Napoleon เป็นภาพยนตร์แอ็กชันอีพิคที่เต็มไปด้วยภาพน่าตื่นตาตื่นใจ และเล่าเรื่องราวการผงาดขึ้นสู่อำนาจของจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต ผู้โด่งดัง ซึ่งรับบทโดยนักแสดงรางวัลออสการ์ วาคิน ฟินิกซ์ ท่ามกลางฉากหลังน่าทึ่งของการถ่ายทำสเกลใหญ่ภายใต้การควบคุมของผู้กำกับในตำนาน ริดลีย์ สก็อต ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ถ่ายทอดการเดินทางอย่างไม่ลดละบนเส้นทางอำนาจของโบนาปาร์ต ผ่านทางมุมมองความสัมพันธ์ที่ยึดติดและแปรเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วระหว่างเขากับ โจเซฟิน หญิงสาวที่เป็นรักแท้หนึ่งเดียวของเขา แสดงให้เห็นถึงกลยุทธทางการเมืองและการทหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลของเขา ในซีเควนซ์สมจริงที่มีชีวิตชีวาที่สุดเท่าที่เคยมีการถ่ายทำมา
โคลัมเบีย พิคเจอร์สและแอปเปิล ออริจินอล ฟิล์มส์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยสก็อต ฟรี ภาพยนตร์โดยริดลีย์ สก็อต Napoleon ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยวาคิน ฟินิกซ์และวาเนสซา เคอร์บี้ กำกับโดยริดลีย์ สก็อต เขียนบทโดยเดวิด สการ์พา อำนวยการสร้างโดยริดลีย์ สก็อต, เควิน เจ. วอลช์, มาร์ค ฮัฟแฟมและวาคิน ฟินิกซ์ ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่เรย์มอนด์ เคิร์ค, เอเดน เอลเลียตและไมเคิล พรัส ผู้กำกับภาพคือดาเรียส โวลสกี้, เอเอสซี ผู้ออกแบบงานสร้างคืออาร์เธอร์ แม็กซ์ ลำดับภาพโดยแคลร์ ซิมป์สันและแซม เรสติโว ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือแจนตี้ เยทส์และเดฟ ครอสแมน ดนตรีโดยมาร์ติน ฟิปส์
Napoleon จะเข้าฉายพิเศษในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกในวันที่ 22 พฤศจิกายน ปี 2023 ก่อนที่จะแพร่ภาพทั่วโลกทางแอปเปิล ทีวีพลัส
ชีวิตที่น่าหลงใหล
ชีวิตที่น่าหลงใหลของนโปเลียน โบนาปาร์ต หนึ่งในผู้นำทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ได้กระตุ้นให้เกิดทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียงชื่นชมจากนักวิชาการ นักการเมืองและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตัวเขาเอง การทะยานสู่อำนาจและการทัพที่โหดเหี้ยมและเต็มไปด้วยกลยุทธของเขามีชื่อเสียงระบือไกลและส่งอิทธิพลต่อคนรุ่นหลังๆ ตามมา ตั้งแต่วินสตัน เชอร์ชิล ไปจนถึงฟรีดิช นีทเชอ
นโปเลียนเป็นผู้ที่ไร้ปรานีในสงคราม ทรราชย์ในประเทศของเขา แต่ก็เป็นผู้ปลดปล่อยผู้สร้างตัวจากความไม่มีอะไรเลยและเป็นหนึ่งในบุคคลแรกๆ ในประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า พรสรรค์ความเป็นผู้นำนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากทุกชนชั้น ความสำเร็จของเขาในสมรภูมิได้ก้าวสู่ระดับตำนานไปแล้ว ความปราดเปรื่องด้านกลยุทธและความอำมหิตอันเลื่องชื่อของเขาขจรขจายไปไกลถึงขั้นที่โลกต้องอาศัยกองกำลังยุโรปเจ็ดฝ่ายรวมตัวกันถึงจะกำราบเขาลงได้ แต่นอกสนามรบ ความคลั่งไคล้ที่เขามีต่อ โจเซฟิน หญิงคนรัก ภรรยาของเขา จักรพรรดินีของเขา เป็นสิ่งที่กำหนดชีวิตของเขาได้มากพอกับการรบครั้งใดๆ ก็ตาม
สำหรับผู้กำกับผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด ริดลีย์ สก็อต (Gladiator, Thelma and Louise, Black Hawk Down) เรื่องราวนั้น – การผงาดขึ้นสู่อำนาจอย่างรุ่งโรจน์ของอัจฉริยะทางการทหาร โอกาสในการแสดงให้เห็นถึงแง่มุมสองด้านและสภาพจิตใจของเขาในสเกลที่ยิ่งใหญ่ในแบบที่ผู้กำกับน้อยคนนักจะพยายามได้ – เป็นสิ่งที่เขาต้องการจะนำสู่จอเงินมาหลายปีแล้ว “ผมชื่นชอบดรามาอิงประวัติศาสตร์ เพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าสนใจเหลือเกินครับ” เขากล่าว “ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับนโปเลียนเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เขาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ และเขียนหนังสือการปกครองขึ้นมาใหม่ครับ”
แต่ยิ่งไปกว่านั้น นโปเลียนยังเป็นตัวละครที่น่าหลงใหลสำหรับภาพยนตร์ด้วยเพราะเขาก็เหมือนพวกเราหลายๆ คนที่เป็นนักโทษผู้ถูกจองจำจากหัวใจและอารมณ์ของตัวเอง “นอกเหนือจากการที่เขาเป็นนักกลยุทธที่เหลือเชื่อ และเป็น
นักการเมืองที่น่าอัศจรรย์ มีสัญชาตญาณเฉียบคม และไร้ปรานี…ผมรู้สึกทึ่งกับการที่ผู้ชายแบบนี้ ผู้แม้จะอยู่ระหว่างการบุกยึดมอสโคว์ ก็ยังสามารถหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ภรรยาของเขาทำในกรุงปารีสได้น่ะครับ”
ผู้อำนวยการสร้างมาร์ค ฮัฟแฟม ผู้ทำงานในโปรเจ็กต์มากมายของสก็อตตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึง House of Gucci, The Martian และ Prometheus กล่าวว่า Napoleon เป็นภาพยนตร์ที่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ การยืนหยัด ทักษะและประสบการณ์ของริดลีย์ สก็อต และมีผู้กำกับเพียงไม่กี่คนที่หาญกล้าพอที่จะสร้างภาพยนตร์แบบนี้ “หนังเรื่องนี้มีสเกลยิ่งใหญ่ที่ผมคิดว่าคุณคงจะเห็นในอนาคตไม่บ่อยนักหรอกครับ” เขากล่าว “มีผู้กำกับเพียงไม่กี่คนในโลกใบนี้ที่มีความรู้และประสบการณ์ที่จะสร้างหนังแบบนี้ และถ่ายทำด้วยกล้องจริงๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ”
แล้วใครจะโทษพวกเขาได้ล่ะ? เพราะนโปเลียนขึ้นชื่อว่าเป็นหัวข้อที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์หลายๆ คน โดยเฉพาะสแตนลีย์ คูบริค ผู้ซึ่งภาพยนตร์เกี่ยวกับนโปเลียนไม่เคยสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างเลย ผู้อำนวยการสร้างเควิน วอลช์มองเห็นความปรารถนาที่จะสานต่อจากสิ่งที่คูบริคทิ้งเอาไว้ในตัวของสก็อต “คูบริคเป็นหนึ่งในฮีโรของริดลีย์” เขากล่าว “คูบริคพยายามจะสร้าง Napoleon แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้น ตอนที่ผมถามริดลีย์เมื่อหลายปีก่อนว่า ‘หนังแบบไหนที่คุณยังไม่สามารถสร้างได้‘ คำตอบของเขาก็คือ ‘Napoleon’ น่ะครับ”
ความหลงใหลที่สก็อตมีต่อผู้นำคนนี้และยุคสมัยดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ The Duellists ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา มีเรื่องราวเกิดขึ้นในยุคนโปเลียน เขากล่าวว่า นั่นเป็นภาพยนตร์ที่เขาได้เห็นด้วยตัวเองว่าทำไมผู้ชมถึงตอบสนองกับเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์และอย่างไร “ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าสนใจเพราะเราไม่ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดทั้งหมดของเรา” เขากล่าว สก็อตกล่าวว่า ในแง่นั้น ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ได้ครอบคลุมเหตุการณ์สองร้อยปีในอดีต ที่กลั่นกรองผ่านมุมมองของศิลปิน และกลายเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับปัจจุบัน
และในฐานะผู้กำกับ สก็อตรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า เขามีความรับผิดชอบต่อทั้งประวัติศาสตร์และศิลปะ เขาได้สร้างภาพประทับของบุคคลในแบบที่ทำให้พวกเขาโลดแล่นมีชีวิตขึ้นมาต่อหน้าผู้ชม “ประมาณหนึ่งปีหลังจากที่ผมสร้าง Gladiator ผมก็ได้รับจดหมายจากอาจารย์อาวุโสคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง” สก็อตกล่าว “เขาบอกว่า ‘ผมอยากขอบคุณคุณที่ทำให้อาณาจักรโรมันมีชีวิตขึ้นมา’ มันทำให้นักศึกษาของเขากระตือรือร้นกับหัวข้อนั้นครับ” สก็อตเปรียบเทียบการสร้างภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์กกับ “สมการทางคณิตศาสตร์ ว่าสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นหรือสิ่งนั้นอาจเกิดขึ้นได้ มันมาจากการค้นคว้าข้อมูลและคุณก็ตัดสินใจครับ”
สก็อตกล่าวว่าเขาถูกดึงดูดเข้าหาแนวคิดของการสำรวจสภาพจิตใจของตัวละครนโปเลียนตามที่เขาเป็นด้วยการถ่ายทำภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจของสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของเขา “ผมคิดว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนยังหลงใหลในตัวนโปเลียนเพราะเขาซับซ้อนเหลือเกินครับ” เขากล่าว “ไม่มีวิธีง่ายๆ ที่จะให้คำนิยามชีวิตเขาได้เลย คุณสามารถอ่านชีวประวัติของเขาเพื่อเรียนรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจในฐานะคนทำหนังคือตัวตนของเขา ที่อยู่นอกเหนือจากประวัติศาสตร์และล้วงลึกเข้าไปในจิตใจของเขาน่ะครับ”
