ตัวอย่างภาพยนตร์ซับไทย

ประเภท สยองขวัญ

กำหนดฉาย 20 มิถุนายน 2024

บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์

โปรดิวเซอร์ เควิน วิลเลียมสัน (แฟรนไชส์ Scream, Dawson’s Creek)

กำกับ โจชัวร์ จอห์น มิลเลอร์ (Final Girl)

เขียนบท เอ็ม.เอ. ฟอร์ติน (Final Girl)

แสดงนำ รัสเซลล์ โครว์ (Gladiator, Unhinged)

ไรอัน ซิมป์กินส์ (Brigsby Bear,  Fear Street: Part Two 1978)

เรื่องย่อ

The Exorcism เป็นหนังซ้อนหนังที่นำแสดงโดยเจ้าของรางวัลออสการ์ รัสเซลล์ โครว์ ในบท แอนโธนี มิลเลอร์ นักแสดงหนุ่มใหญ่ที่เคยรุ่งเรือง เขาเห็นโอกาสได้กลับมาดังอีกครั้งด้วยการรับบทนำเป็นบาทหลวงในภาพยนตร์สยองขวัญว่าด้วยการไล่ผี เมื่อเกิดเหตุการณ์สยองขึ้น “บทส้มหล่น” ของเขากลายเป็นฝันร้าย เมื่อผู้กำกับ (อดัม โกลด์เบิร์ก) ต้องการความสมจริงขั้นสุด ปั่นหัวนักแสดงตกอับผู้นี้ กลั่นแกล้งให้อับอายคนในกอง บีบจนแอนโธนีต้องกลับไปหาด้านมืดของเขาอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตเขาถอยหลังลงคลองแต่แรก ลูกสาวที่ห่างเหินของแอนโธนี (ไรอัน ซิมป์กินส์) หันไปพึ่งบาทหลวงที่ปรึกษาประจำกองถ่าย (เดวิด ไฮด์ เพียร์ซ) เพื่อขอความช่วยเหลือ ความกดดันจากการทำงานทำให้แอนโธนีกลับไปใช้ยาเสพติด หรือมีสิ่งที่น่ากลัวว่านั้นเป็นต้นเหตุ?

แถลงการณ์โดยทีมงาน

เอ็ม.เอ. ฟอร์ติน (นักเขียนบท) และ โจชัวร์ จอห์น มิลเลอร์ (เขียนบท-ผู้กำกับ)

 

ที่มาของหนังเรื่องนี้เริ่มจากชีวิตวัยเด็กของจอชที่ใช้ไปกับการดูพ่อของเขา เจสัน มิลเลอร์ ที่รับบทหลวงพ่อคาร์ราส ที่สละตัวเองด้วยการกระโจนออกนอกหน้าต่างในฉากไคลแม็กซ์ของ The Exorcist ถ้าแค่นั้นยังหลอนไม่พอ เจสันเล่าให้จอชฟังหมดเปลือกว่าการถ่ายทำหนังเรื่องนั้นมัน “เฮี้ยน” ขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นเหตุอัคคีภัยปริศนาที่เกิดขึ้นตลอดการถ่ายทำ, การตายแปลกๆ, บาดเจ็บสาหัสจนส่งผลไปตลอดชีวิต นี่เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น ในวิดีโอเบื้องหลังหลายตัว พ่อของจอชเล่าให้ฟังว่าจู่ๆ ก็โดนบาทหลวงทักระหว่างเดินบนถนนว่า “เมื่อเราเผยโฉมหน้าปีศาจ มันจะจ้องเอาคืนให้สาสม” วันนั้นเจสันไม่มีคิวถ่ายด้วยซ้ำ เขาไม่ใช่ดาราดังที่คนคุ้นหน้า” เหตุการณ์นี้ทำเขาขนหัวลุกไปนาน จนตำนาน “หนังต้องคำสาป” ของ The Exorcist กลายเป็นที่กล่าวขาน

ตั้งแต่เราเริ่มเขียนบทเรื่องนี้ในปี 2019  มันเกิดอะไรขึ้นเยอะมากจนคำสาปดั่งกล่าวมันดูไม่น่ากลัวเหมือนเคย ความระยำตำบอนหลายรูปแบบเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา มันบีบให้คนเราเผยด้านมืดออกมา  พร้อมสาดอารมณ์ใส่กันโดยไม่มีการยั้งคิด พวกเราทุกคนล้วนได้รับผลกระทบ 

