องก็คือเครื่องปั๊มเหรียญที่เราได้รู้มาจากหนัง ซึ่งน่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเรื่องเลย มันสนุกนะคะ เราต้องหาดูว่าจะออกมาเป็นยังไง ออกมาใช้ได้หรือเปล่า เราพูดคุยกันเรื่องที่มาของเหรีญญทอง เพราะว่าเป็นสกุลเงินในหนัง
โรงแรม The Continental ในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกแตกต่างกันอย่างไร ในอนาคต คิดว่าจะนำเสนอโรงแรมในมุมอื่นของโลกหรือไม่
แต่ละที่ก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง The Continental สาขาโมร็อคโค ก็มีบรรยากาศแบบของเมืองกาซาบลังกา เราได้ไปถ่ายภาคแยก หรือสปินออฟ มราดรงแรม The Ballerina ที่ปราก เพื่อให้เป็นโรงแรม The Continental สาขาปราก ซึ่งเข้าถึงได้ทางน้ำผ่านอุโมงลับ เราพยายามหาลูกเล่นให้เข้ากับสถานที่ ออกแบบและทำออกมาให้น่าสนใจ เราพยายามหาอะไรมาพัฒนา แต่ก็เป็นเพียงเริ่มต้น ผิวเผิน ฉันคิดว่าความงดงามของโรงแรมสักที่หนึ่ง คือด้วยความที่มีห้องเยอะ หลายปีก เราเลยเปิดเผยได้ไม่มากนัก ดังนั้น ใน The Continental เราจึงเสาะหาและเล่าเรื่องราวตัวละครเมซี ที่มีความเกี่ยวข้องกับโบเวอรี คิง (Bowery King) และ The Bowery ในหนัง จึงเป็นโลกจอห์น วิก อีกโลกหนึ่งที่เราเริ่มสำรวจ และเราก็จะลงไปได้ลึกอีกเช่นกันค่ะ
โรงแรม The Continental ที่ไหนอีก ที่คุณอยากสำรวจในอนาคต
ฉันอยากไปถ่ายทำซักหนึ่งตอนที่ลอนดอน เพราะเป็นเมืองที่เรายังไม่เคยไปถ่ายทำอะไรเกี่ยวกับจอห์น วิกเลย เราไม่เคยเห็น The Continental สาขาสหราชอาณาจักรเลย
แฟน ๆ คาดหวังอะไรจากซีรีส์ได้บ้าง
ได้ค้นพบตัวละครหลากหลาย น่าสนใจ มีความสามารถหลายด้าน และก็ฉากบู๊ ฉากต่อสู้สวยงามมากมาย แถมยะงมีหมาด้วย หมาสำคัญจักรวาลจอห์น วิก มากนะคะ เราจึงหาวิธีนำเสนอให้มากขึ้นในซีรีส์
สร้างสิ่งใหม่ในจักรวาลจอห์น วิก ยากมากแค่ไหน ในขณะที่ต้องไม่ให้ผิดไปจากสิ่งที่แฟน ๆ รัก
ยากและท้าทายมาก ที่ต้องต่อยอดจักนวาลที่เป็นที่รักของหลายคน แต่เราคิดว่ายังมีพื้นที่ในซีรีส์ที่เราพูดถึงในหนัง แล้วตัวโรงแรม The Continental เองก็เป็นสิ่งที่เราอยากขุดคุ้ยค้นหา เราเห็นพ้องกันกับความคิดที่นำโรงแรมมาเป็นฉากหลังของซีรีส์ เราทำตามที่เรารู้สึก ทำตามที่เราต้องการ
ชาร์ล็อต แบรนด์สตรอม
(ผู้กำกับตอนที่ 2)
คุณหาทางเข้ามาสู้จักรวาลที่มีคนรู้จักดีอยู่แล้วได้อย่างไร
คุณพยายามหาวิธีที่ดีที่สุดในการบอกเล่าเรื่องราวเพื่อให้น่าสนใจและกระตุ้นอารมณ์ และ The Continental มีตัวละครที่สุดยอดอยู่แล้ว ตอนแรกทที่ฉันได้บท ฉันประทับใจบทที่เขียนมาก ประทับใจวิธีถ่ายทอดตัวละคร เพราะมันเป็นซีรีส์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละครจริง ๆ และฉันคิดว่าสิ่งที่ทําให้ซีรีส์ออกมาดีก็คือตัวละครที่แข็งแกร่ง ตัวละครที่คุณเฝ้าติดตาม
