“Trap – แทร็ป” มีกำหนดเข้าฉาย 1 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
#Trapmovie #แทร็ป
วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส นำเสนอประสบการณ์ใหม่บนโลกจากเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เรื่อง “Trap” แสดงนำโดยนักดนตรีดาวรุ่ง ซาเลก้า ชยามาลาน
คุณพ่อกับลูกสาววัยรุ่นเข้าร่วมงานคอนเสิร์ตแนวป๊อป แต่กลับพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางอีเวนท์ที่เต็มไปด้วยความหดหู่และน่าสยอง
ภาพยนตร์เขียนบทฯ และกำกับฯ โดยเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ผลงานเรื่อง “Trap” นำแสดงโดยจอช ฮาร์ทเน็ตต์, แอเรียล โดโนฮิว, ซาเลก้า ชยามาลาน, เฮย์ลีย์ มิลส์ และ แอลลิสัน พิลล์ อำนวยการสร้างฯ โดยชวิน ราจาน, มาร์ค เบียนสต็อค และ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยสตีเวน ชไนเดอร์
กำกับภาพโดย สยมภู มุกดีพร้อม (“Call Me by Your Name”) ออกแบบฉากโดย เด็บบี้ เดอ วิลล่า (“The Hating Game”) ลำดับภาพโดย โนเอมิ เพรสเวิร์ค (“Knock at the Cabin”) เพลงต้นฉบับมีการแต่ง โปรดิวซ์ และร้องโดยซาลีก้า ไนท์ ชยามาลาน ดนตรีโดย เฮอร์ดีส สตีฟานส์โดทเทียร์ (“Knock at the Cabin”) ควบคุมดนตรีโดย ซูซาน จาคอบส์ (“Old”) ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย แคโรไลน์ ดันแคน (“Old”) ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์โดย ฮาเวียร์ มาร์เชเซลลี่ (“Dune”) คัดเลือกนักแสดงโดย ดักลาส ไอเบล (“Asteroid City”)
วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์จาก A Blinding Edge Pictures Production, An เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน Film เรื่อง “Trap” ภาพยนตร์จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ฉายในโรงภาพยนตร์ 2 สิงหาคม 2024 และต่างประเทศเริ่ม 31 กรกฎาคม 2024
ร่วมพูดคุยกับ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (ผู้กำกับฯ / ผู้เขียนบทฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ)
จุดเริ่มต้น…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ภาพยนตร์เรื่อง “Trap” ถูกสร้างขึ้นมาโดยผมและลูกสาว ซาลีกา จากการคุยกันเรื่องดนตรีและภาพยนตร์ โดยทั่วไปเริ่มจากเราคิดว่าจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเสียงดนตรีที่มีความระทึกขวัญร่วมกับ ผมเริ่มสงสัยว่า “เราจะสร้างหนังทริลเลอร์เกี่ยวกับเสียงดนตรีได้หรือไม่?” ผมคิดว่าซาลีก้าจะแต่งอัลบั้มหนึ่งขึ้นมา และเราจะสัมผัสเสียงเพลงนั้นเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ต จากนั้นได้พบกับเรื่องราวสุดระทึก ทั้ง 2 สิ่งนั้นจะมารวมตัวกันได้หรือไม่? ผมเริ่มสงสัยและเอาเรื่องราวไปนำเสนอซาลีก้า เธอสนใจมันมากเลย เราเริ่มสร้างจากจุดนั้น… และต่อด้วยเรื่องราวของพ่อกับลูกสาวไปดูคอนเสิร์ต เราผสมระหว่างคอนเสิร์ตกับความลึกลับที่จะเกิดขึ้นที่นั่น การพัฒนาเรื่อง “Trap” มีที่มาแบบนี้
จอช ฮาร์ทเน็ตต์…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ผมคิดถึงวิธีการสร้างหนังที่จะเป็นการสร้างความแปลกใหม่ สร้างโทนใหม่ และสร้างความแปลกใหม่ขึ้นมาในทุกครั้ง นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นไปกับการทำสิ่งแปลกใหม่ ผมเต็มใจรับหนังที่เล็กลง เพื่อที่เราอาจเชื่อมโยงกับผู้คนรอบโลกได้มากขึ้น ผมมองหาคนที่อยู่ในจังหวะที่เหมาะสมของตัวเอง และพร้อมจะรับความเสี่ยง ผมคิดว่าผลลัพธ์ที่ได้คือผู้ชมจะได้พบสิ่งที่หาชมยากและมีความพิเศษ นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ผมมาร่วมงานในเรื่อง และผมคิดว่าจอช ฮาร์เน็ตต์ตรงกับคำจำกัดความนี้ เขาอาศัยที่อังกฤษร่วมกับครอบครัว เขาเป็นคนช่างคิดและมีเหตุผล ตอนที่เจอเขา เขามองตาผมและผมรู้ลยว่าเขาพร้อมจะทำทุกอย่าง เขามีทั้งพลังและความตื่นเต้นที่แสดงออกมาให้เห็น การรับบทคูเปอร์ในบทพิเศษนี้ ผมต้องการคนที่มีทุกอย่างพร้อมและกล้ารับความเสี่ยง ผมคิดว่าสำหรับผู้ชมแล้ว เหตุผลหนึ่งที่จะดูหนังเรื่องนี้คือการแสดงอันน่าทึ่งที่จอชถายทอดออกมา
คาแรคเตอร์ของคูเปอร์…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ผมคิดว่าเราต่างหลงใหลในตัวละครที่มีความซับซ้อนและโหดร้าย ผมเองก็เช่นกัน เราทุกคนต่างมีด้านมืดอยู่ในตัว นั่นคือเรื่องจริง ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ทุกคนรักไดโนเสาร์มาก เพราะพวกมันมีตัวตนจริง สัตว์ประหลาดตัวจริงที่มีชีวิตในอดีตนั้นยังมีชีวิตจริงในปัจจุบัน การเขียนบทตัวละครที่มีความโหดร้าย และการรับบทตัวร้ายมีความน่าหลงใหล เพราะมันยังอยู่ในการรับรู้ของมนุษย์ สำหรับผมมันคือเรื่องของการค้นหามนุษยธรรมในตัวละครที่ทำสิ่งชั่วร้าย มันมีความท้าทายและน่าทึ่ง และทำให้เห็นความมีมนุษยธรรมที่ผู้ชมจะสัมผัสได้ ทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าทำไมบางคนจึงทำสิ่งที่โหดร้ายมากได้ลง ทำให้เราเกิดความเห็นใจกัน… และเพราะเราเห็นตัวเองในเวอร์ชันอื่น นัน่คือสิ่งที่เรียกความสนใจได้มาก และเป็นสิ่งที่มาเติมเต็มความปรารถนา อย่างน้อยก็ในส่วนของผม แม้แต่คนที่มีความโหดร้ายที่สุด จะมีทางใดที่เข้าถึงความรู้สึกเขาได้บ้างไหม?