ในฐานะคู่รักร่วมเพศ การได้เห็นผู้ศรัทธาคริสต์ศาสนาโจมตีกลุ่ม LGBTQ และผู้หญิงนั้นชวนหดหู่ใจอย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจก็ตาม ขณะที่คนส่วนใหญ่มองว่าคริสตจักรเป็นที่พึ่งทางใจ แต่หลายครั้งมันสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้าย ตีตราผู้บริสุทธิ์ ซึ่งก็คล้ายกับวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ตอนแรกที่เราเริ่มเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ มีการเปิดโปงเรื่องฉาวในทั้งสองวงการ  ภาพยนตร์เรื่อง The Exorcism ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งนี้

ใน The Exorcist เราต้องการยกเครื่องสูตรหนังสยองขวัญผีสิงใหม่ (ฮีโร่ชายช่วยผู้หญิงถูกผีสิงเพราะเธออ่อนแอเกินกว่าจะช่วยตัวเองได้) ให้เข้ากับโลกยุคนี้ที่เท่าเทียมกันทุกเพศ

ที่มา

โปรดิวเซอร์ เควิน วิลเลียมสัน (แฟรนไชส์ Scream, Dawson’s Creek) ร่วมทีมกับโจชัวร์ จอห์น มิลเลอร์ และ เอ็ม.เอ. ฟอร์ติน ผู้กำกับและนักเขียนบทของ The Exorcism เมื่อพวกเขามองหาโปรเจ็กต์ใหม่หลังจากเสร็จสิ้นกับ  The Final Girls เมื่อปี 2015 “ตอนนั้น” วิลเลียมสันกล่าว “ผมเสนอให้ทำหนังสยองขวัญผีสิง” วิลเลียมสันรู้ว่ามิลเลอร์ผูกพันกับภาพยนตร์ The Exorcist เพราะพ่อของมิลเลอร์ เจสัน มิลเลอร์ รับบท บาทหลวงคาร์ราส ในเรื่องนั้น”

ตอนแรกมิลเลอร์ปฏิเสธ “ตอนแรกมาร์กและผมอยากต่อยอด The Final Girls ซึ่งนั่นเหมือนเป็นจดหมายรักถึงแม่ของผม ซูซาน เบอร์นาร์ด เธอเคยตัวแม่ของวงการสยองขวัญเลย มันยังแอบคารวะพ่อของผมด้วย” มิลเลอร์กล่าว “แต่เมื่อเควินเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการถูกผีสิง มันไม่น่าสนใจเท่าไหร่สำหรับเรา แต่ในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี มาร์กและผมเริ่มตระหนักได้ว่าเรื่องราวของผู้ชายที่ถูกสิงจนเสียสติยังไม่ค่อยถูกสป็อตไลต์ส่องถึงเท่าไหร่” ฟอร์ตินที่เขียนบทร่วมกับมิลเลอร์ กล่าวเสริม “หนังสยองขวัญผีสิงส่วนใหญ่ดำเนินตามสูตร เราถึงไม่ได้ให้ความสำคัญกันมันในตอนแรก จนกระทั่งเราเริ่มคิดวิธีการฉีกกรอบจำเจเดิมของหนังแนวที่เต็มไปด้วยการเหยียดเพศ เราจึงรู้ว่าเราสามารมอบผลงานที่โฟกัสตัวละครมากกว่าเดิม” มิลเลอร์สรุป “ผมอยากให้หนังเรื่องนี้มีบรรยากาศชวนหลอนและอึดอัดมากกว่าแค่หลอกคนดูด้วยจังหวะตุ้งแช่

 

