เข้าฉายวันพุธที่ 22 พฤษภาคม ในโรงภาพยนตร์
รายละเอียดเพิ่มเติม | https://furiosamovie-thai.com
#Furiosa #AMadMaxSaga
#ฟูริโอซ่า #มหากาพย์แมดแม็กซ์
อันยา เทย์เลอร์-จอย และ คริส เฮมส์เวิร์ธ แสดงในผลงานที่ได้รับรางวัล Academy Award ของผู้ชำนาญอย่างจอร์จ มิลเลอร์ เรื่อง “Furiosa: A Mad Max Saga” มีความคาดหวังอย่างสูงต่อการกลับมาของโลกหดหู่อันมีเอกลักษณ์ที่เขาสร้างไว้เมื่อ 30 ปีก่อนในภาพยนตร์ต้นฉบับ “Mad Max” ตอนนี้มิลเลอร์กลับมาปัดฝุ่นทุกอย่างด้วยต้นฉบับใหม่ผลงานแอ็คชันผจญภัยที่แยกเรื่องออกมา เพื่อนำเสนอเรื่องราวจุดเริ่มต้นของตัวละครอันทรงพลังจากผลงานที่ดังไปทั่วโลกจนได้รางวัล Oscar มากมาย เรื่อง “Mad Max: Fury Road” ผลงานใหม่จากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ วิลเลจ โรดโชว์ พิกเจอร์ส ผลิตโดยมิลเลอร์และผู้ร่วมงานอย่างยาวนานของเขา ผู้สร้างฯ ที่เคยชิงรางวัล Oscar มาแล้วอย่างดั๊ก มิตเชลล์ (“Mad Max: Fury Road,” “Babe”) ภายใต้ชื่อ Kennedy Miller Mitchell บริษัทที่ออสเตรเลียของพวกเขา
เมื่อโลกล่มสลายสาวน้อยฟูริโอซาถูกลักพาตัวจาก Green Place of Many Mothers และตกอยู่ในกำมือของ Biker Horde ที่นำโดยวอร์ลอร์ด ดีเมนทัส โดยกลุ่มนี้ปกครองทั่วเวสต์แลนด์ พวกเขาเดินทางผ่านที่มั่นสุดท้ายที่ ปกครองโดย The อิมมอร์ตั้น้โจ ระหว่างที่จอมเผด็จการทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้เพื่ออำนาจการปกครอง ฟูริโอซาเองก็ต้องเอาชีวิตรอดจากความยากลำบากอันแสนสาหัส เธอต้องพยายามหาหลากหลายวิธีที่จะกลับบ้านได้
เทย์เลอร์-จอยรับบทแสดงนำคู่กับเฮมส์เวิร์ธ ภาพยนตร์ยังนำแสดงทอม บูร์ค และอไลลา บราวน์
มิลเลอร์เขียนบทร่วมกับ นิโค ลาธอริส ผู้ร่วมเขียนบทฯ “Mad Max: Fury Road” ทีมงานเบื้องหลังของมิลเลอร์รวมถึงผู้ช่วยผู้กำกับฯ คนแรก พีเจ โวเทน และผู้กำกับฯ กองย่อย และผู้ร่วมประสานงานด้านการแสดงผาดโผน กาย นอร์ริส ผู้กำกับภาพ ไซมอน ดักแกน (“Hacksaw Ridge,” “The Great Gatsby”) ผู้ประพันธ์ดนตรี ทอม โฮลเคนบอร์ก ผู้ออกแบบเสียง โรเบิร์ต แมคเคนซี่ ผู้ลำดับภาพ เอเลียต แนปแมน ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟแฟ็กต์ แอนดรูว์ แจ็คสัน และผู้ดูแลด้านสีสัน เอริค วิปป์ ทีมงานยังรวมถึงผู้ร่วมงานอย่างยาวนานรายอื่น เช่น ผู้ออกแบบฉาก โคลิน กิ๊บสัน ผู้ลำดับภาพ มาร์กาเรต ไซเซล ซาวด์มิกเซอร์ เบ็น ออสโม ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เจนนี่ บีแวน และผู้ออกแบบการแต่งหน้า เลสลีย์ แวนเดอร์วอลท์ โดยแต่ละคนได้รับรางวัล Oscar จากผลงานตัวเองในเรื่อง “Mad Max: Fury Road”
วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์ผลงานจาก A Kennedy Miller Mitchell Production, A จอร์จ มิลเลอร์ Film เรื่อง “Furiosa: A Mad Max Saga” จะจัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ในโรงภาพยนตร์ภายในประเทศวันที่ 24 พฤษภาคม 2024 และต่างประเทศเริ่ม 22 พฤษภาคม 2024
รายละเอียดการถ่ายทำ
สัมภาษณ์จอร์จ มิลเลอร์ (ผู้กำกับฯ / ผู้เขียนบทฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ)
จุดเริ่มต้น:
จอร์จ มิลเลอร์: ในเรื่อง “Fury Road” เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอด 3 วัน 2 คืน หน้าที่ของเรื่องคือบอกเล่าเรื่องราวและอธิบายรายละเอียดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งการจะอธิบายได้เราต้องเข้าใจโลกใบนั้นมากพอ เช่น หากเราจะหยิบยกตัวละครฟูริโอซ่าขึ้นมา เราต้องรู้ว่าเธอมาจากที่ไหน เจอสภาพแวดล้อมแบบไหน อะไรหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นแบบนี้ เธอเรียนรู้ทักษะต่างๆ จากที่ไหน? เธอมาอยู่ในจุดที่เต็มไปด้วยการต่อสู้กับทุกสิ่งได้อย่างไร อะไรคือแรงปรารถนาของเธอ? เราต้องเขียนเรื่องราวของฟูริโอซ่าขึ้นมาก่อนที่เราจะพยายามสร้างเรื่องราวของ “Fury Road” เรามีบทของเรื่อง “Fury Road” แล้ว แต่ต้องมาการปรับเปลี่ยนกลับไปกลับมาตลอด เราเขียนเรื่อง “Furiosa” เป็นภาพยนตร์เอาไว้แล้ว ช่วงที่เราสร้างเรื่อง “Fury Road” ขึ้นมา เราสามารถแชร์เรื่อง “Furiosa” ให้ทีมงานและนักแสดงได้เลย “Furiosa” ไม่ใช่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเพียงอย่างเดียว ยังเกี่ยวข้องกับโลกที่เธอเคยอยู่ และทุกคนล้วนได้รับประโยชน์จากบทภาพยนตร์นั้น จนเราคิดว่า “ถ้าเรื่อง ‘Fury Road’ เรียกความสนใจได้ เราจะมาสร้างเรื่องนี้กัน” รวมเป็นเวลา 9 ปีนับจากเรื่อง “Fury Road” จนเรามาถึงจุดนี้ที่ได้สร้างหนังเรื่องนี้กัน
การผจญภัยอันยาวนาน:
จอร์จ มิลเลอร์: ในเรื่องนี้เป็นการติดตามชีวิตคนหนึ่งตั้งแต่อายุ 10 ขวบจนถึง 26 ปี มันยาวนานถึง 15 ปี และป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจาก “Fury Road” แทบจะทั้งหมด มันสามารถเอามาต่อกันเป็นหนัง 2 เรื่องได้ด้วยซ้ำ ในเรื่องนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอด 3 วัน 2 คืน ถูกบีบอัดเวลาสำหรับการเล่าเรื่องราวมาก สำหรับผู้ชมที่ไม่เคยดู “Fury Road” มาก่อน มันไม่มีอะไรต่างกันเลย และสำหรับผู้ที่เคยดูเรื่อง “Fury Road” ไม่มีอะไรต่างมากนัก เว้นแต่คุณจะเข้าใจแรงกระตุ้นทุกเหตุกาณณ์ที่นำมาสู่การสร้างเรื่องราวในเรื่อง “Fury Road” หนังเหล่านั้นเหมือนตำนานอันยาวนานเรื่องหนึ่งเลยครับ
โดยพื้นฐานแล้วคือเรื่องราวของคนที่ถูกพรากจากบ้านมาตั้งแต่เด็ก และสัญญาเอาไว้ว่าจะกลับบ้านไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เธอใช้เวลาทั้งชีวิตพยายามจะกลับบ้าน มันคือการเดินทางที่ยาวนาน ตอนนี้เป้าหมายของ “การเดินทางอันยาวนาน” ยังไม่เห็นภาพชัดเจนเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของนางเอก จึงกลายเป็นเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เมื่อพยายามจะกลับบ้านจนเธอกลายเป็น… ฟูริโอซ่า
พฤติกรรมทำซ้ำของมนุษย์:
จอร์จ มิลเลอร์: มนุษย์เราไม่ว่าที่ไหนเมื่อใดก็ตาม เรามักจะมีพฤติกรรมทำซ้ำในรูปแบบเดิมเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในการทำงานของโลกอันรกร้างว่างเปล่านี้ คือตัวเรื่องยอมให้เราทำอะไรแบบนั้นได้ แม้เนื้อเรื่องจะเป็นฉากของอนาคตที่ดูถดถอย โดยพื้นฐานเหมือนเราย้อนกลับไปมีพฤติกรรมเหมือนสมัยยุคกลาง ก่อนยุคกลาง หรือนีโอ-ยุคกลาง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างทางอำนาจ พลังที่เกิดขึ้นระหว่างผู้คน กลุ่มคนและปัจเจกชน บางครั้งมีการย้อนไปหาอดีตเหมือนที่เรากำลังเฝ้าดูปัจจุบัน เรามีการเปรียบเทียบกับช่วงปัจจุบันในสิ่งที่เราเผชิญอยู่ เพราะรูปแบบพื้นฐานเหล่านั้นไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปเลย มีความคิดเรื่องเทคโนโลยีในอนาคตที่นำมาสู่ตอนนี้ ผมคิดว่าคุณอธิบายได้เรามาอยู่ในโลกทุกวันนี้ได้อย่างไร มันมีชุดพฤติกรรมมนุษย์บางอย่างที่สะท้อนถึงอนาคตชัดเจน เราหวังว่าจะมีชีวิตอยูได้เป็นร้อยปี แต่ก็มีชุดพฤติกรรมมนุษย์บางอย่างที่ผมคิดว่าแทบไม่ต่างจากเมื่อหลายร้อยปีหรือล้านปีที่แล้ว มันเป็นความแตกต่างของพฤติกรรมที่ยังคงอยู่ในโลกอันรกร้างว่างเปล่าใบนี้
เทียบกับ Mad Max:
จอร์จ มิลเลอร์: การสร้าง “Mad Max” เป็นเรื่องยากมาก เพราะไบรอน เคนเนดี้กับผมไม่เคยมีประสบการณ์จริงมาก่อน เราไม่เคยอยู่ในฉากภาพยนตร์กันมาก่อนเลย ตอนนั้นผมคิดว่า “ฉันทำภาพยนตร์ออกมาไม่ได้แน่ ไม่คิดว่าเราจะสร้างหนังได้อย่างที่เราต้องการ” จากนั้นผมรู้สึกทึ่งมากที่มันสะท้อนไปถึงทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่พวกเขาพูดกันว่า “Mad Max เหมือนกับซามูไรเลย” ในสแกนดิเนเวียเรียกว่า “ไวกิ้งผู้โดดเดี่ยว” ฝรั่งเศสเรียกว่า “ชาวตะวันตกบนรถ” นั่นคือจุดที่ผมเริ่มเข้าใจว่าการเปรียบเทียบกับหนังอเมริกัน คือตะวันตกตั้งแต่ยุคเงียบจนมาถึงยุค 60 และ 70 จนถึงวันนี้ “Mad Max” ยังเป็นชาวตะวันตกอยู่บนรถที่มีการกล่าวถึงในเชิงเปรียบเทียบกันอยู่ และเมื่อเราสร้างเรื่อง “Mad Max 2” ผมเข้าใจทุกพลังขับเคลื่อนและสิ่งที่ทำให้เรื่องราวเป็นตำนานมากขึ้น แมกซ์กลายเป็นฮีโร่ต้นแบบจะเรียกแบบนั้นก็ได้ นั่นคือเสน่ห์อย่างหนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้ เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ปล่อยผมไป เพราะโลกใบนี้มีอะไรหลายอย่างและมีความสมบูรณ์ มีหลายข้อที่ผมเช็ดดูแล้วเชื่อว่ามันตรงกับเนื้อเรื่องที่มีความสนุก
ฉะนั้นพอมาถึงเรื่อง “Furiosa” สิ่งหนึ่งที่ผมอยากเข้าไปสำรวจเสมอคือผู้คนต่างเปิดเผยตัวตนออกมาในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขีด ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพบรรยากาศแบบไหนบยนโลกก็ตาม นี่คือสถานการณ์ที่จะทำให้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของคุณออกมา และไม่ว่าตอนเด็กเราจะเป็นแบบไหนก็ตาม เราต้องหาทางโลดแล่นอยู่บนโลกด้วยตัวเองให้ได้ เรามีคำแนะนำสั่งสอน เรามีวัฒนธรรม เรามีพ่อแม่ เรามีพี่น้อง เรามีทุกอย่างที่โน้มน้าวพฤติกรรมได้ แต่ละคนก็มีตัวตนในแบบของตัวเองเมื่อโตขึ้นมา ผมเดาว่าคุณคงบอกว่านั่นคือหัวใจสำคัญของเรื่องราว อะไรจะดีไปกว่าการเล่าเรื่องในโลกที่ดูสิ้นหวังแบบนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าถึงเรื่องราวนี้จริงๆ ส่วนเรื่อง “Furiosa” ฟูริโอซ่าเป็นเด็กหนึ่งในนั้น ผมรู้จักเด็กที่มีทรัพยากรที่ล้นเหลือ มีความสามารถดีเยี่ยม และเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองได้ไว พวกเขาจะหาทางใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้โดยไม่ย่อท้อหรือถูกทำลาย ซึ่งผมชื่นชมมาโดยตลอด มีอีกหลายคนที่ผมรู้จักต้องเผชิญเรื่องราวที่ต้องฝ่าฟัน พัฒนาความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างน่าประทับใจ ผมรู้สึกว่ามันน่าหลงใหลและเป็นเหตุผลที่เราอยากเล่าเรื่องของฟูริโอซ่า
การค้นหาฟูริโอซ่า:
จอร์จ มิลเลอร์: ผมเห็นอันยาจากเรื่อง “The VVitch” ช่วงที่ “Fury Road” ฉาย ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก จากนั้นผมเห็นเธอช่วงที่เอ็ดการ์ ไรท์ตัดต่อ “Last Night in Soho” ในช่วงแรก พอผมเห็นเธอบนจอภาพยนตร์ ผมคิดเลยว่า “ตัวเธอมีบางอย่างที่มีความน่าสนใจมาก” ดูทันสมัย โหดเหี้ยม และมั่นใจ แม้ตัวละครจะมีการร้องเพลงและเต้นก็ตาม เธอมีทักษะเหล่านั้นอยู่ในตัว ซึ่งผมคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการหานักแสดงที่มีความสามารถ พวกเขาตรงกับที่ต้องการและสื่ออารมณ์ได้เป็นอย่างดี ตอนที่หนังจบแล้วผมคุยกับเอ็ดการ์ว่า “สำหรับอันยา ผมคิดว่าเธอคงจะเหมาะสำหรับ—” และผมคิดว่าทิ้งประโยคไว้นานจนเขาพูดว่า “เอาเลย เอาเลย! เธอมีครบอย่างที่คุณต้องการ เธออยู่ตรงนั้นแล้ว” และผมไม่อยากเชื่อเลยว่าผมไม่ทันพูดถึงฟูริโอซ่าด้วยซ้ำ เอ็ดการ์คือคนที่ผมเคารพสูงมาก เขามีไหวพริบ มีขั้นตอนการทำงานลอีกหลายอย่าง มันไม่ใช่แค่ “โอ้ เธอเก่งนะ…” มันคือ “เอาเลย เอาเลย!” ฉะนั้นด้วยการยืนยันแบบนั้น… แสดงว่าเขาพูดถูกแน่ๆ หลังจากนั้นผมได้คุยกับอันยา เอาบทให้เธอดูและพูดคุยว่าเราทำอะไรมาบ้าง ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเธอ เชน ชาร์ลีซ เธอฝึกซ้อมการเต้นบัลเลต์ เธอขี่มอเตอร์ไซค์ตั้งแต่อายุยังน้อย รวมถึงการเต้นบัลเลต์และอีกมากมาย เธอผจญภัยในโลกใบนี้พร้อมกับครอบครัวที่ให้การสนับสนุนมากตั้งแต่อายุยังน้อย แน่นอนว่าเธอมีความคุ้นเคยกับตัวละคร ทั้งอันยาและอไลลา บราวน์รวมถึงอีกหลายตัวละคร แผนภาพของเวนน์เห็นภาพได้เกี่ยวข้องกันสำหรับผม
อันยาในบทฟูริโอซ่า:
จอร์จ มิลเลอร์: อันยาเป็นผู้ร่วมงานที่น่าทึ่งมาก เธอมีส่วนร่วมในการเพิ่มความลึกซึ้งของตัวละครในแบบของตัวเธอเอง ไม่สงสัยที่เธอถ่ายทอดความดุร้ายออกมาในหนังได้เลย ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเธอหรือไม่ก็ตาม แต่เธอค้นหามันเจอในตัวเอง และเป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากผลงานที่ผ่านมาจนถึงการร่วมงานกับเธอ มีบางอย่างที่ผมได้เรียนรู้เธอมากขึ้นจากการร่วมงานในเรื่องนี้ด้วย เธอมีทั้งความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและโหดเหี้ยมมาก ซึ่งล้วนเคยเห็นมาแล้วบนจอภาพยนตร์ ท่าทางเธอไม่ได้น่ากลัวอะไร ผมคิดว่ามันอยู่ในยีนของเธอ มาจากการถูกเลี้ยงดู และผมคิดว่าเธอถ่ายทอดให้เห็นได้ชัดเจนในผลงานนี้
ดีเมนทุส:
จอร์จ มิลเลอร์: ดีเมนทุสในเรื่องนี้เป็นผู้นำทหารที่มีแนวทางเหมือนตัวละครทางประวัติศาสตร์ในหลายวัฒนธรรม ผู้คนออกปล้นกันทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่ เก็บเกี่ยวทุกทรัพยากรที่มี รวมถึงทรัพยากรมนุษย์ด้วยเพื่อจะเอาชนะอีกหลายอารยธรรม รูปแบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ แม้แต่ช่วงยุคกลางศตวรรษที่ 20 เรามีคนที่มีความทะเยอทะยานแบบนั้นและเราก็พบเจออีก ดีเมนทุสคือตัวแทนของคนเหล่านั้น ในโลกใบนี้การเคลื่อนที่ได้ง่ายคือสิ่งที่นำไปสู่การอยู่รอด เขาจึงเริ่มสร้างกองทัพนักขี่และเราจะเข้าใจได้ว่าเขามีวิธีการอย่างไร มันเกิดขึ้นหลังช่วงล่มสลายทางสังคมในทวีปออสเตรเลีย ผู้คนต่างทิ้งเมืองใกล้ชายฝั่งและเข้าสู่พื้นที่หลังฝั่งทะเล เราแทบไม่เปลืองพลังงานเลยหากขี่มอเตอร์ไซค์ มันคือเรื่องธรรมชาติที่ผู้คนมีความสามารถเดินทางและหยิบข้าวของที่จำเป็นไปกับพวกเขาได้ง่าย แต่ไม่ต้องตั้งรกรากในที่จะปักหลักเพียงชั่วขณะ เหมือนกับพวกตั๊กแตน พวกโจร กินในสิ่งที่มี… และนั่นคือดีเมนทุส เขามีความสามารถและเป็นผู้นำที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ สามารถสร้างกองทัพนักขี่ออกปล้นได้ทั่วดินแดนอันรกร้าง เขาต้องดูคาดเดาได้ยาก เพราะเขาต้องทำตัวลึกลับและเข้าถึงง่ายในเวลาเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตได้ในผู้นำที่มีเสน่ห์แบบนี้คือ… ไม่มีคำไหนจะดีไปกว่าคำว่ามีเสน่ห์ดึงดูดมาก พวกเขามีอารมณ์ขัน มีความขี้เล่นที่ดึงดูดเราได้ มีความสามารถ แต่ต้องหลอกล่อเป็น นั่นล่ะคือดีเมนทุส
คริส เฮมส์เวิร์ธ:
จอร์จ มิลเลอร์: ผมรู้จักคริสอยู่แล้วและมันก็มีความน่าสนใจ ย้อนกลับไปตอนที่เราสร้างเรื่อง “Mad Max” ภาคแรก เรามีกลุ่มไบค์เกอร์ที่มารับบทไบค์เกอร์ในโทคัตเตอร์ รับบทโดย ฮิวจ์ คีย์ส-เบิร์น พวกเขาไม่ใช่กลุ่มนักขี่อย่าง Hells Angels ที่พัวพันกับอาชญากรรม พวกเขาเป็นกลุ่มนักขี่รถรอบชานเมืองวิคตอเรีย และหากจำเรื่อง “Mad Max” ได้จะมีสุนัขตัวหนึ่งเรียกว่าวันเดอร์ด็อกที่ขี่อยู่บนหลังไบค์เกอร์ด้วย ซึ่งมันเป็นสุนัขของในกลุ่มร่วมกัน หลายปีต่อมาคนหนึ่งในกลุ่มไบค์เกอร์นั้นคือ เดล เบนช์ เขาแสดงผาดโผนให้ “Mad Max” ภาคแรก เขาเอารูปถ่ายคู่กับวันเดอร์ด็อกมาให้ดู ในกลุ่มยังมี เฮมส์เวิร์ธ คุณพ่ของคริส ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของคริสต่างทำงานเพื่อสังคมและช่วยเด็กที่ถูกทารุณ พวกเขาคือยุคบุกเบกของทีมผู้ทำงานเพื่อสังคมเลยครับ
