เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โลกมีการรับแจ้งข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วขึ้น และไม่ว่าใครก็สามารถสร้างข่าว คอนเทนต์ และการเสนอประเด็นสังคมทั้งด้านสว่าง และด้านมืดได้อย่างอิสระ ถึงแม้จะอิสระแค่ไหน แต่ข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้น จะมีบรรทัดฐานความถูกต้องจากการกรองข่าวข้อมูลจากนักข่าว มีความจริงเท็จจากแหล่งข้อมูลอย่างไร อย่างในกรณีของ “ณัฐดนัย นะราช” ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของนักข่าวรุ่นใหม่หัวใจรักษ์ความยุติธรรม ที่มีการสืบเสาะหาข้อมูล รวมถึงการกรองข้อมูลข่าวสารจากข้อเท็จจริงในการนำเสนอข่าว พร้อมเป็นต้นแบบตัวอย่างการทำงานของเหล่านักข่าวรุ่นใหม่ จนสื่อในประเทศและต่างประเทศยกย่องถึงความสามารถ จากการตามล่าหาหลักฐานข้อเท็จจริงช่วยเหลือประชาชน และตำรวจในการสืบคดีต่างๆ หลังจากใช้จิตวิญญาณความชอบสงสัยของนักข่าวที่ไม่หยุดนิ่ง ที่เจ้าตัวจับสังเกต หาข้อมูล จนค้นพบเบาะแส และหลักฐานชิ้นสำคัญ ช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ และร่วมมือกับตำรวจในการจับคนร้าย
“ณัฐดนัย นะราช” ผู้สื่อข่าวช่อง 8 หลายคนอาจคิดว่า อาชีพนักข่าวของเขาต้องมีประสบการณ์มามาก ถึงกล้าตีแผ่ความจริง แต่จริงๆแล้ว เขาทำงานอาชีพนักข่าวมา 4 ปี ซึ่งถือว่าสร้างความเซอร์ไพรส์กับคนวงในสายอาชีพสื่อมวลชน แต่ด้วยคติการทำงานที่แรงกล้า “ต้องขยัน และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง” จึงทำให้ณัฐดนัย เคยสามารถช่วยค้นหาความจริงในคดีใหญ่ได้หลายคดี และจากความตั้งใจในการทำงาน ทำให้เขากลายเป็นที่รักของประชาชน และกลุ่มผู้สื่อข่าวด้วยกัน
จากข้อมูลการสัมภาษณ์ “ณัฐดนัย นะราช” ผู้สื่อข่าวช่อง 8 เกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง พ่อและแม่ทำอาชีพเกษตรกร และเป็นเสาหลัก ส่งเสียดูแลที่บ้านร่วมกับพี่สาวจบการศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เริ่มแรกเลย เขาฝึกงานตรงสายรีไรท์ และด้วยการขาดนักข่าว หัวหน้าเลยยื่นโอกาสให้เขาเข้ามาสัมผัสอาชีพนักข่าวแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ช่วงแรกเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชอบการทำงานในสายข่าวมากนัก เพราะตัวเองจบมาไม่ตรงสาย และไม่เคยได้รับการฝึก และมีแพสชันในการทำงานสายงานข่าวมาก่อน แต่ด้วยความกระหายเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต เขาเลยขอลองเดินบนเส้นทางนักข่าวตั้งแต่นั้นมา
หลังจากนั้น เขาก็ได้ก้าวผ่าน Comfort zone มาเป็นเหยี่ยวข่าวอาชญากรรมกับ “พุทธ อภิวรรณ” และถือว่าเป็นหนึ่งในนักข่าวที่มีความสามารถโดดเด่นจากการสืบหาข้อมูลคดีดังจนมีผลงาน อาทิ คดีฆ่าแขวนคอชายกลางสะพาน หลังจากพบศพชายคนนึงแขวนคอที่ราวสะพาน ซึ่งชาวบ้านอยากให้ไปช่วยว่าคดี อาจมีเงื่อนงำไม่ใช่เหตุการฆ่าตัวตาย และคดีอาจไม่มีความคืบหน้า เพราะเคยมีเรื่องราวกับผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้าน หากลงไปเสนอข่าว จะได้ช่วยให้ข่าวนี้มีความเด่นชัด มีคนสนใจขึ้น และเกิดการคลี่คลายขึ้น พร้อมครอบครัวของผู้ตายก็ยินดีที่ไปเสนอข่าว จนจับคนร้ายได้ในที่สุด ต่อด้วย คดีกองปราบรวบโจ๋ 17 ชาว จ.