รวมทีมมอบความสยอง

ส่วนสำคัญของ The Exorcism คือการเป็นหนังซ้อนหนัง กองถ่ายอยู่ในสตูดิโอที่จัดฉากเป็นกองถ่ายอีกที “เราอยากให้ฉากกองถ่ายสมจริง เราใช้ช็อตที่จะมอบความรู้สึกเหมือนพาผู้ชมไปอยู่กลางกองถ่าย” มิลเลอร์กล่าว “ความตั้งใจของเราคือการให้กองถ่ายเป็นพื้นที่ซึ่งมีความเหนือจริง เราได้แรงบันดาลใจจากผลงานของช่างภาพอย่าง เกรกอรี ครูวด์สัน และ ฟิลลิป ลอร์กา เอ็ม.เอ.ฟอร์ตินที่ร่วมเขียนบทได้ดูผลงานก่อนหน้าของนักออกแบบงานสร้าง ไมเคิล เพอร์รี เรื่อง Under the Silver Lake และ It Follows ภาพยนตร์สยองขวัญที่มีองค์ประกอบของความเป็นปริศนาทั้งสองเรื่อง “งานของไมเคิลเต็มไปด้วยรายละเอียด จอชกับผมประทับใจวิสัยทัศน์ของเขาทันที” ฟอร์ตินกล่าว ผู้ชมอาจผ่านตาผลงานของเพอร์รีมาแล้วอย่าง

 Promising Young Woman เพอร์รีกล่าว “สิ่งที่ทำให้ผมสนใจที่สุดในบทหนังเรื่องนี้คือการที่เรื่องเกิดในกลางกองถ่าย ผมไม่ค่อยได้ออกแบบอะไรแบบนี้ ผมเลยคว้าโอกาสนี้ไว้ทันที” เพอร์รีกล่าวต่อ “การถ่ายทำในสถานที่จริงผมต้องปรับตัวตามสถานที่นั้นๆ แต่การถ่ายทำในสตูดิโอมอบอิสระให้นักออกแบบมากกว่า”

เพอร์รียังรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าหนังสยองขวัญทั่วไป “ผมมองหนังสยองขวัญไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะทุกวันนี้มีแต่ความฉาบฉวย” สำหรับ The Exorcism เพอร์รีใช้ Long Day’s Journey into Night ผลงานคลาสสิก โดย ยูจีน โอนีล เกี่ยวกับการเสพติด ชื่อเสียง และสายสัมพันธ์ของครอบครัว เป็นอ้างอิง เพอร์รีอธิบาย “เรื่องมันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกสาว ขณะที่ต้องรับมือกับชื่อเสียงที่ถดถอย การที่เขาติดสิ่งเสพติดช่วยเสริมมิติให้เรื่องราวมากขึ้น

เพอร์รียังย้อนกลับไปดู The Exorcist ฉบับดั้งเดิมโดม เพอร์รีรู้จัก โอเวน รอยซ์แมน ผู้กำกับภาพของเรื่องนั้นเป็นการส่วนตัว เขาบรรยายขั้นตอนหาข้อมูล “ผมวิเคราะห์แต่ละช็อตของ The Exorcist อย่างละเอียด” เพอร์รีกล่าว สำหรับ The Exorcism ผมไม่ได้ออกแบบโดยคำนึงถึงว่ามันเป็นหนังสยองขวัญผีสิง มันก็มีองค์ประกอบของความสยองบ้างเช่นฉากห้องเย็น แต่มันเป็นไปตามเนื้อเรื่อง ผมไม่ได้ยัดเยียดลงไป” เพอร์รีให้ความสำคัญกับบรรยากาศกองถ่ายและซีนในอะพาร์ตเมนต์เป็นอันดับแรก 

เพอร์รีบรรยายว่าการวางช็อตใน The Exorcist นั้นงดงาม แต่เขารู้ดีว่าหนังเรื่องดังกล่าวใช้เวลาถ่ายทำกันเกือบ 200 วัน ซึ่งเขาไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น เขาสร้างฉากขึ้นมาให้กว้างกว่าปกติเพื่อให้ทีมงานมีพื้นที่ทำงาน ยังมีฉาก “บ้านตุ๊กตา” มันคือการจำลองทาวน์เฮาส์ในจอร์จทาวน์สูงสามชั้น เปิดกำแพงด้านหน้า เห็นทุกห้องเพื่อให้ใช้ถ่ายทำ “ฉากบ้านตุ๊กตาเราได้แรงบันดาลใจจากภาพนิ่งเบื้องหลังของเรื่อง The Diary of Anne Frank” มิลเลอร์กล่าว “ตอนแรกเรากังวลว่ามันอาจจะออกมาไม่เป็นแบบที่คิดไว้ตอนแรก แต่เราทำมันสำเร็จ มันเป็นฉากที่ชวนอึ้งที่สุดในเรื่องฉากหนึ่ง กว่าจะเสร็จมันไม่ง่ายเลย แต่เราเชื่อว่ามันเป็นส่วนสำคัญของเรื่องที่เราต้องการเล่า นั่นคือความเป็นหนังซ้อนหนัง ซึ่งเป็นจุดที่เกิดเรื่องเหนือธรรมชาติสุดสยอง” ทีมงานต้องการให้มันออกมาดูเป็นฉากให้ใช้ถ่ายทำชัดเจน มันเป็นสิ่งแรกที่โทนีและลีรวมทั้งผู้ชมจะได้เห็นเมื่อพวกเขามาเยือนกองถ่ายวันแรก ฉากโปรดของเพอร์รีคือฉากห้องเย็น เขากล่าว “ผมชอบฉากห้องเย็นที่สุด เพราะมันออกแบบมาสำหรับการถ่ายไวด์สกรีน มันทั้งสวย ทั้งน่ากลัว บางครั้งผมก็เบื่อที่ต้องหาอะไรมาแต่งผนังตลอดเวลา ผมชอบให้มันว่างๆ ฉากนี้มีที่ว่างเพียบ” 