หลายต่อหลายปีต่อมา ผมคิดถึงเรื่องคริสจนเราตัดสินใจนัดเจอกัน ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย และนับตั้งแต่การได้พบกันครั้งแรกผมสังเกตเห็นได้ว่าเขาเป็นคนที่ใส่ใจทุกอย่างเหลือเชื่อ เป็นคนช่างสังเกต เรียนรู้ไว และเรียนรู้หลายเรือง เขาเข้าใจตัวเองดีมาก รู้ว่าตัวเองเป็นใครและคนอื่นมองเขาแบบไหน เราคุยกันเรื่องเสน่ห์และเขาพูดว่า “มันต้องมีมุกตลก คุณต้องมีอารมณ์ขันในการสร้างเสน่ห์ คุณอาจจะดูดีมากเมื่ออยู่ในฉาก แต่การพูดคุย การเดิน ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ผมมั่นใจว่าอาจจะมีข้อยกเว้นว่าการมีความสามารถช่วยเสริมเสน่ห์บางอย่างขึ้นได้” ผมขอให้เขาอ่านบทภาพยนตร์ ซึ่งเขาเข้าใจตัวละครได้โดยทันที และสิ่งที่ผมเห็นในขั้นตอนการสร้างหนังคือภาพนักแสดงที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถสูง มีไหวพริบอย่างปราดเปรื่อง เขาไม่ใช่แค่รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อให้เข้าถึงตัวละครนั้น แต่เขาเข้าใจการพัฒนารายละเอียดเรื่องราวทั้งหมดด้วย เขาเข้าใจตัวละครขนาดนั้นจนผมเริ่มไว้วางใจเวลาที่เขาพูดว่า “ผมคิดว่าดีเมนทุสคงทำแบบนี้…” เขาให้อะไรมากกว่าการแสดงหรือถ่ายทอดตัวละครของเขา แต่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ลึกซึ้งมากขึ้นด้วย เขามักจะเป็นแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้ผมนึกถึงการร่วมงานกับเมล กิ๊บสันตอนที่เขายังอายุน้อย คริสมักจะอยู่ในฉากเสมอ เขาไม่กลับไปที่รถตัวเองเลย เขาจะมานั่งอยู่ในฉาก มีกลุ่มคนอยู่รายล้อมเขาตลอดโดยเฉพาะแก๊งค์ไบค์เกอร์ของเขา เขาพูดคุยกับทุกคนตลอด มีการเตรียมตัวเสมอ และเขาคอยจับตาดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่เมลทำ ย้อนไปถึงวันเก่าๆ ในเรื่อง “Mad Max” และ “Mad Max 2” เราไม่มีรถเทรลเลอร์ที่ออสเตรเลีย เมลอยู่ในฉากด้วยเสมอ วันหนึ่งผมหันไปหาเขาและเขากำลังจ้องมองอยู่ ผมถามว่า “เมล คุณจะกำกับหนังใช่ไหม?” เขาพยักหน้า ซึ่งแน่นอนว่าเมลเป็นผู้กำกับฯ ที่เก่งมาก ผมเห็นทุกอย่างแบบนั้นในตัวคริส เขารู้ว่าอะไรคือความเหมาะสมลงตัว และเขามีพรสวรรค์ในตัวสูงมาก แสดงฉากผาดโผนเองทั้งหมด และชีวิจริงก็ขี่มอเตอร์ไซค์ เล่นเซิร์ฟ ทำทุกอย่างแนวนั้นด้วย เขาจึงเหมาะกับตัวละครนี้ที่สุด พอผมได้เจอคริส เห็นการตอบโต้และความเข้าใจของเขาที่มี การเชื่อมโยงถึงกันมันทำให้ผมคิดว่า “โอเค เขานี่ละที่เหมาะกับบทดีเมนทุส”
การกลายเป็นฟูริโอซ่า:
จอร์จ มิลเลอร์: ขั้นตอนสู่การกลายเป็นฟูริโอซ่าของอันยา ผมคิดว่าเธอเริ่มจากชีวิตวัยเด็กของตัวเอง สิ่งที่หล่อหลอมเธอขึ้นมา ชีวิตส่วนตัวและตัวตนที่แท้จริงของเธอ ในตัวอันยามีบางอย่างที่สำคัญอย่างความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น สำหรับการสร้างหนังเรื่องนี้ ผมเห็นความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานให้ออกมาดีและถูกต้องเหมาะสม ซึ่งนั่นไม่ทำให้ผมแปลกใจเลย ผมรู้ว่าเธอเป็นน้องเล็กสุดในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคน อันยาต้องผลักดันหลายอย่างในเรื่องนี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่มีใบขับขี่ คิดว่าเธอใช้เวลาขี่มอเตอร์ไซค์มากกว่า แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดเธอก็ไม่ค่อยขับรถสักเท่าไหร่และไม่มีใบขับขี่ ก่อนจะเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เธอได้เริ่มขับรถ ช่วงนั้นเธอต้องเดินทางไปที่ออสเตรเลีย กาย นอร์ริสและทีมนักแสดงผาดโผนส่งวีดีโอเธอขับรถมาให้เธอ เธอมีการหมุนเลี้ยวและขับแบบ 180 องศาอะไรแบบนั้นด้วย ผมเริ่มเห็นการขับรถในแบบฟูริโอซ่าที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา มันประยุกต์ถึงทุกอย่าง มีการใช้อาวุธปืนด้วย เธอเป็นคนที่ปรับตัวได้ไวมาก และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เอ็ดการ์พูดว่า “เอาเลย เอาเลย!” เพราะเขารู้ทุกอย่างดี เธอมีความถนัดเรื่องการร้องและเต้นสูงมาก ผมคิดวาหากเธอทำอะไรแบบนั้นได้ก็คงปรับร่างกายสำหรับทุกอย่างได้ โดยเฉพาะบทบาทที่ใช้ร่างกายแบบบนี้ เธอเหมือนกับตัวละคร Mad Max ตลอดทั้งเรื่องราวและมีความเป็นฟูริโอซ่าในเรื่อง “Fury Road” พวกเขาเป็นตัวละครที่พูดน้เอย ต้องทำอะไรหลายอย่างต่อหน้ากล้อง คำพูดคือสิ่งที่ใช้สำหรับงานพิธี ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ทั่วไปในโลกของดินแดนอันว่างเปล่า มีวิธีสื่อสารกันอย่างเรียบง่ายและตัวละครทั้งหมดไม่พูดอะไรมาก แต่ต้องอาศัยท่าทางในการแสดงต่อหน้ากล้อง เพื่อบอกเล่าประสบการณ์และการตอบโต้กับตัวละครอื่น ซึ่งอันยามีบุคลิกนั้นอยู่ในตัว
แพรทอเรี่ยน แจ็ค:
จอร์จ มิลเลอร์: แพรทอเรี่ยน แจ็คเป็นผู้คุ้มกันแบบเดียวกับฟูริโอซ่าในช่วงเริ่มแรกของเรื่อง “Fury Road” ในฐานะแพรทอเรี่ยนผู้ที่อยู่อันดับสูงกว่าในระบบการปกครองบนดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า ผู้อยู่อันดับสูงสุดคือ The อิมมอร์ตั้น้โจ ฉะนั้น แพรทอเรี่ยน แจ็คจึงเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกบังคับและรู้เห็นเป็นใจช่วยเธอกลับบ้าน เขามีความคล้ายกับนักรบคลาสสิคยามที่ปรากฎตัวในเรื่อง การเอาตัวรอดและใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต้องเป็นนักรบที่มีความสามารถ โดยเฉพาะการเป็นนักรบบนท้องถนนที่ต้องขับรถอย่าง Praetorian เพื่อรับใช้ อิมมอร์ตั้น้โจ. เขาเหมือนทหารคนอื่นหลายอย่าง พ่อแม่ของเขาก็เป็นนักรบและพวกเขาต่างมองหาความชอบธรรม การมีศีลธรรม… แต่ไม่เคยได้พบมัน คุณจะได้ยินเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเหล่าทหาร พวกเขามักจะพูดเสมอว่าคุณอยู่ที่นั่นในฐานะนักรบมืออาชีพ แต่ถูกผลักดันโดยผู้อื่นและไม่จำเป็นต้องมีศีลธรรม นั่นคือความยากลำบากของทหารที่เห็นได้ชัดจากแพรทอเรี่ยน แจ็ค เขาไม่ได้เป็นแค่ช่องทางให้เธอกลายเป็นนักรบได้ แต่เป็นผู้ใหญ่ที่กลายเป็น อิมเพอเรเตอร์ฟูริโอซ่า และแพรทอเรี่ยนในท้ายที่สุด
ผมมีอีกหลายคนที่อยู่ในความคิดตอนที่เราคัดเลือกอันยาและคริส นิกกี้ บาร์เร็ตต์เป็นเอเจนท์คัดเลือกนักแสดงที่เก่งมาก เธอส่งรายชื่ที่เป็น 10 อันดับต้นในดวงใจของเธอมาให้ ผมอ่านชื่อทอม บูร์คและก็ตกลงเลย ไม่อ่านชื่ออื่นอีกเลย ผมเคยร่วมงานกับทิลด้า [สวินตัน] ผมรู้จักทอม บูร์คเพราะทิลด้าร่วมงานกับโจแอนนา ฮอกก์ ผมเคยเห็นเขาในเรื่อง “The Souvenir” และก็รู้สึกว่าลบภาพเขาไม่อก จากนั้นได้เห็นผลงานเขาอีก 2 เรื่องแล้วชื่อเขาก็มาปรากฏตรงหน้า สาบานได้เลยว่าผมไม่อ่านชื่ออื่นที่เหลือเลย ผมโทรหานิกกี้และบอกว่า “ทอม บูร์คนี่แหละ” บอกได้อีกครั้งเลยว่าเป็นการตัดสินใจที่ผมมีความสุขมาก เพราะเขาเป็นคนที่เก่งและลงตัวกับหนังมาก ตัวละครต่างๆ และขั้นตอนการทำงานล้วนผ่านไปได้ด้วยดีมาก
พาหนะยานยนต์และตัวละคร:
จอร์จ มิลเลอร์: “Furiosa” เกิดขึ้นมานานกว่า 15 ปีแล้ว จึงเกิดการก้าวกระโดดของเวลา โดยพื้นฐานคือเรื่องราวการเดินทางอันยาวนานของตัวละครหนึ่งที่ต้องผ่านบททดสอบมากมาย สะสมทักษะหลายด้านเพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือการได้กลับบ้าน ท่ามกลางบททดสอบเหล่านี้มีฉากต่อสู้เกิดขึ้นมากมาย มันมีความรุนแรงและเข้มข้นอย่างที่ภาพยนตร์ควรจะเป็น และมีสิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถทำได้หากมีการสร้างผลงานเริ่มแรกหรือภาคต่อจากหนังที่มีอยู่แล้ว คือการกล่าวย้ำเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่องก่อน แต่อีกมุมหนึ่งคือที่เป็นข้อดีคือการได้เล่าเรื่องราวในทิศทางเดียวกัน เรื่องนี้จึงมีฉากต่อสู้เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงฉากสำคัญของเรื่องอย่าง The Stowaway มันเหมือนการสร้างยานอวกาศอันงดงามในดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่จะพาเราเดินทางไปยังดาวอังคารหรือไกลกว่านั้นได้
สิ่งหนึ่งที่เราระมัดระวังในการสร้างทั้งเรื่อง “Fury Road” และ “Furiosa” คือพาหนะที่เป็นตัวแทนของตัวละคร พวกมันอธิบายความเป็นตัวละครในแบบเดียวกับเสื้อผ้าและทรงผม รวมถึงพวกอาวุธและเหล่าวัตถุที่พวกเขาถืออยู่ด้วย รถของแม็กซ์เป็นอินเตอร์เซปเตอร์ วี8 ที่มีความเป็นแม็กซ์สูงมาก ดีเมนทุสมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างทาง ดีเมนทุสขี่รถม้าสีแดง สุดท้ายในภายหลังเขาใช้รถบรรทุกขนาดยักษ์เพราะตัวละครต้องใช้พลังงานมากขึ้น มีการส่งเสียงร้องดังขึ้นหรือด้วยอะไรก็ตามมันกลายเป็นคาแรคเตอร์ของเขา แมรี่ จาบาซาเริ่มจากขี่ม้า และเปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ผุพังเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่เท่มาก ส่วนฟูริโอซ่ามาช่วยสร้างวอร์ริก ซึ่งเป็นข้อดีมากสำหรับวอร์ริกที่อยู่ในเรื่อง “Fury Road” มันสะท้อนถึงความต้องการหลบหนี เมื่อเธอต้องกลายเป็นผู้ดูแลตัวเอง วอร์ริกพัฒนาขึ้นเป็นวอร์ริกขนาด 2 เท่าที่เธอกับผู้ดูแลแจ็คมีร่วมกัน กลายเป็นตัวแทนของพวกเขา รถต่างๆ จึงเป็นส่วนหนึ่งของตัวละคร เหมือนฉากแอ็คชั่นที่ต้องเปิดเผยตัวตนออกมา เหมือนเราดูการออกแบบสถาปัตยกรรมของเรื่องราวเหล่านี้เลยล่ะ
ฉากต่อสู้และตัวละคร:
จอร์จ มิลเลอร์: แน่นอนว่าในเรื่องต้องมีฉากแอ็คชั่น ผมขาดไม่ได้เลย ด้วยภาษาภาพยนตร์ที่มีอายุเพียง 150 ปี นับเป็นภาษาที่แปลกใหม่ มีการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เป็นภาษาสากลโลกแม้แต่กับเด็กน้อย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดบนโลกยังไงก็เข้าใจโครงสร้างของภาพยนตร์ สำหรับผมฉากแอ็คชั่นคือภาพยนตร์ที่มีความบริสุทธิ์ ช่วยไม่ได้เลยที่จะบอกว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสนุก มันช่วยส่งเสริมตัวละครในเรื่อง แน่นอนว่าต้องมีฉากแอ็คชั่นในเรื่อง “Furiosa” มีเยอะมากด้วยและมีความหลากหลาย ผมคิดว่าถ้าแค่ทำซ้ำในสิ่งที่สร้างไว้ในเรื่อง “Fury Road” มันคงออกมาเหมือนการดูถูกคนดู ทุกครั้งที่เราเห็นอะไรเดิมๆ ที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต ผู้คนต่างชินชากับมันไปแล้ว มันต้องมีความแปลกใหม่ในเรื่อง ต้องมีเอกลักษณ์ที่คุ้นตา ผมคิดว่าพูดได้เลยว่าฉากแอ็คชั่นในเรื่อง “Furiosa” มีเอกลักษณ์ที่คุ้นตาจากเรื่อง “Fury Road”
บทเพลงและเสียงดนตรี:
จอร์จ มิลเลอร์: ร็อบ แม็คเคนซี่ ผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์ และทอม โฮลเคนบอร์ก ผู้ประพันธ์ดนตีของเรามาร่วมงานด้วยกันตั้งแต่ช่วงแรก โดยปกติแล้วตามธรรมเนียมการมิกซ์เสียง มักจะมีการโต้เถียงกันระหว่างผู้ประพันธ์ดนตรีกับคนออกแบบซาวด์ เราไม่ได้ยินเสียงดนตรีหรือไม่ได้ยินเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ หรือไม่ได้เสียงเพลงประกอบภาพยนตร์ แต่พวกเขากลับร่วมงานทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะเสียงเพลงที่บรรยายเนื้อเรื่องที่ไม่ได้คาดหวังกับปฏิกิริยาของผู้ชม ผมคิดว่าที่ผ่านมาในบางครั้งดูหมดหวัง ผมใช้ดนตรีในหนังเพื่อบอกผู้ชมว่าต้องรู้สึกแบบไหน เพราะผมไม่คิดว่าพวกเขาจะสัมผัสได้ ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เป็นแบบนั้น ในฐานะนักบรรยายเรื่องราวเสียงดนตรีทำหน้าที่ตัวละครพิเศษ และบางช่วงมีความสำคัญมาก ใช้เป็นการส่งสัญญาณถึงผู้ชมหรือเตือนผั้ชมว่าจะได้สัมผัสกับอะไร นันคือความพิเศษของตัวละครที่กลายเป็นสากลโลก เรามักมีเรื่องราวที่ต้องอาศัยตัวละครพิเศษเพื่อสื่อถึงประเด็นที่เป็นสากลโลกอย่างกว้างขึ้น และนั่นผมคิดว่าเสียงดนตรีทำหน้าที่นั้นได้ดี
พูดคุยกับดั๊ก มิตเชลล์ (ผู้อำนวยการสร้างฯ)
ขอบเขตของเรื่องราว:
ดั๊ก มิตเชลล์: “Furiosa” เป็นเรื่องราวที่มีความยิ่งใหญ่ ตอนที่จอร์จและการได้รับความช่วยเหลือจากกาย นอร์ริสรวมถึงนักแสดงผาดโผน 200 คนมาร่วมงานกันในฉากแอ็คชั่น… ในเรื่องนี้มีฉากที่ยิ่งใหญ่นานถึง 15 นาที แต่ในโลกของเราเรียกว่าเป็นฉากหนึ่งของเรื่องราว สิ่งที่คุณจะได้รับคือฉากแอ็คชั่นที่มีเสียงดนตรีออร์เคสตร้าอย่างยิ่งใหญ่ ความพังพินาศแบบร็อคแอนด์โรล ซึ่งเห็นได้ตั้งแต่การเริ่มต้นโจมตีครั้งแรกและดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมของจอร์จทำให้ถ่ายทอดการต่อสู้ออกมาได้อย่างน่าสนใจมาก
อันยา ในบท ฟูริโอซ่า:
ดั๊ก มิตเชลล์: อันยากระโดดเข้ามาเต็มตัวตั้งแต่ก่อนการถ่ายทำด้วยซ้ำ เธอมีความกระตือรือร้นและเป็นมืออาชีพสูงมาก เธอร่วมงานกับทีมผู้ฝึกสอนหลายด้าน ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มข้นและหนักหน่วงเพื่อสมรรถภาพทางร่างกาย รวมถึงเรื่องการขี่รถและมอเตอร์ไซค์ด้วย เราให้เธอร่วมงานกับผู้ชำนาญหลายด้าน ทั้งเทรนเนอร์ส่วนตัว เทรนเนอร์ด้านการต่อสู้ เทรนเนอร์ด้านการขับรถ เธอสนุกกับมันมากเลย เธอให้ความร่วมมือสูงมากและใช้ทักษะเหล่านี้ในบทบาทการแสดงอย่างเต็มขั้น
คริส ในบท ดีเมนทุส:
ดั๊ก มิตเชลล์: ความน่าสนุกในตัวคริสคือการได้ดูเขาพบกับจอร์จ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เวลาที่พวกเขาคุยกันเรื่องตัวร้าย เขาบอกว่ามันไม่ได้มีแค่กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะและส่งเสียงกรี๊ด แต่มีคนวิ่งไล่ฟันหัวกันเลย บางฉากก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตัวร้ายมักจะมีลักษณะนิสัยอย่างหนึ่ง พวกเขามักจะมีเสน่ห์ดูน่าหลงใหล ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นมาจากเสียงสะท้อนระหว่างจอร์จกับคริสที่เกิดไอเดียนั้น หากเราเป็นผู้ร้ายเราจะซ่อนความร้ายนั้นไว้อย่างที่เห็นกัน และคริสก็ร้าย 100% ก่อนที่จอร์จจะแสดงให้เห็นด้วยซ้ำ เป็นความพิเศษที่เขาถ่ายทอดมาได้อย่างลงตัว เพราะด้วยเนื้อเรื่องและความเคารพที่มีต่อจอร์จในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์
ผมสงสัยว่าความคลั่งของดีเมนทุสรุนแรงขึ้นจากความผิดหวังที่เขาไม่เคยเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่าเขาจะอยากแก้แค้นขนาดไหน ยิ่งมีแต่ความหดหู่และระเบิดความคลั่งนั้นออกมามากขึ้น เขาไม่พลาดจุดไหนเลยและถ่ายทอดออกมาได้อย่างสนุกสนาน คริสถ่ายทอดบทดีเมนทุสออกมาได้น่ารัก แต่ฉากต่อสู้ก็ยากจะให้อภัยได้ลง เหตุผลที่เขาทำอะไรลงไปแบบนั้นก็ดูไม่ชัดเจนมากนัก แต่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ หากเขาเจ็บปวดเขาไม่สนใจความรู้สึกนั้นเลย จนเขาไม่เหลือศีลธรรม รู้แต่เพียงการฆ่าคือการสั่งสอน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
ลักษณะเฉพาะตัวของ “ฟูริโอซ่า”:
ดั๊ก มิตเชลล์: “Furiosa” มีเรื่องราวของตัวเอง แต่ก็เชื่อมโยงถึงตำนานของ Mad Max ด้วย ไม่ใช่แค่ชื่อเรื่องเท่านั้น แต่ด้วยลักษณะการต่อสู้และการถ่ายทอดอกอมาด้วย เรามีพวกยานพาหนะที่มีความแปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์ วอร์ริกได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างน่าประทับใจ แม้จะมีอายุยาวนานก่อน “Fury Road” มันเหมือนสัตว์ร้ายสีเงิน เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดตัวจริง และมีการต่อสู้กันทางอากาศด้วย โดยนักขี่จะลงมาจากบนท้องฟ้า ขว้างระเบิดใส่วอร์บอยที่ทำหน้าที่คอยปกป้องเอาไว้ ด้านหลังจะมีบอมมี นอคเกอร์ที่คอยปั่นและเคาะไบค์เกอร์ที่พยายามขึ้นมา มันเหมือนกับป้อมปราการ เป็นเรือที่ขนสมบัติล่าล่องไปตามทะเลทราย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ Mad Max ที่มีทีมนักแสดงผาดโผนอยู่บนรถด้วย เรียกได้ว่ามีตัวละคร 52 คนกับนักแสดงผาดโผนอีก 200 ออกเดินทาง 78 วันเพื่อถายทำสิ่งนี้ 3-4 คันต่อวัน ความรู้สึกเวลาถ่ายทำฉากแบบนี้ต้องอาศัยความอดทนและทักษะของนักแสดงผาดโผน ดูว่าจะจัดการวางแผนทุกอย่างแบบไหน… มันยิ่งใหญ่มาก
การแสดงผาดโผนและระบบรักษาความปลอดภัย:
ดั๊ก มิตเชลล์: กาย นอร์ริส ทีมงานของเขาและผู้ดูแลด้านความปลอดภัย พวกเขามีกฎเหล็กข้อเดียวคือความปลอดภัย ต้องมั่นใจว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เมื่อถ่ายทำฉากเหล่านี้ไม่มีการหาคาวบอยที่ตัวใหญ่สุดเพื่อกระโดดออกจากพาหนะที่ใหญ่ที่สุด ทุกอย่างถ่ายทำทีละนิดอย่างคิดวิเคราะห์แล้ว มีการทำตามแผนที่จอร์จวางไว้โดยกายจะใช้ระบบ Toybox ในการจัดการ เราคอยระวังเรื่องความรุนแรงที่จะลองและถ่ายทำโดยไม่อาศัยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ เราจะใช้มันเมื่อจำเป็นต้องใช้เพื่อความปลอดภัยเท่านั้น ผมคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่ภาพยนตร์ Mad Max ยังไม่มันจบเพราะมีความสมจริงซ่อนอยู่ มีบางสิ่งที่ทุกคนถ่ายทอดเพื่อความสนุกโดยอาศัยทักษะการเล่าเรื่องในแบบจอร์จ
สัมภาษณ์อันยา เทย์เลอร์-จอย (ฟูริโอซ่า)