เลดี้ เรเวน ร้องเพลง…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: แม้ว่าเราจะมีการสร้างให้เลดี้ เรเวนเป็นป๊อปสตาร์ในเรื่องราว แต่มันเริ่มจากการให้ซาลีก้าแต่ง โปรดิวซ์ และบันทึกเสียงอัลบั้ม มันวิเศษมากที่ได้เฝ้าดูศิลปินคนหนึ่งทำสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจได้ ผมนึกถึงเธอในฐานะของศิลปินผู้มีความมั่นใจและไม่มีเรื่องเสื่อมเสีย ผมมองลูกสาวตัวเองและคิดว่าพวกธอกำลังเรียนรู้งานศิลปะและต่อสู้กับปีศาจของตัวเองอยู่ สิ่งหนึ่งที่พวกเธอไม่ยอมอ่อนข้อให้คือเรื่องความน่าเชื่อถือ พวกเธอสอนผมเรื่องนั้นอีกครั้ง ผมคิดว่ายิ่งเราประสบความสำเร็จ คุณจะต้องการการยอมรับโดยไม่รู้ตัว คุณอาจเสียความเป็นตัวเอง อาจบอกตัวเองว่านั่นไม่ใช่ความจริง พวกเธอสอนผมเรื่องความน่าเชื่อถือ เช่นเดียวกับเลดี้ เรเวน สิ่งที่ผมอยากให้เธอเป็นและรู้ว่าจะเป็นได้แน่ เพราะซาลีก้ามีศิลปะอยู่ในตัว ผมพูดว่า “ซาลีก้านี่คือเรื่องราวที่จะเกิดขึ้น นี่คือตัวละครที่ผมแต่งขึ้นมา เธอสัมผัสได้ถึงมุมมองของผู้ชม นี่คือผู้คนที่รักเธอและคือเหตุผลของเธอ นี่คืออัลบั้มล่าสุดของเธอ คุณช่วยแต่งมุมนี้ลงไปสำหรับตัวละครนี้ได้หรือไม่?” เราคุยกันเรื่องนี้ต่อไปเรือยๆ จากนั้นเพลงก็มีเพลงทยอยออกตามมา ซาลีก้าแต่งเพลงเหล่านั้นออกมาได้ ทุกครั้งเธอจะพูดว่า “ฉันมีเพลงมาอีกนะ” มันเหมือนคริสต์มาสและผมอดใจรอฟังแทบไม่ไหว และทุกครั้งผมจะรู้สึกหวาดหวั่น เวลาที่เราได้อยู่กับศิลปินไม่ว่าจะเป็นจอชหรือซาลีก้า ผู้ที่อยู่ในจังหวะที่เหมาะสมและพวกเขาสามารถได้ยินเสียงของตัวเอง มันเหมือนเรื่องเหนือความคาดหมายของผู้กำกับฯ และผู้สร้างเลยล่ะ ผมหวังว่าผู้ชมจะสัมผัสได้ถึงความสมจริงและความมหัศจรรย์ของเสียงดนตรี
เอเรียล โดโนฮิว…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ประสบการณ์ในการตามหานักแสดงอย่างอารีเกิดขึ้นหลายครั้งในชีวิตผม ผมโชคดีสุดๆ มันเหมือนกับสายฟ้าฟาดลงมา เธอมีความน่าทึ่งมาก ผมอธิบายไม่ได้ว่าผมนึกถึงเธอมากขนาดไหน เธอเป็นคนอ่อนโยนมาก เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง นักแสดงเด็กส่วนใหญ่ที่ผมร่วมงานด้วย ผมแทบไม่ต้องฝึกสอนอะไรมากเลย มันเหมือนการร่วมงานกับคนที่มีพลังอย่างแท้จริง ผมแค่ให้พวกเขาเดินตามรอยตัวละครและให้คำแนะนำ “นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้น คิดว่ามันหมายถึงอะไร?” พอผมเห็นแววตาพวกเขา เราจะเดินกล้องกันเลย และอารีก็มีสิ่งนั้นที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ ผมคิดว่าเอทำได้ทุกอย่าง เธอมีความกระตือรือร้นและกล้องรักเธอ ผมโชคดีมากที่นักแสดงรุ่นเยาว์เหล่านี้คอยแสดงพลังออกมาให้ผมเห็นตลอด
การถ่ายทำภาพยนตร์…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ผมไม่รู้ว่าทำไมพูดได้เต็มปากว่าผมรักฟิล์มมากกว่าดิจิตอล ขอเริ่มจากความรักที่มีต่อข้อจำกัด ผมทำงานกับฟิล์มแล้วรู้สึกว่าต้องคิดถึงวิธีการสร้างสิ่งที่ดีที่สุดออกมา เพราะนั่นรวมถึงเคมี ความสมจริง ความเป็นธรรมชาติในสิ่งที่เกดขึ้น มันต้องดูมีชีวิตชีวา ถ่ายทอดชีวิตและประสบการณ์ในแบบที่ดิจิตอลทำไม่ได้ ฟิล์มเหมือนตัวแทนของชีวิต และที่น่าแปลกคือดิจิตอลมีรายละเอียดมากกว่าภาพยนตร์ ฉะนั้นนั่นอาจเป็นคำตอบได้ เราแค่ต้องการถ่ายทอดรายละเอียดออกมาให้ได้มากที่สุด สิ่งนั้นให้ความรู้สึกอย่างไร และเราจัดการส่วนที่เหลือ เราเสริมประสบการณ์ความรู้ของเราเข้าไป ส่วนคอมพิวเตอร์จะบอกว่าสีแดงควรมีหน้าตาแบบนี้ และเส้นผมให้ความรู้สึกแบบนี้ แต่ในส่วนของข้อจำกัด ฟิล์มจะสร้างความสัมพันธ์ต่อผู้ชมในด้านความมีชีวิตชีวา มีหลายรายละเอียดที่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความสับสนและเราหยุดนิ่ง ฟิล์มให้รายละเอียดของการเล่าเรื่องราวเฟรมนั้นในปริมาณที่เหมาะสม ในเฟรมนั้นมีอะไรบ้าง? ตัวละครต่างๆ แสงสว่างและทุกอย่าง มันมีความไม่สมประกอบเกิดขึ้นในบางส่วน มันต้องการความเรียบง่ายแค่นั้นแหละ และอาจเป็นเพราะหนังเรื่องโปรดของผมทั้งหลายในวัยเด็กถ่ายทำด้วยฟิล์มเลยทำให้ผมรู้สึกอะไรแบบนั้น