เพอร์รีมีใช้สีสองโทน ในการตกแต่งภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมพยายามเลือกบรรยากาศโดยการอ้างอิงจากภาพวาด ตัวอย่างเช่น การใช้สีทั้งหมดในโลกภาพยนตร์ต่างอิงจากภาพ Nighthawks โดย เอ็ดเวิร์ด ฮอปเปอร์ ผมอยากให้มันมีกลิ่นอายแบบยุค 30 ตามนั้น ผมอยากตกแต่งทาวน์เฮาส์ด้วยสีโทนอุ่น เพื่อให้รู้สึกว่ามันเป็นบ้านที่น่าอยู่”  ส่วนอะพารต์เมนต์ในบรุคลินที่โทนีและลีอาศัยอยู่ เขาเน้นไปที่โทนสีน้ำเงิน ให้สมจริงและมีเอกลักษณ์มากกว่า เพอร์รีกล่าว  “โลกแห่งความเป็นจริงนั้นดูเย็นชากว่าโลกในสตูดิโอเสมอ”

นักออกแบบเครื่องแต่งกาย โจดี ลีสลีย์ รู้จักกับผู้กำกับ โจชัว จอห์น มิลเลอร์ และ เอ็ม.เอ.ฟอร์ติน มานานแล้ว เดิมทีเธอเข้ามาช่วยหาคนที่จะมาออกแบบเครื่องแต่งกายให้หนังเรื่องนี้ แต่หลังจากได้พูดคุบกับทีมโปรดิวเซอร์ ลีสลีย์ตัดสินใจทำงานนี้เอง ตั้งแต่เริ่มต้น เธอทำงานอย่างใกล้ชิดกับไมเคิล เพอร์รี นักออกแบบงานสร้าง พวกเขาเห็นตรงกันเรื่องการใช้สีสองโทน ลีสลีย์กล่าว “ฉันเป็นเกียรติมากที่ได้แต่งตัวให้นักแสดงที่จะร่วมแสดงฝีมือในจักรวาลที่เขาสร้างขึ้นมาครั้งนี้ 