การออดิชั่น / การได้รับบท:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: จำได้ว่าเป็นช่วงระหว่างการล็อคดาวน์ค่ะ ฉันได้รับข้อความจากผู้สร้างภาพยนตร์ที่ฉันร่วมงานด้วยคือเอ็ดการ์ ไรท์ เขาบอกว่า “จอร์จ มิลเลอร์อยากคุยด้วย” และทั้งตัวฉันก็สั่นด้วยความตื่นเต้นเลยค่ะ เราเริ่มเฟสไทม์กันซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราได้รู้จักกัน เขาถามคำถามแปลกๆ อย่างฉันขี่มอเตอร์ไซค์เก่งไหม ฉันพร้อมจะแสดงฉากผาดโผนเองไหม? จากนั้นเขาพูดว่า “ฟังนะ เรากำลังจะสร้างผลงานก่อนเรื่อง ‘Fury Road’ กัน เราจะเล่าเรื่องของฟูริโอซ่า คุณพอจะมาออดิชั่นได้ไหม? ผมอยากให้คุณอ่านบทในหนัง ‘Network’” ฉันตื่นเต้นมากค่ะ เพราะอย่างแรกเลยคือฉันเป็นแฟนของแฟรนไชส์เรื่องนี้ ไอเดียที่ได้มีส่วนร่วมในโลกใบนี้ยิ่งใหญ่สำหรับฉันมาก พอฉันได้อ่านบท “Network” มันทำให้ฉันรู้สึกหลายอย่าง ความรู้สึกของผู้ปรกาศข่าวที่อยากให้ทุกคนลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพราะพวกเขาอยู่ในช่วงเวลาอันเลวร้าย ฉันคิดว่าได้ส่งไป 2-3 เทคนะคะ จากนั้นจอร์จโทรมาหาฉันในไม่กี่นาทีพร้อมข้อความสั้นๆ ฉันก็คิดว่าโอเค เดี๋ยวจะกลับไปลองใหม่อีกที เราอ่านบทกันแบบเรียลไทม์ เป็นการได้รับบทอย่างที่ฉันไม่มีวันลืมเลยค่ะ ตอนที่รู้ว่าได้รับบทรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงเลยค่ะ ฉันจำวันที่ประกาศออนไลน์ได้ ตอนนั้นฉันอยู่ในอพาร์ทเมนท์คนเดียวที่เบลฟาสต์ กำลังถ่ายทำเรื่อง “The Northman” ฉันวิ่งไปทั่วห้องและร้องกรี๊ด รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้เล่าเรื่องราวนี้ค่ะ
การสร้างตัวละครของตัวเองขึ้นมา:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: ฉันคิดว่าเราต้องสร้างตัวละครในแบบของเราขึ้นมาเอง เราทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฉันคิดว่าเราสามารถคงความเป็นแก่นแท้ของตัวละครได้ แต่ฉันโชคดีมากในช่วงที่อ่านบท… ฉันรู้สึกแบบนี้กับตัวละคร 3 ตัวมาก่อน ครั้งแรกคือหนังเรื่องแรกของฉัน “The Witch” ที่ไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งหนังจบว่าตัวละครนั้นมีจริง ฉันไม่รู้เลยตัวเองอยู่ร่วมเส้นางกับโธมาซิน และตัวละครเบ็ธในเรื่อง “The Queen’s Gambit” ฉันมั่นใจว่าเป็นเรื่องราวที่ฉันถ่ายทอดได้ เพราะฉันเล่าทุกอย่างได้อย่างชัดเจน สำหรับฟูริโอซ่าตอนอ่านบทครั้งที่ 2 ฉันรู้สึกว่า “โอเค จะต้องเป็นตัวละครหนึ่งที่แกะออกจากตัวเองยากมากแน่ๆ เราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในฉากเหล่านี้และต้องรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง” ฉันคิดว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากในการสร้างความงดงามตามใจตัวเอง เพราะมันรู้สึกสมจริงสำหรับฉันมากค่ะ
การอยู่แนวเดียวกับฟูริโอซ่า:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: ฉันจำช่วงแรกเริ่มได้ว่าจอร์จกับฉันคุยกันนานมากราว 4-5 ชั่วโมงได้ มีวันหนึงที่เขาเขาชวนฉันมาแสดงหนังให้เขา “คุณต้องบอกฉันหน่อยแล้วล่ะทำไมเราต้องทำหนังเรื่องนี้ด้วยกัน” สำหรับฉันมองว่ามันเป็นเรื่องราวที่ให้แง่คิด ฉันมองว่าเป็นโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและมีความงดงามในตัว แต่ความจริงของโลกใบนั้นก็ไม่ไกลเกินไป มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจในการถ่ายทอดเรื่องราว และสิ่งที่ฟูริโอซ่าหลงใหลอย่างการกลับไปหาดินแดนที่เป็นสีเขียว ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ทันสังเกตแต่จะเริ่มรู้สึกได้ในไม่นาน เกี่ยวกับการปกป้องโลกของเรา สำหรับการแสดงฉันไม่เคยมีหลักการอะไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันเลือกทำและมันกลายเป็นเรื่องน่าประหลาดในบางครั้ง ฉันพยายามจะไม่แสดงท่าทางมากเกินไปในฉาก แต่ฉันมีความคิดแบบฟูริโอซ่าเต็มที่จนยากจะปล่อยวางตอนกลับบ้าน ฉันหวังว่ามันจะส่งผลดีบางอย่าง เพราะสิ่งเดียวที่ฉันแคร์คือเรื่องการถ่ายทอดความสมจริงของบุคคลนี ฉันรักและชื่นชมเธอมาก เธออยู่ในใจของฉันจนอยากถ่ายทอดออกมาให้ถูกต้องที่สุด
การฝึกซ้อม:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: สิ่งที่ขาดคือฉันยังไม่มีใบขับขี่ค่ะ ฉันสามารถหมุนรถ 180 องศาได้ แต่ไม่สามารถจอดขนานหรือขับรถบนทางหลวงได้ คำแนะนำเรื่องการขับขี่ของฉันจะต่างจากคนส่วนใหญ่สักหน่อย ฉันตื่นเต้นมากสำหรับงานนี้ ฉันอยากทำให้ได้มากที่สุดและจอร์จก็คอยสนับสนุนเต็มที่ค่ะ ฉันเริ่มจากการหัดเป็นปีก่อนจะเริ่มถ่ายหนังกัน ฉันถ่ายพร้อมกับฮาลีย์ ไรท์นักแสดงผาดโผนแทนฉัน เราต้องฝึกทุกอย่างแบบเดียวกัน ฉันขี่จักรยานไม่ค่อยเก่ง พอได้มาขีมอเตอร์ไซค์ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมากค่ะ ฉันโชคดีมากที่ได้เรียนรู้จากคนเก่งๆ หลายคน ฉันมีสังคมใหม่จากการแสดงผาดโผน เพราะคนเหล่านี้ใจดีและพร้อมแบ่งปันเวลาของพวกเขามาก มีการเรียนรู้การขี่มอเตอร์ไซค์ จาก 150 เป็น 450 จากนั้นปรับตัวให้อุ่นใจในรถ จนฉันอุ่นใจจริงๆ ความเหลือเชื่อของมันคือฉันต้องฝึกเป็นปีก่อนจะถ่ายทำจริงเพื่อให้ฉันรู้สึกอุ่นใจระหว่างการถ่ายทำ แต่ฉันแข็งแรงกว่าที่เคยเป็นด้วยค่ะ เพราะได้เอาตัวเองไปอยู่ในวอร์ริกที่ต้องใช้กล้ามเนื้อร่างกายทุกส่วน การออกกำลังกายของฉันเริ่มเห็นผลและได้แสดงฉากต่างๆ ฉันรู้สึกภูมิใจในความเข้มแข็งของตัวเองช่วงนั้นมากเลย
ตัวละครที่ต้องต่อสู้และพูดน้อยนิด:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: ในฐานะของนักแสดงและศิลปิน ฉันพยายามพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ต้องพัฒนาตัวเองเสมอ เป็นสถานการณ์ประหลาดที่ฉันต้องเติบโตเพื่อทำการแสดงและถ่ายทอดบทบาท ฉันไม่สนใจเรื่องที่ฟูริโอซ่าพูดน้อยเลย เพราะนั่นคล้ายกับตัวตนของฉันค่ะ เข้าใจได้ไม่ยากเลยที่เธอพูดน้อย สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ภาษากาย แววตา และการหายใจต้องสื่อบางอย่างออกมาได้ และนั่นเป็นการเปิดอีกโลกการแสดงหนึ่งให้ฉันค่ะ เพราะฉันมีขอบเขตกำหนดที่ไม่สามารถข้ามมาอีกฝั่งได้ ฉันต้องคิดวิธีบอกเล่าเรื่องราว ฉันคิดว่ามันเป็นอิสระครั้งใหญ่ด้วยซ้ำ ซึ่งเหมาะกับตัวละครมากด้วย หากจะพูดถึงเรื่องนั้นเธอมีหน้าที่เพียงน้อยนิดในหนังเกือบทั้งเรื่อง เธอมีความอดทนสูงและเก็บทุกรายละเอียดรอบตัวมาเป็นเวลานาน เมื่อเธอต้องรับหน้าที่นั้นฉันรู้สึกว่าเหมือนเป็นการปลดปล่อย เทคแรกฉันได้ระเบิดอารมณ์ออกมา มันวิเศษมากเลยค่ะ
แรงผลักดันของฟูริโอซ่า:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: ฉันคิดว่าเธอเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมากค่ะ เวลาที่เธอตั้งใจทำอะไรสักอย่าง เธอจะทำจนกว่าจะสำเร็จ มันเป็นแบบนั้นตั้งแต่ช่วงแรกเลย… บางครั้งฉันคิดว่าถ้าเธอไม่ถูกลักพาตัวไปจากดินแดนเขียวชอุ่มจะเป็นอย่างไรกันนะ? เธอคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีชีวิตราบรื่น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากพบเจอเลย เธอถูกลักพาตัวและตอนนั้นเธอจึงเข้าใจว่าความเมตตาบนดินแดนอันว่างเปล่าคือการไม่ยอมอภัย เธอสัญญาเอาไว้กับแม่ นั่นคือสิ่งเดียวเลยค่ะ: “ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องทำอยางไร กลับมายังดินแดนอันเขียวชอุ่มให้ได้” และความน่าสนใจในเรื่องที่จอร์จสร้างเอาไว้ คือเมื่อเธอค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จนปลดล็อคความโหดร้ายออกมา ตอนนี้เธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและพลัง เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นจึงตกอยู่กับดีเมนทุส เธอยกทุกความเจ็บปวด ทุกการสูญเสีย มาไว้ที่เขาคนเดียว
พลังจากสิ่งแวดล้อม:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: สิ่งที่คุยกับจอร์จช่วงแรกคือจะมีบางประโยคสำคัญที่พบได้ตลอด ประโยคหนึ่งคือ “การอยู่รอดได้ในสภาพอันเลวร้ายแสดงให้เห็นถึงการมีตัวตนของคนหนึ่งอย่างแท้จริง” และนั่นคือสิ่งที่นำไปสู่แสงสว่าง สิ่งที่เป็นสาระสำคัญของตัวละครเหล่านี้… เพราะการอยู่รอดในสภาพที่โหดร้ายจะแสดงให้เห็นทุกอย่าง อีกประโยคที่ทำให้ฉันประทับใจคือ “ฟูริโอซ่าต้องได้เรียนรู้บางสิ่งเข้าสักวัน” เธอได้รับบทเรียน เพราะในดินแดนอันว่างเปล่า มันไม่มีการอภัยอย่างแท้จริง เธอมีความสามารถสูง ช่างสังเกต และหาทางสร้างประโยชน์ ทำให้เธอมีโอกาสหลังจากที่เข้าใจเรื่องลำดับขั้นในซิทาเดล เธอเข้าใจแล้วว่าที่เหมาะสำหรับเธอที่สุดคือการเข้าใกล้เครื่องจักรอันน่าทึ่งเหล่านี้ เช่น วอร์ริก จอร์จอยากให้ฉันเรียนรู้เรื่องเครื่องจักรและการทำงานของมัน ซึ่งฉันยังพูดเหมือนเดิมว่าทุกครั้งที่เห็นวอร์ริก ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างที่รู้มา มันทำให้ฉันรู้สึกทึ่งมากค่ะ
วิวัฒนาการของฟูริโอซ่า:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: ตอนที่สวมบทบาทฟูริโอซ่าอย่างจริงจัง เธอปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายช่วยสร้างวอร์รกขึ้นมา เพราะเธออยากซ่อนตัวอยู่ในเรือ เกมของเธอที่วางแผนไว้คือการสะสมทรัพยากร พยายามเป็นจุดสนใจน้อยที่สุด เก็บตัวเงียบๆ เพราะเสียงจะทำให้รู้ว่าเราคือเพศไหน อยู่รอดปลอดภัยนานที่สุดจนกว่าจะออกจากที่นี่ได้ ฉันคิดว่าสิ่งที่คุณเห็นตั้งแต่การหลบซ่อนตัวจนไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหน เหมือนที่จอร์จตั้งชื่อเรื่องเอาไว้ มันคือมหากาพย์ตามนั้นทุกคำ เราถ่ายทำกันนานเกิน 9 เดือน เราจะเห็นว่าเธอสะสมทักษะความรู้ และจะเห็นร่างใหม่ของเธอในฉากการต่อสู้ นั่นคือตอนที่เราจะได้รู้จักเธออีกครั้ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เป็นตัวของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ต้องหลบซ่อนตัวระหว่างหาทางรอดชีวิต นับแต่นั้นมาไม่มีการหลบซ่อนตัวอีกต่อไป ตั้งแต่ได้พบกับผู้คุ้มกันแจ็คที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจะปรองดองกับเธอ เพราะเขาใจดีและให้โอกาสเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเหนืออื่นใดในดินแดนอันว่างเปล่า จากนั้นเธอได้เลื่อนขั้นขึ้นมาจนเธอกลายเป็นผู้คุ้มกัน ฉันคิดว่าชีวิตเธอช่วงนั้นเป็นช่วงที่สบายใจที่สุด เธอรักและเคารพผู้ที่เธอไว้วางใจและช่วยทำให้ภารกิจเธอสำเร็จ ฉันคิดว่าแจ็คเป็นคนเดียวที่เธอไว้ใจมากเทียบเท่ากับตัวเอง เธอรู้ว่าเขาคอยคุ้มกันข้างหลังและจะดูแลเธอ พวกเขาเป็นทีมกันซึ่งย่อมดีกว่าเธออยู่คนเดียว ช่วงเวลานั้นมีความน่าสนใจเพราะมีจังหวะที่เราอยากให้เธออยู่กับเขาในซิทาเดล แต่เธอจะลืมเหตุผลในการมีชีวิตอยู่อย่างการกลับไปที่ดินแดนอันเขียวชอุ่ม ทำความปรารถนาของแม่ให้สำเร็จได้อย่างไร นั่นคือคำสัญญาสาบานไม่ใช่หรือ? ฉันคิดว่าเป็นช่วงที่น่าสนใจเพราะได้เห็นเธอในฐานะหญิงสาวคนหนึ่ง ได้เห็นทักษะความสามารถของเธอ และรู้สึกอุ่นใจได้รับการปกป้องดูแล
แขน:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: การสูญเสียแขนและการสร้างแขนจักรกลขึ้นมามีความสำคัญมากค่ะ แต่โดยส่วนตัวมันเหมือนกับเรื่องในตำนาน บนโลกใบนี้การมีชีวิตอยู่ การเป็นมนุษย์ นับการที่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทุกคนบูชาเครืองนักร เธอสร้างเครื่องจักรของตัวเองขึ้นมา และมันเหมือนตำนานที่วนเวียนรอบตัวเธอ เธอทำตัวเองเหมือนเป็นเครื่องจักร ครึ่งหนึ่งเป็นรถ นั่นคือสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ต่างบูชา จนเริ่มยุคใหม่ที่ผู้คนเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับเธอ ฉันคิดว่ามันเป็นช่วงที่สานต่อจาก “Fury Road” ในแง่ของความโหดเหี้ยม เธอไม่ยอมทำงานให้ใคร เธอเป็นนายตัวเอง จะทำตามศีลธรรมและกฎหมายของตัวเอง
การร่วมงานกับจอร์จ:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: มีแต่ความรัก ความเคารพ และความชื่นชมจอร์จ มิลเลอร์ค่ะ ฉันรักเขาทั้งหัวใจ เขาเป็นคนน่ารักและสุภาพที่สุด เป็นผู้ชายที่มีความเอาใจใส่มาก ฉันคิดว่าเราเห็นกันได้ชัดหลายอย่าง เพราะชื่นชมในความบ้าคลั่งและฉันเองก็เหมือนกัน ฉันชอบแนะนำอะไรประหลาดหรือการนองเลือด แทนที่จะมองว่าฉันบ้าเขากลับมองว่า “ได้ วิเศษไปเลย” มันมีความหมายมาก เพราะฉันไม่คิดว่าจะมีใครคิดว่ามันอยู่ในหัวของฉันได้ ฉันรักในความเอาใจใส่และความสงสารที่เขามีต่อฉัน เขาใส่ใจและพิจารณาถี่ถ้วนมาก หากมีฉากที่เขาไม่อยากให้ตัวละครร้องไห้ เขาจะให้เวลาฉันออกไปร้องไห้หรือฟูมฟายก่อน เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่สุดใส่ใจกับมันมาก ฉันคิดวาหลายคนอาจมองว่ามันประลาด แต่เขาไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นเลย ฉันโชคดีจริงๆ ค่ะ
ผู้ชำนาญด้านการทำงาน:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: จอร์จน่าทึ่งมากค่ะ เพราะเขาจะให้เวลาเราเดือนหนึ่ง… มันไม่ใช่แค่การฝึกซ้อม มันมีการถกเถียงกัน ตั้งแต่ช่วงแรกที่ฉันได้พบกับเขา ฉันบอกพ่อกับแม่ว่า “หนูรักการร่วมงานกับผู้ชายคนนี้ เพราะหนูรู้สึกได้ว่าเหมือนเป็นโลกทั้งใบของเขา” ฉันมีหลายต่อหลายเหตุผลที่จะได้รับการเอาใจใส่ พรีเซนท์บางเรื่องให้เขา ทำให้เขาเปลี่ยนใจ มันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยเห็นผู้หญิงถ่ายทอดอะไรออกมาได้บ่อยนัก ฉันอ่านบทหลายครั้งจนเราต่างตกใจ เรานั่งอยู่ในความเงียบและร้องไห้ด้วยกัน… มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย เราคือมนุษย์ เรามีความรู้สึก เรามีความโกรธ เราต้องการความเป็นธรรมชาติโดยเฉพาะสำหรับตัวละครนี้ ที่โลกทั้งใบคือสิ่งจับต้องได้ เมื่อจอร์จได้เห็นมันเขาพูดว่า “โอเค ผมเข้าใจแล้วอย่างถ่องแท้เลยล่ะ” แล้วผู้ชายคนนี้ก็วิ่งบนฉากขนาดใหญ่ 3 ฉาก ฉันไม่เคยเห็นใครละเอียดกับทุกอย่างแบบนี้เลย ฉันชื่นชมมากเลยค่ะ ไม่มีอะไรบนหน้าจอที่ไม่ใช่สิ่งที่ผ่านการอนุมัติ ตรจวสอบ เช็คแล้วเช็คอีกโดยจอร์จ มิลเลอร์เลย ฉันคดว่าเขาสร้างแรงบันดาลใจได้เหลือเชื่อเลยค่ะ
มหากาพย์แห่งร็อคโอเปร่า:
อันยา เทย์เลอร์-จอย: แนวการกำกับทุกอย่างของจอร์จในหนังเรื่องนี้เหมือนร็อคโอเปร่าค่ะ มันมีจังหวะในเรื่องที่ฉันชื่นชมมาก เพราะฉันเป็นนักเต้นและมักจะขยับร่างกายไปตามจังหวะ เราคุยกันตั้งแต่แรกเรื่องฉษกแอ็คชั่น มันไม่จำเป็นต้องมีแต่การต่อสู้ในเรื่องนี้ แต่ต้องรู้จักตัวละครผ่านฉากแอ็คชั่น ฉันไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อนเลย ฉันคิดว่ามันเหลือเชื่อมากที่รู้สึกแบบนั้นได้ ฉันคิดว่าคุณจะสัมผัสได้ว่าตัวละครเติบโตขึ้นจากฉากการต่อสู้นาน 15 นาที มันมีความดุเดือดมาก ในเรื่องนี้เกินกว่าคำว่ามหากาพย์ไปแล้ว มันยิ่งใหญ่ในเรื่องขนาด ความทะเยอทะยาน อารมณ์ การตอสู้ นี่คือหนังฟอร์มยักษ์ที่ฉันคิดว่ามีบางอย่างรออยู่สำหรับทุกคน ฉันคิดว่าเราจะพาคุณไปพบประสบการณ์หลุดโลกได้จนคุณเหนื่อยในท้ายที่สุด เพราะเราใส่อารมณ์ลงไปอย่างไม่ยั้ง และหวังว่าสาวๆ จะรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าที่คิด มีพลังมากกว่าที่คิด ทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่านั้น มันมีความกดดันอยู่ในตัวแต่เราก็ต้องเผชิญมัน
สัมภาษณ์คริส เฮมส์เวิร์ธ (ดีเมนทุส)
จุดเริ่มต้น:
คริส เฮมส์เวิร์ธ: ผมจำตอนที่กำลังถ่ายหนังในลอนดอนได้ ผมเข้าโรงหนังไปดูเรื่อง “Fury Road” และผมโทรหาเอเจนท์หลังจากนั้นทันทีวว่า “ผมไปดูหนังที่สนุกที่สุดในรอบหลายปีมาด้วย” และนั่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเป็นนักแสดงที่ผมลืมเรื่องขั้นตอนการทำงานไป รวมถึงสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนั้นดูสมจริงได้ ความจริงือเมื่อเราเริ่มทำงานในวงการภาพยนตร์ คุณจะรู้ทุกเทคนิคและความลับอีกหลายอย่าง ตอนที่ดูเรื่อง “Fury Road” ผมถูกหนังดูดเข้าไปเลย เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมลืมตั้งคำถามเลยว่า พวกเขาถ่ายฉากนั้นอย่างไร ถ่ายฉากนี้กันอย่างไร นักแสดงกำลังคิดอะไรอยู่ และอีกมากมาย? ผมอินกับหนังในฐานะของผู้ชมคนหนึ่งได้เลยครับ ผมเลยโทรหาเอเจนท์และบอกว่า “ผมต้องร่วมงานกับผู้ชายคนนี้ให้ได้” นั่นคือเมื่อ 2 ปีก่อนจะมารับบทนี้ แต่ตอนนั้นเหมือนผมส่งสาส์นถึงพระเจ้า… และก็ได้มาอยู่ตรงนี้