มันวิเศษมากที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจและจังหวะการเคลื่อนไหวของภาพยนตร์ เพราะมันแทบจะไม่มีการหลุดโฟกัสเลย มีชีวิตชีวาและมีจังหวะเคลื่อนไหว ผมคิดว่ามันช่วยสร้างประสบการณ์ที่มีความแตกต่างชัดเจน
การเก็บภาพคอนเสิร์ต…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของซีจีไอ พอผมเลือกจะจัดคอนเสิร์ต ผมบอกทุกคนว่า “เราจะจัดงานและเก็บภาพคอนเสิร์ตจริง เราจะไม่แหกตาอะไรทั้งนั้น” และผมเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ต้องการมุมมองที่ชัดเจนตื่นเต้น ตัวละครหลักของเรากำลังดูคอนเสิร์ตนี้จากที่นั่งมุมที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ นั่นคือภาพจากมุมของพวกเขา และพวกเราจะอยู่กันที่มุมนั้น แต่เราจะถ่ายทอดภาพบนหน้าจอว่าทุกคนดูคอนเสิร์ตจากที่นั่งมุมไม่ดีได้อย่างไร บนหน้าจอจะเห็นออกมามุมไหน? นี่คือความท้าทายในการรักษาความซื่อสัตย์นั้นไว้ ผมต้องหาทางถ่ายทอดมันออกมาได้ สุดท้ายผมต้องกำกับการแสดงสดในสิ่งที่คุณจะได้เห็นบนหน้าจอของแต่ละเทค นักแสดงจะทำการแสดงไปและผมจะสวมหูฟังไปพร้อมกับทุกคน “ซูมไปที่ตรงนั้นหน่อย” และเราได้ภาพคอนเสิร์ตจริงแบบสดๆ สิ่งที่เห็นในฉากช่วงที่คูเปอร์และไรลีย์กำลังคุยกันคือสิ่งที่เกิดขึ้น มันมีความสมจริงเพราะมันเกิดขึ้นจริง ไม่ได้อาศัยซีจีไอ ไม่มีการคิดจะใส่อะไรทีหลัง เรานึกถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังกันตั้งแต่ช่วงแรกของการเตรียมตัวเพื่อถ่ายทำ ทั้งเรื่องเพลง เสื้อผ้า ท่าเต้น การจัดแสงไฟในการแสดง มันมาจากความตั้งใจของเฮอร์คิวลีนที่สร้างคอนเสิร์ตขึ้นมาและจัดให้เหมาะสำหรับการถ่ายทำฉากระทึกขวัญของเรา ฉากที่เกิดขึ้นระหว่างจอชกับอารีขณะที่กลุ่มนักเต้นกำลังแสดงไปพร้อมเสียงดนตรีและมีการเปลี่ยนไฟ… มันคือสิ่งที่ผมไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นเลย และผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้ทำอะไรแบบนั้นบ่อยๆ สำหรับการเล่าเรื่องราว มันมีความท้าทายสูงมาก แต่ก็ได้ผลรางวัลกลับมาสูงมากเช่นกัน มันคือความงดงามในการสร้างงานศิลปะทั้งหมดนี้ออกมา จากนั้นนำมารวมกันจนกลายเป็นศิลปะรูปแบบนี้
การร่วมงานกับตากล้อง สยมภู มุกดีพร้อม…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: อย่างแรกเลยในการพบกับซาโยเหมือนกับการได้พบกับพระพุทธเจ้า เขาเป็นคนร่าเริง ดูสงบ และจิตใจดี เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านประมงในเมืองไทย นั่นคือตัวตนของเขา เขารักภาพยนตร์และรักการสร้างภาพยนตร์ เขาสร้างภาพยนตร์ทั้งในเอเชียและยุโรป ผมรักเรื่อง “Call Me by Your Name” ผมคิดว่ามันมีความกล้ามาก พวกเขาถ่ายทำโดยใช้เลนส์เดียวและสร้างความเหลือเชื่อทั้งหมดขึ้นมาได้ เขายังเป็นคนชอบศึกษาธรรมชาติด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบมาก ผมชอบคิดว่าตัวเองมักจะพบความมหัศจรรย์ในจักรวาลอยู่เสมอ เขาเองก็เช่นกัน เขาเป็นคนที่ร่วมงานด้วยง่าย เขาทำให้ขั้นตอนการสร้างภาพยนตร์ในโปรเจ็กต์นี้ดูเรียบง่ายมาก เราต่างสนใจภาพยนตร์เหมือนกัน เราต้องการตากล้องที่เข้าใจการสาดแสงไฟแบบนี้ และมีความทุ่มเทกับภาพยนตร์มาก มีสิ่งที่เราต้องการและมีความรู้ความสามารถอย่างลึกซึ้ง และมีความเข้าใจทุกเรื่องโดยสัญชาตญาณ เขามีทุกอย่างเลย ผคิดว่าเขาสร้างรายละเอียดให้ผลงานทริลเลอร์เรื่องนี้จนคุณจะสัมผัสได้ และมันสร้างบรรยากาศต่อเนื่องระหว่างที่ดูหนัง สุดท้ายคุณจะออกจากโรงด้วยบรรยากาศแบบโกธิก