ทำไมซีรีส์ถึงเป็นนิวยอร์กยุค 70
ซีรีส์นี้เล่าเรื่องราวของวินสตันตอนหนุ่ม และฉันมีบางฉากที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กปี 1955 ด้วย เพราะจะนำเสนอวัยเด็กของเขา เห็นเบื้องหลังของเขา ดังนั้น จึงเป็นยุค 70 เป็นช่วงหลายปี The Continental อย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์
ช่วยเล่าเรื่องตัวละครเจงกินส์หน่อย
เจงกินส์เคยอาศัยอยู่ที่ The Continental และยังรู้จักพ่อของลูและไมล์ส รวมถึงเรื่องราวของครอบครัวนี้อย่างดีอีกด้วย เขาเป็นคนที่รู้ตัวว่าแก่ขึ้นทุกวัน เขามองไม่อะไรไม่ค่อยเห็นแล้ว แต่ยังคงเป็นมือปืนและนักฆ่าที่น่าทึ่ง แต่อ่อนแอลงและรู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้น เขาจึงเข้ามาในแก๊ง หาเพื่อนใหม่และออกจากบ้าน เขารักและห่วงใยลูและไมล์สมาก เขาเป็นตัวละครที่มีสีสัน และเป็นนักฆ่าที่ไม่เหมือนใคร
คุณคิดว่ามีความเท่าเทียมกันทางเพศบ้างหรือไม่ในแวดวงการกำกับหนังหรือซีรีส์
ฉันรู้สึกว่ายิ่งฉันทํางานเป็นผู้กํากับมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งทํางานได้ดีขึ้นเท่านั้น และฉันก็ยิ่งช่วยให้ผู้หญิงคนอื่น ๆ ด้วย ฉันเริ่มกำกับเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งมันไม่ง่ายเหมือนทุกวันนี้ และไม่ใช่ว่ามันกลายเป็นเรื่องง่าย แต่มันเป็นการต่อสู้ในฐานะผู้หญิงมาโดยตลอด ฉันรู้สึกว่ามันเริ่มดีขึ้น ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น สุดท้ายแล้ว ฉันคิดว่าวันนี้เรากําลังเปิดประตู ฉันหวังว่ามันจะช่วยเปิดประตูสําหรับผู้หญิงคนอื่น ๆ ด้วยค่ะ
ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งสําคัญที่จะเข้ามาในจักรวาลเหล่านี้ และเป็นผู้กำกับหญิง เพราะนี่แสดงให้เห็นว่าเราก็สามารถทําได้เหมือนกัน จริงมั้ยคะ
ลาร์เนล สโตวัล
(ผู้ประสานงานสตันท์)
คุณเป็นแฟนของจักรวาลจอห์น วิก ได้อย่างไร
นอกจากแอ็คชันแล้ว ยังเป็นพัฒนาการของตัวละครที่ยอดเยี่ยมต่อจากภาพยนตร์เรื่องแรกด้วย คุณจะเห็นสามีที่สูญเสียภรรยา มีประสบการณ์ว่าการสูญเสียนั้นเป็นเช่นไร และเห็นการเชื่อมโยงกัน เมื่อต้องเปิดใจกับคนที่กําลังจะตายและเห็นช่วงเวลาสุดท้ายนั้นแล้ว นอกจากนั้น ยังเห็นว่าทิ้งของขวัญอะไรเอาไว้ ซึ่งเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ในการสูญเสียชีวิต เธอใช้ลูกหมาเป็นตัวแทนชีวิต และได้เห็นลูกหมาตัวนั้นตายเช่นกัน จากจุดนั้นเอง ฉันคิดว่าผู้ชมคงจะบอกว่า “โอ้ ฆ่ามัน” และเมื่อถึงจุดนั้น คุณก็จะผูกพันกับตัวละคน เฝ้าดูการเดินทางของเขา และค้นหาว่าเขาเป็นใคร เพราะเขาได้ทิ้งชีวิตนั้นเอาไว้ข้างหลังแล้ว