ลีสลีย์กล่าวต่อ “สิ่งที่ทำให้การออกแบบเสื้อผ้าของเรื่องนี้แตกต่างกับเรื่องอื่นคือความที่มันเป็นหนังซ้อนหนัง ซึ่งแต่ละตัวละครมีบทบาทในทั้งสองโลก ฉันพยายามผสมทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกับที่พยายามให้มันแตกต่างกันชัดเจน” ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อมอบอึมครึมให้ตรงกับธีมของหนัง ลีส์ลีย์เริ่มต้นจากการวางกรอบคอนเซ็ปต์ว่าจุดต่างๆ ของหนังต้องการอารมณ์แบบไหน ลีสลีย์กล่าว “ฉันอยากให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อเรื่องดำเนินไป ทั้งสีหรือเนื้อผ้า เริ่มต้นด้วยสีสดใสเนื้อบางเบา ค่อยๆ เข้มขึ้นในช่วงท้ายเรื่อง รัสเซลล์กับฉันปรึกษากันเรื่องนี้ เขาช่วยออกไอเดียเพิ่มด้วย” เธอมองโทนีว่าเป็นที่ไม่ค่อยออกไปช็อปเสื้อผ้า ดังนั้นเสื้อผ้าของเขาแต่ละชิ้นเป็นของคุณภาพแต่ดูผ่านการใช้งานมาเยอะ ลีสลีย์กล่าวต่อ “เราเริ่มจากเสื้อผ้าวินเทจเพราะมันมีสีและเนื้อผ้าที่ไม่ค่อยได้เห็นในเสื้อผ้าทุกวันนี้แล้ว” ด้วยการใช้เสื้อผ้าวินเทจ ลีสลีย์แสดงให้เห็นว่าโทนีผ่านยุครุ่งเรืองของตัวเองมาแล้ว ทั้งในฐานะนักแสดงและในฐานะคนเป็นพ่อ ลีสลีย์กล่าว “ฉันเริ่มจากสิ่งที่เราไม่ได้เห็นในเรื่อง คือช่วงที่โทนีเผชิญกับโรคซึมเศร้าและการติดเหล้า ช่วงนั้นเขาแต่งตัวยังไง” ลีสลีย์ตั้งข้อสังเกต “บางครั้งฉันคิดว่าเราแต่งตัวสำหรับชีวิตที่เราปรารถนา มากกว่าชีวิตที่เราใช้อยู่” 

สำหรับตัวละครที่อายุน้อยกว่าอย่างลีและเบลก ลีสลีย์ร่วมงานกับมิลเลอร์และฟอร์ติน เธอเริ่มต้นจากการวิเคราะห์รูปภาพของพวกเขา และสำหรับตัวละครเบลกนั้นอิงจากบุคคลในชีวิตของพวกเขา ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เสื้อผ้าวินเทจมีบทบาทสำคัญ ลีสลีย์กล่าว “ฉันว่าลีน่าจะซื้อเสื้อผ้าจากร้านมือสอง เบลกก็เหมือนกัน” ลีสลีย์ชอบช็อปปิ้ง โดยเฉพาะของมือสอง เธอเผยว่ามันคล้ายกับการล่าสมบัติ เธอจำได้ว่าเธอพบเสื้อแจ็กเก็ตตัวหนึ่งที่เหมาะกับลี ทันใดนั้นมันทำให้เธอเห็นภาพรวมของตัวละครนี้ทันที โดยเฉพาะแจ็กเก็ตสีเขียวลายตารางที่คอเสื้อประดับด้วยขนสัตว์ ตัวนี้เป็นชิ้นโปรดของไรอัน ซิมป์กินส์ เธอรับบทเป็นลี เธอเรียกมันว่าเสื้อกบเคอร์มิต ส่วนตัวโปรดของลีสลีย์คือชุดที่เบลกใส่ไปงานเลี้ยงนักแสดง เสื้อคลุมกิโมโนตัวยาวคลุมชุดเดรส “เธอใส่มันขึ้นมาก” ลีสลีย์กล่าว 

สำหรับเดวิด ไฮด์ เพียร์ซ ในบทบาทหลวงคอเนอร์ ดูเผินๆ แล้วชุดของเขาอาจะเป็นเรื่องง่าย แค่ชุดคลุมสีดำ คอโรมันตามสไตล์นักบวช อย่างไรก็ตามตัวละครของเพียร์ซอยู่ในวัยแปดสิบ แก่กว่าเพียร์ซตัวจริงมาก เขาหาข้อมูลว่าคนวัยนั้น จากนั้นร่วมมือกับลีสลีย์เพื่อออกแบบลุคที่เข้ากับอายุตัวละคร รองเท้าและถุงเท้าที่เขาใส่มีการถ่วงน้ำหนัก เขาพยายามจำกัดการเคลื่อนไหวนิ้วให้เหลือพอแค่หยิบเหรียญได้เพื่อให้เข้ากับวัยของตัวละคร 

 

การคัดเลือกนักแสดง

สำหรับโจชัวร์ จอห์น มิลเลอร์ การได้ รัสเซลล์ โครว์ มาแสดงนำในหนังสยองขวัญเรื่องนี้ของเขา เป็นการยกระดับคุณภาพให้มันโดยอัตโนมัติ “มาร์กกับผมโตมากกับหนังของรัสเซลล์อย่าง Romper Stomper” มิลเลอร์กล่าว “ซึ่งเรารู้ดีว่าเขามีออร่าเต็มไปเปี่ยม มีวุฒิภาวะและละเอียดอ่อนพอที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกสงสารชายคนนี้ที่กำลังจะกลายเป็นผีร้าย” 