การร่วมงานกับผู้ออกแบบฉาก เด็บบี้ เดอวิลล่า…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ผมสร้างภาพยนตร์ทางตอนใต้ที่เด็บบี้ทำหน้าที่ผู้ออกแบบฉาก ผลงานของเธอน่าทึ่งมาก มีความงดงาม ผมพูดได้เลยว่าเธอคิดทุกอย่างลึกซึ้งในแบบที่มีอะไรเหนือกว่าที่คุณเห็น ฉากของบ้านที่อยู่ใต้สิ่งก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้าง ทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันเพียงไม่นาน ผมรู้สึกทึ่งกับผนังที่สร้างขึ้นมา มันมีพวกไม้เลื้อยขึ้นเป็นบางช่วงดูสวยงามมาก การได้คุยกับเธอทำให้รู้ว่าเธอมีความละเอียดอ่อนอย่างคาดไม่ถึง เธอเป็นคนที่ผ่านชีวิตหลายด้านแต่ยังมีความอ่อนโยน เปราะบาง และละเอียดอ่อนจนดูเหมือนซูเปอร์ฮีโร่สำหรับผม ผมบอกได้เลยว่าเธอเข้าใจหนังเรื่องนี้จากความรู้สึกและจิตวิญญาณเลย ทุกสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมาให้ผมมันมีความสมจริงาก และเธอสร้างคอนเสิร์ตขึ้นมาอย่างเต็มตัวในแบบที่คุณซื้อบัตรเข้าชมได้เลย ความสำเร็จที่ได้จากเธอและทีมศิลปินในภาพยนตร์ของผมทุกคน คือความสุขที่สุดสำหรับผมเลยครับ
การร่วมงานกับผู้ลำดับภาพ โนเอมิ เพรสเวิร์ก…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: โนเอมิเริ่มจากเรื่อง “Servant” จากนั้นกลายเป็นผู้ลำดับภาพในเรื่อง “Knock at the Cabin” เธอมีบางสิ่งที่ผมตามหา นั่นคือการผสมผสานระหว่างความฉลาด ความมีลูกเล่น และสัญชาตญาณ ผมมีการเพิ่มบางสิ่งที่ซาโยพูดว่าเป็นมุมมองที่มีความพิเศษ และสำเนียงที่มีเอกลักษณ์ในแบบที่เธอคิดเอาไว้ เธอไม่ต้องเน้นย้ำเลยว่าเธอมีความคิดอย่างไรในเรื่องต่างๆ เธอมีความสามารถในการทำอะไรบางอย่างที่เวลาผมเห็นแล้วมักจะพูดว่า “ผมคงไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่” สำหรับผมแล้วนั่นคือช่วงที่ดีที่สุดในหนัง เวลาที่ผมพูดว่า “ผมคงไม่มีทางทำอะไรแบบที่เขาทำแน่” เธอถ่ายทอดมุมมองความคิดที่มีความพิเศษ และเธอไม่มีอ่อนข้อทำงานอย่างเต็มที่ ผมมักจะคิดว่าตัวเองทำหนักยิ่งกว่าใคร แต่คิดแบบนั้นกับเธอไม่ได้เลย เธอทำงานตลอดเวลาและไวมากด้วย ผมเลยคิดว่าพวกเราเป็นทีมที่ดีมากเลย
การร่วมงานกับผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แคโรไลน์ ดันแคน…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: แคโรไลน์จัดการเรื่องเครื่องแต่งกายให้ผมมานานแล้ว ทั้งในเรื่อง “Servant” และผลงานที่ผ่านมาอีกหลายเรื่อง ผมเห็นความฉลาด ความหลงใหล และไหวพริบที่เธอมีต่อการสร้างผลงาน มันเป็นสิ่งที่สร้างความสมดุลได้ยาก เพราะหากเราฉลาดเหมือนแคโรไลน์อาจจะเกิดปัญหาได้เพราะคิดมากเกินไป แต่เธอสามารถสร้างสมดุลให้กับทุกอย่างได้ พวกเขาพูดว่าเราควรทำตามสัญชาตญาณเมื่อเจอเรื่องยากๆ พอเจอเรื่องที่ง่ายขึ้นก็จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ สำหรับการคุยกันเรื่องสี รายละเอียด และลวดลายต่างๆ การสะท้อนกับแสงไฟ ความสอดคล้องกับธีมต่างๆ ในเรื่อง และช่วยกระตุ้นความคิดในช่วงที่อยู่ในคอนเสิร์ต… นั่นคือเรื่องที่มีความซับซ้อนมาก เธอใช้สัญชาตญาณและความฉลาดในการเลือกจากสิ่งที่เราพูดคุยกันไว้ เราเข้าใจตรงกันในมุมมองเรื่องศิลปะ ผมรักการทำงานร่วมกับเธอ และเธอสร้างผลงานในเรื่องนี้ได้อย่างน่าทึ่งมาก
มุกตลก…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ภาพยนตร์เรื่อง “Trap” สอดคล้องกับบางเรื่องของผมที่มีมุกตลกเป็นหัวใจของเรื่อง มีการผสมผสานกันในหลายโทนซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดา ในช่วงแรกๆ อย่างเรื่อง “Unbreakable” ผมอาจจะไม่เชื่อในเรื่องมุกตลกสักเท่าไหร่ สัญชาตญาณของผมบอกให้ผสมมุกตลกร้ายเข้ากับเรื่องมหัศจรรย์และอารมณ์ระทึกขวัญ พอผอายุมากขึ้นผมคิดว่า “เดี๋ยวนะ ผู้ชมจะอยากเจาะลึกเรื่องราวมากขึ้นถ้าได้สัมผัสกับบรรยากาศที่ลงตัว” ในเรื่อง “The Visit” เลยเป็นครั้งแรกที่ผมใช้มุกตลกผสมเข้ากับความสยองและอารมณ์ความรู้สึกเพื่อให้ได้ส่วนผสมในเรื่องนี้ออกา ส่วนเรื่อง “Split” คือเรื่องที่ 2 จากนั้นเป็นเรื่อง “Servant” ที่ชวนให้คิดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง เหมือนกับเรื่อง “Trap” มันมีความสนุกสนานเพราะแบบนั้น และด้วยธรรมชาติของเรื่องราวด้วย มีเสียงดนตรีเป็นจุดศูนย์รวมเรื่องราว มันมีความแปลกใหม่และต่างจากหนังเรื่องอื่นของผม เป็นช่วงเวลาพิเศษในสิ่งที่ผมรู้สึก… มีทั้งความคลั่งไคล้ที่มาจากความร่าเริงและสนุกสนาน ผมคิดว่าคุณจะรู้สึกเหมือนอยู่ที่นั่นจริงๆ ไม่มีอะไรจะมีความสุขไปกว่านี้แล้ว หรือจะโกหกว่าอยู่ในความมืดก็ไม่ได้ เรื่อง “Trap” ค่อนข้างจะมีความซน มันคือพื้นที่ที่ผมได้เข้าไปอยู่ตรงนั้นตอนที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา และหวังว่าผู้ชมจะสัมผัสความรู้สึกนั้นได้