The Continental ซีรีส์ต่างจากหนังจอห์น วิก อย่างไร
ฉันตื่นเต้นที่ได้เห็นความแตกต่างบ้าง โรวแรม The Continental มีอยู่จนถึงปัจจุบัน ในซีรีส์ เราอยู่ในยุค 70 เราติดตามเรื่องราวของคนสองคนที่เรารู้จักแล้ว ก็คือ ชารอนและวินสตัน เราจะเห็นทั้งสองคนในวัยรุ่น เห็นว่าพวกเขากลายเป็นตัวตนของพวกเขาในปัจจุบันอย่างไร ดูการเดินทางของพวกเขาไปสู่สิ่งที่เรารู้จักพวกเขาในปัจจุบัน แต่ด้วยความที่เป็นยุค 70 เลยมีดนตรี น้ำเสียง สีสัน สไตล์ของ The Continental ในยุค 70 อัลเบิร์ตร่วมกับแอนดรูได้สร้างออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ให้เป็นตัวแทนของช่วงเวลานั้น ความรุนแรง การใช้โทนสีด้วย
คุณวางแผนฉากต่อสู้และสตันท์เด็ด ๆ ในซีรีส์อย่างไร
ขั้นตอนแรกคือเขียนบท เอามาตีความ แล้วดูว่าโทนจะออกมาเป็นยังไง ดูว่าจะใส่แอคชันลงไปในบทยังไง ดูว่าตัวละครมีลักษณะยังไง จากนั้นก็สร้างโปรแกรมการฝึกภายในเวลาที่กําหนด คุณต้องทําให้นักแสดงสะท้อนลักษณะของตัวละครออกมาให้ดีที่สุด ในหนังจอห์น วิก เราได้คีอานู เขาฝึกยูโดและฝึกเทคนิคต่าง ๆ แล้วก็เอามาผสมผสานกัน ผมจำได้ว่าเขาเรียกว่า กันฟู (gun fu) แล้วตอนนี้เรามีอีกเวอร์ชันหนึ่งเพราะมีตัวละครต่าง ๆ มากมาย เราต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวละครแต่ละตัว และสะท้อนให้เห็นสไตล์ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปืน คาราเต้ มวยไทย หรือผสมผสานยูโดกับอื่น ๆ ในแบบเดียวกัน
คุณได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉากยิงปืนและ “กันฟู” ในหนังจอห์น วิก หรือไม่
สิ่งที่ได้ออกแบบคือเอามาผสมผสานกัน คีอานูไปฝึกการใช้ปืนที่ Taran Tactical ซึ่งเป็นสถานฝึกยิงปืนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เขาคิดวิธีการที่คีอานูเรียนรู้การใช้ปืน อธิบาย เล่าเรื่องราวของปืนชนิดต่าง ๆ แล้วก็มีแนวคิดต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับปืนที่ใช้ในหนังของจอห์น วิก ทุกเรื่อง จึงเป็นการปูทางเอาไว้แล้ว แล้วเราก็ได้ 87eleven ซึ่งเป็นทีมออกแบบการต่อสู้ เอาการต่อสู้แบบยูโดมาใช้ ผมชอบการผสมผสานระหว่างยูโดและปืน จนกลายเป็นแบบฉบับของจอห์น วิก ในจักรวาลของเรา คือ The Continental นั้น เราก็มีตัวละครมากมายเหมือนกันที่เราอยากให้มีสไตล์ของตัวเอง ไม่เหมือนจอห์น วิก เพราะเราอยู่ในอดีต เราจึงอยากให้แน่ใจว่า คนที่มีปืน จะต้องผ่านการฝึกฝน วิธีการใช้ และนำไปผสมผสานกับสไตล์ของแต่ละคน จึงอาจจะไม่มี กันฟู มากนัก เราจะมีอะไรที่เข้ากันกับตัวละครของ The Continental มากกว่า
การออกแบบสตันท์หรือฉากต่อสู้ให้ไมล์สกับเลมมีเป็นอย่างไร