ประสบการณ์ที่ต่างออกไป:
คริส เฮมส์เวิร์ธ: ในเรื่อง “Fury Road” เป็นฉากการไล่ล่าครั้งใหญ่ที่มีตัวละคร เนื้อเรื่อง และความรู้สึกในเรื่องราว แต่เป็นฉากของการหลบหนี ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวกว่า 15 ปีหรือนานกว่านั้น มีการพูดคุยและสไตล์ของเช็คสเปียร์ในผลงานของจอร์จ [มิลเลอร์] และการเขียนบทของนิโค [ลาธอริส] ผมคิดว่าน่าจะเป็นผลงานที่บทพูดในเรื่องมากกว่าหนัง Mad Max เรื่องอื่นที่ผมเคยดู ผมได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และเห็นภาพที่ทำให้รู้สึกแตกต่างจากเรื่องนั้น ปกติจอร์จจะบอกเราว่าตัวละครเหล่านี้เป็นใครผ่านลุค คำพูดหรือประโยคอะไรสักอย่าง ในเรื่องนั้นมีความเข้าใจผ่านภาษาและการพูดคุยเยอะมากจนผมตื่นเต้น ผมถามจอร์จและเขาบอกว่า “ฟังนะ คุณจะทำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ไม่ว่าอดีตจะเคยดีแค่ไหนก็ตาม ผู้ชมต้องการความแปลกใหม่ อยากได้อะไรที่ต่างจากเดิม” นั่นคือที่มาทั้งหมด กลายเป็นความแปลกใหม่ของโลก Mad Max ไปเลย
ดีเมนทุสคือ…:
คริส เฮมส์เวิร์ธ: ดีเมนทุสเป็นคนที่เข้าใจยาก เขาคือผลผลิตจากโลกใบนี้ มีความโหดร้ายและเกรี้ยวกราดในแบบดินแดนอันว่างเปล่า เขาเกิดการปรับตัวผ่านประสบการณ์ของเขา และผมคิดว่าประสบกาณณ์นั้นคงมีทั้งความเศร้า ความกลัว และการสูญเสีย นี่คือที่ที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ละวันต้องเอาชีวิตรอดผ่านไปให้ได้ คุณจะไม่คิดถึงอีก 6 เดือนข้างหน้า… แต่จะคิดว่าทำอย่างไรถึงผ่านวันนี้และคืนนี้ไปให้ได้ เพราะทุกสิ่งและทุกคนอยู่รอบตัวเราสามารถฆ่าเราได้ เขาจึงมีความโหดเหี้ยมในแบบของเขา ผมเชื่อว่าเหมือนเผด็จการหลายคนที่ภายนอกแสดงออกถึงความโหดเหี้ยม แต่ยังคงมีความกลัวและบริหารการดูแลตามลำดับขั้น เขาควบคุมผ่านคนที่เขาเป็นผู้นำ แต่ยังคงมีการต่อสู้รอบตัวเกิดขึ้น เขาคือโชว์แมนและคิดว่าตัวเองคือตัวแทนความฉลาดแห่งดินแดนอันว่างเปล่า ในแกงค์ของเขาจะมีความจงรักภักดีและเขากำหนดกฎเกณฑ์ผ่านหมัด แต่ผมหวังว่าทุกคนจะสัมผัสสิ่งที่อยู่ในตัวเขาได้ ผมไม่อยากให้ตัดสินจากการกระทำ แต่อยากให้ทำความเข้าใจทำไมเขาจึงเป็นแบบนั้นและดูโหดเหี้ยม ผมคิดว่าในใจเขาคิดถึงแต่ความอยู่รอด เขาดีกับฟูริโอซ่าและคอยทำให้เธอแกร่งเขาพูดว่าทำเพื่อเธอ ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะดูโหดร้ายและเศร้า แต่เธอจะรอดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญแน่นอน
หลังจากนั้นมิตรภาพระหว่างพวกเขาก็ซับซ้อนมากขึ้น เขาเริ่มมาถึงจุดที่มองเห็นความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาในตัวเธอ ซึ่งเป็นตัวแทนสิ่งที่เขาสูญเสียไป มีบางอย่างที่เขาคิดเกี่ยวกับเธอ เพราะเธอมาจากดินแดนเขียวชอุ่มและคิดว่าลึกๆ แล้วเขามีมนุษยธรรมอยู่บ้าง บางทีเขาอจคิดว่าเธอปลุกช่วงเวลาอื่นในชีวิตเขาขึ้นมา ชีวิตวัยเด็ก ชีวิตหลายปีที่ยังอายุน้อย ก่อนที่เขาจะเผชิญความโหดร้าย เขาเกิดความสนใจมากว่าเธอเป็นใครถึงมีเสน่ห์ชวนหลงใหล จนสุดท้ายกลายเป็นมิตรภาพที่เขาห่วงใยเธอเหมือนพ่อ ผมบอกไม่ได้ว่าฟูริโอซ่ารู้สึกอย่างไรกับเขา แต่คิดว่าเขาทำหน้าที่เหมือนพ่อในการดูแลเธอ เตรียมความพร้อมเธอสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ความคดของเขาคือการทำสิ่งที่ถูกต้อง การรับบทร้ายเพียงแค่เพื่อทำให้คนอื่นมองว่าเขาร้ายกาจ ในตัวเขามีความสนุกสนานในตัว จอร์จกับผมคุยกันหลายเดือนก่อนจะเริ่มถ่ายทำ เขาเคยเป็นคนแบบไหน ลึกๆ แล้วเขาเป็นอย่างไรในดินแดนอันเงียบสงบ สุดท้ายทุกความโหดร้ายหรือความร้ายกาจที่เขาทำจะนำมาสู่สิ่งที่คู่ควร
การค้นหาน้ำเสียง:
คริส เฮมส์เวิร์ธ: หลายอย่างพุ่งมาหาเราในแต่ละช่วงพร้อมตัวละคร ผมเห็นอะไรหลายอย่างกระโดดออกมาจากหน้ากระดาษ เราต้องใช้เวลาเพื่อเริ่มการพัฒนา สิ่งเล็กๆ น้อยๆ พุ่งมาหาเราจนคิดว่า “นี่คงเป็นสิ่งที่น่าสนใจหรือมีความแตกต่างแปลกใหม่และจริงใจสำหรับตัวละคร” ผมมีเวลาอยู่กับบทก่อนการถ่ายทำนานมาก นานกว่าหนังเรื่องอื่นที่ผมเคยแสดงมาเลย เมื่อนานมาแล้วผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาเป็นคนแบบไหน ผมกังวลที่จะสร้างความแปลกใหม่และยังหาน้ำเสียงที่เหมาะสมไม่เจอ ทุกครั้งที่พยายามอ่านบทผมคิดว่า “ก็แค่ทำเสียงเหมือนตัวเอง” เตือนตัวเองถึงธอร์หรือตัวละครอื่น ผมอยากให้เขาดูมีความโกรธอยู่ในตัว มีความเย็นชา ดูก้าวร้าวและน่ากลัว มีวันหนึ่งผมนั่งอยู่ที่สวนสาธารณะกับลูก ดูนกแย่งมันฝรั่งและสิ่งที่เด็กๆ โยนให้นกกินกัน พวกมันแค่ทำเสียงขู่ใส่กัน นั่นคือสิ่งที่ติดอยู่ในหัวของผม ผมไม่ได้พูดว่าอิงตัวละครทั้งหมดมาจากนกนะครับ แต่นั่นเป็นเพียงแค่วันหนึ่ง
จากนั้นอีกวันหนึ่งผมฟังเสียงแข่งม้า [ของผู้ประกาศ] “ลงมาที่ลู่วิ่ง กำลังออกไปด้านนอก!…” มันเป็นเสียงของผู้ประกาศที่ดังก้องอยู่ในหูของผม ทำให้เริ่มซึมลึกเข้าถึงตัวละคร และผมจำได้ว่าคุณปู่ของผมมีน้ำเสียงแนวนี้ แต่จากออสเตรเลียเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ผมเลยเริ่มดูนหังออสเตรเลียนสมัยก่อน ฟังการสัมภาษณ์เก่าๆ และขโมยบางมุมมาจากตรงนั้น ช่วง 2 อาทิตย์ก่อนเราเริ่มถ่ายทำ ผมเจอเสียงที่จะใช้และฝึกอย่างหนักเพื่อรักษาเสียงนั้น จนรู้สึกว่ามันมีความหนักแน่นมากพอ ทุกอย่างต้องเกร็งและมีความชัดเจนมาก ผมอยากพัฒนาให้ไกลกว่าเสียงธอร์ร่วมกับเคนเนธ บรานอห์ ที่มีความสงบและเยือกเย็นกว่า ผมอยากใช้เสียงที่เหนือกว่าทุกคนหลายเดซิเบล มันดูทั้งน่ารังเกียจ ก้าวร้าว เหมือนกับนกนั่นเลยครับ
สิ่งที่ทำให้เห็นความแตกต่างของจอร์จ มิลเลอร์:
คริส เฮมส์เวิร์ธ: ความอ่อนน้อมและความใจดีในตัวเขาหรือการเดิน ทุกคนมีความหมาย ทุกคนมีความสำคัญ ทุกคนมีปากเสียง ทุกคนมีโอกาสที่จะใส่ความคิดสร้างสรรค์ และเขาเอาใจใส่ผู้คนมาก เขากำลังคุยกับเราอยู่แต่จะสังเกตได้ว่ามีใครเข้ามาในห้องก็จะทัก “โอ้ คุณชื่ออะไร มาจากที่ไหนนะ?” ผมคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นนั่นทำให้ถ่ายทอดเรื่องราวได้มีรายละเอียดและความรู้สึก สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราไม่ทันสังเกตมีความหมายสำหรับเขา นั่นคือสิ่งที่เขาลงไปสำรวจอย่างลึกซึ้งขึ้น เราคิดว่าเคยเห็นอะไรหลายอย่างมาแล้ว จากนั้นเขาจะทำให้เราเห็นในอีกมุมหนึ่งจนรู้สึก “ว้าว ฉันไม่เคยคิดถึงอะไรแบบนั้นมาก่อนเลย!” ความเซอร์ไพรส์นั้นเกิดขึ้นจากมุมหนึ่งที่เห็น และได้รู้ว่ายังมีอีกร้อยวิธีในการเล่าเรื่องราวหรือช่วงเวลานี้ แต่ยังคงเปิดรับทุกความเป็นไปได้ แค่ได้เห็นว่าแต่ละคนเป็นอย่างไรในฉากก็ทำให้เราอยากมีส่วนร่วมและพร้อมทุ่มเท 100% แล้วครับ เขามีความแปลกในตัวสูงมาก หลายคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำจะคอยข่มขวัญทำให้กลัว แต่เขาเป็นอีกแบบหนึ่งเลยเต็มไปด้วยความใจดี เปิดใจกว้าง และให้ความร่วมมือดีมาก
การรับบทดีเมนทุส:
คริส เฮมส์เวิร์ธ: ผมรับบทตัวละครร้ายในผลงานเล็กกว่านี้ ไม่มีบทไหนที่ทรงพลังเท่าดีเมนทุสที่มีความโดดเด่นในหนังเลย มันเต็มไปด้วยความสนุกได้ติดตามเส้นทางของวายร้ายคนหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด เรื่องราวความเป็นมา รายละเอียดในเรื่องนี้ไม่เหมือนกับเรื่องไหนที่ผมเคยแสดงมาก่อน ผมไม่รู้ว่าตัวเองตามหาการรับบทแบบนี้มาโดยตลอด แต่เรามักมองหาบางอย่างที่สร้างความตื่นเต้นได้ ครั้งแรกที่ผมอ่านบทมันจุดประกายบางอย่างแบบที่ผมไม่รู้สึกมานานมากแล้ว… เป็นความรู้สึกตั้งแต่ผมเริ่มอ่านบทจนถึงถ่ายทำเสร็จมันปั่นป่วนอยู่ในหัวของผม ผมมั่นใจว่ามันจะรู้สึกแบบนั้นไปอีกหลายปีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี
สัมภาษณ์ทอม บูร์ค (Praetorian Jack), ชาร์ลี ฟราเซอร์ (แมรี่ จาบาซา), ลาชี่ ฮูล์ม (ริซเดล เพลล์ / อิมมอร์ตั้นโจ)
บทแพรทอเรี่ยน แจ็ค:
ทอม บูร์ค (แพรทอเรี่ยน แจ็ค): แพรทอเรี่ยนคือบอดี้การ์ดอย่างเป็นทางการของ อิมมอร์ตั้น้โจ แต่พวกเขาแยกตัวออกไปตามเส้นทางที่ได้รับมอบหมาย และหน้าที่ของแจ็คที่สำคัญคือการขับวอร์ริก เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดและเป็นการเสี่ยงสูงเรื่องหนึ่งในแผนการของซิทาเดล สำหรับ แพรทอเรี่ยน แจ็คทั้งชีวิตของเขาคือการอยู่กับซิทาเดลและการอยู่ในโลกของซิทาเดลบุลเล็ต ฟาร์มและแก๊สทาวน์ ในการเดินทางสามเหลี่ยมอันไร้จุดจบ มันมีเสียงสะท้อนของแมกซ์อยู่ในตัวเขา เขาเหมือนกับคนนอกที่อยู่วงใน นั่นคือภาพที่ผมมองเห็นเขา จอร์จทำให้ผมเข้าใจถึงเรื่องราวในอดีตอย่างถ่องแท้ เขามาจากครอบครัวของทหารที่รู้จักกับ อิมมอร์ตั้น้โจ ก่อนที่เขาจะกลายเป็น อิมมอร์ตั้น้โจ หลังการล่มสลายมีการโยกย้ายอย่างตั้งใจเพื่อจะเข้าถึงตัวซิทาเดล โดยนึกภาพว่าที่นั่นจะมีความปลอดภัยโดยไม่รู้ว่าจะเป็นที่แบบไหน เรื่องราวในอดีตที่ผมต้องรับมือมาจากเส้นทางนั้น พร้อมความทรงจำวัยเด็กที่อบอุ่น นั่นคือสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกของเขา การได้มาอยู่ในวอร์ริกคือสิ่งประโลมใจเขาอย่างแท้จริง
วอร์ริกมีคาแรคเตอร์ของตัวเอง จอร์จเล่าถึงมันว่า “มีความน่าเกรงขาม” เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในโลกของ อิมมอร์ตั้น้โจ แง่ศาสนา มันเหมือนวัดที่อยู่บนวงล้อ มีความงดงามวัสดุทั้งหมดเป็นโครเมียมและเหล็ก รายละเอียดด้านในห้องโดยสารมีความน่าทึ่งมาก แท่งเกียร์ดูเหมือนกระดูกโคนขา ส่วนพวงมาลัยเป็นหัวกะโหลกขนาดใหญ่ประคองลูกระเบิดเอาไว้ในปากผลิตจากตะปูและกลอน
ฟูริโอซ่าและแพรทอเรี่ยน แจ็ค:
ทอม บูร์ค (แพรทอเรี่ยน แจ็ค): บางครั้งผมจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เราคุยกันถึงประโยคหนึ่งที่เป็นนิยามของผู้มีปัญญา เป็นคนที่รู้ว่ายังมีบางอย่างสำคัญกว่าเซ็กซ์ และเรามีการพูดถึงผู้ที่มีปัญญาในดินแดนอันรกร้าง คือคนที่รู้ว่ามีบางอย่างสำคัญกว่าการอยู่รอด ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องมนุษยธรรม ผมคิดว่าแจ็คมีเซนส์ในเรื่องนั้น ตอนที่เขาได้พบกับฟูริโอซ่าเขาเห็นภาพนั้นได้ทันที เธอเห็นไอเดียทั้งหมดว่าจะไปที่ไหน ช่วงแรกเขาบอกว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาในสิ่งที่พวกเขาทำข้อสัญญากัน เขาพูดว่า “ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะเป็นอิสระจากภาพลวงตาแห่งการไล่ล่า” ในมุมของมิตรภาพระหว่างพวกเขา เขามีศรัทธาในจุดที่เธอจะมุ่งหน้าไป เขาตั้งใจจะช่วยเธอตามหามันให้เจอ จนถึงจุดหนึ่งเขากลายเป็นฝ่ายที่ต้องการอยู่ตรงนั้นกับเธอมากที่สุด ช่วงที่เราเริ่มถ่ายหนัง เราคุยกันว่ามีอะไรมากกว่าการที่ผู้ชายคนหนึ่งอยากพาผู้หญิงคนหนึ่งกลับบ้านทั่วไป มันฟังดูเป็นเรื่องเชยแต่ผมคิดว่าเขายังมีตัวตนในโลกใบนี้ และนั่นไม่ใช่โลกที่จะอยู่ได้ง่ายเลย แต่เขารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสม ผมคิดว่าเธอทำให้เขาสัมผัสได้ถึงชีวิตอีกแบบที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก
การรวมตัวของฉากแอ็คชั่น:
ทอม บูร์ค (แพรทอเรี่ยน แจ็ค): ฉากแอ็คชั่นฉากหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เรียกว่าแอบซ่อนสู่ที่ลึกลับ ในบทมีความยาว 42 หน้าและอยู่บนหน้าจอนาน 15 นาที ในบทภาพยนตร์ฉากแอ็คชั่นเกิดขึ้นอย่างมีความหมาย มันจึงไปตามน้ำได้ง่ายมาก ผมไม่รู้เลยว่ามันจะมีการถ่ายทำกันแบบนี้ ผมผ่านการขับรถไล่ล่าในโปรเจ็กต์อื่นมาพอควรและผมก็สนุกกับัน ผมคุ้นเคยกับการแสดงที่เราถูกกำหนดในฉาก เราใช้เวลาช่วงครึ่งวันแรกถ่ายภาพมุมกว้าง จากนั้นถ่ายโคลสอัพและค่อยไปถ่ายอีกฉากหนึ่ง ส่วนในเรื่องนี้ทั้งวันจะถ่าย 3 ฉากที่ต่างกัน บางฉากมีความยาว 7-9 วินาทีจึงจะออกมาดีที่สุด และเมื่อถึงตอนลำดับก็อาจจะเหลือ 2-3 วินาทีหรือน้อยกว่านั้น ผมรักวันเหล่านั้น เราต้องคิดถึงอะไร 2-3 อย่าง บางครั้งก็มากกว่านั้น มีช่วงที่ประโยคกำลังลงตัว แต่มันต้องลงจังหวะมากๆ บางครั้งเราต้องอาศัยเทคนิค ย้อนไปหาการแสดงเมื่อหลายวันก่อนที่เหมาะกับช่วงเวลานี้มากกว่า มันช่วยได้เยอะเลยในการที่จำได้ว่าตอนนั้นเราตื่นเต้นมากขนาดไหน ผมสนุกกับมันสุดๆ เลยครับ
ประเด็นในเรื่อง:
ทอม บูร์ค (แพรทอเรี่ยน แจ็ค): ผมคิดว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องมนุษยธรรมพอๆ กับความทารุณ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องความหวังและการมีศรัทธาในสิ่งต่างๆ ผมมีประโยคหนึ่งในบทร่าง มันเกี่ยวกับคน 2 คนที่ปกป้องโลกได้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากเลย เพราะหากพวกเขาไม่พยายามปกป้องโล พวกเขาจะได้พบกับความเปลี่ยนแปลงอีกแบบ ผมคิดว่ามีทั้งความน่าสนุกและความสมจริงในเรื่องราวตามระบบที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ ผมคิดว่าแค่นั้นกลายเป็นเรื่องโหดร้ายที่น่าเบื่อที่ทุกคนจะเอาไปคุยกันแล้ว ผมคิดว่ามันเรียบง่ายมาก มันเหมือนนิทานแต่มีความตื่นเต้นในเรื่องและรู้สึกสมจริงมาก
การรับบทริซเดล เพลล์:
ลาชี่ ฮูล์ม (ริซเดล เพลล์ / อิมมอร์ตั้นโจ): ผมคิดว่าทุกตัวละครมีความสนุกในการแสดง อย่างตัวละครริซเดล เพลล์ เราจะแสดงให้ดูหรูหรา น่าสยอง น่ารังเกียจ ทำอะไรกับคนแบบนั้นก็ได้เพราะคือผู้บงการโครงสร้างอำนาจ ผมไม่คิดว่ามีตัวละครไหนในรอบกว่า 40 ปีที่ผมไม่สนุกกับมันเลย และริสก็เป็นตัวละครที่สนุกสุดๆ ด้วย
การก้าวสู่อิมมอร์ตั้น:
ลาชี่ ฮูล์ม (ริซเดล เพลล์ / อิมมอร์ตั้น้โจ): ผมคุยกับจอร์จและเขาบอกว่า “โอ้เพื่อน ฟังนะ เราตัดสินใจว่าจะให้คุณเป็นอิมมอร์ตั้นหากคุณไม่รังเกียจ” ผมตอบไปว่า “ได้เลย แต่รู้มั้ยว่าริซเดล เพลล์ได้อยู่ในฉากร่วมกับอิมมอร์ตั้นด้วยนะ ตราบใดที่เราไม่ละเมิดความเป็นริซเดลในด้านใด เพราะเรามอบหมายให้ตัวละครนี้ต้องทำหลายอย่าง เราต้องรับมือกับมัน” เขาตอบว่า “ผมจะทำให้มันออกมาลงตัว” ผมไม่รู้สึกกดดันในการสร้างความแปลกใหม่ให้อิมมอร์ตั้นเลย ฮิวจ์ คีย์ส เบิร์น ทำทุกอย่างเอาไว้ดีมาก สิ่งเดียวที่ผมต้องทำคือการสร้างความแปลกใหม่ ผมย้อนกลับไปดูผลงานพิเศษจาก “Fury Road” บนบ็อกซ์เซทแผ่นบลู-เรย์ ผมอยากเห็นว่าฮิวจ์ทำอะไรบ้างในเบื้องหลัง พวกเรื่องธรรมดาทั่วไป เช่น ฮิวจ์เคยสูบบุหรี่ เขาสูบบุหรี่ในชุดของเขาอย่างไร? มีฟุตเทจตอนเขาแต่งหน้าและสวมเสื้อผ้าด้วย หากเราไม่สวมชุดนั้นมันก็สวมเราเข้าไปแทน เพราะมีน้ำหนักตั้ง 40 กิโล แค่รองเท้าบูทส์ก็หนัก 15 กิโลแล้ว กระโปรงหนักอีก 16 กิโลช่วงรอบเอว มีฉากที่ฮิวจ์ต้องแต่งตัวครบเครื่องและวิ่ง วันแรกของการรับบทอิมมอร์ตั้นของผม ผมเหมือนกับทินแมนไปเลย ทุกคนช่วยผมเต็มที่ ผมเหมือนกับปีศาจแฟรงค์เกนสไตน์ ผมนั่งลงไม่ได้ด้วยซ้ำถ้าไม่มี 8 มาช่วยผม หรือจะพลิกตัวในฉากก็ตาม ฉะนั้นไม่แปลกเลยที่อยู่ๆ ก็ “โอ้ จริงด้วย ผมต้องคิดถึงอิมมอร์ตั้นด้วย” เรารู้ว่าเขาเป็นใคร สิ่งที่เราสัมผัสได้ในความเป็นเขาผ่าน “Furiosa” คือ หากผมทำให้เขารับความกดดันมหาศาลได้ นี่คงเป็นอีกด้านที่แตกต่างของเขา เขาพยายามประคองเครื่องยนต์เคลื่อนที่ คอยตัดสินใจเพื่อปกป้องอันตรายอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้นมา เราต้องหาความแตกต่างในหลายมุมนั้น แต่เรื่องการควบคุมจะไม่พบความแปลกใหม่อะไร มันเห็นได้จากในบท นี่คือเรื่องราวแห่งการล้างแค้น ผมไม่รู้มิตรภาพระหว่างเขากับ แพรทอเรี่ยน แจ็คที่เล่นโดยทอม บูร์ค. ผมหันไปหาทอมและพดว่า “ทอมมี่ คุณมีความสัมพันธ์กับอิมมอร์ตั้นแบบไหน?” เขาอธิบายมันใน 15 วินาที พ่อแม่ของแพรทอเรี่ยน แจ็ค’ อยู่ในกองทัพและรับใช้นายพันโจ มัวร์ก่อนจะมาเป็น อิมมอร์ตั้น้โจ. แจ็คคือลูกชายที่เป็นตัวแทนในทางที่แปลก ทอมบอกแบบนั้นและก็… แอ็คชั่น!