สำหรับรัสเซลล์ โครว์ บทภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจเพราะมันเป็นบทซ้อนบท โครว์รับบทเป็นแอนโธนี (โทนี) มิลเลอร์ อดีตดาราดังที่กำลังตกอับ เพราะการเสียชีวิตของภรรยาพาให้ทั้งติดยาและติดเหล้า เขาห่างเหินจากลูกสาววัยรุ่นที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต แต่เมื่อเขาได้ส้มหล่นให้รับบทนำ มันเป็นโอกาสให้เขาได้ทวงได้อาชีพการงานและชีวิตกลับมาอีกครั้ง โครว์กล่าว “สำหรับผมในฐานะนักแสดง การรับบทเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์เหล่านี้ แบกรับมันทั้งหมดเอาไว้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน มันเป็นบทที่ท้าทายความคิดนักแสดง ผมเลยสนใจ” 

ความสัมพันธ์ระหว่างโทนีและลี ผู้เป็นลูกสาว คือหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้ จากพ่อลูกพวกเขากลายเป็นคนแปลกหน้า จนถึงจุดที่โทนียืนกรานให้ลีเรียกเขาว่า “พ่อ” แทนที่จะเรียกว่า “โทนี” โครว์กล่าว “เขาอยากกลับมาทำหน้าที่พ่อ แต่เขาตระหนักได้ว่าเขาต้องทุ่มเทเพื่อให้ลูกสาวกลับมาเชื่อใจเขา อย่างไรก็ตาม ลีปิดกั้นหัวใจไปแล้ว สถานการณ์ที่ทั้งคู่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” 

ไรอัน ซิมป์กินส์ รับบทเป็น ลี สาวน้อยวัย 16 ปี  ฟอร์ตินเล่าว่า “เรารู้ตั้งแต่แรกเลยว่าทั้งคู่เหมาะกับการรับบทพ่อลูกกัน” ลีกลับมาอยู่ที่บ้านของพ่อหลังจากถูกสั่งพักการเรียน เธอเรียนที่โรงเรียนประจำคาทอลิกเซนต์อากาธาThe Exorcism เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของโครว์และซิมป์กินส์ โครว์เล่า “ผมรู้จักไรอันมานานพอสมควร ผมทำงานร่วมกับน้องชายของเธอ ไท เมื่อปี 2010 ใน The Next Three Days เขารับบทเป็นลูกชายของผม และที่แปลกพอคือมีช่วงหนึ่งที่ไททำงานในออสเตรเลีย เขาอยู่กับครอบครัว เขาเลยแวะมาเยี่ยมที่ฟาร์มของผม แม่ของเขาและไรอันก็มาด้วย บังเอิญวันนั้นเป็นวันเกิดครบ 18 ของไรอัน เราเลยจัดงานวันเกิดให้เธอ หลายปีให้หลังมานี่ ผมรอที่จะได้ร่วมงานกับเธอมาตลอด ผมตื่นเต้นมากที่จะได้ทำงานกับเธอในเรื่องนี้ 

ซิมป์กินส์ตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับโครว์ไม่แพ้กัน เธอกล่าวว่า “ฉันรู้จักรัสเซลล์ตั้งแต่อายุ 12 เขาเล่นเป็นพ่อของน้องชายฉันในเรื่อง The Next Three Days รัสเซลล์เป็นส่วนสำคัญในชีวิตฉันมาโดยตลอด เขาจัดงานวันเกิดครบ 18 ปีให้ฉันและเมื่อเรารู้ว่าเราจะได้รับบทเป็นพ่อลูกกันกัน เราตื่นเต้นมาก” ลีเป็นลูกสาวที่หมดศรัทธาในตัวพ่อ ซึ่งโทนีกำลังพยายามสุดความสามารถเพื่อสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง แต่ตามซิมป์กินส์เล่า “เธอสร้างกำแพงในใจขึ้นมาแล้ว” ซิมป์กินส์ตื่นเต้นที่รัสเซลล์รับบทบาทเป็นพ่อของเธอ เธอกล่าว “การที่เรารู้จักกันก่อนหน้าช่วยให้เราถ่ายทอดบทพ่อลูกออกมาได้ดีขึ้น เราอินกับมันได้ไม่ยาก” โครว์กล่าวชมซิมป์กินส์ว่า “เธอเป็นนักแสดงที่ตั้งใจทำงานมาก ทุ่มเทสุดตัว เตรียมตัวมาดีและมอบพลังบวกให้ทีมงานและเพื่อนนักแสดงที่หน้ากองเสมอ”