ไมล์สกับเลมมีเป็นเพื่อนสนิทกัน เหมือนเป็นพี่น้องกัน ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย มีอดีตเหมือนกัน ทั้งสองคู่เป็นเหมือนคนที่ยุ่งเกี่ยวกับปืนมากใน The Continental เพราะเป็นคนค้าอาวุธ จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับปืน ไมล์สเป็นตัวละครที่เจ๋งที่สุดโดยที่เราสามารถเอาไปเปรียบกับคีอานูได้ เป็นคนที่เล่นกับปืน เขาจะเป็นตัวละครที่สะท้อนการผสมผสานระหว่างการใช้ปืนและศิลปะการต่อสู้
การออกแบบการต่อสู้ให้ไมล์สเป็นอย่างไรบ้าง
เขาเป็นตัวแทนคาราเต้ ซึ่งนิยมกันมากในยุค 70 มีสไตล์ต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นสไตล์ญี่ปุ่น โอกินาวา หรือโชโตะกัน ไมลส์จึงเป็นกูรูด้านคาราเต่เช่นเดียวกันลู แต่ลูต่อต้านปืนและก็เป็นตัวแทนของคาราเต้ด้วย เราอยากให้ไมลส์ได้มีโอกาส เราเห็นเขากับปืน เพราะต้องป้องกันตนเอง เขาเชี่ยวชาญมาก รวดเร็ว เราเอามาผสมผสานกับคาราเต้ คล้าย ๆ กับที่จอห์น วิก ผสทผสานยูโดกับปืน
แล้วการออกแบบการต่อสู้ให้เคทล่ะ
เคทมีพลังเยอะมาก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ แข็งแรง คุณจะเชื่อในเทคนิคของเธอ เมื่อเธอปล่อยมัด ก็จะปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งศอก ทั้งเข่า มีพลัง ซึ่งเป๋นสิ่งที่ผู้ชมต้องการ คุณจะเชื่อฉากต่อสู้ คุณจะรู้สึกถึงแรงกระทบ คุณจะเห็นคนคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องแล้วจัดการกับคนอีก 5-6 คนได้ คุณเชื่อเธอ เธอผสมผสานมวยไทยและมวยฮ่องกง เธอรวดเร็ว ฉับไว เธอสามารถทำท่าการต่อสู้ได้ 10-15 ท่ารวดเดียวไม่มีตัด แลไม่ต้องซ่อนอะไรในกล้องเลยคุณอาจจะหยุดให้เธอหายใจสักพัก แล้วปล่อยให้เธอใช้เทคนิคเอง เราโชคดีที่เธอสามารถทำออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกครั้งเลยทีเดียว
ทำงานร่วมกับมาร์คและมารีนาเป็นอย่างไรบ้าง
เราโชคดีที่ได้ทำงานร่วมกับมาร์คและมารีนา ทั้งสองคนใช้ประสบการณ์และพรสวรรค์ของตัวเอง เราแค่ทำให้สวยงามขึ้นจากสิ่งที่ทั้งสองคนทำได้ดีอยู่แล้ว มารีนาคือคนที่น่าทึ่งมาก เธอเป็นนักกายกรรมดัดตนและเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ คุณจะทึ่งเมื่อเห็นการผสมผสานกันระหว่างเทคนิคทั้งสองนั้น พอคุณเห็นเธอแสดง คุณอาจจะคิดว่าเธอใช่คนหรือเปล่า ส่วนมาร์คก็เป็นคนเยือกเย็น นักฆ่าที่เยือกเย็น ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่พอถึงเวลาต้องสู้ เราจะเห็นว่าเขามีความกล้าบ้าบิ่นในสายเลือดและยังสงบสุขุมอีกด้วยในเวลาเดียวกัน เหมือนเป็นเรื่องปกติของเขา ราวกับว่าเขาเบื่อการฆ่าฟันเต็มทนแล้ว เขาอยู่ในวงการมานานเกินไปแล้ว เราเรียกทั้งสองว่าเป็นคู่ประหลาดที่มีเอกลักษณ์ เป็นทีมสองศรีพี่น้อง เวลาเห็นทั้งคู่ด้วยกัน มันจะตื่นตาตื่นใจมาก