เสื้อผ้าของอิมมอร์ตั้น:
ลาชี่ ฮูล์ม (ริซเดล เพลล์ / อิมมอร์ตั้น้โจ): มันไม่ใช่แค่ชุดที่สวมใส่ไม่สบาย แต่ยังเป็นชุดที่หนัก ถ้าจะเอาชิ้นส่วนเสื้อผ้าของอิมมอร์ตั้นออกไปมันก็ดูตลกอีก ทั้งหมดดูดีได้เพราะมาครบชุด ทั้งผม การแต่งตา ปาก คอ และเครื่องช่วยหายใจ เกราะ เครื่องประดับและเหรียญต่างๆ ทั้งสามเรียงตั้งแต่จากคุณพ่อของฮิวจ์ คีย์ส-เบิร์นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มันเลยเป็นเครื่องบรรณาการมาถึงฮิวจ์ ทั้งเข้มขัด ปืน กระโปรง กางเกง รองเท้าบูทส์ รายละเอียดบนรองเท้าบูทส์ ภายใต้เสื้อผ้าทั้งหมดคือสิ่งทำให้เขาดูน่ากลัว ร่างกายของเขาดูเน่าเปื่อยเหมือนคนอ่อนแอ แต่เมื่อมารวมกันแล้วดูน่ากลัวและน่าสนใจ หากจะหาความนิ่งสงบในตัวอิมมอร์ตั้น คุณอาจจะแค่ล็อคดวงตาของคุณไปที่เหยื่อและจำกัดการเคลื่อนไหว มันมีพลังมาก มันเหมือนกับฉลามขาวอยู่ตรงหน้าเราเลย
อาณาจักรของอิมมอร์ตั้น:
ลาชี่ ฮูล์ม (ริซเดล เพลล์ / อิมมอร์ตั้น้โจ): ไม่ว่าจะดีหรือร้ายมันออกมาได้ผล การรวมกันของหนวยต่างๆ ที่อิมมอร์ตั้นจับมารวมกันในระบบแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นสามเหลี่ยม คุณจะมีทั้งน้ำและอาหารที่อิมมอร์ตั้นจะหามาให้ได้ มีอาวุธและระเบิดที่บุลเล็ต ฟาร์มเตรียมไว้ให้เพื่อความอยู่รอด ผู้คุ้มกันแหง แก๊สทาวน์ จะทำหน้าที่เตรียมน้ำมันเชื้อเพลิงที่สำคัญทั้งหมด หากเรามีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันได้ เราก็จะประคองระบบและมีการได้ค่าจ้างด้วย มันเป็นไปด้วยความเรียบง่ายแค่นั้น จนกระทั่งดีเมนทุสเข้ามาในฉากและพูดว่า “ฉันทำอะไรได้ดีกว่านั้น” เขาตั้งใจจะควบทุกอย่างโดยไม่รู้ว่าเขามีจุดอ่อนสำคัญคือความบ้า ดีเมนทุสไม่ได้มีแค่ความบ้า แต่ยังมีของที่สะสมเอาไว้ด้วย การที่เขาจะรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันได้คือความหลุดโลกทั้งนั้น ริซเดล เพลล์ก็หลุดโลก แฟง [รับบทโดยมาทุส] ก็หลุดโลก ออคโทบอส [รับบทโดยโกแรน เคลีท] ก็หลุดโลก พวกเขาเพี้ยนทั้งนั้นและมาดูแลแหล่งหลบภัย มันเหมือนกับคุณมอบกุญแจพอร์ชให้คน ใช้เวลาไม่เกิน 8 วินาทีเขาจะพุ่งออกถนนไปชนต้นไม้แน่นอน แต่ก็เป็นเรื่องน่าชื่นชมในฐานะของคนดู
แมรี่ จาบาซา:
ชาร์ลี ฟราเซอร์ (แมรี่ จาบาซา): การรับมือกับบทและตัวละครนี้อย่างแรกที่สคัญคือการทำความเข้าใจเรื่องราว จานั้นทำความรู้จักกับแมรี่ในเรื่อง และค่อยกำหนดทักษะความสามารถและคุณสมบัติในตัวเธอ เมื่อเราเข้าใจทุกอย่างเราก็เริ่มสำรวจแต่ละสิ่งได้ อดีตของแมรี่ จาบาซาคือสิ่งที่เราถกเถียงกันในห้องฝึกซ้อม มีบางอย่างี่ไม่ได้เขียนลงไปในบท เราได้รู้เรื่องราวในอดีตของเธออีกหลายเรื่องที่นำเธอมาสู่จุดนี้ ฉันไม่ได้มีข้อสรุปว่าสุดท้ายรู้สึกอย่างไรกับอดีตของแมรี่ แต่ฉันเชื่อว่าเธอเกิดมาก่อนถึงจุดล่มสลาย เธอเคยทำให้มันเป็นดินแดนเขียวชอุ่มตอนที่ยังอายุน้อยมาก ตอนนี้เธอเป็นผู้นำแห่งดินแดนอันเขียวชอุ่ม แม้ว่าการถ่ายทอดบทแมรี่ออกมาจะดูเหมือนชาวบ้านทั่วไปก็ตาม และถึงแม้เธอจะเป็นผู้นำแต่ก็ยังทำทุกอย่างในชุมชนไม่ต่างจากคนอื่น สุดท้ายในตัวแมรี่มี 3 สิ่งที่ฉันต้องเข้าไปสำรวจในฐานะนักแสดงคือเธอเป็นผู้นำ เธอเป็นคุณแม่ และเธอเป็นนักสู้
การถ่ายทอดบทบาท:
ชาร์ลี ฟราเซอร์ (แมรี่ จาบาซา): สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นการเคลื่อนไหวในเรื่องราวคือฟูริโอซ่ากำลังหยิบลูกพีชที่อยู่รอบนอกดินแดนอันว่างเปล่า ฉันแน่ใจว่ามี่ไม่อนุญาตแน่แต่เธอก็ทำ เธอมาพร้อมกลุ่มนักขี่กลุ่มเล็กๆ ที่มาพบรอบนอกของดินแดนอันเขียวชอุม และฟูริโอซ่าพยายามทำลายมอเตอร์ไซค์ของพวกเขา จากนั้นเธอถูกจับได้และขับรถเข้ามาในดินแดนอันว่างเปล่า ช่วงที่เธอถูกจับได้เธอผิวปากเพื่อเตือนให้ทุกคนรู้ว่ามีอันตราย.. มีเรื่องเกิดขึ้น มีเรื่องที่ผิดพลาด และแมรี่ก็รับรู้การเตือนนั้นทันที เธอและมือขวาของเธอกระโดดขึ้นม้าและมุ่งตรงไปยังดินแดนอันว่างเปล่า เพื่อช่วยลูกสาวของเธอและปกป้องดินแดนอันเขียวชอุ่ม
การเรียนรู้การต่อสู้:
ชาร์ลี ฟราเซอร์ (แมรี่ จาบาซา): สิ่งที่ฉันรักในตัวแมรี่ จาบาซาคือความแก่นในตัวเธอ ฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนเดียวในเรื่องที่ขี่ม้า ขี่มอเตอรไซค์ ยิงปืนไรเฟิล ใช้มีดขนาดใหญ่และมีฉากต่อสู้ ฉันคิดว่าเธอเป็นคนเดียวที่รวมครบทุกองค์ประกอบซึ่งมันเจ๋งมากค่ะ ฉันผ่านการฝึกซ้อมต่อสู้มาเยอะมากเพื่อถ่ายทอดความสามารถแบบแมรี่ออกมา มีการฝึกยิงปืนไรเฟิลด้วย เพราะเธอต้องแบกไรเฟิล SKS ขนาดใหญ่ ฉันโตมาพร้อมกับการขี่มอเตอร์ไซค์ แลมันก็สนุกมากที่ได้กลับไปขี่อีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นโร้ดไบค์ที่หนักมาก บวกกับการขี่บนทรายที่เป็นเรื่องยากมาก สำหรับการขี่ม้าคือความแปลกใหม่สำหรับฉันค่ะ ตอนเนเด็กเพื่อนหลายคนโตมาพร้อมกับการขี่ม้าช่วง 10 หรือ 12 ขวบ ตอนนี้ฉันได้ขี่ม้าบ้างแล้ว จากทั้งหมดกลายเป็นฉันหลงใหลในม้าที่สุด ฉันรู้สึกมั่นใจในความสามารถเรื่องน้ากกว่า และฉันแสดงบนม้าที่ไม่มีอานได้อย่างมั่นใจมากด้วย ส่วนเรื่องการต่อสู้แบบผสมผสานทำให้ฉันต้องเรียนรู้การเคลื่อนไหวบนพื้นสำหรับฉากต่อสู้ในเรื่องนี้ เรามีช่วงการฝึกอย่างเข้มข้นที่สนุกมาก และรู้สึกว่าได้เรียนรู้เรื่องการป้องกันตัวเองเยอะมาก ฉันต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ร่างกายเพิ่มขึ้น เพื่อความมั่นใจในฐานะของนักสู้ การต่อสู้ในเรื่องดูเท่มาก ฉันอยากเรียนศิลปะการต่อสู้มาตลอด การได้รับบทแมรี่ จาบาซาและเรียนรู้เรื่องศิลปะการต่อสู้เพื่อให้มีฝีมือเทียบเท่ากับเธอทำให้ฉันสนุกมากค่ะ
สัมภาษณ์ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย), ไซมน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ), โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก), ทอม โฮลเคนบอร์ก (ผู้ประพันธ์ดนตรี), แอนดรูว์ แจ็คสัน (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์), โรเบิร์ต แม็คเคนซี่ (ผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์), กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น), พีเจ โวเทน (ผู้ช่วยกำกับมือแรก)
คุณค่าในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า:
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): หนึ่งในหลักการสำคัญของจอร์จคือหากสิ่งใดอยู่รอดได้ สิ่งนั้นย่อมมีคุณค่ามาแต่กำเนิด และคุณค่านั้นอาจเป็นความงดงาม อาจเป็นเครื่องจักรประหลาด อาจเป็นโครงสร้าง อาจเป็นการปฏิบัติ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะฆ่าอันธพาลที่อยากจะฆ่าเราได้ แต่ความงดงามนั้นคือการค้นพบบางสิ่ง โดยให้ทีมงานผู้ชำนาญจากภาคก่อนพัฒนาความงดงามนั้น ซึ่งแทบจะเป็นทีมเดียวกันทั้งหมดที่เรากลับมาร่วมงานด้วยกัน พร้อมด้วยข้อกำหนดในครั้งนี้บางอย่าง เพราะเราต้องกอบกู้ทรัพย์สิน ซึ่งมันต้องเป็นสิ่งที่มีค่าพอจะรักษาเอาไว้ เราต้องการให้ตัวเองมีเหตุผลว่าทำไมจึงควรคู่แก่การรักษา ซึ่งยิ่งช้ามันก็จะยิ่งยากขึ้นและยากต่อการค้นหามากขึ้น หรือทำให้เรารู้สึกว่าคู่ควรกับมัน บางครั้งมันอาจเกิดจากความผิดพลาดของตัวเราเอง และเราต้องพยายามลองทำสิ่งอื่น เราใช้หลักการเดียวกับเมื่อก่อนและระบบเดิมหลายอย่าง ซึ่งมันทำให้เราเกิดคลังสินค้าที่เราหยิบมาใช้ได้ จากนั้นลองใช้มันอย่างเต็มที่
ป้อมปราการทั้ง 3 แห่งดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า:
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): แต่ละแห่งทั้ง ซิทาเดล, แก๊สทาวน์, บุลเล็ต ฟาร์มต่างต้องมีรสชาติ กลิ่นอายที่ต่างกันไป โดยเฉพาะซิทาเดลที่เป็นหินเหมือนพุ่งออกจากโลก ดูดมาจากส่วนที่อยู่ในพื้นดินด้านล่าง ผนังของห้องบัลลังค์เหมือนกับพื้นที่ส่วนที่เหลือของซิทาเดล เป็นถ้ำที่ส่วนใหญ่จะเป็นหินของพื้นดิน ส่งน้ำขึ้นไปในอากาศ มันไม่ใช่แค่ความทรงจำในอดีตของอิมมอร์ตั้น ใครก็ตามที่เคยมีอดีตกับดินแดนอันน่ากลัวแห่งนี้… สถานที่ที่มนุษย์ในประวัติศาสตร์ต่างหาทางกลับมายังโลกปัจจุบัน
สำหรับ แก๊สทาวน์ ให้เรานึกถึงฉากเหล่านั้นด้วยคูเวต โครงเหล็กจะตั้งอยู่บนไฟ พวกอูฐและทะเลทราย ฝุ่นทราย ต่างเปรอะเปื้อนไปด้วยธาตุกำมะถันและสีดำ แก๊สทาวน์ โดยหลักมีหน้าที่ส่งน้ำมันจากกลางดินแดนอันไร้ทิศทาง ยังคงมีการสูบน้ำมัน ผลิตน้ำมัน และหาเงิน เราไม่เคยเรียนรู้บทเรียนในอดีต เราต้องการเชื้อเพลิงเพื่อทำการต่อสู้ต่อไป เพื่อขับรถ เพื่อซื้ออาวุธ… ป้อมปราการ แก๊สทาวน์ ทำให้เราเห็นรายละเอียดในด้านที่ต่างออกไปของชีวิต
เหตุผลแห่งการล่มสลาย สำหรับการล้มหายตายจากในที่สุด คือความจริงที่เราไม่สามารถนำทุกอย่างอกมาจากโลกได้ และ Bullet Farm ยังคงมีการพ่นดีบุกและถ่าน มีการเผาไหม้เพื่อผลิตกระสุนมากขึ้น ความตายเพิ่มขึ้น บุลเล็ตฟาร์มm เป็นแหล่งผลิตจากชุดภาพถ่ายของเซอร์รา พีลาดา ซึ่งเป็นเหมืองทองในบราซิลที่ดำเนินการตั้งแต่ปี 1980 จนถึงปี 1986 มีคนงานจำนวนมากปีนขึ้นไปบนบันไดไม้ที่ผุพังพร้อมการแบกกระสอบขนาดใหญ่บนหลัง แต่ละคนจะได้รับเงินด้าบนเขา นั่นคือบุลเล็ต ฟาร์มของเรา มนุษย์ต้องลากตัวเองขึ้นไปบนเขาเพื่อความอยู่รอดในอีกช่วงเวลาหนึ่ง อีกวันหนึ่ง นั่นคือเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่นั่น
ซิทาเดลต้องใช้หิน แก๊สทาวน์ ต้องใช้เหล็ก ส่วนเหมืองเราให้ความรู้สึกเหมือนปราสาทที่มีซุ้มประตูเหล็กเก่าแก่ ซึ่งเป็นโครงสร้างแบบยุคกลางของปราสาทที่สร้างเป็นส่วนหน้าของเหมือง เมื่อพวกเขาเริ่มเปิดเหมืองก็จะพบกับ Bullet Farm.