ประสบการณ์แห่งการรับชมภาพยนตร์…
เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน: ผมเชื่อว่าเรื่องราวที่สร้างความตราตรึงให้ผมได้ส่วนใหญ่จะดูในโรงภาพยนตร์ เรื่อง “Trap” เองก็ควรได้สัมผัสประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์เช่นกัน หน้าที่ของผมคือปลุกอารมณ์ผู้ชมและมอบความสดใหม่ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน มีภาพยนตร์หลายแนวที่เราได้สัมผัสภาพน่าตื่นเต้น หรือพบกับสิ่งที่อาจเคยเห็นมาแล้ว แต่มีความยิ่งใหญ่ด้วยซีจีไอที่อลังการ นั่นไม่ใชเหตุผลสำหรับการดูหนังของผมในโรงภาพยนตร์เลย เหตุผลของผมคือเพื่อคุณได้สัมผัสกับความเร้าอารมณ์ ความสนุกสนาน ความตกตะลึง และบางช่วงก็อยากสร้างความอึดอัดใจให้กับคุณด้วย พยายามนึกภาพสิ่งต่างๆ “เขาเป็นคนทำหรือ!? นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหรือ!?” อาการที่อ้าปากค้างคือสิ่งที่ผมหลงใหล และนั่นคือสิ่งที่ทำให้การดูเรื่อง “Trap” ในโรงภาพยนตร์สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกคน
ร่วมพูดคุยกับจอช ฮาร์ทเน็ตต์ (คูเปอร์)
การค้นหาโทน…
จอช ฮาร์ทเน็ตต์: ผมอ่านบทครั้งแรกก่อนที่จะได้พบกับไนท์ และผมเข้าใจเลยว่าในการทำงานของเขาจะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ผมรู้ว่าบทภาพยนตร์เหมือนกับบลูปรินท์ของสตอรี่บอร์ดที่เขาจะนำไปวาด แต่ผมอยากคุยกับเขาเพื่อให้สัมผัสได้ถึงโทนเรื่องและกลิ่นอาย มีหลายอย่างในบทที่ผมรู้สึกว่าตื่นเต้นมาก มีความดุดันและไม่ธรรมดา และบางมุมก็มีความดาร์กสูง มันกระตุ้นความรู้สึกรุนแรง แต่ผมรู้ว่าไนท์สามารถรวมทุกอย่างมาบรรจบกัน และสร้างความเซอร์ไพรส์ให้ทุกอย่างได้ ผมอยากฟังมุมมองของเขาอย่างจริงจัง การทำงานของผมคือการตามหาความร่าเริงและความสดใสที่อยู่ในเรื่อง และทำความเข้าใจว่าตัวละครนี้ต้องผ่านพ้นอะไรมาบ้าง แต่ผมคิดว่าหัวใจสำคัญของเรื่องอยู่ที่เรื่องราวความรักระหว่างพ่อกับลูกสาวที่มีให้กัน พวกเขาได้ไปดูนักร้องคนโปรดของลูกที่คอนเสิร์ต จนกลายเป็นเรื่องราวที่โหดร้ายและดุเดือดมาก
การร่วมงานกับเอ็ม. ไนท์…
จอช ฮาร์ทเน็ตต์: ผมคุ้นเคยกับผลงานของไนท์เป็นอย่างดี เพราะผมมาอยู่ในช่วงจังหวะเดียวกับที่เขาสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกๆ และมันมีความอลังการมาก ผมได้ไปดูรอบพรีเมียร์ของเรื่อง “The Village” ที่นิวยอร์คเพราะมีเพื่อนอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นเราไปดินเนอร์ร่วมกับไนท์ เขากับผมคุยกันนานนับชั่วโมงพร้อมกับคนอื่นๆ ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่น่าสนใจมาก เขามีความน่าทึ่ง และเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ดูเหลือเชื่อมาก เราไม่ได้พบกันอีกเลยจนกระทั่งผมได้รับโทรศัพท์เกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากนั้นผมดูผลงานของเขาทุกเรื่อง เขาคือผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีความเป็นต้นฉบับอย่างแท้จริงคนหนึ่งในยุคของเรา และเขามักจะถ่ายทอดผลงานที่มีคอนเซปต์ดีๆ และการแสดงที่น่ากลัวออกมาได้เสมอ เขาดึงดูดผู้ชมให้มาดูหนังได้ มีไม่กี่คนหรอกที่ทำอะไรแบบนั้นได้ เขามีมุมมองที่ไม่เหมือนใครด้วย ไม่มีใครเหมือนไนท์จนเราต้องนับถือในเรื่องนั้น มันเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สามารถสร้างสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ได้ในวงการนี้ แต่เขามักสำรวจสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเขาอยู่เสมอ เราจะเห็นได้ตลอดการทำงานของเขาทั้งในมุมตัวตนของเขาและเป้าหมายที่เขามี ผมคิดว่าเขายอมรับว่าตัวเองเป็นแฟนพันธุ์แท้ฮิตช์ค็อกและเราจะเห็นพลังนั้นได้ แต่เราก็จะเห็นอย่างอื่นที่แตกต่างออกไปอีก เป็นเรื่องที่หาได้ยากในการจะได้ร่วมงานกับคนที่ควบคุมภาษาภาพยนตร์แบบนั้นได้ เขายังเป็นคนน่ารักอีกด้วย นั่นคือสิ่งสำคัญมากเวลาที่เราสร้างหนังที่มีความรุนแรงแบบนี้ เราต้องเข้าฉากทุกวันแลตัวละครของผมปรากฏในทุกฉาก แต่เขาทำให้มันดูง่ายมาก เขาคือมนุษย์ที่มีคุณค่ามากคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่ามีความสุขมากที่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้
คูเปอร์…
จอช ฮาร์ทเน็ตต์: คูเปอร์เป็นนักผจญเพลิง เขาต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ ด้วยภาระหน้าที่และบทบาททางสังคม เขาเป็นคุณพ่อที่รักลูกสาวมาก และเขาพบว่าตัวเองต้องเผชิญกับบรรยากาศของกลลวงในหนังเรื่องนี้ตามที่ตัวอย่างเรื่องเปิดเผยให้เห็น เขาพบว่าตัวเองกำลังติดกับ เขาต้องหาทางออกไปจากที่นี่ หน้าที่ของผมคือต้องเข้าถึงความคิดของเขา รับรู้ทุกความรู้สึกจากมุมมองของเขา และทำให้เขาใช้ความสงสัยอย่างเป็นประโยชน์ แม้ว่าเขาจะดูไม่น่าแก้ไขอะไรได้ก็ตาม แต่สำหรับผมไม่สามารถมองเขาในมุมนั้นได้เลย สุดท้ายผมต้องเข้าไปทำความรู้จักเขา ต้องชอบเขาในบางมุมให้ได้ก่อน นั่นคือขั้นตอนการทำงาน ผมมีการค้นข้อมูลและอ่านหนังสือเยอะมาก พยายามทำความเข้าใจคนที่เป็นแบบนี้และเหตุผลที่พวกเขาเป็นแบบนี้.. จากนั้นสร้างตัวละครที่มีความตื่นเต้นและสนุกสนานบนหน้าจอให้ได้มากที่สุด
เล่าถึงมุมมองในเรื่อง…
จอช ฮาร์ทเน็ตต์: เรื่องราวมีการสร้างวนเวียนรอบตัวละครนี้ และคอนเซ็ปต์ของตัวละครนี้คือสิ่งที่ไนท์สนใจจะเข้าไปสำรวจ เขามีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่ถ่ายทอดเพียงมุมมองเดียว และเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะมาจากมุมของคูเปอร์ สำหรับการถ่ายทอดันออกมาได้ เราต้องทำให้เขาดูมีความน่าหลงใหลและมีรายละเอียดากที่สุด ดูเป็นเรื่องยากมากแต่เป็นตัวละครที่สนุกในการเล่น หากมีการชี้นำไปทางหนึ่ง อาจจะหลุดความสนใจไปเลยหรือไม่รู้ว่ากำลังมีอันตรายเกิดขึ้น มันต้องอาศัยการแสดงที่พอดี และผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ไนท์อยากสร้างเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความสนใจให้ผมด้วยเช่นกัน มันมีความท้าทายหลายอย่าง เป็นผลงานที่สนุกมากเพราะต้องหาความสมดุลร่วมกับไนท์ ผมคิดว่าเรามีเซนส์เกี่ยวกับตัวละครเหล่านี้คล้ายกัน และอยากจะเล่นกับความอันตรายจนรู้สึกว่า “คอยดูนะว่าเราจะแสดงอะไรออกมาได้บ้าง!”
เอเรียล โดโนฮิว…
จอช ฮาร์ทเน็ตต์: ผมรักอารี เธอเป็นคนที่มีชีวิตชีวา นักแสดงส่วนมากจะทำเหมือนเข้าใจบทบาทในวงการนี้ แต่อารีไต้องทำแบบนั้นเลย เธอเป็นคนเปิดกว้างมาก ทุกสิ่งที่คิดออกมาจากปากของเธอ ทำให้การเข้าฉากร่วมกับเธอมีความสนุกมาก เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป บางครั้งนักแสดงที่อายุยังน้อยก็ไม่อยากจะทำอะไรแบบเดิมซ็แล้วซ้ำเล่า เธอมีความเป็นมืออาชีพและเข้าใจทุกอย่าง มีความกระตือรือร้นที่เปลี่ยนความสดใสในแต่ละวันได้ ผมคิดว่าการแสดงของเธอบนหน้าจอสร้างความแปลกใจได้มา มันคือความตื่นเต้นที่ได้เห็นเธอสวมบทบาทนั้น
ซาลีก้า…
จอช ฮาร์ทเน็ตต์: ซาลีก้าเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ เป็นคนที่ต้องทำอะไรหลายอย่างในเรื่องนี้หากไม่รวมถึงไนท์ เธอแต่งเพลงและบันทึกเสียงอัลบั้ม จากนั้นต้องเรียนรู้การแสดงบนเวทีทั้งหมด โดยปกติแล้วเธอต้องไปออกทัวร์ เธอต้องคิดตัวละครขึ้นมาด้วย ซึ่งนี่ไม่ใช่จากมุมของเธอเลย ผลงานของเธอด้านเสียงดนตรีคือเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับตัวละครของผม และช่วงที่เขาเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เพลงทั้งหมดที่สร้างความน่าทึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับคูเปอร์ที่กำลังเผชิญเหตุการณ์ทั้งหลายตลอดเรื่อง เพลงไม่มีความชัดเจนหรือน่าเบื่อจนเกินไป ครั้งแรกจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ มันไม่ได้ปรากฏอย่างชัดเจน มันคือความสำเร็จที่น่าจดจำ เธอถ่ายทอดทุกอย่างออกมาได้สมบูรณ์และนี่คือหนังเรื่องแรกของเธอด้วย แถมยังเป็นการกำกับฯ โดยไนท์ ผมคิดว่าเป็นเพราะความทุ่มเทของเฮอร์คิวลีนที่ใส่เข้าไปและเป็นการสร้างแรงบันดาลใจได้ด้วย