คุณคิดว่าสไตล์การต่อสู้ของวินสตันเป็นอย่างไร
ในด้านเทคนิคแล้ว วินสตันไม่มีสไตล์เฉพาะ เขาเป็นนักวางแผน เป็นคนคิด ต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด จริงอยู่ที่เขาชกต่อยได้ ปกป้องตัวเองได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องศิลปะการต่อสู้ เขาไม่มีประสบการณ์เลย แต่เราต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะเราต้องการให้เขาเติบโตเป็นวินสตันที่เรารู้จักและรักจากหนังจอห์น วิก ตอนที่เขาแก่ขึ้น สิ่งที่เราต้องนำเสนอก็คือ ในช่วงที่หน้าสิ่วหน้าขวาน ในสถานการณ์คับขัน เขาพยายามหาทางออกได้อย่างไร
กระบวนการการสร้างฉากต่อสู้เริ่มต้นอย่างไร
ทุกอย่างเริ่มจากบทก่อน เราทำงานอย่างใกช้ชิดกับอัลเบิร์ตและเคิร์ก เราจัดลำดับ แบบนั้นแบบนี้ ต้องทำตามเนื้อเรื่องและค้นหาวิธีใหม่ ๆ ด้วย พวกเขาชอบและเห็นด้วย จากนั้นเราก็เริ่มถ่ายทำ ซึ่งเรียกว่า stunt vis reference คือนำเอาลำดับในบทออกมาใช้ในชีวิตจริง บางครั้งทำตามที่ซ้อมกันในโรงยิม บางครั้งก็ที่สถานที่ถ่ายทำ การออกแบบจะทำให้เรารู้ว่าจะถ่ายออกมายังไง จะต้องใช้เวลาแค่ไหน และต้องให้เสร็จตามกำหนด แต่ก็ยังหาทางเลือกที่สร้างสรรค์ต่าง ๆ ด้วย แม้ว่าจะเสร็จงานวันนั้นแล้วก็ตาม เป็นการทำงานแบบทีมจริง ๆ โดยมีผู้กำกับและ showrunner มาร่วมทำงานในฉากและลำดับฉากการต่อสู้ด้วย
ดรู เบอตัน
(ออกแบบการผลิต)
คุณคุ้นเคยกับจักรวาลจอห์น วิก มากน้อยแค่ไหน
ผมเคยดูจอห์น วิก ภาค 3 ในโรงภาพยนตร์ ผมชอบมาก หนังยอดเยี่ยมมาก ในโรง ผมนั่งคิดว่า “โอ้โห อยากทำอะไรออกมาให้ได้แบบนี้จัง” หลังจากนั้นไม่กี่ปี ผมก็ก็ได้รับโอกาสให้ย้อนเวลากลับไป แล้วนำแนวคิดในช่วงทศวรรษที่ 1970 เป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นมากครับ
ต่างจากโลกที่สร้างในซีรีส์นี้อย่างไร
มันเป็นโลกมหัศจรรย์ เรียบง่าย สวยงาม ในโลกของเรื่อง มีความชัดเจนที่สวยงามในการดำเนินเรื่อง เป็นโลกวิเศษในความเรียบง่าย และยังมีเรื่องสะเทือนอารมณ์ น้ำหนักและเนื้อเรื่องที่ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ฉากยุค 70 เป็นอย่างไรบ้าง
สิ่งที่น่าทึ่งในโอกาสที่ได้เสนอโลกของจอห์น วิก ในยุค 70 ก็คือ หนังทุกเรื่องในจักรวาลนี้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนั้น ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องใหม่ ถ้าออกไปเดินบนถนนในนิวยอร์กตอนนี้ คุณก็จะถ่ายทำหน้งจอห์น วิก ได้ แต่คุณถ่ายหนังจอห์น วิก ในยุค 70 ไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะทุกอย่างต้องย้อนยุค เราจึงมีโอกาสได้เห็นแท็กซี่แบบวินเทจ แบบสมัยนั้น อัลเบิร์ตอยากให้มีแท็กซี่ที่เหมือนแท็กซี่ในหนังเรื่อง Taxi Driver เราจึงสร้างโปรเจคออกมาเป็นแบบนั้น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจากหนังเรื่องอื่น ๆ และหนังแนวอื่น ๆ