วอร์ริกส์:
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): เราถูกควบคุมการปรับเปลี่ยนบางส่วนด้วยเรื่องราว วอร์ริกในเรื่อง “Fury Road” เหมือนรถในอดีตของอิมมอร์ตั้นที่มีความน่าประหลาดใจขึ้นนิดหน่อย มันเหมือนรถแทรคเตอร์ยักษ์ และมีความเหมือน Slouching Towards Bethlehem ครั้งแรกเราพบเขาเมื่อ 10 ปีหรือนานกว่านั้น ช่วงก่อน 10 ปีนั้น เขาอยู่ได้แค่ในความคิดของผม จนตอนนี้จอร์จคิดว่าคงจะดาหากทำให้ดูแวววาวขึ้น เขาเหมือน Louis XIV และ Sun King มากกว่าเป็น Napoleon เก่าๆ ที่เห็นในเรื่อง “Fury Road” วอร์ริกจึงมีความกว้าง งดงาด ไร้ที่ติกว่า เราสร้างตำนานคันนี้ขึ้นมาและลากผ่านดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า เพื่อประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของเขา
พาหนะต่างๆ:
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): ครั้งนี้ดีเมนทุสเป็นหัวหน้าฝูงไบค์เกอร์ ซิทาเดล, แก๊สทาวน์ และบุลเล็ต ฟาร์มแทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวหลังจากการต่อสู้ครั้งสุดท้าย พาหนะหลักที่เราต้องสร้างคือวาเลนต์ ซึ่งเป็นทั้งความรักและการแก้แค้นของพวกเรา ครั้งนี้ยังเป็นระบบเดิม แม้ว่านี่คือ Slant 6 ไม่ใช่ V8 มีการเชื่อมกระแสไฟและใช้ซูเปอร์เทอร์โบโหมด โดยปกติจะเป็นพาหนะใช้สำหรับการหลบหนีอย่างที่เคยเป็นมาโดยตลอด มีการตกแต่งที่สะดุดตา แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือสีของหัวใจและความรัก.. ที่เป็นแค่การสาดสีแดง
แครงกี้ แบล็ค เป็นพาหนะที่สร้างขึ้นมาเพื่อสงคราม เหมือนรถทั่วไปที่เหมาะกับฟูริโอซ่า มันเป็นของสโครทัสและเครื่องจักรสงครามของเขา ช่วงการออกแบบไปได้ครึ่งทางจอร์จต้องการให้พาหนะเหล่านี้วิ่งขึ้นไปบนภูเขาทราย มอเตอร์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเหมาะจะนำมาติดตั้งด้านหลังมากกว่า จนกลายเป็นรถที่ใช้ปีนเขา นี่คือรถที่มีเครื่องยนต์เทอร์โบ V8 ด้านหลังและกลายเป็นพาหนะของฟูริโอซ่า
รถมอเตอร์ไซค์/นักขี่ทั้งหลาย:
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): บางครั้งจอร์จต้องการให้มีรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 คันให้ดูวุ่นวายและขี่ไปมาทั่วดินแดนอันรกร้างว่างเปล่านี้ ฉะนั้นเราจึงมีการแตกมอเตอร์ไซค์เป็น 3 กลุ่มต่างกัน มีทั้งผู้ที่พร้อมจะไปจนสุดอารยธรรม ผู้ที่มีความพร้อม ผู้ที่ห้าวพอจะมารวมกลุ่มนี้ ผู้ที่ต้องการแก้แค้นทั่วดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า และรถมอเตอร์ไซค์ควรมีหน้าตาแบบไหน ที่เห็นชัดเจนคือกลุ่มนักขี่ของเราที่ก่อโจรกรรมมีความเป็นพวกพ้องเดียวกัน พวกเขาคือตัวเลือกที่ดี ทั้งพวกฮาร์เลย์ รถคันใหญ่ และอะไรอีกหลายสิ่งจึงมารวมกันเป็นกลุ่มนักขี่ได้ ทหารกองหนุน ตำรวจ ผู้ดูแลนักโทษและนักโทษเอง สุดท้ายต่างพบว่าตัวเองถูกทำทัณฑ์บนเมื่อโลกที่เหลือได้หายไป พวกเขายังคงเกาะกลุ่มกัน ยังคงมีรถมอตเรอ์ไซค์ อาวุธ เครื่องมือ และไร้ศีลธรรมที่จะทำให้เขาแตกแยกกันได้ กลุ่มผู้ทรมาณตัวเองที่เรามองว่าเป็นผู้สืบทอดจากกลุ่ม SAS [Special Air Service] อาจเป็นผู้หลบหนีจากสงครามครั้งใหญ่ล่าสุดบริเวณชายฝั่งตะวันออก พวกเขาเดินทางผ่านทะเลทราย จดจำความน่ากลัวไว้ในหัวใจทุกคน เพราะพวกเขาต่างรู้ดีในสิ่งที่ทำให้กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ระหว่างนั้นยังมีผู้ที่กระโดดข้ามตึกและพาราชูท บรรดาผู้ทรมาณตัวเองกลายเป็นกลุมสำคัญในทีมของดีเมนทุส นำโดยออคโทบอส ผู้ลี้ภัย ผู้ปรบมือให้สัญญาณที่ต้องรีบไปยังทะเลทรายเพื่อแตกตัวออกไป และไม่มีวันขาดแคลนกลุ่มเหล่านี้เลย เดอะ รูบิลลีส์ เพื่อนผิวขาวที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายชั่วอายุคน พวกเขาถูกละอองกัมมันตรังสีจากชายฝั่ง ทำให้เรามีกลุ่มผู้ที่มีทั้งความยืดหยุ่นและน่ารังเกียจในตัว พวกเขารับมือได้ดีกับการล้างแค้นอย่างเลือดเย็นและการสูญเสียใครสักคนไปกับฝุ่นละอองและความเศร้า
รถของดีเมนทุส:
โคลิน กิ๊บสัน (ผู้ออกแบบฉาก): เราต้องการให้ดีเมนทุสมีรถที่ทำให้เขาดูต่างจากคนอื่น มีทางเดียวคือการอัพเกรดรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ทำให้มันดูเกลื่อน รถของเขาถูกผลิตจากวัสดุหลายชนิด ตอนแรกผมคิดภาพว่าเขาเหมือน Icarus ที่หล่นมาจากท้องฟ้า มันทำให้เราเลือก Rotec 7-ไซลินเดอร์ R2800 โดยทั่วไปแล้วมันคือเครื่องยนต์ของเครื่องบิน มี 2 ล้อขนาดใหญ่และผลิตรถมอเตอร์ไซค์ด้านข้างขึ้นมาอีกคัน มันเคยมีมาแล้วครั้งหนึ่งโดยถูกติดตั้งทั้งแนวนอนและแนวตั้ง แต่เกิดปัญหาทางเทคนิคมากมาย ทั้งเปลืองน้ำมันและพวกเขาต้องเปิดใช้งานเป็นเวลานานจึงค่อยปิด และไม่มีการพูดว่า “สตาร์ทเครื่องอีกรอบกัน” มันต้องมีการรักษาสภาพอย่างหนักหน่วง แต่เหมือนเพื่อนสาวที่ดูแลสภาพดี มันก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มา รถม้าเกิดขึ้นอย่างตั้งใจให้มีการอัพเกรด เรานึกภาพว่าเขาเข้าสู่ซิทาเดลในบรรยากาศที่ถูกโอบล้อม คล้ายกับซีซาร์วิงกลับมาที่โรม และผมเคยจับคู่เขากับ BMW R18s โดยให้ม้าสีดำขนาดใหญ่นี้อยู่หน้ารถม้า แน่นนว่าจอร์จทำได้ดีว่าผมเช่นเคย มีการเพิ่มรถม้า เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ จนกลายมาเป็นม้าที่สำคัญในเรื่องนี้ ความสิ้นเปลืองคือสิ่งไม่จำเป็นในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า หาก 2 ตัวคิดว่าเพียงพอแล้ว การมี 3 ตัวย่อมดีกว่าเดิม เราจึงอัพเกรดรถม้าให้ทั้งคู่ตรงกลางและ R18s อีกทั้งสองฝั่ง
ภาพรวมของภาพยนตร์:
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): ผมรู้ว่า “Furiosa” จะต้องมีความหลากหลายในเรื่องมากขึ้น เรายังคงตัวละครหลักใน “Fury Road” แต่เพราะเรามีการเข้าสำรวจสถานที่อีกหลายแห่ง มีบรรยากาศและตัวละครใหมๆ เรามีหลายภาพที่อยากเล่าเรื่อง ในเรื่อง “Fury Road” ความรู้สึกส่วนใหญ่จะเหมือนติดอยู่ในทะเลทรายและซิทาเดล เราเห็นแต่ซิทาเดล แต่เราได้ยินชื่อสถานที่อื่นในเรื่อง เราไม่เคยไปเยือนที่เหล่านั้น ป้อมปราการอื่นล้วนมีความเกี่ยวข้งกัน และพวกมันสร้างบริวารที่อยู่รอบซิทาเดล
การเดินทางผ่านดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า:
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): ภาพรวมของดินแดนอันรกร้างว่างเปล่าไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยถนนบนทะเลทรายอย่างที่เราเห็น ตัวละครดีเมนทุสเขาเดินทางข้ามผ่านทะเลทราย เราจะเห็นวิวภูเขาทรายและอีกหลายมุมที่น่าทึ่งมาก มันช่วยเพิ่มบรรยากาศในทะเลทราย บวกกับการที่เราได้เห็นเมืองป้อมปราการที่เชื่อมกับถนนบนทะเลทรายสายเดียวกันนี้ เมื่อเราเข้าไปอยู่ในป้อมปราการเหล่านั้นจะเหมือนโลกอีกใบหนึ่งเลย มีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวัตถุดิบที่ใช้ ล้วนสอดคล้องเข้ากับเมืองป้อมปราการเหล่านี้มาก
การถ่ายทำที่ออสเตรเลีย:
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): เรื่อง “Fury Road” ถ่ายทำกันที่แอฟริกาใต้ ซึ่งจะมีหมอกปกคลุมกองถ่ายตลอดเวลา พอเราเริ่มถ่ายทำที่ออสเตรเลีย เรารู้สึกว่ามันดูสดชื่นและแตกต่างกันมาก เพราะทำให้เรารู้สึกรุนแรงมากขึ้น ทำให้เราทำงานได้ดีมาก ท้องฟ้าก็มีสีที่ต่างออกไป มีความเข้มกว่า และเรามีท้องฟ้าหลากสีใน Broken Hill เขตชนบทของออสเตรเลีย ทุกอย่างมันช่วยปรับเปลี่ยนภาพโดยรวมได้ แต่ไม่หลุดจากกรอบของสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมา
การควบคุมฉากแอ็คชั่น:
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): ผมคิดว่าการควบคุมการฉากแอ็คชั่นเกิดขึ้นเยอะมากช่วงที่มีการจัดวางภาพไว้ล่วงห้นาก่อนถ่ายทำ และจอร์จมีระบบเชื่อมต่อดาวเทียมที่ทำให้เราได้มองดูแบบเรียลไทม์ กองถ่ายย่อยหรือกองถ่ายฉากต่อสู้กำลังถ่ายทำอะไรอกันอยู่ แต่ละเทคจอร์จจะคอยแสดงความเห็นของเขา ต้องปรับเปลี่ยมหรือเขาต้องการอะไรแบบไหน ปกติจอร์จจะคอยอยู่ควบคุมทุกการเคลื่นไหวอยู่แล้วครับ
การหลีกเลี่ยงเงา:
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): เรามักจะมีการซักซ้อมทวงท่ากันก่อนช่วงกลางคืน จากนั้นถ่ายทำกันในวันต่อมา เมื่อเรามีความมั่นใจแล้วก็จะไปจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมไฟที่เหมาะสม เพราะกล้องต้องเคลื่อนที 360 องศา เราต้องระวังเรื่องเงาให้ได้มากที่สุด ทุกทิศทางของแสงล้วนมีความสำคัญมาก
การเก็บภาพการต่อสู้:
ไซมอน ดักแกน (ผู้กำกับภาพ): ในหนังแนวนี้มีวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่หนักหน่วง มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นเยอะมาก เราต้องการให้นักแสดงอยู่บนพาหนะต่างๆ บนรถบรรทุกอย่างปลอดภัยและเราสามารถเก็บภาพเขาไปได้ด้วย เราต้องใช้รถพร้อมแขนที่มีการติดตั้งเครนและหัวที่ทำให้เราติดตามการแสดงทั้งหมดได้อย่างใกล้ชิด มันช่วยทำให้เราไปถึงเป้าหมายในการเก็บภาพการแสดง และทำให้พวกเขาเหมือนได้อยู่ในบรรยากาศจริงมากด้วย
ความสมจริง:
แอนดรูว์ แจ็คสัน (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์): วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ทั้งหมดต้องอิงจากโลกแห่งความจริง นั่นคือสไตล์การทำงานของเรา ต้องอิงจากความเป็นจริงและมีการอ้างอิงถึงได้ หากเรามีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน เราก็มีสิ่งที่แมตช์กันได้ เราต้องสังเกตจากโลกแห่งความจริงและแน่ว่าผลงานนั้นให้ความรู้สึกที่สมจริงด้วย เช่นเดียวกับเรื่อง “Fury Road” และในเรื่องนี้… หนังเรื่องอื่นที่ผมทำงานด้วยก็เช่นกัน เพราะความสมจริงคือสิ่งสำคัญในการทำงาน ผมไม่ใช่คนที่ทำงานในหนังแฟนตาซีหรือหนังที่มีสัตว์ประหลาด ผมอิงจากโลกแห่งความจริงเป็นหลัก นันคือสไตล์การทำงานของผมส่วนใหญ่มากกว่า
ตอนนั้น กับ ตอนนี้:
แอนดรูว์ แจ็คสัน (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์): ที่เห็นได้ชัดคืออุปกรณ์มีการพัฒนาไปมาก และทุกอย่างทำให้ดูสมจริงมากขึ้น ผมคิดว่าหนึ่งในพื้นที่ขนาดใหญ่ของผมที่เปลี่ยนไป คือเอ็ฟเฟ็กต์ของไฟ น้ำ ฝุ่นละอองและควัน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความท้าท้ายในการสร้างความสมจริงมาก แต่ปัจจุบันนี้เราแทบไม่คิดถึงมันด้วยซ้ำ แค่จับคู่สิ่งที่มีอยู่และเก็บภาพพาหนะหรือบุคคลที่มี วิธีการเก็บภาพของเราและแปลงเป็นงาน 3 มิติทำให้ทุกอย่างแม่นยำและดูสมจริงมาก ไม่มีข้อกังขาใดๆ เลย มันเป็นแบบนั้นมาอย่างยาวนาน รู้สึกเหมือนทุกพื้นที่มีการพัฒนาอย่างชัดเจน อุปกรณ์ต่างๆ มีการพัฒนาไปตามกาลเวลา และเป็นเวลานานนับ 10 ปีแล้วจึงเกิดการพัฒนาขึ้นเยอะมาก มีหลายฉากที่มีการแทนที่หรือเพิ่มจำนวนพาหนะ มีบางฉากที่เราใช้พาหนะจากคอมพิวเตอร์กราฟฟิค เพราะมันดูถูกต้องตามต้องการที่สุด เทคโนโลยีช่วยเรื่องการจับคู่ความเหมาะสมได้มาก โดยเฉพาะพาหนะที่มีอยู่จริง แค่เก็บภาพถ่ายและสแกนลงไป จากนั้นเราก็ได้ผลงานที่คัดลอกออกมา ส่วนเอ็ฟเฟ็กต์เรื่องฝุ่น ทราย และสิ่งเล็กจิ๋วก็ทำออกมาได้ดีมาก การผสมผสานวัตถุเหล่านั้นดูสมจริงอย่างไร้ที่ติเลย
เสื้อผ้าสำหรับความอยู่รอด:
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ในดินแดนอันรกร้างว้างเปล่า แทบไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นกฎระเบียบหลักการ ทุกสิ่งที่พวกเขาหาได้ล้วนต้องมีประโยชน์ และจอร์จก็รักจุดนั้นหากจะมีประโยชน์ 2 ด้าน ไม่ใช่ว่าจะประดับอไรไม่ได้เลย แต่พวกเขาใช้ข้าวของเหล่านั้นเพื่อการดำรงชีพ ที่เห็นชัดเจนคือดินแดนอันรกร้างว่างเปล่าไม่มีซูเปอร์มาร์เกก็ต พวกเขาผลิตเสื้อผ้ากันเองจนถึงที่สุด พวกเขาใช้แค่สิ่งที่หาได้จากที่นั่น เช่น กระดูก หนัง ในภาคนี้เรายังมีดินแดนอันเขียวชอุ่ม จึงพอมีความเป็นไปได้ที่จะมีแหล่งน้ำที่ดี เราสามารถปลูกสิ่งต่างๆ ด้านนอกได้ จากนั้นเมื่อเข้าไปในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่าที่มีขอบเขต แน่นอนว่าต้องมีเรื่องของจุดหมาย หลักการสำคัญอีกอย่างของจอร์จคือ “ทำให้เรียบง่ายไว้” เราทำแบบนั้นจนไม่รู้สึกว่ากำลังทำอยู่ อย่างตัวละครริคทัสการตอกเข็มลงไปเป็นเรื่องที่สนุกมาก ทุกสิ่งที่พวกเขาสวมใส่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ มันคือการใช้ลมหายใจ ไม่มีใครหายใจได้เลยเพราะมีแต่มลพิษ ทุกคนทรมาณจากโรคภัยไข้เจ็บ และร่างกายของอิมมอร์ตั้นก็เน่าเปื่อย เขาเลยสวมชุดเหมือนกระดองปกป้องตัวเอง มันไม่เชิงเป็นการตกแต่งซะทีเดียวแม้ว่าจะดูพร้อมออกรบก็ตาม เรามีการเปรียบเทียบเรื่องช่วงเวลาลงไปด้วย แต่ทั้งหมดก็เพื่อความอยู่รอด
ภาพลักษณ์ของฟูริโอซ่า:
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ตัวละครฟูริโอซ่าของอันยา เทย์เลอร์-จอยมีหลายลุคมาก เมื่อเธอเข้าไปอยู่ในกลุ่มของพวกเขาแล้วเธอได้รับการดูแลจากช่างเสื้อยอดฝีมือของเธออย่าง ไฟ นิโคลส์ การร่วงานกับเธอสนุกมาก ชื่อของเธอเหมาะกับเธอเป็นที่สุด เธอสวมบทบาทได้อย่างคุ้นเคย อย่างที่เคยพูดไว้เลยว่าจอร์จ มิลเลอร์ผู้สร้างภาพยนตร์ที่เก่ง จินตนาการของเขาคือสิ่งที่เราถ่ายทอดออกมาให้เห็น ฉันได้ปะติดปะต่อหลายอย่างขึ้นมาเพื่อฟูริโอซ่า และเรานำมาแสดงให้เขาเห็นซึ่งเขาชอบมันมาก อันยาก็มีความสุขที่ได้สวมใส่ผลงานของเรา ฉันคิดว่ารองเท้าบูทส์ที่เราปรับเปลี่ยนทำให้เธอสบายและอุ่นใจมาก ไม่อย่างนั้นคงจะลำบาก มีหลายครั้งที่ฉันคุยอย่างเปิดใจว่านักแสดงจะรู้สึกอย่างไรกับตัวละครและเรื่องอื่นๆ แต่ฉันคิดว่าตัวละครฟูริโอซ่ามีความลงตัวมาก นั่นคือตัวตนของเธอเลย และอันยาดูมีความสุขกับสิ่งที่สวมใส่ เธอดูน่ารักมากค่ะ
ดีเมนทุสและเจ้าหมี:
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ทุกอย่างเกี่ยวกับดีเมนทุสและเท็ดดี้แบร์… ฉันพบว่าดีเมนทุสเป็นตัวละครที่มีความยากในการออกไอเดียค่ะ ฉันจำได้ว่ามีการค้นหาข้อมูลทั้งกูรู ผู้อยู่ในกระแสความป๊อป ตัวละครที่มีสีสัน ผู้นำเผด็จการ ทั้งหมดล้วนดูคล้ายกับตัวละครนี้ จากนั้นเรามีการประชุมผ่านซูมเกี่ยวกับตัวละครดีเมนทุสร่วมกับนิโค [ลาธอริส] และอีกหลายเรื่อง ซึ่งฉันก็ยังไม่ได้ข้อสรุป หลังจากนั้นฉันคิดว่าต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างผู้นำเผด็จการกับกูรู นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีมาก เขาขี่รถมอเตอร์ไซค์และเป็นผู้ออกตัว แจ็คเก็ตตัวเล็กที่ดูตลกนั่นทำให้ดูเหมือนผู้นำหรือเป็นสิ่งที่ควรจะถอดออกกันแน่นะ? เราให้ผู้ดูแล แก๊สทาวน์ เป็นคนสวมใส่ โดยมีไอเดียวาหากเห็นจากที่อื่นเราจะได้รู้ว่าเขาเอามาจากที่ไหน เมื่อเขามีอำนาจมากขึ้นเขาก็เพิ่มภาพลักษณ์ที่มองเห็นได้มากขึ้น มันเหมือนเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งที่เราใส่เพิ่มเข้าไป ไม่ได้มีความหมายอื่นใด ที่เห็นชัดเจนคือเรามีการผลิตผ้าคลุมกระโดดร่มสีขาวขึ้นมา ส่วนเรื่องหมีฉันคิดว่าเพราะเขาคือตัวละครที่ถูกทำร้าย มันคือสิ่งที่มาจากตอนเขาเป็นเด็ก และหมีของเราก็ได้มาจากหมีที่เป็นต้นฉบับทาง eBay ในประเทศอังกฤษ จากนั้นมีการผลิตขึ้นอีกหลายตัวโดยทีมงานที่มีความสามารถในออสเตรเลีย จนหมีกลายเป็นสิ่งสำคัญในตัวละครดีเมนทุสของคริส เฮมส์เวิร์ธไปเลย
ความสร้างสรรค์:
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ฉันคิดว่ามีการใส่รายละเอียดความสร้างสรรค์ไปเยอะมาก จอร์จพูดเสมอว่า “การที่เราอยูในดินแดนรกร้างว่างเปล่า มีความสกปรก สิ้นหวังและทุกอย่าง ไม่ได้หมายความว่าจะขาดความน่าสนใจหรือความสวยงามไปนะ” มันไม่ใช่สำหรับทุกอย่าง แต่บางคนก็พยายามทำเสมอ ฉันหมายถึงพวกเขาไม่มีอะไรจะทำแล้ว ตอนนี้ผู้คนก็มาถักไหมพรมและโครเชต์นั่งดูทีวีกัน แต่เราคิดว่าในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่านี้ พวกเขาคงใช้เวลาช่วงบ่ายไปกับการทำให้เสื้อผ้าดูน่าสนใจและมีความโดดเด่นเฉพาะตัว นั่นคือสิ่งที่เราวางแผนเอาไว้
ภาพลักษณ์:
เจนนี่ บีแวน (ผู้ออกแบบเสื้อผ้า): ฉะนั้น แก๊สทาวน์ จึงอิงจากภาพในอดีตที่น่าสนใจยุค 1920 ที่ผู้คนตัวเปื้อนน้ำมัน ฉันสังเกตผู้คนในสถานการณ์เหล่านั้น พวกเขาดูเปื้อนน้ำมันสีดำที่เหนียวหนืดตั้งแต่หัวจรดเท้า มันเห็นภาพชัดเจนมาก จากนั้นในส่วนของบุลเล็ต ฟาร์ม เราเลือกใช้สีเหลืองน้ำตาลแบบธาตุกัมมะถัน บุลเล็ตฟาร์มmer จะมีวิกสีน้ำตาลที่ดูเปื้อนดินกระสุน ทำให้ดูมีความเป็นตัวเองมาก สำหรับผู้ที่ทำงานในเหมืองนี่คือลุคที่เหมาะสมกับพวกเขา เราไม่มีเครื่องแบบอะไร แต่เรามีการย้อมสี ลงสี และทำทุกอย่างให้มีสีสันแบบนั้น เสื้อผ้าต้องมีการปกป้องให้ได้มากที่สุด แต่เนื่องจากตัวละครเหล่านี้ยากจนมาก มันก็จะดูเหมือนผ้าขี้ริ้วไปหน่อย
จินตนาการ:
พีเจ โวเทน (ผู้ช่วยผู้กำกับกองแรก): จอร์จมีมันสมองที่น่าทึ่งเรื่องรายละเอียดของภาพยนตร์ เขามีภาพทั้งหมดในหัวของเขาเป็นปกติมาก เขาจะถ่ายทอดออกมาและเราทุกคนพยายามเก็บข้อมูลทุกอย่างลงสมอง หากมีเครื่องจักรที่เสียบเข้ากับสมองและฉายภาพยนตร์ออกมาได้ เราก็จะมีผลงานออกมาเลยทันที เขารู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร หน้าที่ของผมคือพยายามทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกันกับเขา ผมรู้สึกว่าจินตนาการของเขามีความลื่นไหลมากครับ
โบรคเก้น ฮิลล์:
พีเจ โวเทน (ผู้ช่วยผู้กำกับกองแรก): ตอนที่กำหนดตารางการถ่ายทำภาพยนตร์ ผมคิดว่า “เราจะเริ่มกันที่โบรคเก้น ฮิลล์” เพราะผมคิดว่าโบรคเก้น ฮิลล์คือบ้านพักใจของแฟรนไชส์นี้ ผมคิดว่าแฟนทุกคนที่อยู่ในโลกของ Mad Max จะรู้สึกว่าโบรคเก้นมีความพิเศษในตัว ผมจำตอนที่เราทดสอบครั้งแรกไปพร้อมกับรถจำนวนมากที่ขับไปที่อพาร์ทเมนท์ของผู้ช่วยผู้กำกับฯ ของผม ไม่มีใครเคยร่วมงานในเรื่อง “Fury Road” มาก่อนและทุกคนตื่นเต้นมาก พวกเขาพูดว่า “ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในหนังโบรคเก้น ฮิลล์เลย” เพราะพวกเขาได้ขับรถกลางทะเลทรายทั่วพื้นที่ มันดีมากที่นักแสดงและทีมงานล้วนมีดีเอ็นเอตรงกัน ในส่วนจังหวะของเรื่องก็เข้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้ง่ายๆ ทุกอย่างจึงลงตัวหมดในเรื่องความสร้งสรรค์ นักแสดงต่างสวมบทบาทตัวเองเป็นครั้งแรกในเรื่องนี้และก่อนกำหนดการของภาพยนตร์ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีเสมอ
ผู้นำ:
พีเจ โวเทน (ผู้ช่วยผู้กำกับกองแรก): จอร์จไม่เคยอาศัยทางลัดอะไรเลย เขามีมาตรฐานกำหนดไว้ชัดเจนเสมอ เขาคอยสร้างความท้าทายให้พวกเราตลอด จนถึงท้ายที่สุดเรายังคงใช้ทุกนาทีคุ้มค่าและทำทุกอย่างให้ทันเวลา เพราะจอร์จเป็นคนที่ทำให้อยากสร้างผลงานเต็มที่ เขาคอยสร้างแรงบันดาลใจให้เราสร้างผลงานออกมาดีที่สุด ทุกอย่างก็เพื่อโปรเจ็กต์ที่ทำอยู่ เขาเป็นผู้นำแถวหน้าและต้องการให้ทุกอย่างถูกต้องเสมอ ซึ่งก็ถูกของเขาเพราะเขาคือคนที่อยู่ในห้องตัดต่อในท้ายที่สุดด้วย บางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดว่า “คุณจะไม่เอาแบบนี้ไปใช้หรอก จอร์จ” แต่เขาต้องการตัวเลือกนั้นอยู่ในห้องตัดต่อด้วย เขาอาจจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่เขามีโอกาสเลือกถ่ายทำฉากต่างๆ ที่สุดท้ายเขาอาจไม่ต้องการมัน บทสรุปคือทุกคนหันมาพูดว่า “เย้ นี่คือผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยล่ะ”
2 ล้อ กับ 4 ล้อ:
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : ระหว่างเรื่องที่แล้วกับเรื่องนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเหมือนกัน มีการอิงมาจากเรื่องราว ตัวละคร และวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวของจอร์จ ขอบเขตของเรื่องนี้ใหญ่กว่าเยอะมาก ไม่ใช่แค่เราพยายามถ่ายทำฉากผาดโผนในสถานที่ต่างๆ หลายแห่งเพียงอย่างเดียว แต่เรายังพยายามใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่ช่วยให้เราถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาได้ด้วย ในเรื่อง “Fury Road” เต็มไปด้วยรถบรรทุกเครื่องจักร รถยนต์ เพื่อการเล่าเรื่องราว ส่วนในเรื่องนี้เราใช้พวกมอเตอร์ไซค์ที่มีความแตกต่างและซับซ้อนมากกว่าในเรื่องของการจัดท่าทาง… และมีอันตรายมากกว่าสำหรับการแสดงฉากผาดโผนด้วย ดีเมนทุสเป็นนักขี่รถและเขามีกลุ่มนักขี่อีกกว่า 3,000 คนด้วย เขาต้องจับกลุ่มกันตลอดทั้งเรื่อง ฉะนั้นฉากแอ็คชั่นทั้งหมดที่เราเคยถ่ายทำในเรื่อง “Fury Road” เรายังคงถ่ายทำกันแบบเดิมในเรื่องนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรถ 2 ล้อแทน 4 ล้อ ทำให้การทดลองและการแสดงฉากต่อสู้ยากกว่าเดิมเยอะเลย
เพื่อความปลอดภัย:
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : เมื่อเราต้องออกแบบฉากแอ็คชั่นในเรื่อง “Furiosa” และต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย เราเริ่มคิดถึงการใช้เทคโนโลยีโมชั่นแคปเจอร์ สิ่งที่เราพัฒนาขึ้นมาคือระบบที่ใช้ความเฉื่อยและชุดโมชั่นแคปเจอร์ ผสมกับการใช้ลวดสลิงขึ้นแบบเดียวกับที่เคยใช้ในเรื่อง “Fury Road” จากนั้นนำมารวมกัน ฉากแอ็คชั่นในเรื่อง in “Furiosa” เหมือนกับในเรื่อง “Fury Road” ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยอาศัยร่างกายและการเคลื่อนไหวของนักแสดงทุกคน แต่สิ่งที่เราทำได้คือการรวมฉากมอเตอร์ไซค์ชนกันรุนแรงเข้ากับโมชั่นแคปเจอร์ โดยพื้นฐานคือนักแสดงทุกคนและนักแสดงผาดโผนทุกคนต้องมีการขยับตัว ตอนนี้ที่เราต้องทำคือฉากรถชนกันเกิดขึ้นโดยนักแสดงสวมชุดโมชั่นแคปเจอร์และเราเก็บข้อมูลเอาไว้ ทุกคนมีร่างอวาตาร์ของตัวละครนั้น จากนั้นเราจะนำข้อมูลที่ได้จากการเคลื่อนไหวร่างกายไปสวมทับกับตัวละครของพวกเขา ทำให้เราได้ภาพนักแสดงผาดโผนที่อยู่บนถนนด้วยความเร็ว 50, 70 ไมล์ต่อชั่วโมง ขี่มอเตอร์ไซค์ชนกัน มีการกลิ้งหลายต่อหลายครั้ง… แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย มันมีความแตกต่างเยอะมากครับ
เพื่อความสมจริง:
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : ผมคิดว่าแรงดึงดูดที่สำคัญอย่างหนึ่งในเรื่อง Mad Max คือฉากไลฟ์แอ็คชั่นที่เน้นการเคลื่อนไหว สิ่งที่เราเห็นในโลกใบนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการตกมาจากรถบรรทุก ถูกชนในรถ กระโดดจากรถคันหนึ่งไปอีกคันหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เป็นภาพเคลื่อนไหวและตัวละครดิจิตอลเลย ทุกอย่างที่เราถ่ายทำในเรื่อง “Furiosa” ล้วนเกิดขึ้นจากนักแสดงผาดโผนตัวจริงมาแสดงจริง เราแค่ระวังเรื่องการรักษาความปลอดภัย แทนที่จะล้มบนถนนในฉากมอเตอร์ไซค์ชนที่ความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมง เราเลือกให้ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกันโดยใช้ระบบลวดสลิงที่มีความซับซ้อนระหว่างรถเครน 2 คัน หรือจะเป็นฉากที่ใช้เวทีขนาดใหญ่ เพื่อให้นักแสดงผาดโผนทำการแสดงและเราคอยเก็บภาพ มันก็ทำให้เราได้การแสดงที่ดูสมจริงเหมือนอยู่บนถนนที่ใช้ความเร็วสูงหรือบนทางรถมอเตอร์ไซค์
ฉากที่ 102:
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : ฉากที่แอบซ่อนไปอย่างไร้จุดหมายคือฉากแอ็คชั่นฉากใหญ่ในเรื่อง ตัวละครนำฟูริโอซ่าของเราได้พบกับ แพรทอเรี่ยน แจ็คครั้งแรก ฉากแอบซ่อนเป็นฉากที่ 102 มีความยาวถึง 15 นาทีโดยมี 197 ช็อตในฉากนั้น ใช้เวลาถ่ายทำเกือบ 9 เดือน เริ่มจากในประเทศ นิวเซาธ์เวลส์เมื่อเดือนมีนาคม บินไปที่ซิดนีย์ถ่ายทำในโรงถ่าย Fox Studios เดือนตุลาคม เราถ่ายทำกันตลอดช่วงเวลานั้นระหว่างถ่ายทำฉากอื่นไปด้วย มันคือฉากที่ยิ่งใหญ่มาก
การพัฒนาจากภาพจำลองก่อนการถ่ายทำที่ผ่านมา:
กาย นอร์ริส (ผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่น) : [ระบบ Proxy] Toybox คือเครื่องมือที่ใช้เรนเดอร์ได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เรามีอิสระในการทดลองและวางแผนสิ่งที่อยากทำ ในอดีตการที่เราจะลองทำอะไรและแบ่งปันไอเดียการสร้างเรื่องราวให้ใครสักคนได้คือสตรอรี่บอร์ด นั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง จากนั้นสตอรี่บอร์ดได้นำมาใช้ในผลงานแอนิเมชั่น มันช่วยในการทำงานได้ดีมาก จนกลายมาเป็นภาพจำลองที่เห็นได้ก่อนการถ่ายทำที่สตอรี่บอร์ดเหล่านั้นเป็นภาพเคลื่อนไหว และทุกคนยังคงใช้ระบบนั้นจนถึงวันนี้ ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นกับสตอรี่บอร์ดคือทุกคนจะมองต่างมุมและเข้าใจต่างกันไป และสตอรี่บอร์ดเหมือนการหยุดช่วงเวลานั้นไว้ด้วย เราเรียกมันขึ้นมาได้ทีละเฟรม แต่มันมี 24 เฟรมในทุกวินาที นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเฟรมนั้น ฉะนั้นมันจะได้จังหวะที่ลงตัวหรือเล่าเรื่องได้อย่างราบรื่นได้อย่างไร? มันไม่ยากเลยที่จะนึกภาพข้อดีในการนำมาใช้กับงานของเรา ขั้นตอนการออกแบบของเรา โดยมีจอร์จควบคุมเครื่องมือนั้นระหว่างเราทำการออกแบบที่ผมชอบเรียกว่าเหมือนละครเวที
ช่วงแรกเราออกแบบฉากแอ็คชั่นให้มีความเรียบง่าย ระหว่างการออกแบบเราก็คิดตลอดว่าจะเหมาะกับเนื้อเรื่องไหม นักแสดงหรือตัวละครต่างๆ จะแสดงได้ตามขั้นตอนการเล่าเรื่องราวไหม? เมื่อการออกแบบเสร็จเรียบร้อยทั้งหมด เราก็มาตัดสินใจว่าจะปกปิดอย่างไร ตอนนี้เราสามารถเห็นฉากที่ซ่อนไว้ได้แล้ว เช่น จากฉากทั่วไปที่เป็นกล้องมุมสูง เราสามารถกดปุ่ม “เริ่ม” และดูฉากแอ็คชั่นนี้ 15 นาทีที่มีความยาว 20 ไมล์แบบยังไม่ผ่านการตัดต่อได้เลย
เมื่อได้เนื้อเรื่องแล้วเรายังนำมาใช้เป็นเครื่องมือเล่าเรื่องราวร่วมกับจอร์จ เราสำรวจตัวละครต่างๆ และการโต้ตอบกันระหว่างพวกเขาตลอดเวลา เหมือนกับอีเวนท์ที่มีความยาว เช่น ละครเวทีหรือการแสดงฟุตบอล จากนั้นตัดสินใจว่าเราจะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างไรให้เหมือนอย่างที่จอร์จต้องการ นี่เป็นการพัฒนาครั้งใหญ่และเป็นเทคโนโลยีใหม่อันยิ่งใหญ่ที่เราใช้ตลอดการถ่ายทำ “Furiosa” ผมคิดว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนการเล่าเรื่องราวครั้งใหญ่ เราจะเข้าถึงเรื่องราวทั้งหมดอย่างไร? เราจะสำรวจสิ่งต่างๆ ในบรรยากาศที่ปลอดภัยอย่างไร? ครั้งแรกจะจัดการกับมันอย่างไร? ทุกอย่างเราทำในระบบพรอกซี่ Toybox system ที่ควบคุมโลกจริง เราแค่เอากล้องไปวางตรงที่เราสามารถวางกล้องได้จริง มันจะอิงจากความเร็วที่เราได้ตามพาหนะต่างๆ อิงจากการเคลื่อนไหวจริงของนักแสดงผาดโผน เราโชคดีที่เราทำแบบนั้นได้ในสภาพแวดล้อมของดิจิตอล 3 มิติทั้งหมดจนได้ไอเดียที่เราต้องการ ผมคิดว่ามันเป็นการเล่าเรื่องที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
การแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์:
ทอม โฮลเคนบอร์ก (ผู้ประพันธ์ดนตรี): ผมร่วมงานในเรื่อง “Fury Road” กับจอร์จ ขั้นตอนการทำงานทั้งหมดใช้เวลาเกือบ 2 ปี ค่อนข้างใช้เวลาจนเรากลายเป็นเพื่อนกันจริงๆ อีกหลายปีหลังจากนั้น การทำงานในเรื่อง “Furiosa” ไม่ค่อยเหมือนการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ทั่วไป เพราะหลายปีที่เราคุยกันถึงโปรเจ็กต์นี้ ความแตกต่างของเรื่องนี้ที่จะเกิดขึ้นและแนวดนตรีที่ควรจะเป็น ผมพูดได้เลยว่าความสำคัญของผลงานอยู่ที่การพูดคุยกันของเรา พวกเราต่างสนใจเรื่องหลักปรัชญาการทำงานร่วมงกัน บางครั้งเราคุยกันนานหลายชั่วโมงโดยไม่มีการถกเถียงกันเรื่องหนังเลย เราคุยกันไปเรื่อย เราได้พบกับความสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจในการทำงานร่วมกัน การประสานงานระหว่างกัน
การทำงานทั้งด้านภาพยนตร์และดนตรีต่างมีข้อจำกัด ในเรื่อง “Fury Road” มีความยิ่งใหญ่มาก มีความดุดัน เสียงดนตรีโดดเด่นและมีหลายระดับ แทบจะพบได้ตั้งแต่เริ่มเรื่องไปจนถึงตอนจบเลย ส่วนเรื่อง “Furiosa” ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เสียงดนตรีจะเหมือนองค์ประกอบ มีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ส่วนไหนที่เราอยากถ่ายทอดในฉากนั้นบ้าง? เราจะเว้นช่วงนานขนาดไหนก่อนจะมีเสียงดนตรีดังขึ้น? บทบาทของดนตรีเหมือนกับในเรื่อง “Fury Road” ที่เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวตัวรองของเรื่อง มันมีความหลากหลายและเพิ่มอารมณ์ได้มากขึ้น
มีเสียงดนตรีหรือไม่o?:
ทอม โฮลเคนบอร์ก (ผู้ประพันธ์ดนตรี): บางครั้งภาพรวมที่ได้ในเรื่องนี้เกิดจากความไม่ตั้งใจ และมักเกิดขึ้นกับเพลงประกอบเรื่อง “Fury Road” อย่างเพลงที่ 2 จากการคุยกันทั้งหมดที่เรามีร่วมกัน ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่การถ่ายทอดเรื่องราวและพัฒนาตัวละคร แต่เสียงดนตรีช่วยถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดอย่างมีคุณภาพขึ้นได้อย่างไรบ้าง มันไม่ใช่การเปิดเสียงดนตรีตลอดทั้งซ้ายและขวาเพราะกลัวว่าจะขาดเสียงดนตรี หนังเรื่องนี้มีความแกร่งในตัวมากพอจนไม่ต้องมีเสียงดนตรี การมีเสียงดนตรีช่วยเพิ่มอารมณ์ให้ภาพยนตร์ ผมสนิทกับผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์ ร็อบ แมคเคนซี่ พวกเราใส่ใจเรื่องเสียงกันทั้งคู่ เสียงดนตรีแบบไหนที่เหมาะสมและการออกแบบเสียงช่วยเพิ่มการตอบสนอง เรารวมไอเดียทั้งหมดไปนำเสนอจอร์จ เช่น บางครั้งมีความลงตัวในหนังด้วยการกดดัน แล้วค่อยอาศัยการเล่าเรื่องอย่างชัดเจนขึ้นเมื่อยามจำเป็น
ดนตรีประกอบอันเป็นเอกลักษณ์:
ทอม โฮลเคนบอร์ก (ผู้ประพันธ์ดนตรี): ความตั้งใจในเรื่อง “Fury Road” คือการสร้างดนตรีและเพลงจากสิ่งที่เคยตั้งใจเอาไว้แล้ว จากนั้นนำมาสร้างเสียงที่ต่างออกไป เช่น เครื่องดนตรีประเภทสายนำมาใช้เป็นเสียงเคาะ เพลงเมทัลเคยสร้างโดยใช้ซอฟต์แวร์จนมีโน้ตดนตรีออกมาจากเพลงนั้น สำหรับเรื่องนี้ยังคงคอนเซปต์นั้นไว้ แต่มีการเพิ่มบางอย่างที่ทำให้มีเอกลักษณ์มากขึ้น
อย่างแรกเลยคือมีการใช้เครื่องดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญในเพลงประกอบเยอะมาก ชนิดแรกคือดูดุค [เครื่องดนตรีทำจากไม้อาร์เมเนียนประเภทเป่า] ที่ได้ยินเวลาที่มีการพูดถึงดินแดนอันเขียวชอุ่ม มันมีบทบาทสำคัญในเพลงนี้มาก มันเป็นโทนเสียงที่สูงแต่อ่อนโยนอย่างน่าทึ่งจนทำเราหลงใหล สัมผัสความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง นักแสดงหลักจะเกิดความรู้สึกมากขึ้นจากเพลงบรรเลงนี้โดยไม่ต้องเพิ่มเติมอะไร อย่างที่สองคือดิดเกอริดู [เครื่องดนตรีชนิดเป่าของชาวออสเตรเลียนแต่ดั้งเดิม] มีความสำคัญมากในเพลงประกอบเช่นกัน เพราะมันสร้างเสียงที่มีความเป็นออสเตรเลียน และเห็นภาพได้ชัดเจนว่าหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ออสเตรเลีย ทั้งดูดุคและดิดเกอริดูต่างทำหน้าที่สงความรู้สึกถึงบ้านเกิดอย่างดินแดนอันเขียวชอุ่ม ที่ฟูริโอซ่าเคยอาศัยอยู่ และเมื่อเธอต้องเดินทางจากมาไกล เธอนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ได้จากเสียงเหล่านี้ แต่ตามเรื่องราวในเรื่องทำให้เธอต้องเดินทางจากดินแดนอันเขียวชอุ่มไปอีกไกลแสนไกล เธอสามารถรักษาสัญญานั้นเอาไว้ได้ ดูดุคและดิดเกอริดูดังตามแรงลม พอเสียงจากอุปกรณ์ไฟฟ้าดังมากขึ้น เสียงนั้นก็เริ่มจางหายไป