“ริดลีย์ใช้สิทธิในการสร้างสรรค์บางอย่าง แต่ก็มักอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงครับ” วอลช์กล่าว “เราทำการค้นคว้าข้อมูลมากมายร่วมกับนักประวัติศาสตร์และมือเขียนบทของเรา ผู้คนที่ดำดิ่งลงไปในประวัติศาสตร์เพื่อทำให้แน่ใจว่ามันจะสมจริงน่ะครับ”
ในการสร้างสเกลที่ยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้ สก็อตได้กลับไปร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานในอดีตของเขาบางคน ผู้เคยร่วมงานกับเขามาหลายครั้งแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ออกแบบงานสร้างอาร์เธอร์ แม็กซ์ (ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์จากผลงานของเขาใน Gladiator และ The Martian), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แจนตี้ เยทส์ (ผู้ได้รับรางวัลออสการ์จากผลงานของเธอใน Gladiator), ผู้กำกับภาพดาเรียส โวลสกี้ (All the Money in the World, Alien: Covenant) และผู้ประสานงานฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ เจ้าของสองรางวัลออสการ์ นีล คอร์บูลด์ (Gladiator และภาพยนตร์อีกห้าเรื่องของสก็อต) ทุกคนล้วนกลับมาเพื่อช่วยทำให้ภาพฝันของริดลีย์กลายเป็นจริง
คุณอาจจะคิดว่า สก็อตสามารถดึงดูดศิลปินระดับแนวหน้าเหล่านี้ได้ด้วยความปรารถนาของพวกเขาที่จะร่วมงานกับผู้กำกับคนเก่ง แต่สก็อตยืนกรานว่า มันเกิดขึ้นทั้งสองทาง “องค์ประกอบทั้งหมดนี้สำคัญอย่างเหลือเชื่อ” เขากล่าว “ผมซึ้งใจมากที่คนเก่งๆ ที่มากพรสวรรค์เหล่านี้ ดูเหมือนจะยังอยากร่วมงานกับผมอยู่ ตอนที่ผมรู้ว่าแผนกเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของคนที่มีความสามารถขนาดนั้น ผมก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ”
“ริดลีย์เตรียมพร้อมอย่างเหลือเชื่อ” ฮัฟแฟมกล่าว “เขาเขียนสตอรีบอร์ดหนังทุกเรื่องของเขาด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงสำหรับทุกแผนก เขารู้ดีว่าผลสำเร็จจะออกมาเป็นยังไง และเขาก็ตัดต่อหนังเรื่องนี้ไปด้วยระหว่างการถ่ายทำครับ”
“ริดลีย์ถ่ายทำหนังในหัวของเขา” วอลช์กล่าว “คุณจะได้เห็นเขาวางแผนและสร้างสรรค์งาน ในทุกช่วงเวลาพัก นี่ไม่ใช่งานสำหรับเขา แต่มันเป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะครับ”
นอกเหนือจากการได้ร่วมงานกับหัวหน้าแผนกหลายคนของเขาอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างสก็อตและวาคิน ฟินิกซ์ ผู้ก่อนหน้านี้เคยรับบท คอมโมดัส ใน Gladiator สำหรับริดลีย์ การได้เห็นการแสดงที่ทำให้วาคินได้รับอคาเดมี อวอร์ดใน Joker เป็นสิ่งที่ทำให้เขานึกถึงการร่วมมือกันของพวกเขาใน Gladiator และรู้ว่าเขาจะเพอร์เฟ็กต์สำหรับบทนี้ “ผมได้เห็นเขาและทุกอย่างก็พรั่งพรูกลับมา ว่าเราทำงานกันใน Gladiator ยังไงและเขาเดินทางอย่างไรกับตัวละครตัวนั้นและผมก็คิดว่า ‘ให้ตายเถอะ นั่นนโปเลียนนี่’ น่ะครับ”
ฟินิกซ์กล่าวว่าด้วยความที่การเตรียมพร้อมของสก็อตเต็มไปด้วยความประณีต มันก็เลยทำให้นักแสดงของเขามีอิสระในการสำรวจบทบาทของตัวเองในกองถ่าย “สิ่งที่ผมชื่นชอบคือการที่ไม่ได้มีทุกอย่างที่สรุปเบ็ดเสร็จแล้วอยู่ในความคิดผมมาก่อน เพราะผมอยากจะมีความเป็นไปได้หลายๆ อย่างให้ได้เล่นด้วยครับ” เขาอธิบาย “ริดลีย์ไม่เพียงแต่ยินยอมให้เกิดกระบวนการนั้นเท่านั้น แต่เขายังสนับสนุนมันด้วย เขาอยากให้คุณเคลื่อนตัวอย่างเป็นอิสระเหมือนอย่างที่ตัวละครจะทำน่ะครับ”
เมื่อได้ฟินิกซ์มาแล้ว สิ่งจำเป็นคือการหานักแสดงหญิงที่เหมาะกับความดื้อรั้นและความทะเยอทะยานของโจเซฟิน สำหรับสก็อต การคัดเลือกนักแสดงเป็นผลมาจาก “สัญชาตญาณ” เขากล่าว “ถ้าคุณคิดอยู่ว่าบทนี้ต้องได้คนที่ตัวสูง ผมสีเข้ม แล้วพอคนที่ตัวเตี้ยและมีผมสีบลอนด์เดินเข้ามาในห้อง คุณก็จะคิดว่า ‘อ้อ น่าสนใจดีนี่’ น่ะครับ คุณจะต้องเปิดกว้าง วาเนสซา [เคอร์บี้] รับบทนี้ด้วยความมั่นใจและความเย้ายวน แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมคืออารมณ์ขันของเธอ เธอมีอารมณ์ขันยอดเยี่ยมและมีสัญชาตญาณตามธรรมชาติในเรื่องของจังหวะ ที่ทำให้เธอแตกต่างและทำให้เธอเป็นนักแสดงที่โดดเด่นและน่าสนใจสำหรับการประกบคู่กับวาคินครับ”
เคมีระหว่างนักแสดงจะก่อให้เกิดความตึงเครียดและความสัมพันธ์ในแบบที่สำหรับสก็อตแล้ว ไม่เพียงแต่จะเนรมิตชีวิตให้กับตัวละครเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมมิติอารมณ์แปรปรวนให้กับนโปเลียนในขณะที่เขาเคลื่อนทัพที่ยิ่งใหญ่ของเขาไปสู่การเป็นเจ้าแห่งยุโรป เหล่านักแสดงจะถ่ายทอดความเร่าร้อนลงสู่ความสัมพันธ์ที่วุ่นวายและไม่ธรรมดาดังที่ปรากฏในหน้ากระดาษของบทภาพยนตร์โดยเดวิด สการ์พา เผยให้เห็นถึงปีศาจภายในจิตใจของนโปเลียนและแง่มุมประวัติศาสตร์ที่เราไม่เคยเห็น
ก่อนหน้านี้ สการ์พาเคยร่วมงานกับสก็อตมาแล้วใน All the Money in the World และทั้งคู่ก็ถกประเด็นกันเกี่ยวกับจังหวะสำคัญในชีวิตของนโปเลียนและเวอร์ชันที่เฉพาะเจาะจงของตัวละครตัวนี้ที่ดึงดูดใจพวกเขา เห็นได้ชัดตั้งแต่การประชุมครั้งแรกๆ ว่าริดลีย์มองภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นภาพยนตร์อีพิคแอ็กชัน และก็เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนโปเลียนและโจเซฟินด้วย “นั่นเป็นเรื่องราวที่เฉพาะเจาะจงที่เขาอยากจะสำรวจ ผ่านทางปริซึมเรื่องราวความรักระหว่างโจเซฟินและนโปเลียนน่ะครับ” วอลช์กล่าว “พวกเขามีความสัมพันธ์แบบผลักและดึงจริงๆ พวกเขาหลงใหลในกันและกันและเป็นตัวกระตุ้นอีกฝ่าย และพวกเขาก็จะไม่ใช่คนแบบที่พวกเขาเป็นหากปราศจากกันและกันครับ”
ฮัฟแฟมกล่าวว่า ในทุกแง่มุมชีวิตของนโปเลียน มีทั้งความขัดแย้งและการแบ่งออกเป็นสองด้าน เริ่มต้นด้วยตำนานของเขาในฐานะนายพลและจักรพรรดิ “นโปเลียนทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับการเมืองและคนธรรมดาสามัญครับ เขาทำให้ใครก็
ตามสามารถกลายเป็นนายพล หรือนักการเมืองได้ แทนที่จะมีเพียงแค่ชนชั้นขุนนาง” เขาตั้งข้อสังเกต “แต่แน่นอนครับ เขาเป็นผู้นำเผด็จการที่มือเปื้อนเลือดด้วย สมดุลนั้นเป็นสิ่งที่เราอยากจะสำรวจระหว่างการสร้างหนังเรื่องนี้”
และในตอนที่สก็อตบอกเล่าเรื่องราวผ่านความสัมพันธ์ระหว่างนโปเลียนกับโจเซฟิน เขาก็ได้เสริมความสองด้านนั้นทับซ้อนลงบนการแบ่งเป็นสองด้านอีกชั้นหนึ่ง “เขาลงเอยด้วยการร้องไห้คร่ำครวญครับ ชายที่เราเห็นว่าเชิดหน้าก้าวสู่บัลลังก์ยุโรป อัจฉริยะด้านกลยุทธ ได้เปลี่ยนกลายเป็นคนตัวเล็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ตกหลุมรักผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเบาะนั่งข้างเขาอย่างหัวปักหัวปำและยอมรับว่าหากขาดเธอ เขาก็ไม่เหลืออะไรแล้ว” สก็อตกล่าว “จดหมายที่เขาส่งหาเธอทั้งหยาบคายอย่างน่าขัน มีความเป็นเด็กๆ โรแมนติกจนเลี่ยนและทะลึ่งตึงตันเสียด้วยซ้ำไป เขาหลงเสน่ห์เธอจริงๆ จังๆ และหลังจากที่ทั้งคู่แยกจากกันเป็นครั้งสุดท้าย เธอก็ไม่ได้อ่านจดหมายพวกนั้นด้วยซ้ำ ตอนที่เธอเสียชีวิต จดหมายพวกนั้นอยู่ในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงของเธอครับ”
จักรพรรดิและจักรพรรดินี
ฟินิกซ์ยอมรับว่า เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับนโปเลียนมากนักก่อนหน้าโปรเจ็กต์นี้ และรู้สึกแปลกใจกับแง่มุมบางอย่างของตัวละครตัวนี้ที่เขาได้ค้นพบ “ผมพบว่าเขาเป็นคนที่ซับซ้อนกว่าที่ผมจินตนาการเอาไว้ตอนแรกมากเลยล่ะครับ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโจเซฟิน” เขากล่าว “ผมพบว่าเขาเป็นคนลึกลับ และความลึกลับนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะได้สำรวจเสมอครับ”
สำหรับสก็อต การได้กลับมาทำงานกับฟินิกซ์อีกครั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ Gladiator เป็นความน่ายินดีอย่างล้นหลาม “เขาเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวที่เราพูดคุยด้วยล่วงหน้าหลายสัปดาห์ แค่คุยกันและถกเถียงกันในออฟฟิศเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ของตัวละครตัวนี้น่ะครับ ท้ายที่สุด เราก็มีความเข้าใจตรงกัน” สก็อตกล่าว “เขาดีสำหรับผม เพราะเขาทำให้ผมตรงไปตรงมาและผมก็ดีสำหรับเขาเพราะผมคอยดูเขาไม่ให้ออกนอกเส้น เขามีรูปลักษณ์ที่เหมาะสมกับบทนี้ ลักษณะใบหน้าบางอย่างของเขาคล้ายกับนโปเลียนอย่างน่าทึ่งครับ”
“วาคินเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์เหลือเกินครับ” วอลช์กล่าว “ไม่มีใครเหมือนเขา เขาหายตัวไปทุกครั้งที่เขาก้าวไปอยู่หน้ากล้อง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทำงานหนักมากๆ ด้วย เขาดำดิ่งลงไปสู่สิ่งที่เขากำลังทำลึกมากๆ และตั้งคำถามกับทุกอย่างเพื่อทำให้โครงสร้างโดยรวมของหนังเรื่องนี้ดีขึ้น นอกเหนือจากนั้น เขายังมีอารมณ์ขันยอดเยี่ยมด้วย เขาเป็นคนที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อหนังเรื่องนี้ครับ”
สำหรับฮัฟแฟม ความเข้าใจที่ฟินิกซ์มีต่อกระบวนการของสก็อตทำให้เขากลายเป็นตัวละครตัวนี้ได้ง่ายดายขึ้น “ริดลีย์และวาคินชื่นชอบการท้าทายกันและกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่มันเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มเสมอครับ” เขากล่าว “วาคินมีข้อกังวลของตัวเองเกี่ยวกับการรับบทนี้และผมคิดว่าทุกคนก็คงจะมีข้อกังวลเหมือนๆ กันเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ แต่การได้พูดคุยกับริดลีย์ก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายกับมันอย่างรวดเร็วและเขาก็วิเศษมากครับ”
สิ่งที่ถูกรวมเข้าไปอยู่ในการพูดคุยเหล่านี้คือการตีความนโปเลียนในแบบต่างๆ และสื่อที่พวกเขาเลือกหยิบยกมาใช้ “เราคุยกันบ่อยๆ ว่าเขาอาจจะเป็นใครและอะไร โดยที่วาคินให้ความสำคัญกับลักษณะการเดิน การพูดคุย การนั่งของเขา” สก็อตกล่าว “เราดูภาพเหมือนต่างๆ ซึ่งวิเศษสุด เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว พวกมันก็เป็นเหมือนภาพถ่ายของยุคสมัยนั้น พวกมันไม่ค่อยจะดูดีหรอกครับ คุณสามารถจ้องมองไปที่เขาและรู้เลยว่ามีเรื่องของอีโก้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
สก็อตนำอีโก้นั้นมาเทียบกับความหลงใหลที่นโปเลียนมีต่อโจเซฟิน ถึงขนาดที่ใช้คำพูดของโจเซฟินมาสร้างจุดแตกต่างที่ทรงพลังในตอนที่ชีวิตของนโปเลียนปิดฉากลงที่เกาะเซนต์เฮเลนาในแอตแลนติกด้วยซ้ำไป “ในตอนที่นโปเลียนกำลังจะตาย โจเซฟินก็ตายไปแล้ว แต่เธอเป็นคนที่ได้พูดคนสุดท้าย” เขากล่าว “มันเป็นความโรแมนติก แต่สำหรับคนที่คลั่งไคล้ผู้หญิงคนนั้นขนาดนั้น ใครจะรู้ล่ะครับว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่” และสก็อตก็ตั้งข้อสังเกตว่า โจเซฟินยังคงอยู่ในใจเขาตราบจนวาระสุดท้าย ชื่อของเธอเป็นคำสุดท้ายที่เขาเปล่งออกมา
“เธอมีความสามารถในการทำให้เขาหลงใหลครับ” วอลช์กล่าว “เธอมีความงาม แต่ก็มีความอ่อนโยนและความละเอียดอ่อนที่ดึงดูดใจนโปเลียนด้วย วาเนสซาสามารถกะระดับช่วงเวลาเหล่านั้นกับวาคินและดึงเขาเข้ามาได้ครับ”
สำหรับเคอร์บี้ เธอเริ่มดำดิ่งลงไปในตัวละครโจเซฟินด้วยการอ่านและศึกษาให้มากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ “ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส จริงๆ แล้ว ฉันค่อนข้างจะแปลกใจทีเดียวที่ตัวเองรู้น้อยมาก” เธอกล่าว “ฉันก็เลยรู้สึกพึงพอใจค่ะ ฉันขังตัวเองและอ่านหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับเธอและเขาเท่าที่จะทำได้ นอกจากนั้น เราก็ได้ไปกันที่ปารีส ไปพิพิธภัณฑ์นโปเลียน ไปที่มัลเมซง ฉันไปที่หลุมศพของโจเซฟินด้วยซ้ำไปค่ะ ฉันจมจ่อมอยู่ในประวัติศาสตร์นั้นและยุคสมัยนั้น และฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเธอค่ะ”
มันเป็นเกียรติก็จริง แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การรับบทนี้เป็นอะไรที่ “เจ็บปวดและน่าอึดอัด” เธอบอก เพราะ “นี่เป็นเรื่องราวของผู้หญิงมากมาย ฉันเห็นใจเธอมากเพราะเธอไม่ได้รับอนุญาตให้มีสิทธิมีเสียงแม้ว่าเธอจะมีพลังงานที่เต็มเปี่ยมและแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อก็ตาม”
เคอร์บี้กล่าวว่า พลังงานนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดนโปเลียนให้เข้าหาโจเซฟิน ก่อนที่จะนำหายนะมาสู่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในภายหลัง “เธอเป็นแกะดำ เหมือนกับเขานั่นแหละค่ะ” เคอร์บี้กล่าวพลางตั้งข้อสังเกตว่า โจเซฟินโตขึ้นมาบนเกาะมาตินิก ซึ่งห่างไกลจากชนชั้นสูง ที่เธอจะได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจากการแต่งงานในภายหลัง เคอร์บี้ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะการได้รับการเลี้ยงดูมาของเธอทำให้ “เธอไม่มีที่อยู่ในสังคมชนชั้นสูง” แต่ขณะเดียวกัน เธอก็เกือบจะติดตามสามีชนชั้นสูงของเธอสู่คมมีดกิโยตินระหว่างยุคแห่งความน่าสะพรึงกลัวด้วย “วาคินและฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงที่พวกเขาเพิ่งเข้าใจกันและกัน เธอไม่ใช่คนที่ใครๆ จะอยากแต่งงานด้วย เธอเป็นแม่ม่ายลูกสองและอายุมากกว่าเขาหกปี แต่เธอร่ายมนต์สะกดเขา มีบางสิ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน พวกเขาเห็นใจกัน รู้สึกว่าเป็นที่จดจำและพวกเขาก็เข้าใจกันและกันในฐานะคนที่ผิดแผกไปจากพวกค่ะ”
เคอร์บี้พูดถึงโจเซฟินว่าเป็น “ผู้รอดชีวิต” และกล่าวว่าเธอกับสก็อตเจาะลึกลงไปว่าเธอสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไร “ฉันกับริดลีย์คุยกันอยู่นานเลยเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างความรู้สึกทางเพศและความเย้ายวน” เธอกล่าว “ฉันคิดว่าบางทีความเย้ายวนตามธรรมชาติของเธออาจเกิดจากการได้รับการเลี้ยงดูของเธอในภูมิอากาศเขตร้อน ความอบอุ่น ดนตรี วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมน่ะค่ะ ช่วงเวลาวัยเด็กของเธอเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสาทสัมผัสมากกว่าความรู้ แต่พอเธอแต่งงานกับนโปเลียน แต่เธอก็ต้องปรับตัว ต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เพื่ออยู่รอด เธอต้องกลายเป็นภรรยาที่ดีกว่าเดิม เป็นภรรยาที่เขาต้องการค่ะ”
“วาเนสซาสามารถนำข้อมูลทั้งหมดที่เธอสะสมมาได้ มาถ่ายทอดผ่านแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวหรือสีหน้าที่เล็กน้อยที่สุด” สก็อตกล่าว “เธอและวาคินมีความเข้าใจในเรื่องจังหวะตามสัญชาตญาณที่เป็นธรรมชาติมากๆ ครับ”
การสร้างอีพิคเป็นเรื่องง่าย
ก็แค่ทำมันอย่างต่อเนื่องมาเกือบห้าสิบปีเท่านั้นแหละ
นโปเลียนโดดเด่นด้วยความจริงที่ว่า มีผู้กำกับน้อยคนมากๆ ที่มีประสบการณ์ ความสามารถหลากหลาย วิสัยทัศน์และความมั่นใจที่จะสร้างภาพยนตร์ด้วยสเกลที่ยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ หลังจากการทำงานมาเกือบครึ่งศตวรรษ ความชำนาญในภาพยนตร์แนวนี้ของสก็อตก็ครบถ้วนสมบูรณ์ถึงขนาดที่เขารู้สึกสบายๆ ระหว่างช่วงเวลาที่ซับซ้อนและน่าหวั่นใจที่สุดในกองถ่าย ขณะที่มีกล้องหลายตัวถ่ายทำฉากต่างๆ แบบ 360 องศา ขณะที่เขาจัดฉากสำหรับสมรภูมิในพื้นที่หลายร้อยเอเคอร์
การถ่ายทำด้วยกล้องหลายตัวเป็นความท้าทายสำหรับทุกแผนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกกล้อง เนื่องด้วยผู้กำกับภาพดาเรียส โวลสกี้จะต้องทำให้แน่ใจว่า กล้องแต่ละตัวจะบันทึกภาพที่มีการให้แสงและจัดเฟรมภาพอย่างเหมาะสม และแผนกออกแบบงานสร้าง เพราะอาร์เธอร์ แม็กซ์จะต้องออกแบบฉากที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้ราวกับเป็นสถานที่ในชีวิตจริง
สำหรับโวลสกี้ การร่วมงานกับริดลีย์ สก็อต ผู้ซึ่งผลงานของเขารวมถึงภาพที่โด่งดังและตราตรึงใจมากมาย เป็นเรื่องที่วิเศษสุด “ผู้คนมีทัศนคติที่ว่า ถ้าคุณใช้กล้องหลายตัว คุณก็จะต้องประนีประนอมในเรื่องของแสงและการจัดเฟรม แต่ริดลีย์เป็น
คนที่ให้ความสำคัญกับภาพวิชวลมากๆ และเราก็พบวิธีที่วิเศษสุดในการให้แสง การจัดตำแหน่งคนให้อยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมและการหามุมที่ทำให้ทุกอย่างดูน่าสนใจครับ” โวลสกี้กล่าว
ทุกแผนกต่างมีส่วนร่วมในการทำให้ภาพฝันของสก็อตกลายเป็นจริง และสำหรับหัวหน้าแผนกทุกคน นี่เป็นงานที่ดีเกินกว่าจะปฏิเสธได้ “กับริดลีย์แล้ว คุณจะต้องพร้อมสำหรับการลงมือทำงานอย่างฉับพลันครับ” แม็กซ์กล่าว “ประเด็นเนื้อหาอาจเป็นเรื่องอดีต ปัจจุบันหรืออนาคตก็ได้ เขาขยับจากแนวหนึ่งไปสู่อีกแนวหนึ่งอย่างลื่นไหล เห็นได้ชัดว่ายุคกลางเป็นหนึ่งในยุคโปรดของเขา มันมีทุกเฉดสีของอนาคตและปัจจุบันด้วยเช่นกัน มีทั้งเรื่องเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล และอย่างในหนังเรื่องนี้ก็คือศตวรรษที่ 18 และ 19 ครับ”
แม็กซ์กล่าวว่าเขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำงานในโลกใบนั้น “นี่เป็นยุคสถาปัตยกรรมที่ผมชื่นชอบและมันก็มีความหลากหลายมากๆ” เขากล่าว “มันครอบคลุมสิ่งที่แตกต่างกันแบบสุดโต่ง มีทั้งความหรูหราฟู่ฟ่าของปราสาทราชวังไปจนถึงความซอมซ่อของบ้านคับแคบ โดยที่มีหมู่บ้านที่ถูกเพลิงไหม้ระหว่างทางหลายแห่ง เราได้ออกเรือไปกลางทะเล มีการเคลื่อนทัพทหารครั้งใหญ่ ทั้งสงครามที่ออสเตอร์ลิทซ์ วอเตอร์ลู มาเรนโก้ โบโรดิโน มันเป็นกล่องของเล่นและงานเลี้ยงฉลองขนาดมหึมาสำหรับนักออกแบบ เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ครับ”
ภายใต้การกำกับของสก็อต โวลสกี้ยังได้มองภาพวาดนโปเลียนที่มีชื่อเสียงเพื่อให้ได้รับอิทธิพลและการแนะแนวทางจากภาพวาดเหล่านั้นด้วย “เขาเป็นคนที่ถูกบันทึกข้อมูลเอาไว้มากที่สุด” โวลสกี้กล่าว “มีภาพวาดที่โด่งดังของเดวิดเกี่ยวกับพิธีราชาภิเษกของเขา แล้วก็มีเดอลาครัวซ์ในภายหลัง ในตอนที่คุณสร้างหนังพีเรียด คุณจะพยายามใช้แสงธรรมชาติเสมอ เหมือนอย่างภาพวาดของเรมแบรนด์ หรือคาราวัจโจ้ มันจะมีที่มาของแสงสว่างเพียงแห่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างบานใหญ่ เตาผิงหรือเทียนไข และทุกอย่างจะดูสวยงาม เราก็เลยใช้แสงจากด้านหน้าจำนวนมาก เพียงแค่แสงจากด้านหน้า แทบจะเหมือนกับแสงตอนที่คุณดูภาพวาดของเดวิด แสงจะส่องไปที่นเปเลียนเสมอ และตัวละครหลักก็จะสว่างไสวกว่า ในขณะที่คนอื่นๆ จะอยู่ในเงามืดครับ”
แน่นอนว่าโวลสกี้ตั้งข้อสังเกตว่า แต่ละฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังส่งอิทธิพลต่อการให้แสงในฉากด้วยเช่นกัน “อียิปต์จะสว่างจ้าและแสดงให้เห็นถึงรูปทรงชัดเจน ส่วนรัสเซียก็จะมีหมอกสลัว มัวๆ เหมือนเป็นยามสายัณห์ตลอดเวลา แทบจะมีเพียงสีเดียวด้วยหิมะขาวโพลนทั้งหมดนั้น แล้วคุณก็จะได้เห็นพระราชวังที่หรูหราเหล่านี้ ที่ซึ่งทุกอย่างอู้ฟู่และเต็มไปด้วยทองคำครับ”
แม็กซ์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลออสการ์ และเคยร่วมงานกับสก็อตมาแล้วในภาพยนตร์ 15 เรื่องนับตั้งแต่ G. I. Jane ในปี 1997 ได้เห็นธุรกิจการออกแบบงานสร้างเปลี่ยนแปลงไปมากมายตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา “เราเคยสร้างฉากใหญ่ๆ มาโดยตลอด แต่ตอนนี้ เราใช้พื้นที่ต่างๆ ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป” เขาอธิบาย “ตอนที่เราสร้าง Gladiator CGI กำลังอยู่ในช่วงตั้งไข่ สิ่งที่เราสามารถทำได้ยังมีจำกัด ตอนนี้ ความทะเยอทะยานของเราได้เติบโตไปควบคู่กับมัน แต่เราก็ยังคงมีแนวคิดที่ว่า เป็นเรื่องดีที่สุดถ้าจะมีฉากที่จับต้องได้จริงๆ ให้ได้ต่อยอดจากมัน ไม่ได้เป็นเพียงแค่โลก CGI โดยสมบูรณ์น่ะครับ”
ในการเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ สก็อตได้รวมทีมของเขาในห้องบัญชาการรบ ซึ่งในกรณีนี้ก็เป็นห้องบัญชาการรบจริงๆ ซะด้วยในตอนที่ประเด็นสำคัญอยู่ที่การสร้างภาพยนตร์ ด้วยโมเดลฉากขนาดใหญ่สำหรับการรบที่วอเตอร์ลู ออสเตอร์ลิทซ์และตูลาน ภาพวาดโดยแผนกศิลป์ แบบโมเดล สก็อต ผู้เป็นศิลปินฝีมือเยี่ยมและวาดภาพสตอรีบอร์ดภาพยนตร์ของตัวเอง ได้นำทีมงานทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อเล่าถึงวิสัยทัศน์ของเขาและสั่งการทีมงานช่างฝีมือของเขาเกี่ยวกับภาพที่เขาต้องการจะสร้างขึ้นมา
ใน Napoleon สก็อตจะใช้กล้องสิบเอ็ดตัวพร้อมๆ กัน ฟินิกซ์รู้สึกปลาบปลื้มกับโอกาสในการได้ทำงานในกองถ่ายของริดลีย์ สก็อตอีกครั้ง “ถ้าเราบังเอิญโชคดีได้ค้นพบอะไรบางอย่าง และมีช่วงเวลาพิเศษที่บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ได้วางแผนเอาไว้ แทบจะรับประกันได้เลยว่าริดลีย์จะบันทึกภาพมันเอาไว้ได้” เขากล่าว “การมีโอกาสแบบนั้นในฐานะนักแสดงเป็นเรื่องหาได้ยากจริงๆ การพยายามไล่ตามอะไรบางอย่างและจำลองมันขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยล่ะครับ”
“มันทำให้เรานำการอิมโพรไวส์เข้ามาสู่วิธีการทำงานของเราน่ะค่ะ” เคอร์บี้กล่าว “คุณไม่จำเป็นต้องจำการเคลื่อนไหวแบบที่คุณทำในช็อตที่แล้วแบบเป๊ะๆ หรอกค่ะ นี่เป็นโอกาสของการร่วมมือกัน เพราะเราจะไปดูมอนิเตอร์กับริดลีย์และนำเสนอไอเดียว่าเราจะทำอะไรให้มันแตกต่างออกไปได้บ้างน่ะค่ะ”
ด้วยความปรารถนาของริดลีย์ในการถ่ายทำด้วยกล้องหลายตัว สถานที่และพื้นที่ถ่ายทำจะต้องได้รับการตกแต่งและสร้างขึ้นมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ถึงแม้จะเคยร่วมงานกับสก็อตมาหลายครั้งแล้ว ตอนแรก แม็กซ์ก็ยังรู้สึกวิตกเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของงานในมือ “ผมกับทีมงานจะต้องดูมอนิเตอร์อย่างระมัดระวัง” เขาอธิบาย “กับริดลีย์แล้ว มันไม่มีความหลังใดๆ ทั้งนั้น ไม่มีการลักไก่ ทุกอย่างเป็นเรื่องของสเกลและความหนาแน่นของรายละเอียด มันเหมือนกับการอาศัยอยู่ในภาพวาด ที่ท้าทาย แต่ก็สนุกสุดๆ ด้วยครับ”
สำหรับวาเนสซา เคอร์บี้ ความยิ่งใหญ่อลังการของการถ่ายทำเป็นอะไรที่กดดันมาก “ฉันจำได้ว่าฉันกับวาคินมองไปที่จัตุรัสแห่งหนึ่งในมัลต้าและเห็นแผงขายของในตลาดทั้งหมดนี้ที่มีผู้คนมากมาย มีฉากที่แตกต่างหลากหลายเหลือเกินค่ะ” เคอร์บี้กล่าว “มันช่างยิ่งใหญ่และเหลือเชื่อจริงๆ ค่ะ”
หนึ่งในปัจจัยหลักในการถ่ายทำอีพิคอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้คือการหาสถานที่ถ่ายทำที่จะใช้แทนพระราชวังและคฤหาสน์ ที่เป็นฉากหลังสำหรับชีวิตของนโปเลียนได้ ในการถ่ายทำในประเทศอังกฤษ ผู้ออกแบบงานสร้างอาร์เธอร์ แม็กซ์ได้พบสถานที่ถ่ายทำที่เหมาะสมมากมาย “มีสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิกในอังกฤษมากพอที่จะทำให้มันเป็นไปได้ อาจจะเป็นเพราะแบบดีไซน์มากมายที่มาจากฝรั่งเศสและอังกฤษมีเค้าโครงจากสถาปัตยกรรมพัลลาดินคลาสสิกของอิตาลีน่ะครับ” เขากล่าว
โดยมากแล้ว กองถ่ายขนาดใหญ่เลือกที่จะอยู่ภายในระยะใกล้ชิดกับลอนดอน แทนที่จะยกกองทั้งหมดไปยังสถานที่ถ่ายทำที่ห่างไกล อย่างไรก็ดี ในบางโอกาส พวกเขาก็อดใจไม่อยู่ “คฤหาสน์บาวตันอยู่ในนอร์ธแฮมป์ตันเชียร์ ที่ขับรถจากลอนดอนไปสามชั่วโมงครับ” แม็กซ์กล่าว “มันถูกสร้างขึ้นมาในศตวรรษที่ 18 โดยชาวอังกฤษที่รักในสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส มันดูเหมือนคฤหาสน์ฝรั่งเศสในอาณาบริเวณที่งดงามหลายร้อยเอเคอร์ โดยมีแกะและม้าแทะเล็มหญ้า และมีต้นโอ๊คเก่าแก่สวยๆ ทุกหนทุกแห่ง มันพิเศษสุดๆ ด้วยเหตุผลนั้น เราก็เลยตัดสินใจใช้มันเป็นคฤหาสน์ของนโปเลียนครับ”
ที่คฤหาสน์แห่งนั้น ทีมตกแต่งฉากของแม็กซ์สามารถใส่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นพิเศษมากๆ เข้าไปในห้องหนึ่งได้ด้วย “เรามีเตียงที่ขอยืมมาจากวิคตอเรีย แอนด์ อัลเบิร์ต ซึ่งเราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้มันเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วยซ้ำไปเพราะมันบอบบางมาก” เขาเล่า “เราถามว่าเราขอใช้มันสำหรับฉากเลิฟซีนได้มั้ย แล้วพวกเขาก็ตกใจที่เราเอ่ยปากขอด้วยซ้ำไปน่ะครับ”
ในลักษณะคล้ายคลึงกัน ทีมผู้สร้างได้ยกกองไปที่อ็อกซ์ฟอร์ดเชียร์เพื่อถ่ายทำพระราชวังเบลนเฮมสำหรับใช้แทนห้องพิธีในพระราชวังฟงแตนโบลและพระราชวังตุยเลอรีในฐานะจักรพรรดิ รวมถึงฉากภายนอกอื่นๆ อีกกหลายฉาก “มันเป็นอาคารสไตล์พัลลาดินแบบนีโอคลาสสิก ทั้งสเกลและวัตถุดิบที่ใช้ มันช่างงดงามเหลือเกินครับ” แม็กซ์กล่าว “แล้วเราก็พบว่าเราสามารถใช้ภาพภายนอกของมันจากหลายๆ มุมแทนประเทศต่างๆ ได้ในตอนที่นโปเลียนกำลังเข้าสู่กรุงปารีสหรือกลับมาจากมอสโคว์ ริดลีย์เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นครับ คุณอาจคิดว่า มันจะดูแตกต่างกันได้ยังไงล่ะ แต่เพียงแค่เคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ไปมา เปลี่ยนแสง มุมและเลนส์กล้อง แค่นี้คุณก็ไม่รู้แล้วล่ะครับ ริดลีย์มีประสบการณ์มากมาย มันก็เลยเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา”
สถานที่ถ่ายทำบางแห่งใน Napoleon เป็นที่คุ้นเคยของสก็อตและเพื่อนร่วมงานของเขาเป็นอย่างดี เพราะสถานที่หลายแห่งเคยถูกใช้ใน Gladiator มาก่อน รวมถึงบอร์น วู้ดในเซอร์รีย์และฟอร์ท ริคาโซลีในมัลต้า “มันเหมือนกับเพื่อนเก่าหรือรองเท้าคู่เดิมน่ะครับ” แม็กซ์กล่าว “มันผ่อนคลายมากๆ เราใช้บริเวณและพื้นที่เดิมที่เราเคยใช้มาก่อนหลายแห่ง แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไปมากๆ ครับ”