หนังเรื่องนี้ยังเป็นการโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้งระหว่างโครว์และ อดัม โกลด์เบิร์ก ที่เคยแสดงร่วมกันใน A Beautiful Mind โกลด์เบิร์กรับบทเป็น ปีเตอร์ ผู้กำกับปากปีจอที่เลือกโทนีมาแสดง โกลด์เบิร์กเล่า “บอกตรง ๆ ว่าสิ่งที่ทำให้ผมอยากเล่นหนังเรื่องนี้คือรัสเซลล์ เขาเป็นคนติดต่อมาหาผมเอง ถามว่าผมว่างหรือเปล่า ซึ่งเมื่อได้อ่านบท ผมยิ่งตื่นเต้นที่จะได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้ ผมชอบหนังที่ตีแผ่เบื้องหลังวงการภาพยนตร์ ผมเคยทำเรื่อง I Love Your Work เกี่ยวกับนักแสดงที่กำลังสติแตก หมกหม่นอยู่แต่กับแฟนคลับของตัวเอง มันเหมือนเป็นการสลับบทบาทกัน” สำหรับโครว์ เขาประทับใจที่ได้กลับมาร่วมงานกับโกลด์เบิร์ก เขากล่าว “ผมชอบสไตล์ของอดัมมาก ทุกอย่างที่เขาทำมันสมจริงและหนักแน่น เขาสวมวิญญาณเป็นตัวละครเต็มที่ซึ่งแน่นอนเขาฝากประโยคบาดหูผมไว้เพียบ มันต้องมีคนกล้าและตรงไปตรงมาอย่างอดัม เพื่อให้ฉากเหล่านั้นมีคุณภาพและมีพลัง ในซีนที่ตัวละครของเขาคิดว่าด่าเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักแสดง แต่ที่จริงแล้วเขากำลังลงโทษนักแสดงคนนั้นโดยไม่รู้ตัว”

เดวิด ไฮด์ เพียร์ซอ่านบทบทเครื่องบินระหว่างกลับจากทริปพักผ่อน เขาอินกับมันทันที เขารับบทบาทหลวงคอเนอร์ ที่ปรึกษาด้านศาสนาให้กองถ่าย ตัวละครนี้ทำให้ตัวเพียร์ซเองต้องเซอร์ไพรส์ เขากล่าว “แม้ว่าเป็นนักบวชคาทอลิก แต่เขาทั้งดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ไม่สำรวมเหมือนภาพจำของบาทหลวง มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบาทหลวงคาทอลิก แต่มันทำให้ผมประหลาดใจ เขายังมีอีกหลายด้านซ่อนอยู่ เขาเป็นคนดี มีอดีตซับซ้อน ซึ่งนั่นเกี่ยวกับการรับมือผีสิงโดยตรง เมื่อเรื่องดำเนินไปผู้ชมจะได้เห็นความดีและความกล้าหาญของเขา” มิลเลอร์เสริม “จังหวะคอมเมดี้ของเดวิดนั้นเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ฝีมือการแสดงของเขาไปได้ไกลกว่านั้นมาก”

สิ่งที่เพียร์ซชอบทำก่อนรับบทคือศึกษาข้อมูล เพียร์ซอ่านเกี่ยวกับการเป็นนักบวชนิกายเยสุอิต เขาอ่านไบเบิลและคัมภีร์ศาสนาอื่นๆ เขายังทุ่มเทรวบรวมความกล้ากอ่านเอกสารพิธีกรรมไล่ผี ในหนังซ้อนหนัง วิญญาณชั่วร้ายที่สิงเบลคคือโมเลค ซึ่งเป็นปีศาจที่กล่าวถึงในหนังสือเลวีนิติจากพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู เพียร์ซหาข้อมูลเรื่องนี้ด้วยก็ โมเลคอาจเป็นเทพของชาวคานาอัน และมีข้อบงชี้ว่ามีการบูชายันเด็กเพื่อเป็นเครื่องสังเวยให้โมเลค 