ด้วยความที่เราย้อนเวลากลับไปและเป็นช่วงอดีต เราจึงปรับเปลี่ยนและหาสไตล์ใหม่ ทำให้ซีรีส์นี้มีเอกลักษณ์ เหมือนเราเติมเครื่องปรุงใหม่ลงไป ทำให้น่าตื่นเต้นขึ้น
ทำงานกับผู้กำกับในการทำให้จินตนาการเป็นจริงเป็นอย่างไรบ้าง
อัลเบิร์ต (ฮิวช์) เป็นกูรูทางด้านภาพยนตร์ มีพรสวรรค์ นี่คือเรื่องจริง เป็นผู้กำกับที่เตรียมตัวมาอย่างดีที่สุดที่ผมเคยทำงานด้วยเลย ในแง่ของเรื่องการอ้างอิงไปถึงภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ การวางสตอรี่บอร์ด มุมกล้องต่าง ๆ เขาประสบความสำเร็จและมีความรู้กี่ยวกับภาพยนตร์มากมาย ดังนั้น ผมดีใจและมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทำงานกับเขา ทุกคนในซีรีส์ยอดเยี่ยมหมด ส่วนชาร์ล็อต (แบรนด์สตรอม) ผู้กำกับตอนที่ 2 ก็ยอดเยี่ยมและน่าทึ่ง เป็นการทำงานที่ดี ผมได้ร่วมกับเพื่อนเก่าและมีเพื่อนใหม่อีกหลายคน เป็นงานที่สุดยอดจริง ๆ ครับ
แล้วการนำเสนอตัวโรงแรม The Continental เองล่ะ
ผมคิดได้อย่างหนึ่ง ในหนัง คุณจะเห็นโรงแรมในรูปแบบที่มันควรจะเป็น คือแบบปกติ พื้นที่ภายในอันโอ่อ่าที่คุณมองมาจากภายนอกตัวตึก คุณคงคิดว่า จะเข้ากันได้ยังไง แต่นั่นไม่เป็นไรเลย เพราะมันคืออาคารมหัศจรรย์ เราจึงใช้โอกาสทำแบบนั้น ทำให้ภานในเก่าแก่ขึ้น และมาค่อยใช้เทคโนโลยีมากนัก โรงแรมมีระบบท่อยางในส่วนต่าง ๆ ของอาคาร เราหมุนเข็มนาฬิกาเล็กน้อยในพื้นที่ล็อบบี้และที่อื่น ๆ
แล้วฉากในความจริงเป็นอย่างไร
โรงแรม The Continental Hotel มีอยู่ตามที่ต่าง ๆ เราได้สถานที่ที่น่าสนใจ นั่นคืออดีตสถานทูตอังกฤษในบูดาเปสต์ สวยงามสุดยอด เป็นอาคารในยุคสงครามเย็น มีทางเดินลับน่าสนใจมาก มีห้องทำลายเอกสาร มีสิ่งสวยงามในอาคารเก่าแก่นี้ เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการถ่ายทำมาก เราอาคารจำลองภายนอกที่โอริโก เป็นการสร้างฉากที่อลังการมาก
เรามีทางเดินภายใน ห้องต่าง ๆ ตามชั้นต่าง ๆ ในหลาย ๆ ที่ กลายเป็นโรงแรมใหญ่ที่มีหลายชั้น
ช่วยเล่าเรื่องฉากโรงฝึกในไชน่าทาวน์หน่อย
ฉากนี้เราสร้างขึ้นที่โอริโก ในเรื่องใต้ฉากนี้จะเป็นลานโบว์ลิ่ง ซึ่งสร้างขึ้นมาต่อกัน ฉากในเรื่องทั้งสองนี้อยู่ซ้อนกัน โดยมีประตูลับเชื่อมระหว่างชั้น แน่นอนครับ ประตูที่ว่าไม่ได้เชื่อมต่อกันจริง ๆ นักแสดงแค่เปิดประตูเข้าไป แล้วออกมาในอีกฉากหนึ่ง แนวคิดมาจากอาคารนักกีฬาในช่วงทศวรรษที่ 1890 ซึ่งเป็นยุคที่เป็นไม่ได้เลยที่จะมีอะไรอย่างลานโบว์ลิ่งที่ชั้นใต้ดิน และมีโรงยิมขนาดใหญ่ที่ชั้น 1 ซึ่งตัวละครของเราจะต้องใช้ และทำให้เป็นโรงฝึก โดยมีธุรกิจลักลอบค้าอาวุธและลานโบว์ลิ่งใต้ดิน