การเข้าสู่สมรภูมิ
ภาพยนตร์แอ็กชันอีพิคของริดลีย์ สก็อต ที่จำลองภาพสมรภูมิที่โด่งดังของนโปเลียน ทั้งที่ตูลง ออสเตอร์ลิทซ์ วอเตอร์ลู และที่อื่นๆ ต้องใช้ทีมนักแสดงจำนวนมหาศาล ที่สามารถเคลื่อนไหวและต่อสู้ได้เหมือนทหารในยุคนั้น ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้สร้างกองทัพ (แน่นอนว่าต้องเป็นฝรั่งเศส แต่ก็ยังรวมถึงกองทัพออสเตรีย รัสเซียและอังกฤษด้วย) คือที่ปรึกษาทางทหาร พอล บิดดิส
“เราตั้งค่ายฝึกสำหรับทหารราบและทหารปืนใหญ่ของเรา” เขาเล่า “จู่ๆ คุณจะจับนักแสดงสมทบมาใส่เครื่องแบบไม่ได้หรอกครับ พวกเขาต้องได้รับการฝึกฝนแผนซ้อมรบที่เคยถูกใช้ในยุคนโปเลียน มันเป็นหนึ่งในยุคสมัยที่ถ่ายทอดออกมาได้ยากลำบากเพราะการฝึกฝนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเทคนิคอย่างมาก และคำที่ใช้ก็เป็นคำทางเทคนิคมากๆ ด้วยเหมือนกันครับ”
ด้วยความที่มีกล้องบันทึกภาพหลายตัว จึงไม่เกิดเรื่องจำพวกเสแสร้งหรือซ่อนอยู่ในฉากหลัง เพราะมันไม่มีฉากหลัง “ทุกคนต้องรู้แผนซ้อมรบ รู้วิธีการใส่กระสุน รู้วิธีการก้าวตามจังหวะ วิธีการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B เหมือนอย่างที่ทหารของนโปเลียนทำในสมัยนั้นน่ะครับ”
ตัวบิดดิสเองก็ตระหนักดีว่า เขากำลังทำงานกับนักแสดง ผู้ต้องแสดงออกถึงความกลัวตายอย่างที่ตัวละครของพวกเขาเผชิญ “สงครามนโปเลียนเป็นสงครามแบบล้างผลาญครับ ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก” เขาอธิบาย “พวกเขาจำเป็นต้องถ่ายทอดถึงความรู้สึกนั้นออกมาในการแสดงของพวกเขา เหมือนว่าพวกเขาเตรียมใจที่จะพบกับความตายขณะที่พวกเขาเคลื่อนพลเข้าประจันหน้ากระสุนปืนใหญ่ กระสุนปืนเล็กและกระสุนปืนคาบศิลาครับ”
ท้ายที่สุดแล้ว บิดดิสก็ไม่ได้เตรียมพร้อมนักแสดงสำหรับท่าต่อสู้ที่เฉพาะเจาะจงแต่เตรียมให้พวกเขาพร้อมจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นในฉากก็ตามที “ในหนังของริดลีย์ สก็อต คุณจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นครับ” เขากล่าว “ถ้าเราไปที่ฉากแล้วริดลีย์บอกว่า ‘ผมอยากให้พวกเขาออกมาแล้วจัดกระบวนทัพเป็นรูปสี่เหลี่ยม’ ผมก็สามารถพูดได้ว่า ‘ตอบโต้ทหารม้า’ แล้วพวกเขาก็จะแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ทหารม้าแล้วเรียงตัวกันในลักษณะสี่เหลี่ยมทันที ก่อนที่จะยืนตำแหน่งในแบบที่พวกเขาต้องทำ ผมมักจะใช้คติจากกองทหารของผมเองที่ว่า อูทริงควี พาราตุส ที่แปลว่า จงเตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง น่ะครับ”
นั่นเป็นคติของกองพลร่ม ที่ซึ่งประสบการณ์การรับใช้กองทัพ 24 ปีของบิดดิสเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับอาชีพที่สองของเขาในการให้คำปรึกษาในภาพยนตร์ ปัจจุบันนี้ แทนที่จะกระโดดออกจากเครื่องบิน บิดดิสช่วยสก็อตในการตัดสินใจว่าจะจัดฉากสงครามอย่างไร และให้คำแนะนำแผนกอื่นๆ ทั้งสตันท์ เอฟเฟ็กต์และเครื่องแต่งกาย ว่าจะทำให้ภาพในความคิดของสก็อตกลายเป็นจริงได้อย่างไร “60% ของการให้คำปรึกษาทางทหารเป็นเรื่องของการค้นคว้าข้อมูล ส่วนที่เหลือจะเป็นประสบการณ์ของคุณสมัยอยู่ในกองทัพครับ” เขากล่าว
เรื่องจริงคือว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาช่วยจัดฉากการสู้รบครั้งสำคัญในสงครามนโปเลียน “ผมเคยสู่กับนโปเลียนที่สงครามวอเตอร์ลูมาสามครั้งแล้ว และผมก็โค่นเขาได้ทุกครั้งครับ”
ผ่านน้ำแข็ง
มีชื่อของซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์เพียงไม่กี่คนที่ได้รับการจดจำ แม้กระทั่งโดยผู้คลั่งไคล้ภาพยนตร์ก็ตามที แต่ถ้ามีล่ะก็ นีล คอร์บูลด์ก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยการได้รับความเคารพในวงกว้าง เพื่อนพ้องในวงการต่างยกย่องเขาด้วยสองรางวัลออสการ์ (รวมถึงหนึ่งรางวัลที่ได้จากผลงานของเขาในภาพยนตร์ของสก็อตเรื่อง Gladiator)
สำหรับคอร์บูลด์ โอกาสในการได้ทำงานใน Napoleon เป็นสิ่งที่ตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย “อีพิคอีกเรื่องของริดลีย์ สก็อต มันเป็นหนังประเภทที่ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ได้แต่เฝ้าฝันถึงครับ” เขากล่าว
Napoleon นำเสนอความท้าทายมากมาย ทั้งระเบิดปืนใหญ่ ม้าที่กระเด็นกระดอน การตัดหัว…กระทั่งฉากสงครามที่ต้องมีม้าร่วงทะลุผ่านแผ่นน้ำแข็งสู่ทะเลสาบที่แข็งตัวเป็นน้ำแข็ง “ในตอนที่คุณอยู่ท่ามกลางการสู้รบ ริดลีย์อยากให้มันยุ่งเหยิง
ครับ” คอร์บูลด์กล่าว “เขาพาผู้ชมเข้าสู่การสู้รบ มีการนองเลือด กระอักเลือดและดินโคลนอยู่ทั่วไปหมด พอดินพวกนั้นเปียก มันก็จะแห้งกรังติดตามตัวนักแสดง มีอะไรต่อมิอะไรมาจากสารพัดทิศ ควันเต็มไปหมดเลยครับ”
บางที ช่วงเวลาเฉิดฉายของคอร์บูลด์อาจจะเป็นการสร้างทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อให้ม้าของศัตรูร่วงลงไปขณะที่นโปเลียนสั่งให้กองทัพของเขาสร้างสิ่งอำพรางพื้นผิวของมัน อีกครั้งหนึ่งที่ประสบการณ์คร่ำหวอดของทีมผู้สร้าง โดยเฉพาะสก็อตและคอร์บูลด์ ได้กรุยเส้นทางไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น “ผมเคยทำอะไรที่คล้ายๆ กันมาก่อน มันเป็นการจมทะลุน้ำแข็งเหมือนกัน แต่อยู่ในแทงค์น้ำในสตูดิโอที่สะดวกสบาย ความแตกต่างในเรื่องนี้คือเราจะต้องทำมันในท้องทุ่ง” คอร์บูลด์กล่าว “ผมไม่อาจจะพูดได้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่มันสมเหตุสมผลสำหรับทุกคนครับ”
วิธีที่เขาจะทำนั้น ขั้นแรก คือการสร้างทะเลสาบเยือกแข็งที่มีหิมะโปรยปรายขึ้นมาก่อน “ตามสไตล์ของริดลีย์ นี่เป็นเอฟเฟ็กต์หิมะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยสร้างมา มันครอบคลุมพื้นที่สุดลูกหูลูกตาเลย” เขากล่าว “ตอนที่เราได้เห็นสถานที่นี้ครั้งแรก มันเป็นแค่ทุ่งขนาดใหญ่ 200 หรือ 300 เอเคอร์ วิธีเดียวที่เราจะสามารถทำให้มันเป็นทุ่งน้ำแข็งและร่วงลงไปในนั้นได้คือการขุดหลุม ปรับระดับดิน และอัดพื้นให้แน่น ซึ่งทีมต้นไม้ ที่นำทีมโดยโรเจอร์ โฮลเดน ได้ทำงานได้อย่างวิเศษสุด ในการสร้างภาพพื้นผิวของทะเลสาบเยือกแข็งขึ้นมา ก่อนที่ทีมหิมะและน้ำแข็งของผมจะทำให้มันกลายเป็นน้ำแข็งมากขึ้นน่ะครับ”
ผู้ฝึกสอนม้า แดเนียล นาพรัส ผู้ฝึกสอนม้าคู่ใจสก็อต เคยร่วมงานกับเขามาแล้วในภาพยนตร์สี่เรื่องก่อนหน้านี้ กล่าวว่า กุญแจสำคัญอยู่ที่การหาคำตอบว่าม้าจริงๆ สามารถทำอะไรได้บ้างและทีมงานจะต้องใช้ม้ายนต์ที่ตรงไหนบ้าง “เราพยายามจะใช้ม้าจริงๆ ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ภายในอาณาเขตปลอดภัยของเราครับ” เขากล่าว ภายใต้เลเยอร์หิมะของคอร์บูลด์ ทีมผู้สร้างได้วางพรมยาง ซึ่งกล้ายกับเบาะที่ปูใต้สนามเด็กเล่นเด็ก เพื่อให้ม้าวิ่ง และนาพรัสก็กล่าวว่า ม้าจริงๆ สามารถเริ่มเข้าสู่น้ำได้ด้วยการลงไปตามทางลาด พวกมันสามารถถูกฝึกให้ว่ายน้ำได้ และพวกมันก็สามารถออกจากน้ำได้ด้วยการเดินขึ้นไปตามทางลาดอีกเช่นกัน
แต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ม้าจริงๆ ไม่สามารถทำได้และต้องอาศัยอีกวิธีหนึ่ง
ในการแสดงภาพม้าร่วงทะลุแผ่นน้ำแข็ง นาพรัสได้ส่งต่อหน้าที่คืนให้กับคอร์บูลด์ ผู้ใช้ม้ายนต์และสร้างแทงค์ขึ้นมาสำหรับงานสตันท์นี้โดยเฉพาะ “เราขุดแทงค์น้ำขนาด 30×40 เมตรลึกลงไปใต้พื้นดิน และใช้มันเป็นพื้นที่เอฟเฟ็กต์สำหรับการที่คนจะร่วงทะลุน้ำแข็งลงไปน่ะครับ” คอร์บูลด์เล่า วิธีการก็คือการสร้างสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับประตูกล “จากนั้น ด้วยกล้องแปดตัวของริดลีย์ เราก็สามารถถ่ายทำภาพทั้งหมดได้ภายในแค่หนึ่งหรือสองเทค ซึ่งเราก็จะสามารถลอกเลียนแบบภาพนั้นขึ้นมาอีกได้” เขากล่าว “เราใช้เวลาพักหนึ่งในการจัดฉากเพื่อถ่ายทำไม่กี่ครั้ง แต่มันทำให้เราได้ภาพ 50 หรือ 60 ช็อต ซึ่งเป็นวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเหลือเชื่อจริงๆ” ด้วยความที่สก็อตใช้กล้องหลายตัว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทีมงานของคอร์บูลด์จะต้องปรากฏตัวในช็อต ในชุดทหารด้วย
ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือการนำเสนอช่วงเวลาที่ม้าของนโปเลียนถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงระหว่างการสู้รบ จะต้องมีการใช้กลไกพิเศษ ม้ายนต์จะต้องกระเด็นไปอย่างสมจริง เลือดมันจะต้องพ่นออกมาเป็นสาย “นั่นเป็นเรื่องซับซ้อนทีเดียวเพราะมันต้องอาศัยงานหลายๆ อย่าง ทั้งสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ชิ้นส่วนเทียม วิชวล เอฟเฟ็กต์ ผู้ควบคุมหุ่นกลไกที่จะควบคุมกลไกที่ว่านั่น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องทำงานร่วมกันถึงจะสร้างเป็นฉากที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาในหนังเรื่องนี้ได้ครับ” คอร์บูลด์กล่าว “มันเป็นลุคที่เป็นภาพจำของนโปเลียน ท่ามกลางการสู้รบ ร่างเปื้อนเลือดน่ะครับ”
วิธีการที่ยอดเยี่ยมอีกวิธีหนึ่งคือการใช้เวทมนตร์ภาพยนตร์ทุกเมื่อที่เป็นไปได้ สำหรับการโจมตีท่าเรือของเมืองตูลง ทีมงานต้องวิ่งไปพร้อมกับบันไดสูงเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปีนขึ้นไปจู่โจมได้ ถ้าเป็นไปตามเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะก็ บันไดพวกนั้นจะต้องทำจากไม้อย่างแน่นอน ดังนั้น ในตอนแรก ทีมของคอร์บูลด์จึงได้สร้างบันไดอันหนึ่งขึ้นมาจากไม้โอ๊ค “ผู้ชายหกคนยังยกมันขึ้นมาไม่ได้เลย เพราะมันหนักมากๆ ครับ” เขากล่าว วิธีแก้ปัญหาของคอร์บูลด์คือการสร้างบันไดโลหะขนาดเบาขึ้นมา 30 อัน ซึ่งกลุ่มคนสี่คนสามารถแบกได้อย่างสบายๆ
ในการเสริมดรามาให้กับฉากดังกล่าว ทีมของคอร์บูลด์ได้ติดตั้งกลไกระเบิด เพื่อให้ฉากบางส่วนระเบิดออกด้วย ภายใต้การนำทีมของคอร์บูลด์ ระเบิดเหล่านี้จะเลียนแบบเศษกระสุนที่ลุกไหม้ของกระสุนปืนใหญ่จริงๆ แต่พวกเขาจะแทนที่มันด้วยแรงลมที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งทำให้นักแสดงสตันท์ใกล้ชิดกับจุดระเบิดได้มากขึ้น
ฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชา
หลังจากเคยร่วมงานกับริดลีย์มาแล้วหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึง Gladiator ด้วย ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แจนตี้ เยทส์ ก็รู้ดีว่าเธอกำลังจะเจอกับอะไร “การทำงานให้กับริดลีย์เป็นงานใหญ่เสมอค่ะ คุณมักจะต้องทำอย่างดีที่สุดและทำให้ดีกว่านั้นขึ้นไปอีก” เธอกล่าว “ฉันชื่นชอบความท้าทายเสมอและฉันก็พยายามตอบรับมันในทุกครั้งที่ฉันทำได้”
ส่วนหนึ่งของการค้นคว้าข้อมูลของเยทส์คือการที่เธอไปตะลุยฝรั่งเศสเพื่อสำรวจเกี่ยวกับตัวละครให้มากขึ้น “ฉันไปที่พิพิธภัณฑ์มิวซี เดอ เลมเพอรี, พิพิธภัณฑ์มิวซี เดอ ลอมม์และมัลเมซง ซึ่งเป็นสถานที่ที่โจเซฟินพำนักและใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายชีวิต นอกจากนั้น ฉันยังได้ไปที่พระราชวังฟงแตนโบล ซึ่งเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนโปเลียน” การค้นคว้าข้อมูลนี้ช่วยเธอในการวางตำแหน่งโจเซฟินในเส้นเวลาต่างๆ ในเรื่องราว และนำเสนอเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนโปเลียน “เราเลือกใช้แต่เงินและทองในช่วงที่เธอรุ่งโรจน์ขึ้นมา” เธออธิบาย “ชุดกระโปรงของเธอเปลี่ยนจากความเรียบง่ายไปเป็นวิจิตรบรรจงและเธอก็เริ่มสวมเพชรพลอยมากขึ้นค่ะ”
สเกลการถ่ายทำและจำนวนนักแสดงสมทบมหาศาลทำให้แจนตี้ต้องขอความช่วยเหลือจากเดวิด ครอสแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายทางทหาร ผู้รับหน้าที่ดูแลรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าในชุดเสื้อผ้าของนโปเลียนและกองทัพอื่นๆ ที่ถูกนำเสนอออกมา สำหรับครอสแมน ความท้าทายหลักอยู่ที่การตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวนมหาศาลตามที่ทีมงานต้องการ “คุณอาจจะคิดว่ามันมีชุดเยอะแยะอยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้มีอะไรอยู่เลย เราจะเช่าชุดเอาก็ไม่ได้ เราก็เลยต้องตัดเย็บชุดขึ้นมาประมาณ 95% เราเร่งงานโรงงานแทบแย่เพื่อให้งานพวกนี้เสร็จทันเวลา ด้วยความเร็วในการทำงานของริดลีย์ เราก็เลยถ่ายทำฉากพิธีราชาภิเษกในสัปดาห์หนึ่ง แล้วก็ไปถ่ายทำฉากวอเตอร์ลูในสัปดาห์ถัดไป ซึ่งมีอะไรมากมายที่ต้องทำให้เสร็จครับ”
สำหรับรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงในชุดของนโปเลียน ครอสแมนตั้งใจจะถ่ายทอดความงามของแฟชันในยุคสมัยนั้นออกมา “ชุดเครื่องแบบมีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับเสื้อผ้าของประชาชนธรรมดา เราก็เลยไปหาเสื้อผ้าจริงๆ แล้วลอกแพทเทิร์นลายผ้านั้นมาใช้ในตอนที่เราตัดเย็บตัวอย่างเสื้อผ้าของนโปเลียนน่ะครับ”
หลังจากที่ทำตามกำหนดเส้นตายและจัดหาชุดให้กับทีมนักแสดงทุกคนเรียบร้อยแล้ว ครอสแมนกล่าวว่า เธอรู้สึกปลาบปลื้มเมื่อได้ยินปฏิกิริยาของสก็อต “เขาได้แต่พูดว่า ‘ว้าว ว้าว ว้าว’ ทางวิทยุ ซึ่งทำให้เรารู้สึกดีมากที่ได้ยินมัน” เขาเล่า “ตอนนี้ที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มีโอกาสได้หายใจหายคอแล้วมองย้อนกลับไปสู่สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวดครับ”
นักแสดงมักจะพูดถึงการค้นพบตัวละครในตอนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายของตัวเอง และเคอร์บี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น “กระบวนการตัดเย็บชุดน่าทึ่งมากค่ะ แจนตี้เป็นอัจฉริยะเลย” เธอกล่าว “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชุดกระโปรงแต่ละชุดต้องใช้ฝีมือประดิดประดอยมากแค่ไหน ทุกอย่างถูกออกแบบโดยแจนตี้ โดยมีเค้าโครงจากชุดกระโปรงจริงๆ และตัดเย็บด้วยมือทั้งชุด แม้กระทั่งสำหรับฉากสามสิบวินาที ก็ยังมีชุดที่น่าทึ่งอีกชุดหนึ่ง มันเป็นเช้าที่สนุกจริงๆ ที่เราได้เลือกว่าจะสวมใส่ชุดกระโปรงชุดไหนน่ะค่ะ”
สำหรับฮัฟแฟมและวอลช์ จำนวนชุดมหาศาลและระดับรายละเอียดที่เหลือเชื่อเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ “ทีมงานทุกคนทำงานกันหนักมากเพื่อทำให้แน่ใจว่าลุคทหารทั้งหมดจะสมจริง ตรงกับยุคสมัย และถูกทำให้เก่าแก่ตามสมควร ซึ่งลงรายละเอียดไปจนถึงส้นรองเท้าด้วยซ้ำไป” วอลช์กล่าว “มันเป็นงานช้างของจริงครับ”
ฮัฟแฟมกล่าวเห็นพ้องด้วยว่า “ชุดทหารและประชาชนน่าทึ่งมากครับ โจเซฟินเป็นตัวละครในฝันของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายเลย ส่วนนโปเลียนก็เป็นตัวละครในฝันสำหรับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายทหาร การได้เห็นภาพทั้งหมดนี้มาอยู่รวมกันเป็นอะไรที่วิเศษสุดจริงๆ ครับ”
ดนตรีของ Napoleon
สำหรับดนตรีประกอบภาพยนตร์ สก็อตได้เลือกใช้นักประพันธ์ชาวอังกฤษ มาร์ติน ฟิปส์ สำหรับการร่วมงานกันครั้งแรกของพวกเขา ในตอนที่พวกเขาพบกันก่อนการถ่ายทำ สก็อตก็เล่าให้ฟิปส์ฟังเกี่ยวกับความประทับใจที่เขามีต่อภาพยนตร์ที่เขาจะสร้างขึ้น “ถ้าคุณนึกถึงหนังตามแบบฉบับของริดลีย์ สก็อต มันก็มักจะมีดนตรีประกอบเยอะแยะ มีดนตรีแอ็กชันเยอะแยะ มีดนตรีโรแมนติกเยอะแยะ มีซาวน์แทร็คเยอะแยะที่ทำหน้าที่ตามปกติของมัน แต่ริดลีย์พูดถึงว่าเขาเป็นแฟนของหนังคูบริคเรื่อง Barry Lyndon” ฟิปส์กล่าว พลางตั้งข้อสังเกตว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ดึงเอาข้อมูลหลายอย่างที่คูบริคได้ค้นคว้าเอาไว้สำหรับภาพยนตร์เกี่ยวกับนโปเลียนที่เขาไม่เคยสร้าง “โทนของมันเป็นสิ่งที่ช่วยนำทางเขาครับ จริงๆ แล้ว Barry Lyndon ไม่ได้มีดนตรีประกอบ ที่เป็นดนตรีที่แต่งขึ้นมาเลย มีเพียงแค่เสียงดนตรีจากยุคสมัยนั้นที่คูบริคบรรจงเลือกและบางครั้งก็ปรับเปลี่ยน ผมก็เลยเอาแนวทางนั้นมาใช้กับดนตรีประกอบเรื่อง Napoleon มีบางเพลงที่ผมแต่งขึ้นที่เกือบจะเหมือนเป็นเพลงจากยุคสมัยนั้นหรือมีกลิ่นไอของยุคสมัยนั้น และไม่ได้ถูกแต่งขึ้นมาตามแบบฉบับ มันเป็นการก้าวถอยหลัง เป็นโอกาสที่จะลงรายละเอียดอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้นว่าเราจะใช้ดนตรีตรงไหน หรือไม่ใช้ตรงไหน แล้วดนตรีพวกนั้นทำหน้าที่อะไรน่ะครับ”
องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญที่จะใส่ลงไปในดนตรีประกอบคือความรู้สึกที่ว่านโปเลียนเป็นคนนอก เป็นอันธพาลจากเกาะคอร์ซิกา ที่มีความขุ่นข้องใจอัดแน่นเต็มอกและต้องการพิสูจน์ตัวเอง “เราต้องการใส่ความรู้สึกนั้นเข้าไปในดนตรี ความรู้สึกของการเป็นคนนอกน่ะครับ” ฟิปส์กล่าว “วิธีหนึ่งก็คือผ่านหนึ่งในช่วงโปรดของผมในดนตรีประกอบ โดยเราได้เพิ่มนักร้องชาวคอร์ซิกาเข้าไป พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ร้องแต่เพลงของคอร์ซิกา ซึ่งคนภายนอกไม่ค่อยรู้จักซักเท่าไหร่ นอกจากนั้น เรายังใช้เพลงธีมที่มาจากเครื่องดนตรีที่แข็งกระด้างกว่าเล็กน้อย ไม่ได้เป็นเพลงคลาสสิกหรือออร์เคสตราที่พลิ้วไหว แต่เป็นดนตรีที่มีความแข็งกระด้างเล็กๆ น่ะครับ”