เสียงอื่นที่เราสร้างขึ้นด้วยอุปกรณ์ปรับผสมเสียงที่เรียกว่า Buchla เทียบกับ Moog จะให้เสียงที่ต่างออกไปและความรู้สึกที่ได้ยินก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมมีอันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเราต้องใช้เวลารระบบเพราะมันสั่งทำเท่านั้น พอผมชำนาญกับระบบก็มีการพูดคุยกับจอร์จ ผมบอกเขาว่า “สิ่งนี้ทำให้เกิดเสียงที่มีเอกลักษณ์มาก เป็นการสร้างจังหวะ ท่วงทำนอง บรรยากาศของเสียงได้แปลกตามใจเราต้องการเลย มันสามารถคืนคุณภาพเสียงต้นฉบับเดิมที่เราบันทึกเอาไว้ได้ด้วย เช่น เสียงออร์เคสตร้าเครื่องสาย หรือในเรื่องนี้คือเสียงของดิดเกอริดูและดูดุค มันทำให้ผมได้ทดลองมันอย่างจริงจังด้วย” เครื่องดนตรีนี้เลยกลายเป็นหัวใจสำคัญของเพลงประกอบไปเลยครับ
และส่วนใหญ่เสียงที่ผมสร้างขึ้นมาสำรหับฟูริโอซ่าด้วยระบบนี้จะออกแนวรุนแรงมาก เราได้ยินเสียงนี้ตอนช่วงเริ่มเรื่อง ผมอยากให้ทุกคนได้ยินแล้วทำท่า “สิ่งที่จะเกิดขึ้นสังเกตได้จากเสียงนั้นผ่านชื่อของเธอ?” และผมใช้ระบบนั้นสร้างธีมของฟูริโอซ่าขึ้นมาด้วยครับ มันเหมือนกับจังหวะเรียบง่ายที่วนไปมา มันมีการปรับเปลี่ยนในตัวละครและความเร็วด้วย เวลาที่เธออยู่ในสถานการณ์ที่กลัว อย่างตอนที่ถูกลักพาตัวไปในวัยเด็ก จะเป็นจังหวะเสียงที่เหมือนการกระพือปีกถูกขัดจังหวะและเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง คล้ายกับจังหวะการเต้นของหัวใจ เวลาที่เธอรู้สึกสบายใจจังหวะจะช้าและมั่นคง ระหว่างช่วงการต่อสู้จังหวะจะเร็วขึ้นพร้อมความคาดเดาไม่ได้ เพื่อเน้นย้ำความคาดเดาสิ่งที่อาจเกิดขึ้นไม่ได้ เสียงดนตรีต้องสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นได้เหมือนซาวด์เอ็ฟเฟ็กต์หรือบทพูด ผมเลยรู้สึกว่าการทำงานร่วมกับจอร์จคือการสร้างธีมเพลงที่เรียบง่ายที่สุด แค่ปรับให้ลงจังหวะ ไม่ต้องใช้เมโลดี้ ไม่ต้องมีการประสานเสียง เป็นแค่จังหวะธรรมดา มันได้ผลกับในหนังมาก และมันช่วยสร้างความลงตัวเข้ากับเพลงประกอบภาพยนตร์ได้อย่างมีเอกลักษณ์มาก
ขั้นตอนการทำงาน:
โรเบิร์ต แมคเคนซี่ (ผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์): จอร์จเป็นคนที่มีความพิเศษมาก เราเริ่มจากการคุยกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะทิศทางต่อความรู้สึกของเพลงประกอบภาพยนตร์โดยรวม การทำงานร่วมกับจอร์จเหมือนการออกไปสำรวจและการทดลอง ผมจะทำอะไรสักอย่างและเขาให้การตอบรับกลับมา จากนั้นเราจะใส่ไอเดียอื่นลงไปเดีย เหมือนการสำรวจเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวออกมา แต่ในบทภาพยนตร์เขาจะมีโน้ตดนตรีที่มีความพิเศษมาก และทุกคนจะอยู่ตรงนั้นเพื่อใช้เสียงดนตรีเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวร่วมกัน
ความแปลกของเสียง:
โรเบิร์ต แมคเคนซี่ (ผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์): ที่ดินแดนรกร้างว่างเปล่า มันมีแต่การหาเจอและสร้างขึ้นมา พาหนะทุกคันในเรื่องต้องมีคุณสมบัตินั้น พวกเขานำมาประกอบกันจากชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่พาหนะที่มีเสียงตามการผลิตขึ้นมาจากโรงงานแน่นอน ทุกคันผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษและมีคุณสมบัตินั้น ใช้เชื้อเพลิงธรรมดาไม่ได้ นั่นคือตัวอย่างพาหนะในเรื่องตามคุณภาพของดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า พาหนะที่ใช้ในเรื่อง Mad Max จะสะท้อนถึงตัวละครที่ขับขี่คันนั้น และส่วนใหญ่เป็นผลงานของโคลิน กิ๊บสัน ลักษณะการปรับแต่งเครื่องและผลิตขึ้นในฉากจะมีความพิเศษ แค่เสียงเครื่องยนต์ก็จะเสียงชัดเจน เป็นพาหนะของจริงที่มีเสียงเครื่องยนต์จริง
จากทั้งหมดทำให้เราพบความโดดเด่น ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดขึ้นวันนี้ จอร์จจะให้คำแนะนำกับเราว่าอยากให้มีการปรับเปลี่ยนในทิศทางใดบ้าง? เช่น มีการบันทึกเสียงมอเตอร์ไซค์ใหม่หลายรอบ เพื่อให้แตกต่างจากเสียงรถมอเตอร์ไซค์พังและรถอีกหลายพันคัน มีความตื่นเต้นในการบันทึกเสียงรถบรรทุกคันใหญ่ยักษ์ วอร์ริกต้องมี 2 เครื่องยนต์ เครื่องยนต์หลักกับเครื่องยนต์รองที่เป็นเทอร์โบบูสต์ เราต้องบันทึกเสียงทั้งคู่ และบางครั้งเราต้องอาศัยเสียงรถของจริง จากนั้นแทรกเสียงที่แต่งขึ้นมาลงไปด้วย ทั้งพวกเสียงสัตว์ เสียงฟ้าร้อง หรือเสียงอะไรก็ตามที่เราจะนึกอก องค์ประกอบอื่นที่จะนำมาใช้ปรับเสียง เพื่อเกิดการพัฒนาขึ้น มีเสียงสัตว์คำราม เพื่อนำมาใช้ในฉากที่มนุษย์ต้องทำเสียงเหมือนสิงโตหรือเสือ เรานำมาผสมเสียงใส่เข้าไปในวอร์ริก
เสียงของเม็ดทราย:
โรเบิร์ต แมคเคนซี่ (ผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์): มีสภาพแวดล้อมหลายรูปแบบที่เราอยากนำเสนอในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า โดยเฉพาะพายุทะเลทราย เราเข้าไปในโกดังและบันทึกเสียงทรายกระทบกับวัตถุหลากชนิด เราเริ่มจากทรายระเบิดท่ามกลางทรายที่พัดรุนแรง จากนั้นเปลี่ยนไปใช้พวกควินัว เมล็ดข้าว เมล็ดกาแฟ ธัญพืชที่น้ำกว่าเดิม และโปรยไปตามวัตถุที่เป็นโลหะ แก้ว และสิ่งต่างๆ เสียงของพายุทะเลทรายคือเสียงทรายที่กระแทกที่กันลม ฝาครอบเครื่องจักร ด้านข้างรถ ล้วนสร้างมาจากเสียงเหล่านั้นทั้งหมด
เสียงของความเป็นสีเขียว:
โรเบิร์ต แมคเคนซี่ (ผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์): ผึ้งมีความสำคัญในเรื่อง “Furiosa” มาก ภาพยนตร์เปิดตัวด้วยภาพฟูริโอซ่าอยู่ที่ต้นพีซโดยมีผึ้งรายล้อม ผมจับผึ้งพวกนั้นมาแล้วเอามาหมุน นั่นคือความรู้สึกของฟูริโอซ่า ผมต้องสร้างเสือกผึ้งบินรอบตัวและทำให้ดูเป็นเสียงธรรมชาติ ซึ่งเป็นความรู้สึกของฟูริโอซ่า มันเป็นเสียงที่สะท้อนรายละเอียดของอารมณ์ และเสียงนั้นก็ได้ยินตลอดทั้งเรื่องเมื่อตัวละครของเธอมีการพัฒนา กฎข้อหนึ่งของดินแดนอันรกร้างว่างเปล่าคือต้องเห็นข้าวของชัดเจน และมันต้องเอามาปรับใช้ได้ ผมเดาว่านั่นเหมือนกับเสียงของเรา เรามีเสียงจริงแต่เราก็นำมาปรับใช้ให้เป็นเสียงสะท้อนอารมณ์ สื่อถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในฉากนั้น อารมณ์ของฉากนั้น
การเก็บรายละเอียดบทสนทนา:
โรเบิร์ต แมคเคนซี่ (ผู้ควบคุมการตัดต่อซาวด์): ในเรื่อง “Furiosa” มีบทพูดเยอะมาก และเรามีการบันทึกเสียงในฉากกันเอาไว้เยอะ เราไม่มีการใช้เสียงแทนด้วย ADR เรารักษาเสียงต้นฉบับเอาไว้ให้ได้มากที่สุด จอร์จร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ควบคุมด้านบทสนทนา เพื่อความแน่ใจว่าทุกประโยคออกมาอย่างเหมาะสมที่สุด สำหรับการตัดต่อจอร์จและผู้ควบคุมจะเลือกบทสนทนาจากเทคอื่น และนำมาใส่ในการแสดงที่เห็นบนหน้าจอตอนท้าย บรรยากาศในฉากจะได้ยินเสียงแบบไหน แต่อาจมีการผสมกับเทคอื่นได้อีก
รายละเอียดการถ่ายทำ / ตัวเลขต่างๆ
การถ่ายทำภาพยนตร์
กองถ่ายหลักของภาพยนตร์เรื่อง “Furiosa: A Mad Max Saga” เริ่มถ่ายทำวันที่ 30 พฤษภาคม 2022 กองถ่ายรองและฉากแอ็คชั่นเริ่มถ่ายทำหลายอาทิตย์ก่อนหน้านั้น วันที่ 8 เมษายน การถ่ายภาพยนตร์ปิดกล้องวันที่ 3 พฤศจิกายน วันถ่ายทำรวมทั้ง 2 กองคือ 240 วัน ( กองถ่ายรอง/ฉากแอ็คชั่น 131 วัน กองถ่ายหลัก 109 วัน)
กองถ่ายใช้เวลาถ่ายทำ 156 วันในสถานที่จริงและอีก 84 วันในสตูดิโอ รวมถึงสถานที่ต่างๆ ในออสเตรเลีย เช่น Terrey Hills, Hay, Kurnell และเมืองแห่งการทำเหมืองในประเทศ โบรคเก้น ฮิลล์ ซึ่งช่วยพัฒนา “ภาพรวม” ของดินแดนอันรกร้างว่างเปล่าใน Mad Max (สถานที่หลักในเรื่อง “Mad Max 2: The Road Warrior”)
การถ่ายทำเรื่อง “Furiosa: A Mad Max Saga” ต้องอาศัยการร่วมงานกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนระหว่าง Panavision, ARRI และ RED ซึ่งเป็น 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มาอำนวยความสะดวกการถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงการร่วมงานกับอีกหลายบริษัทตั้งแต่ประเทศออสเตรเลียและทั่วโลก แพคเกจของกล้องสร้างขึ้นโดยระบบ ARRI Alexa 65 แต่ยังรวมกล้อง ARRI Alexa LF, RED V-Raptor, RED Komodo และ GoPro ด้วย
ผู้กำกับภาพกองหลัก ไซมอน ดักแกน และผู้ควบคุมการถ่ายทำกองย่อย ปีเตอร์ แมคแคฟฟรีย์ ร่วมงานกันมานานก่อนเริ่มการถ่ายทำ มีทั้งการรวมทีมงานที่จะมาร่วมงานกันในเรื่อง การพูดคุยเรื่องพลาธิการทางทหารเริ่มช่วงก่อนการถ่ายทำ “Three Thousand Years of Longing” เมื่อปี 2020 เป็นการทำงานร่วมกันที่จำเป็นสำหรับการใช้กล้องที่มีความซับซ้อน เพื่อสร้างภาพในจินตนาการของจอร์จ มิลเลอร์ให้มีความสมจริง
แผนกกล้องรวมผู้ชำนาญด้านกล้องฟูลไทม์ 35 คนทั้ง 2 กอง มีการใช้รถบรรทุกกล้อง 10 คัน รถขนอุปกรณ์ 8 คัน รถตู้ 2 คัน และรถบัส DIT อีก 2 คันเพื่อขนย้ายชิ้นส่วนของกล้อง
ARRI ผลิตเลนส์พิเศษ 2 ชนิดเพื่อภาพยนตร์ มีทั้ง 25 มม. DNA Primes เลนส์ที่กว้างที่สุดในระยะนั้นสำหรับระบบ ARRI Alexa 65 มีการมาร์คซีเรียลนัมเบอร์ #1 และ #2 และสลักคำว่า “Mad Max” และ “Furiosa”
การเตรียมพร้อมสำหรับฉาก Stowaway เริ่มช่วงปลายปี 2021 ทีมงานเริ่มถ่ายทำฉากต่างๆ ร่วมกับผู้ออกแบบฉากแอ็คชัน กาย นอร์ริส มีการใช้ RED Komodo และระบบจำลองภาพ Toybox VFX ของนอร์ริสทั้งภายในและรอบวอร์ริกที่ KMM สวน Melrose Park มีการซ้อมและทดสอบฉากการแสดงผาดโผนเริ่มเดือนมกราคม 2022 ในเดือนกุมภาพันธ์มีการเตรียมอุปกรณ์กล้องที่ Panavision Sydney พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่พร้อมเคลื่อนย้าไปที่ Hay ในเดือนมีนาคม
กองถ่ายย่อยเริ่มถ่ายทำจากฉากแอ็คชั่น Stowaway to Nowhere ซึ่งต้องติดตั้งกล้องบนรถที่จะมีการเคลื่อนที่ขึ้นลงต่อเนื่องบนถนนยาว 4 กิโลเมตร ในฉากนั้นอยู่ไกลในเขตชนบทนิวเซาธ์เวลส์ของ Hay โชคร้ายที่ไมมีโทรศัพท์ให้บริการเลย ตอนนั้นมิลเลอร์อยู่ที่เมืองคานส์เสนอเรื่อง “Three Thousand Years of Longing” แต่เขาคุยกับกาย นอร์ริสผ่านโทรศัพท์ดาวเทียม และเห็นฟุตเทจในเวลาจริงผ่านการส่งข้อมูลผ่านดาวเทียม ผู้กำกับฯ จะดูและบอกให้ปรับเปลี่ยนได้ในตอนนั้นเลย ระหว่างที่มีการส่งรถกลับมาที่ด้านบนของฉาก.. จากนั้นเริ่มถ่ายฉากนั้นอีกครั้งโดยไม่มีการหยุด
หลายฉากที่มีการเคลื่อนที่ถ่ายทำโดยการใช้แขน Edge (ระบบกันสั่นสะเทือนที่ติดบนเครนด้านบนรถ) ทุกเช้าทีมติดตั้ง Edge จะขับรถมาที่เทรลเลอร์ของนอร์ริส และหมุนกล้องเข้าไปในหน้าต่างของเขา เพื่อให้เขารู้ว่าพร้อมออกเดินทางแล้ว จากนั้นจะพาเขาไปที่ฉาก
เหล่ามนุษย์
นักแสดงสมทบเกือบ 200 คนต้องมาอยู่ในฉากก่อจลาจลที่แก๊สทาวน์ รวมถึงฉากที่ซิทาเดลเมื่อเป็นไปตามกฎของดีเมนทุส ฉากบุลเล็ตฟาร์มที่ฟูริโอซ่ากับแพรทอเรี่ยนแจ็คต้องแลกของกันใช้นักแสดงสมทบ 149 คน นักแสดงสมทบอีก 100 คนอยู่ที่ซิทาเดลอีกฉากตอนที่ฟูริโอซ่าเดินทางกลับ และอีก 92 คนใช้ในฉากโรงรถซิทาเดลตอนที่ฟูริโอซ่าเห็นแพรทอเรี่ยน แจ็คครั้งแรก
กองทัพช่างแต่งหน้าภายใต้การดูแลของผู้ออกแบบทรงผมและการแต่งหน้า เลสลีย์ แวนเดอร์วอลต์ มารวมตัวกันเพื่อทำให้นักแสดงทุกคนได้ลุคที่เหมาะสำหรับดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า ทีมแต่งหน้า/ทำผมหลักมีสมาชิก 16 คน บวกด้วยทีมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ผู้ชำนาญอีก 13 คน โดยมี 8 คนอยู่ที่กองถ่ายย่อย/แอ็คชั่น อีก 6 คนดูแลโดยส่วนตัว และอีก 6 คนดูแลในห้องทีมงาน สำหรับวันถ่ายทำที่ยาวนานที่สุดมีทีมงานอีก 40 คนเข้ามาร่วมงานด้วย
HMU were charged with designing 105 specific characters—on their largest day, they dealt with 280 extras and 61 stunties.
HMU ได้รับการดูแลโดยมีการออกแบบ 105 แบบที่มีความเฉพาะตัว วันที่ยาวนานที่สุดต้องใช้นักแสดงสมทบ 280 คนและนักแสดงผาดโผน 61 คน
พาหนะต่างๆ
ในเรื่อง “Furiosa: A Mad Max Saga” มีการใช้รถทั้งหมด 145 คัน รวมถึงรถของฮีโร่ในเรื่อง 35 คัน (รวมวอร์ริก 2 คัน รถ 6 ฟุตของดีเมนทุส รถแครงกี้ แบล็คของฟูริโอซ่า และ Valiant ของฟูริโอซ่ากับแพรทอเรี่ยน แจ็ค) และรถมอเตอร์ไซค์ของฮีโร่อีก 110 คัน (รวมรถม้าของดีเมนทุสและมอเตอร์ไซค์จำนวนมากที่ขับขี่โดยนายตำรวจและผู้อาศัยในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า)
ในเรื่อง “Furiosa: A Mad Max Saga” จอร์จ มิลเลอร์กล่าวว่า “พาหนะต่างๆ สะท้อนถึงตัวละคร”
วอร์ริก (ขับโดย แพรทอเรี่ยน แจ็ค)
- ดัดแปลงจากรถบรรทุกแค็บ 900 ซีรีส์ Kenworth ด้านนอกเป็นสแตนเลสสตีลและโครเมียม ตกแต่งตามตำนานของอิมมอร์ตั้นโจ มีความกว้าง งดงาม และไร้ที่ติกว่าวอร์ริกของอิมมอร์ตั้นโจในช่วงหลังอย่างที่เห็นในเรื่อง “Fury Road”
o แรงม้า: 460 kW (กิโลวัตส์) @ 1,800 RPM (รอบต่อนาที)
o รอบหมุน: 2,780 Nm (นิวตันเมตร) @ 1,200 RPM
รถม้าของดีเมนทุส
- รถมอเตอร์ไซค์ตรงกลางสร้างจาก Rotec 7 กระบอกสูบ R2800 เครื่องยนต์ของเครื่องบินอยู่ด้านข้าง
o แรงม้า: 89 กิโลวัตส์ @ 2,450 รอบต่อนาที
o รอบหมุน: 217 นิวตันเมตร @ 1,200 รอบต่อนาที
- “ม้า” แต่ละด้านคือ BMW R18s 1 คู่
o แรงม้า: 59 กิโลวัตส์ @ 4,500 รอบต่อนาที
o รอบหมุน: 148 นิวตันเมตร @ 3,000 รอบต่อนาที
วาเลนต์ (ขับโดย ฟูริโอซ่าและแพรทอเรี่ยน แจ็ค)
- นี่คือรถที่อันยา เทย์เลอร์-จอยฝึกซ้อมครั้งแรก เป็นรถที่ฟูริโอซ่าแชร์กับแพรทอเรี่ยนแจ็ค
- ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ Slant 6 และผู้ออกแบบฉาก โคลิน กิ๊บสัน กล่าวว่า “มันได้รับการพัฒนาอย่างดีและเป็นรถซูเปอร์เทอร์โบ”
o แรงม้า: 108 กิโลวัตส์ @ 4,000 รอบต่อนาที
o รอบหมุน: 291 นิวตันเมตร @ 2,400 รอบต่อนาที
รถ 6 ฟุต (ขับโดย ดีเมนทุส)
- เมื่อดีเมนทุสมีอำนาจมากขึ้นและเข้าถึงน้ำมันและพลังงานเยอะขึ้น เขาเปลี่ยนเป็น “รถบรรทุกสัตว์ประหลาดสุดคลั่ง” 6 ล้อที่ผสมกับรถบรรทุกพ่วง มีการติดตั้งระบบแกนเฉื่อยที่ทำให้ระหว่างที่รถรับน้ำหนักเยอะ สามารถปรับเป็นออฟโร้ดได้อย่างที่คนขับต้องการ
- ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ 454 Chevrolet ขนาดใหญ่ที่ทำให้ดีเมนทุสมีพลังในการดึงและลากอะไรก็ได้เมื่อเขาอยู่ในดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า
o แรงม้า: 750 กิโลวัตส์ @ 6,500 รอบต่อนาที
o รอบหมุน: 1,356 นิวตันเมตร @ 5,000 รอบต่อนาที
แครงกี้ แบล็ค (ขับโดยฟูริโอซ่า)
- ฟูริโอซ่าได้รถคันนี้จากลูกชายคนหนึ่งของอิมมอร์ตั้นโจ
- ระหว่างช่วงการออกแบบไปครึ่งทาง มิลเลอร์อยากให้แครงกี้ แบล็คขับขึ้นไปบนทะเลทรายได้ เครื่องยนต์ด้านหน้าจึงต้องย้ายมาไว้ด้านหลัง
- แครงกี้ แบล็คมีใบมีดและเครื่องยนต์ด้านหลังเทอร์โบ V8
o แรงม้า: 171 กิโลวัตส์ @ 5,200 รอบต่อนาที
o รอบหมุน: 375 นิวตันเมตร @ 3,000 รอบต่อนาที
ตัวเลขต่างๆ
37°C/98.6F: อุณหภูมิวันที่ร้อนที่สุดในการถ่ายทำภาพยนตร์ (สถานที่ใน Hay)
32: กล้องที่ใช้ทั้ง 2 กอง (พร้อมด้วยลวดขึงพิเศษที่ต้องอีก 6 แบบสำหรับกล้องแต่ละตัว)
41: นักแสดงผาดโผนแทนในเรื่อง
37: เลนส์ต่างๆ ที่ใช้โดยแผนกกล้อง
87: จำนวนวิกผมที่ผลิตขึ้นมา มีการนำมาใช้ใหม่หรือเช่า
4: นักแสดงผาดโผนแทนในบทฟูริโอซ่า
3: นักขับรถฟูลไทม์ที่มีความแม่นยำสูงพร้อมแผนกกล้อง
5,500: แผ่นแทททูที่ใช้สร้างลายแทททูให้นักแสดง
4: เมืองที่เป็นตัวแทนนักแสดงผาดโผน (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกาใต้ สหรัฐอเมริกา)
120: จำนวนลิตรของดินที่ใช้แต่งหน้าให้วอร์บอย
83: อายุนักแสดงผาดโผนที่มากที่สุด
18: อายุนักแสดงผาดโผนที่น้อยที่สุด
60: จำนวนลิตรของดินที่ใช้แต่งหน้าให้คนยากจน
26: จำนวนนักแสดงผาดโผนวอร์บอยที่ใช้มากที่สุดใน 1 วัน
35: จำนวนชุดฟันที่ผลิตขึ้นเพื่อนักแสดง