ในหนังที่แอนโธนีนำแสดง โมเลคเข้าสิงสาววัยรุ่นที่รับบทโดยเบลก เมื่อเริ่มถ่ายทำ บาทหลวงคอเนอร์ตระหนักได้ว่าโมเลคไม่ได้อยู่แค่ในกองแต่หลุดมาในโลกแห่งความจริงด้วย เพียร์ซกล่าว “คุณพ่อคอเนอร์มีความรู้ด้านการไล่ที่ เขายังเป็นนักบวชนิกายเยซุอิต เขาศึกษาประวัติศาสตร์ดังนั้นเขารู้ดีว่าโมเลคคืออะไร แต่กลายเป็นว่ามันไม่ได้เป็นแค่ตำนาน มันมีตัวตนจริง ๆ หลอกหลอนกองถ่ายต้องสาปนี้”

การที่ต้องรับบทเป็นบาทหลวงคอเนอร์วัย 80 มอบโอกาสให้เพียร์ซได้กลับไปทำความฝันสมัยยังเด็กให้เป็นจริง สมัยเด็ก ๆ เขาหลงใหลการแปลงโฉมด้วยเทคนิคพิเศษในหนังสยองขวัญมาก โดยเฉพาะผลงานของนักแต่งหน้าระดับตำนาน ดิก สมิธ ที่ฝากผลงานไว้ใน Little Big Man, The Godfather และ The Exorcist ใน The Exorcism เพียร์ซที่ต้องรับบทเป็นชายแก่อายุ 80 กล่าว “ขั้นตอนแต่งหน้าที่เปลี่ยนให้ผมกลายเป็นคนแก่ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กอยู่ในร้านขนมเลย มันมีจุดที่ผมแทบไม่รู้สึกว่าเป็น (คอนนอร์) จนกว่าจะแต่งหน้า ตอนที่ผมรับเล่นผมไม่รู้เลยว่าคอเนอร์เป็นคนแก่อายุ 80 ผมแทบรอให้แก่เท่านั้นไม่ไหวแล้ว บางทีอาจให้พวกช่างช่วยแต่งให้ผมดูเด็กกว่าวัยก็ได้นะ”

โคลอี เบลีย์ ฝากฝีมือไว้ทั้งวงการดนตรีและภาพยนตร์ เธอเป็นที่รู้จักจากการรับทเป็น แจ๊ส ใน Grown-ish เธอเริ่มเส้นทางสายดนตรีครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 13 ปี จากการเป็นครึ่งหนึ่งของคู่ดูโอ้ Chloe x Halle ร่วมกับ ฮัลลี น้องสาวแท้ๆ ของเธอ ในเรื่องนี้เธอรับบทเป็นเบลก นักแสดงสาวดาวรุ่งที่ผันตัวมาจากการเป็นนักร้อง เธอต้องรับบทเป็นหญิงสาวที่ถูกโมเลคเข้าสิง แม้ว่าเธอจะมีเส้นทางอาชีพคล้ายเบลก แต่มันไม่ได้ทำให้งานนี้ง่ายขึ้นแม้แต่น้อย “ฉันไม่เคยดูหนังสยองขวัญเลยตั้งแต่เกิดมา ฉันขี้กลัวมาก” 

เบลีย์มีต้องเล่นฉากที่ต้องอาศัยความสามารถทางกายภาพ คือฉากที่เบลกถูกสิง ฉากนี้เธอแสดงกับรัสเซลล์ โครว์ ต่อด้วยซีนอารมณ์กับเดวิด ไฮด์ เพียร์ซ เธอเป็นแฟนของทั้งสองนักแสดง “ฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้รัสเซลล์ โครว์มาตลอด” เธอกล่าว “และเมื่อฉันได้ยินว่าเขานำแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ มันยิ่งทำให้ฉันสนใจ ฉันอยากทำงานกับเขา กับเดวิด ฉันชอบร่วมฉากกับเขา ฟังเขาเล่าประสบการณ์สมัยที่เขายังเล่นละครเวที มันน่าทึ่งมากที่เห็นคน ๆ เดียวสามารถแสดงบทบาทที่หลากหลายได้ขนาดนี้”