ขั้นตอนการทำงาน…
จอช ฮาร์ทเน็ตต์: ไนท์เป็นคนที่อ่อนโยนมากครับ ผมคิดว่าเขารู้ดีว่าประสบการณ์ของเขาคือสิ่งล้ำค่า การได้มาทำงานทุกวันและสร้างเรื่องราวที่เราต้องการถ่ายทอดออกมานี้ เขามีความสุขกับมันมาก เขาเตรียมตัวไม่เหมือนคนอื่นที่ผมเคยร่วมงานด้วย เขารู้อย่างชัดเจนว่าฉากนี้ต้องถ่ายทำแบบไหนทุกวัน เขาเขียนเรื่องราวทั้งหมดและสตอรี่บอร์ดก่อนที่เราจะเริ่มงานกันด้วยซ้ำ ผมคุยกับช่างแต่งหน้าและช่างทำผม ทุกคนบอกว่าได้เจอเขาตั้งแต่ช่วงแรกของการทำงานเลย เขาบอกว่าในเรื่องจะมีทั้งหมด 811 ช็อต และผมคิดว่าเขามุ่งมั่นมาก คิดว่าทุกคนเองก็เช่นกัน ผมได้รับสตอรี่บอร์ดกองโตซึ่งเท่ากับหนังทั้งเรื่องเลย เราสามารถพลิกดูและเห็นทุกฉากได้ สำหรับคนที่มีการเตรียมตัวแบบนั้นและลงมือทำอย่างเต็มที่… ผมคิดว่าเป็นเพราะเขาเข้าใจว่านักแสดงจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร เราจะเห็นเขาอยู่ด้านหลังกล้อง ได้เห็นการแสดงจริง ต้องการให้ทุกอย่างออกมา 100% ได้เห็นภาพว่าผู้ชมจะรู้สึกอย่างไร เขาสามารถรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้ชมเห็นผลงานที่มีคุณภาพได้ ผลงานนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ชำนาญในตัวเขา ผมคิดว่าจากการทำงานทั้งหมดทำให้เขาสนุกกับมัน
ร่วมพูดคุยกับซาลีก้า (เลดี้ เรเวน / ผู้แต่งเพลงต้นฉบับ)
จุดเริ่มต้น…
ซาลีก้า: โปรเจ็กต์นี้มีความเป็นส่วนตัวมาก เพราะเป็นไอเดียที่ฉันคุยกับพ่อมานานมากแล้ว เรื่องการนำดนตรีมารวมกับภาพยนตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้ากันได้ดีมากในวัฒนธรรมภาพยนตร์บอลลีวูดของเรา มันเป็นสิ่งที่มีความเป็นธรรมชาติ แต่เราอยากทำขึ้นมาในแบบของเรา เป็นอะไรที่มอบความเป็น “ชยามาลาน” มากขึ้น นั่นคือต้นกำเนิดค่ะ เขามาพร้อมกับไอเดียของฆาตกรต่อเนื่องที่คอนเสิร์ต โดยจัดคอนเสิร์ตเป็นกับดัก จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมา เขาเขียนบทฯ พร้อมกับเน้นที่บทเพลง และลงเอยที่ฉันแต่งอัลบั้มขึ้นมาเพื่อเรื่องนี้
บทภาพยนตร์…
ซาลีก้า: ครั้งแรกที่ได้อ่านบทฉันรู้สึกช็อคไปเลยค่ะ เพราะเป็ฯครั้งแรกที่ได้อ่านบทและคิดภาพตัวเองคือตัวละครหนึ่งในเรื่อง ฉันมักจะอ่านบทของพ่อและรู้สึกกลัว คอยนึกภาพว่าหนังจะออกมาเป็นแบบไหน นั่นคือความรู้สึกที่ต่างออกไปโดยส่วนตัว แต่มันก็ชวนหลงใหลได้มากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เลย ฉันหยุดเปิดหน้าต่อไปด้วยความตื่นเต้นไม่ได้เลย ฉันต้องคอยคาดเดาเรื่องต่างๆ ตลอดเวลาเลยค่ะ
ใครคือเลดี้ เรเวน? …
ซาลีก้า: ก่อนจะเราทำการฝึกซ้อมและหาซาวด์ที่เหมาะสำหรับอัลบั้ม ในช่วงแรกต้องนึกภาพว่าตัวละครนี้เป็นแบบไหนและเธอมาจากที่ไหน ใช่คะ เธอคือศิลปินแนวป๊อป แต่เสียงพลงนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ มันมีทั้งความลึกลับและชวนกังวล มีความสนุกและรู้สึกเป็นอิสระ นั่นคือสิ่งแรกที่ทำให้ฉุกคิดว่าใครคือเลดี้ เรเวน จากนั้นเราทำการฝึกซ้อมกัน โดยเริ่มหาความแตกต่างระหว่างฉันกับเลดี้ เรเวน ฉันมีการพูดแบบไหนและเธอมีการพูดแบบไหน มันก็สนุกดีนะคะในบางมุม ฉันคิดว่าพ่อแต่งตัวละครนี้ขึ้นมาให้มีความกล้า มีความมั่นใจมากกว่าฉัน อาจจะมีความมั่นใจในตัวเองลดลง แต่มีศีลธรรมในแบบเดียวกันฉัน ฉันคิดว่าตัวละครของพ่อทำให้ฉันได้ปลดปล่อยความไม่มั่นใจบางอย่างออกมา เพราะเลดี้ เรเวนไม่มีคุณสมบัติเหล่านั้นเลย เธอเป็นคนมุ่งมั่นและมีความชัดเจน ฉันคิดว่ามันมีความน่าสนใจมากค่ะ
การร่วมงานกับเอ็ม. ไนท์…