ดังนั้น เราจึงเอาความคิดนี้มาสร้างฉากขึ้นมาสองฉาก สำหรับผม มันคือฉากที่น่าสนใจมากที่สุดฉากหนึ่ง ได้รับโอกาสที่คนเขียนบทให้มา น่าทึ่งมาก พอคุณอ่านบทและบอกว่า “เอาแล้ว เราจะต้องมีโรงฝึกและสถานที่ค้าอาวุธ” เมื่อคุณได้ประโยคนี้ คุณก็จะได้ความคิดที่จะสร้างสุดยอดฉากขึ้นมา ผมรักมาก
มีรายละเอียดที่คุณหวังว่าผู้ชมจะเห็นหรือไม่
ผมหวังว่าผู้ชมจะเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ ฝังตัวอยู่ ที่แฟน ๆ ที่เคยดูหนังจะจำกันได้ มีหน้าต่างเตาผิงกลม ๆ ที่คุณต้องตั้งใจดูหนังจึงจะรู้ ถ้าคุณได้ดู คุณก็จะเห็น ผมว่าสนุกมากที่ได้วิเคราะห์หนังทั้ง 3 ภาค และต้องดึงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมาใส่ที่นี่ เพื่อเหมือนเป็นการให้เกียรติ ดึงเอาบางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนและทำให้สวยงามขึ้น
ในบางกรณี เราให้ให้สิ่งของเก่าขึ้น เพราะเป็นโลกปัจจุบันที่เราอยู่ เรื่องนี้ก็สนุกเหมือนกัน บางครั้ง เราต้องลอกชั้นที่เคยได้รับการซ่อมแซมออกด้วย ซึ่งคงเกิดหลังจากเราหลายปี แต่เราก็เก็บบางอย่างไว้ให้แฟนจำได้ด้วย
ซารา อาร์เธอร์
(ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
แต่งตัวให้ตัวละครในซีรีส์นี้เป็นอย่างไรบ้าง
เรื่องนี้มีตัวละครมากมายหลากหลาย มีเสื้อผ้าสไตล์ต่าง ๆ มากมาย ฉันได้ลองทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง โดยทำผ่านเครื่องแต่งกายหลากสีสัน
ยุคมีผลต่อการเลือกใช้เครื่องกายในซีรีส์หรือไม่
เราตั้งเอาไว้ว่าเป็นยุค 70 กลางทศวรรษที่ 1970 และ Studio 54 ในปี 1977 เราจึงทำให้ออกมาดูเป็นยุค 70 ทั้งหมด สร้างลวดลายใหม่ ต่อยอดออกมาจากลวดลายในยุค 70 ให้ออกมาดูสวยหรูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ
คุณออกแบบเครื่องแต่งกายให้คอร์แมคอย่างไร
คอร์แมคเป็นคนมีอำนาจ ร่ำรวย เป็นผู้ดูแลโรงแรม The Continental ดังนั้น ต้องออกมาแนวเดียวกับวินสตัน เป็นสูทสามชิ้น แต่ทำให้ดูแข็งแรงขึ้น ดูทรงพลังขึ้น ลายพินสไตรป์กว้างขึ้น รองเท้าหนังแบบออกฟอร์ดสุดคลาสสิก ผูกผันคอ มีผ้าเช็ดหน้า คิดเข็มกลัดที่เป็นมรดกตกทอดจากรากไอริชของเขา และแน่นอนที่สุด ใช้ผ้าที่แพงและสวยหรูที่สุด
คุณใช้เสื้อผ้าดั้งเดิมหรือเปล่า
ฉันใช้เสื้อผ้าดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Studio 54 ฮาร์เลม และฉากในร้านอาหาร ร้านอาหารอังกฤษ ตัวละครหญิงส่วนใหญ่จะใส่เสื้อผ้าดั้งเดิม เพราะเป็นฉากเล็กกว่า จึงทำให้เห็นรายละเอียดได้ง่ายมาก สรุปก็คือ เราใช้เสื้อผ้าดั้งเดิมของยุคเยอะมากค่ะ
คุณมีชิ้นที่คุณชอบที่สุดหรือไม่