เชียงราย เป็นคดีที่เกิดขึ้นใน จ.ตรัง หลังจากที่พบเด็กชายคนนึงฆ่าตัวตายเป็นศพที่หนองน้ำ แต่ด้วยทางญาติเกิดติดใจ ผู้ตายไม่มีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า แต่สงสัยว่าอาจมีคนมาหลอกลวงผู้ตายจนกระทั่งรู้ว่าผู้ตายมีการพูดคุย และการโอนเงินในช่องทางนึงให้กับบุคคลนึง และมีการเล่นเกมด้วยกัน ก็เลยนำตนเองไปเล่นเกมกับผู้ต้องสงสัย แลกเบอร์ พูดคุยทำให้ตายใจ จนมารับสารภาพว่าตนปลอมตัวเป็นผู้หญิง คุยกับผู้ตาย ทำให้ถูกจับกุมในที่สุด ต่อมาคดีหนุ่มเชฟลูกดาราดังของประเทศสเปน ฆ่าหั่นศพหมอชาวโคลอมเบีย เป็นคดีใหญ่ที่สื่อทั้งในประเทศ และต่างประเทศต่างให้ความสนใจ เพราะผู้ต้องหาเป็นลูกนักแสดงดังของประเทศสเปน และณัฐดนัย ได้รับผิดชอบลงพื้นที่ ติดตามคดีนี้ตั้งแต่วันแรก เป็นเหตุทำให้เขาพบภาพหลักฐานนาทีผู้ต้องหาขนชิ้นส่วนศพทิ้งตามจุดต่างๆ ทำให้นักข่าว Carlos Segura สื่อสเปน Equipo de investigación ให้ความสนใจ บินตรงขอสัมภาษณ์พิเศษ และได้สร้างชื่อเสียงให้กับความสามารถของนักข่าวประเทศไทยต่อสายตาต่างชาติ จนล่าสุดมาถึงคดีป้าบัวผัน ที่เจ้าตัวก็ได้พบหลักฐานสำคัญจากกล้องวงจรปิดที่กลุ่มโจ๋วัยรุ่นลูกตำรวจที่เป็นคนลงมือทำร้ายป้าบัวผันตัวจริง จนเป็นข่าวดังทั่วประเทศและทำให้เขาถูกสังคมยกย่องให้เป็นนักข่าวฮีโร่ยอดนักสืบอีกด้วย
หากย้อนแนวคิด และพฤติกรรมของ “ณัฐดนัย นะราช” การที่เขามีแนวคิดแน่วแน่ มีหลักจรรยาบรรณวิชาชีพของการทำงานอันแรงกล้า และการที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในการหาแหล่งข้อมูลข่าว เบาะแสหลักฐาน พฤติกรรมเหล่านี้คงฝั่งอยู่ในรากของจิตใจ นอกจากประสบการณ์ หนึ่งในนั้นคงไม่พ้นการอบรมเลี้ยงดูของบุพการี ที่ปลูกฝังมาให้เขาเติบโตมาเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม ในระหว่างการสัมภาษณ์ ณัฐดนัย กล่าวว่า “เขาไม่เคยได้รับคำชมจากการทำงานจากครอบครัว หลังจากที่ตัวเองถูกสังคมชื่นชมจากคดีดังต่างๆ แต่ได้รับความเป็นห่วงเสมอ ครอบครัวมักถามเขาว่า เขานอนที่ไหน ปลอดภัยดีหรือเปล่า และการรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองบกพร่องตรงไหนหรือไม่ ตั้งแต่เด็กพ่อ กับแม่มักสอนประสบการณ์ใช้ชีวิตให้เขารู้คุณค่าของตัวเอง ผู้อื่น และการรู้จักเก็บออมว่าสิ่งไหนสำคัญกับชีวิต และสิ่งไหนให้รอก่อน พร้อมคติ “การคิดดี ทำดี พูดดี” และการโฟกัสในเรื่องของการทำงานอย่างมีสติ เพราะสติจะเป็นตัวช่วยให้เขารอดพ้นปัญหา และแก้ไขสิ่งต่างๆได้ดี และรู้จักปล่อยวางให้เป็น”