หนึ่งในเครื่องดนตรีที่แข็งกระด้างกว่าพวกนั้นคือเปียโนที่เป็นของตัวนโปเลียนเอง ซึ่งพิพิธภัณฑ์ลอนดอนได้ให้พวกเขายืมมา เสียงนั้นสอดประสานด้วยเครื่องดนตรีโฟล์ค ซึ่งรวมถึงแอ็คคอร์เดียน เครื่องสายยุคเริ่มแรกหรือแม้กระทั่งเฮอร์ดี้-เกอร์ดี้
เป็นเรื่องธรรมชาติที่ธีมหลักในภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นธีมสำหรับนโปเลียนและโจเซฟิน “ธีมของนโปเลียนเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายด้วยเสียงเปียโน ก่อนจะส่งต่อไปสู่เสียงโซโล ทรัมเป็ต ในตอนจบเรื่อง มันก็ผลิบานกลายเป็นเวอร์ชันออร์เคสตราและเสียงร้องครับ” ฟิปส์อธิบาย “ในทางกลับกัน ธีมของโจเซฟินจะโหยหวนมากกว่า มันเป็นจังหวะ ¾ เหมือนเพลงวอลซ์ เพลงนั้นมีเสียงแอ็คคอร์เดียน และมีเสียงคณะนักร้องประสานเสียงวงใหญ่ฮัมเพลงอย่างอ่อนโยน ธีมนี้ปรากฏขึ้นมาสามหรือสี่ครั้งในตอนที่โจเซฟินเจอกับสถานการณ์ที่ค่อนข้างยากลำบากครับ”
ประวัตินักแสดง
วาคิน ฟินิกซ์ (นโปเลียน โบนาปาร์ต) เป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลอคาเดมี และบาฟตา อวอร์ด
ล่าสุด ฟินิกซ์ได้แสดงในภาพยนตร์โดยเอทเวนตี้โฟร์เรื่อง Beau is Afraid ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยอารี แอสเตอร์ (Hereditary, Midsommar) และเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในนิวยอร์กและลอสแองเจลิสในวันที่ 14 เมษายน และทั่วประเทศในวันที่ 21 เมษายน ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของโบ (ฟินิกซ์) หลังจากการเสียชีวิตกะทันหันของแม่เขาและความท้าทายที่เกิดขึ้นตามมา ทีมนักแสดงสมทบรวมถึงนาธาน เลน, แพ็ตตี้ ลูโพน, ปาร์คเกอร์ โพซีย์ และ ฯลฯ
เมื่อเร็วๆ นี้ ฟินิกซ์เพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง Joker: Folie à Deux ซีเควลของ Joker ในปี 2019 ภาพยนตร์เรื่อง Joker: Folie à Deux ซึ่งกำกับโดยท็อดด์ ฟิลลิปส์ ร่วมอำนวยการสร้างโดยฟิลลิปส์และแบรดลีย์ คูเปอร์และจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บรอส. ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 4 ตุลาคม ปี 2024 และนำแสดงโดยเลดี้ กาก้าในบทฮาร์ลีย์ ควินน์
หลังจากนี้ ฟินิกซ์จะเริ่มต้นถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ของพาเวล พอว์ลิโคว์สกี้ The Island (ชื่อเรื่องชั่วคราว) ประกบรูนีย์ มารา The Island สร้างจากเรื่องจริงของคู่รักชาวอเมริกัน ผู้ออกเดินทางเพื่อสร้างสวรรค์ลับๆ บนเกาะร้าง และใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนั้น ในตอนที่เคาน์เตสจากยุโรปล่วงรู้เกี่ยวกับแผนการของพวกเขา เธอก็มาเยือนเกาะแห่งนี้ด้วยแผนการที่จะยึดครองเกาะและสร้างโรงแรมหรูขึ้นมา ซึ่งนั่นกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการทรยศ การนอกใจและฆาตกรรมในท้ายที่สุด อโพคาลิปโซ พิคเจอร์สและไบรท์สตาร์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างโปรเจ็กต์นี้ โดยร่วมมือกับไวลด์ไซด์, ฟรีแมนเทิลและวิชัน
ในปี 2020 ฟินิกซ์ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, บาฟตา อวอร์ด, แซ็ก อวอร์ดและลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาใน Joker ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและบาฟตา อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
ในปี 2021 เขาได้แสดงบทจอห์นนีใน C’mon C’mon ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดยไมค์ มิลส์และเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เทลลูไรด์ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลาม
ในปี 2018 ฟินิกซ์ได้นำแสดงใน Don’t Worry, He Won’t Get Far on Foot บทภาพยนตร์โดยกัส แวน แซงต์เรื่องนี้มีเค้าโครงจากอนุทินโดยจอห์น คัลลาฮาน ซึ่งเล่าเรื่องราวเหตุการณ์จริงของจอห์น (ฟินิกซ์) ผู้มีอาการอัมพาตหลังจากอุบัติเหตุเนื่องมาจากการติดยาของเขาก่อนที่เขาจะค้นพบสิ่งที่เขารักในชีวิตในภายหลัง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และนำแสดงโดยรูนีย์ มารา, โจนาห์ ฮิลและแจ็ค แบล็ค
นอกจากนี้ ฟินิกซ์ยังได้แสดงใน You Were Never Really Here ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2017 ฟินิกซ์ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเมืองคานส์และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดยลินน์ แรมซีย์และสร้างจากนิยายขนาดสั้นชื่อเดียวกันในปี 2013 โดยโจนาธาน เอเมส
ในปี 2013 ฟินิกซ์รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Her สำหรับวอร์เนอร์ บรอส. และโซนี พิคเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบท กำกับและร่วมอำนวยการสร้างโดยสไปค์ โจนซ์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ธีโอดอร์ ทวอมบ์ลีย์ (ฟินิกซ์) ได้พัฒนาความสัมพันธ์รักๆ ใคร่ๆ กับซาแมนธาน (สการ์เล็ตต์ โยฮันสัน) หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ที่มีเสียงเป็นผู้หญิง นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังนำแสดงโดยเอมี อดัมส์, รูนีย์ มารา, โอลิเวีย ไวลด์และคริส แพรทท์อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและลูกโลกทองคำสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึง Hotel Rwanda, Irrational Men, Inherent Vice, Mary Magdalene, The Sisters Brothers, Gladiator, Walk the Line, The Immigrant, The Master, Two Lovers, Signs, Ladder 49, We Own the Night, Reservation Road, The Village, Brother Bear, To Die For, My Own Private Idaho, 8mm, Inventing the Abbotts, Parenthood และ SpaceCamp
ผลงานการควบคุมงานสร้างของฟินิกซ์ยังรวมถึง Stutz, Gunda, What the Health, I Am Dying, The End of Medicine, Across My Land, The Animal People, Indigo และ Liberty
วาเนสซา เคอร์บี้ (โจเซฟิน) เจ้าของรางวัลโวลปี คัพและบาฟตา อวอร์ด ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำ, เอ็มมีและคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดได้รับการยกย่องไปทั่วโลกจากผลงานของเธอในภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที
ล่าสุด เคอร์บี้ได้กลับมารับบท ไวท์ วิโดว์ใน Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One ภาคล่าสุดของแฟรนไชส์ดัง Mission: Impossible โดยคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายทั่วโลกในวันที่ 14 กรกฎาคม ปี 2023
หลังจากนี้ เคอร์บี้จะได้แสดงประกบเจค จิลเลนฮัลในภาพยนตร์โดยโธมัส ไบด์เกนเรื่อง Suddenly
เคอร์บี้ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงนำในภาพยนตร์โดยคอร์เนล มันดรัคโซเรื่อง Pieces of a Woman ประกบเอลเลน เบอร์สทิน การแสดงในบทมาร์ธาของเคอร์บี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, ลูกโลกทองคำ, บาฟตา, คริติกส์ ชอยส์และแซ็ก อวอร์ด ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในสายประกวดของงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2020 ที่ซึ่งเคอร์บี้ได้รับรางวัลโวลปี คัพสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตอีกด้วย หลังจากที่เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิส ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถูกขายให้กับเน็ตฟลิกซ์และแพร่ภาพในวันที่ 7 มกราคม ปี 2021
เคอร์บี้เปิดตัวบริษัทโปรดักชันของเธอในชื่อ อาลูนา เอนเตอร์เทนเมนต์ในปี 2021 ภายใต้ข้อตกลงเสนองานให้กับเน็ตฟลิกซ์เป็นที่แรก ภายใต้แบนเนอร์อาลูนา เอนเตอร์เทนเมนต์ของเธอ เคอร์บี้ ร่วมกับลอเรน ดาร์ค อดีตผู้บริหารอาวุโสของฟิล์มโฟร์ จะพัฒนาและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวที่มีผู้หญิงเป็นตัวเอก
ในปี 2022 เคอร์บี้ได้แสดงในภาพยนตร์โดยฟลอเรียน เซลเลอร์เรื่อง The Son ประกบฮิวจ์ แจ็คแมนและลอรา เดิร์น ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2022 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสิงโตทองคำในเวนิสสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นอกจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต, เทศกาลภาพยนตร์ซูริคและเทศกาลภาพยนตร์ลอนดอนและเพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ปี 2022