มิเชลที่รับบท เคดี ใส่เสื้อโค้ทหนังฟอกที่จากยุค 70 สวยงามค่ะ ส่วนบนเป็นโซ่ทองสวยงาม ซึ่งก็เป็นของยุค 70 มีชุดจั๊มสูทแบบ Oscar de la Renta สวยงามน่าทึ่ง มีหลายชิ้นค่ะ บอกไม่ได้หมด ทุกชิ้นคืองดงามที่สุด
คุณแต่งตัวโคลินที่รับบทเป็นวินสตันอย่างไร
วินสตันเป็นตัวละครจากหนังในจักรวาลจอห์น วิก ฉันต้องดูดีดี แล้วตัดสินใจทำตามที่ที่เขามา เขาสวมเนคไท ร้องเท้าบูทแบบนักธุรกิจ และก็สูทสามชิ้น
แล้วการแต่งตัวของตัวละครอย่างเลมมี ไมลส์และลู ล่ะ
ทั้งสามคนอาศัยอยู่ในไชน่าทาวน์และยังเป็นหนุ่มสาวกันอยู่ เลมมีไม่ค่อยตามแฟชั่นแต่แปลกแหวกแนว ฉันต้องหาอะไรที่มันไม่เหมือนใคร มีสีสัน เครื่องแต่งกายของนักแสดงหลักส่วนใหญ่จะตัดเย็บมาแล้ว ดังนั้น ก็แค่หาชุดที่เข้ากับตัวละครแต่ละตัว และต้องมีสีสัน สามคนนี้เป็นสามคนที่มีสีสัน สีของลูจะเป็นสีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีม่วงแดง เสื้อโค้ทของลอกมาจากเสื้อโค้ทดั้งเดิมของยุค 70 เราหาผิวภายนอกเพราะชุดต่าง ๆ เพราะเราลอกแบบในซีรีส์ แม้ว่าฉันจะชอบใช้ชุดดั้งเดิมก็ตาม แต่ก็ยุ่งยากพอสมควรสำหรับนักแสดงหลัก อย่างไรก็ตาม เราก็จะลอกแบบชุดดั้งเดิมด้วย เสื้อโค้ทหนังตัวใหญ่ของเลมมีเป็นชุดดั้งเดิม และเราก้ได้ลอกแบบแล้วด้วย
คุณหาชุดดั้งเดิมมาจากที่ไหน
ฉันไปหาที่ลอนดอน แถวย่านปอร์โตเบลโล ฉันได้ผู้จัดหาชุดดั้งเดิมที่ยอดเยี่ยมมาก คุณไม่สามารถลอกแบบบางชุดได้ เพราะตัดเย็บมาอย่างสวยงามและมีเอกลักษณ์ ใน Studio 54 เราจึงมีชุดดั้งเดิมจำนวนมาก ฉันต้องค้นหามากมายจากยุคนั้น เราเลียนแบบชุดแท้ ๆ สำหรับศิลปิน ซึ่งคุณไม่สามารถลอกแบบได้ บิอังกา แจ็กเกอร์และบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนก็ไปที่ Studio 54 แต่มีอะไรให้คุณหามากมาย เราจึงได้ชุดที่มีอยู่ในสมัยมากมาย
แล้วเครื่องประดับต่าง ๆ ในชุดที่เอามาใช้ล่ะ
ผู้คนในยุค 70 ใส่แว่นตากันเยอะ เพราะตอนนั้นยังไม่มีคอนแทคเลนส์ ฉันจึงหาแว่นจากยุค 70 ได้ประมาณ 1,500 คู่ ซึ่งหาได้ใสนบูดาเปสต์ แล้วเราก็เอาไปเปลี่ยนเป็นเลนส์แบน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ เครื่องประดับ จะช่วยส่งเสริมเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหรือเครื่องเพชรพลอย ต้องให้เสื้อผ้าและเครื่องประดับต่าง ๆ ไปด้วยกัน
คุณได้รับอิทธิพลจากเครื่องแต่งกายในหนังจอห์น วิก หรือไม่
เราพยายามแสดงให้เห็นว่าโรงแรม The Continental มาจากไหน พัฒนามากจากที่ไหน แน่นอนค่ะ ต้องมีอะไรที่คล้ายกัน โดยที่ไม่ทิ้งอะไรไปมากนัก เรานำเอาตัวละครมาจากหนังจอห์น วิก แต่เป็นยุค 70 ฉันจึงพยายามสร้างให้เครื่องแต่งกายให้ดูตามสมัยและสมาร์ท เพราะจอห์น วิก เป็นหนังที่มีสไตล์เฉพาะ มีฉากบู๊ แอคชันมากมาย แต่เครื่องกายก็ต้องสวยงามด้วย เราจึงทำเช่นเดียวกันนี้กับซีรีส์ The Cotinental