ซึ่งอีกประการนึง “ครอบครัวอยากให้เขาตั้งใจทำงาน หากตั้งใจทำงาน รักในงานที่ทำ รับผิดชอบให้ดีที่สุด ผลสำเร็จก็จะมาหาเราเองไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งทำให้เขาเองมีคติประจำตัว “ความอดทน และความมุ่งมานะ” พอถามอีกว่าวันนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของอาชีพนักข่าวของเขาอีกขั้น ซึ่งหากมองย้อนดูตัวเอง อะไรคือจุดแข็งของเขา เขาตอบด้วยความมั่นใจว่า “ความอยากรู้ อยากเห็น” ของผม เขาขยายความอีกว่า “อย่างเรื่องการขอหลักฐาน การพูดคุยกับผู้ต้องหาที่เขาไม่ยอมพูดอะไรกับใครเลย สมมุติถ้าเป็นผม ผมก็มีวิธีการให้เขายอมเปิดข้อมูลเพื่อเราจะได้ต่อเรื่อยๆ เหมือนลูกอ้อน ซึ่งมีหลักการพูด เข้าใจเขา หากเป็นเราจะรู้สึกอย่างไร ห้ามมองข้ามเด็ดขาด ใจเขาใจเรา”
คดีที่ผ่านมายากทั้งหมด ก่อนหน้านี้ความยาก ความเหนื่อยของงาน เคยมีวันที่เราหมดไหมในการทำงานหรือไม่ “ผมจะเต็มที่กับทุกวันทำงาน และก็สนุกไปด้วย ถึงงานส่วนใหญ่จะหนัก และถ้าเหนื่อยไปด้วย จนทำให้เขาหมดไฟ งานก็จะออกมาไม่ดี เพราะฉะนั้นจะสนุกและเต็มที่เสมอ”
การตอบอย่างความมั่นใจ เขาคงเป็นคนทำงานที่เฟอร์เฟค คงไม่มีอะไรที่ต้องปรับปรุง แต่เขากับตอบมาทันที “ไม่เลยครับ ผมมีเรื่องต้องปรับปรุงเยอะแยะเลย ผมคิดว่าผมไม่ได้เฟอร์เฟคอะไรสักนิด แค่เราอยากรู้ มีเซนต์ของนักข่าวจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา ว่าสิ่งที่เห็น และได้ยินจากการลงไปในพื้นที่ต่างๆจริงหรือไม่ พยายามซ่อนหรือปิดบังอะไรไว้หรือเปล่า และหลักๆเลยผมเองยังเป็นนักข่าว ที่รายงานข่าวผ่านทางหน้าจอยังไม่ดี ต้องพัฒนาเพิ่มขึ้นอีก ต้องหัดพยายามพูดให้เข้าใจ พยายามหัดรายงาน เจอสถานการณ์ต่างๆ ผมจะฝึกด้วยการเปิดหน้ามาให้คนข้างในดู เพื่อจะบอกว่าเราทำได้นะ และเห็นการพัฒนาของเรา ส่วนเขาจะเลือกใช่ไหมก็อีกเรื่องหนึ่งครับ ผมก็จะอาศัยการฝึกตรงนี้ไปเรื่อยๆ”
สุดท้ายมาถึงต้นแบบการทำงานที่เจ้าตัวรู้สึกว่าเป็นทั้งพี่ชาย และเป็นครูในวิชาชีพสายงานข่าว พร้อมฝากขอบคุณที่คนดูที่คอยติดตาม “บุคคลต้นแบบการทำงานในอาชีพนักข่าวของผม และผมเห็นเป็นตัวอย่างคือ คุณไอซ์-สารวัตร กิจพานิช พี่ไอซ์เป็นทั้งพี่ชายที่ดี และครูในเวลาเดียวกัน ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้จบจากสายงานนักข่าวโดยตรง พอวันนึงเรามาทำงานข่าว ก็รู้สึกไม่คุ้นชิน กระทั่งได้เห็นการทำงานของเขา พี่ไอซ์เป็นคนที่เก่งทั้งในเรื่องของการทำงานข่าว การรายงานข่าวสดก็เก่งมาก รวมถึงการเจาะประเด็นข่าวต่างๆได้อย่างแม่นยำและเก่งอีกด้วย และพี่ไอซ์จะมีคำแนะนำดีๆ ให้ผมมาอยู่เสมอ ผมเลยยึดถือเขาเป็นต้นแบบการทำงานมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ครับ”
“สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจ และการติดตามที่ส่งผ่านมาทุกช่องทางจากทุกๆคนครับ เป็นกำลังใจชั้นดีให้กับผม และพี่ๆทีมงานในการทำงานเพื่อผู้ชมทุกท่าน ผมหวังว่าการบอกกล่าวประสบการณ์เดินทางของผมจะสามารถเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้ทุกคนตามหาความฝันในสายอาชีพของตัวเอง ถ้าเรารักสิ่งไหน ก็ทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ และสุดท้ายผลก็จะออกมาดีแน่นอนครับ” ณัฐดนัย กล่าวพร้อมรอยยิ้มปิดท้ายถอดสูตรความสำเร็จของเขาอย่างภาคภูมิ