ในปี 2019 เคอร์บี้ได้นำแสดงใน Fast and Furious Presents: Hobbs and Shaw สปินออฟจากแฟรนไชส์ Fast and Furious ที่นำแสดงโดยดเวย์น จอห์นสัน, อิดริส เอลบ้าและเฮเลน เมอร์เรน ในปีนั้น เคอร์บี้ยังได้แสดงใน The World to Come ภาพยนตร์อินดีที่เล่าเรื่องราวของผู้หญิงสองคนที่สานสายสัมพันธ์ใกล้ชิดแม้พวกเธอจะอยู่ท่ามกลางความอ้างว้างในพรมแดนอเมริกันช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ก็ตามที ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยโมนา ฟาสต์โวลด์ ได้เข้าประกวดในสายประกวดของงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2019 และคว้ารางวัลเควียร์ ไลออนมาครองได้สำเร็จ
ในปี 2018 เคอร์บี้ได้แสดงในภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกเรื่อง Mission: Impossible – Fallout ประกบทอม ครูซ, เฮนรี คาวิลและรีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน ในปีนั้น เคอร์บี้ยังได้รับบทนำในละครเวทีโดยแคร์รีย์ แคร็กเนลเรื่อง “Julie” ที่โรงละครเนชันแนล เธียเตอร์ในกรุงลอนดอนอีกด้วย
เคอร์บี้เริ่มต้นแสดงบนเวทีละครด้วยการแสดงในละครเวทีโดยเนชันแนล เธียเตอร์เรื่อง “Women Beware Women” และ “As You Like It” เธอได้แสดงบทบาทละครเวทีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงหลายครั้งให้กับผู้กำกับเดวิด แธ็คเกอร์ เริ่มจากการรับบทแอนในละครเวทีโดยอาร์เธอร์ มิลเลอร์เรื่อง “All My Sons” ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลบิซา ไรซิง สตาร์ อวอร์ดตามด้วยละครเวทีโดยเฮนริค อิบเซนเรื่อง “Ghosts” ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ รวมถึง “Three Sisters,” “Uncle Vanya,” “The Acid Test” และ “A Streetcar Named Desire” ซึ่งถูกนำไปเปิดการแสดงที่นิวยอร์กด้วย การแสดงของเคอร์บี้ใน “A Streetcar Named Desire” ทำให้เธอได้รับรางวัลว็อทส์ออนสเตจ อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ประวัติทีมผู้สร้าง
ริดลีย์ สก็อต (ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้สร้างชื่อดังผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาใน Black Hawk Down (2001), Gladiator (2000) และ Thelma & Louise (1991) ล่าสุด สก็อตได้กำกับ The Last Duel (2021) ที่นำแสดงโดยแมทท์ เดมอน, เบน เอฟเฟล็คและโจดี้ คัมเมอร์และ House of Gucci (2021) ที่นำแสดงโดยเลดี้ กาก้าและอดัม ไดรเวอร์ เขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Death on the Nile (2022) ที่นำแสดงโดยเคนเนธ บรานาห์, กัล กาโดต์, อาร์มีย์ แฮมเมอร์และแอนเน็ตต์ เบนิงและ Hulu’s Boston Strangler (2023) ที่นำแสดงโดยเคียรา ไนท์ลีย์, แคร์รีย์ คูนและคริส คูเปอร์ หลังจากนี้ เขาจะกำกับซีเควลของ Gladiator ที่นำแสดงโดยพอล เมสคัล สำหรับพาราเมาท์
ในปี 1977 สก็อตได้เปิดตัวผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาด้วย The Duellists ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลภาพยนตร์เรื่องแรกยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานเป็นทริลเลอร์ไซไฟชื่อดัง Alien (1979) และภาพยนตร์ดังเรื่อง Blade Runner (1982) ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติของหอสมุดสภาคองเกรสสหรัฐฯ ในปี 1993
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาในฐานะผู้กำกับรวมถึง The Martian (2015) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงเจ็ดรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้รับการเสนอชื่อชิงหนึ่งรางวัลดีจีเอ อวอร์ดและหกรางวัลบาฟตา ซึ่งรวมถึงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม; Exodus: Gods and Kings (2014) ที่นำแสดงโดยคริสเตียน เบลและโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน; The Counselor (2013) ที่เขียนบทโดยคอร์แม็ค แม็คคาร์ธีย์และนำแสดงโดยไมเคิล ฟาสเบนเดอร์; ภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง Prometheus (2012) ที่นำแสดงโดยไมเคิล ฟาสเบนเดอร์; G.I. Jane (1997) ที่นำแสดงโดยเดมี มัวร์และวิกโก้ มอร์เตนเซน; Hannibal (2001) ที่นำแสดงโดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์และจูลีแอนน์ มัวร์; Body of Lies (2008) ที่นำแสดงโดยรัสเซล โครว์และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ; Robin Hood (2010) ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่ห้าที่เขาร่วมงานกับรัสเซล โครว์; Alien: Covenant (2017) ซีเควลของ Prometheus และ All the Money in the World (2017) ที่นำแสดงโดยมาร์ค วอห์ลเบิร์กและมิเชลล์ วิลเลียมส์
สก็อตและโทนี น้องชายผู้ล่วงลับของเขา ได้ก่อตั้งอาร์เอสเอ บริษัทโปรดักชันโฆษณาขึ้นในปี 1967 ในปี 1995 พี่น้องสก็อตได้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชันภาพยนตร์และโทรทัศน์ในชื่อสก็อต ฟรี โปรเจ็กต์หลังจากนี้ของสก็อต ฟรีรวมถึง Berlin Nobody ทริลเลอร์ที่เขียนบทและกำกับโดยจอร์แดน สก็อต และนำแสดงโดยอีริค บานาและซาดี้ ซิงค์; ภาพยนตร์เรื่องใหม่ในแฟรนไชส์ Alien ที่จะกำกับโดยเฟด อัลวาเรซ; A Haunting in Venice จากเคนเนธ บรานาห์ ที่นำแสดงโดยบรานาห์, เจมี ดอร์แนน, ทีนา เฟย์และมิเชล โหยว; Outside ภาพยนตร์ที่สร้างจากผลงานเบสต์เซลเลอร์ของนักเขียนไอซ์แลนด์ แร็กนาร์ โยฮันสันและ The Chronology of Water ที่จะกำกับโดยคริสเตน สจวร์ต
ด้านจอแก้ว สก็อตได้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ยอดนิยมที่ได้รับรางวัลเอ็มมี, พีบอดี้และลูกโลกทองคำเรื่อง “The Good Wife” สำหรับซีบีเอสและสปินออฟชื่อดังทางซีบีเอส ออล แอ็คเซสเรื่อง “The Good Fight”; ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากนิยายคลาสสิกโดยฟิลิป เค. ดิคเรื่อง “The Man in the High Castle” สำหรับอเมซอน; ซีรีส์แอนโธโลจี้ทางเอเอ็มซีเรื่อง “The Terror” และซีรีส์โดยสตีเวน ไนท์ที่ดัดแปลงจากนิยายคลาสสิกโดยชาร์ลส์ ดิคเคนส์เรื่อง “Great Expectations” สำหรับเอฟเอ็กซ์/บีบีซีวัน
ในปี 2003 สก็อตได้รับเครื่องราชย์ฯเป็นอัศวินเนื่องจากคุณูปการที่เขามีต่อแวดวงศิลปะ เขาได้รับรางวัลอเมริกัน ซีเนมาธิค อวอร์ดครั้งที่ 30 ในงานกาลาประจำปีขององค์กรในปี 2016, รางวัลความสำเร็จแห่งชีวิตด้านการกำกับภาพยนตร์จากเวทีสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาปี 2017 และรางวัลอคาเดมี เฟลโลว์ชิพจากเวทีบาฟตา อวอร์ดปี 2018
ฝีมือของมือเขียนบทเดวิด สการ์พา (เขียนบทโดย) อยู่ที่การเขียนเรื่องราวที่มีธีมทางจิตวิทยา ที่เอื้อต่อการสร้างเป็นประสบการณ์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ เขาใช้ตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงเป็นเครื่องมือในการนำเสนอธีมที่กว้างขวางกว่าเดิมเกี่ยวกับสภาพความเป็นมนุษย์
บทภาพยนตร์สามเรื่องที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ของสการ์พา ซึ่งรวมถึง All the Money in the World ต่างก็ได้รับเลือกให้ติดแบล็ค ลิสต์ โปรเจ็กต์ในอนาคตของเขารวมถึง Gladiator 2 ซึ่งทำให้เขาได้ร่วมมือกับริดลีย์ สก็อต ผู้กำกับ Napoleon อีกครั้งหนึ่ง อาชีพนักเขียนบทของสการ์พาเริ่มต้นขึ้นด้วยบทภาพยนตร์ดั้งเดิมสำหรับดรีมเวิร์คส์ที่กลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Last Castle ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ด, เจมส์ แกนดอลฟินีและมาร์ค รัฟฟาโล นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้เขียนบทภาพยนตร์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์โดยสก็อต เดอร์ริคสันเรื่อง The Day the Earth Stood Still ด้วย
เควิน วอลช์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ด้วยประสบการณ์กว่า 25 ปีด้านธุรกิจบันเทิง ตลอดระยะเวลาที่เขาทำงาน วอลช์ได้ทำงานร่วมกับปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์และดนตรีสี่คนได้แก่ ริดลีย์ สก็อต, สตีเวน สปีลเบิร์ก, สก็อต รูดินและทอมมี มอตโตลา และได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะผู้อำนวยการสร้างระดับแนวหน้าแห่งวงการภาพยนตร์