ซาลีก้า: ความหลงใหลในการสร้างภาพยนตร์ของคุณพ่อคือสิ่งที่ออกมาจากใจเท่าที่เคยเห็นใครมีความหลงใหลมาก่อน มันคือสิ่งที่เขาเป็นตั้งแต่สมัยยังเด็ก มันคือสิ่งที่เขารัก เขาคิดถึงมันตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ตอนที่เรายังเด็กเขาเคยแต่งเรื่องน่ากลัวและสร้างตัวละครเหล่านั้นขึ้นมา จากนั้นก็เอามาเล่าให้เราฟังนานหลายเดือน ทุกคืนจะมีเรื่องราวในตอนที่ต่างกันไป นั่นคือสิ่งที่เขาเป็นค่ะ เขาคือนักเล่าเรื่อง สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจคือเขาชอบเล่าเรื่องราวลึกลับ เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนมองโลกแง่บวก คุณจะเห็นเรื่องดีๆ ที่อยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ตลอด และเขาคิดวาจักรวาลนี้มอบสิ่งที่ดี มันคือสิ่งสำคัญที่อยู่ในหนังหลายเรื่องของเขา และฉันคิดว่านั่นคือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงความงดงามในการเฝ้าดู ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจในฉษก และทำให้หลายคนมีความสุขและสนุกเมื่อได้อยู่ที่นี่ เหมือนเราอยู่ในความฝัน เขารู้สึกแบบนั้นและพวกเราก็จดจำแบบนั้นในทุกวัน
คอนเสิร์ต…
ซาลีก้า: มันเหลือเชื่อมากเพราะเหมือนเราต้องเตรียมจัดงานทัวร์ในสนามกีฬา ไม่มีตกหล่นรายละเอียดอะไรเลย เรามีทั้งเพลง ท่าเต้นที่สมบูรณ์แบบ เสื้อผ้า หน้าจอ การเปลี่ยนฉากต่างๆ เราใช้เวลามหาศาลไปกับการสร้างมันขึ้นมา นี่ไม่ใช่การเตรียมออกแบบภาพยนตร์ธรรมดาเลย มันเหมือนกับ “เอาล่ะ เรามาจัดงานทัวร์กันเถอะ ทัวร์ของตัวละครนี้จะออกมาแบบไหน? จากตรงนั้นแล้วจะไปไหนต่อ? ผู้ชมจะรู้สึกเซอร์ไพรส์กับจุดไหนบ้าง มีความสนุกสนานแบบขึ้นๆ ลงๆ งั้นหรือ? เพลงที่แต่งขึ้นมาจะสร้างโชว์ในเรื่องได้อย่างไร?” และฉันคิดถึงอีกหลายสิ่งที่สำคัญระหว่างแต่งเพลง เพราะมันต้องทำหน้าที่เล่าเรื่องราวในสิ่งที่เกิดขึ้นกับคูเปอร์ตอนที่พยายามหลบหนี แต่ก็ต้องทำหน้าที่เพลงประกอบภาพยนตร์ด้วย เพลงต้องทำหน้าที่ทั้งสองด้าน มันมีความสนุกนะคะ ท้าทายมากแต่ก็สนุกดี
เพลงทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราว…
ซาลีก้า: ความเครียดในเรื่องจะยิ่งเครียดมากขึ้น มันเพิ่มขึ้นเมื่อคูเปอร์ยิ่งดูหมดหวังและพยายามทำอะไรบ้าๆ เพื่อหนีออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้ ขณธเดียวกันเพลงก็ช่วยเพิ่มพลัง สร้างความรู้สึกที่รุนแรงมากขึ้น เช่นเดียวกับฉากต่างๆ การเต้นและเสื้อผ้า คุณพ่อเขียนบทออกมาได้มีความพิเศษมาก และฉันต้องหาเพลงที่เหมาะสมทั้งเนื้อร้องและน้ำเสียง ทุกฉากมีความพิเศษต่ออารมณ์มาก ถึงจุดหนึ่งคูเปอร์จะออกอุบายให้ลูกสาวขึ้นไปอยู่บนเวที ตอนนั้นจะรู้สึกแบบไหน? เขาเป็นคนวางแผน เขาเกิดความสนุก ฉะนั้นเสียงเพลงต้องดูยั่วยวน เมื่อบรรยากาศมีความตึงเครียดมากขึ้น เขาเอาวิทยุสื่อสารไปและได้ยินว่าทุกอย่างเข้าใกล้ตัวขนาดไหน เพลงต้องมีจังหวะมากขึ้น ลึกลับและชวนค้นหามากขึ้น ฉันคิดว่าดนตรีคือสิ่งที่ช่วยขยายเรื่องราวเสมอค่ะ
การสร้างเลดี้ เรเวนขึ้นมา…
ซาลีก้า: เรานึกถึงชื่อของตัวละครมากมาย แต่เลดี้ เรเวนคือชื่อที่ฉันชอบค่ะ เรเวนคือสัญลักษณ์ครอบครัวของเราถึงสิ่งที่มีความลึกลับแต่งดงาม มีความเข้มแข็งและน่าเกรงขาม ฉะนั้นการค้นหาน้ำเสียงของเธอ… มันต้องมีความเป็นแนวป๊อปแต่ชวนกังวล เราสนุกสนานไปด้วยได้ เธอคือศิลปินที่อยากสอนผู้ชมและเป็นผู้หญิงที่เดินตามความเข้มแข็ง เชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็นและไม่เกรงกลัวที่จะไขว่คว้าสิ่งต่างๆ นึกภาพว่านั่นคือข้อความสำคัญที่จะถ่ายทอดออกมา และในเรื่องเสื้อผ้าของเธอ เราไม่อยากจะเลียนแบบหรือสร้างสิ่งที่เราเคยเห็นมาแล้ว สำหรับการหาเอกลักษณ์ของเลดี้ เรเวน ต้องอาศัยการสร้างภาพลักษณ์ให้เธอขึ้นมา เธอควรมีภาพลักษณ์แบบไหน? สุดท้ายเราเลือกให้ดูมีความชัดเจนด้วยลุคสีขาวทั้งหมด ยกเว้นช่วงเดียวที่มีการเปลี่ยนแปลง คือตอนที่เธอหวั่นไหวและพูดถึงเรื่องราววัยเด็ก แต่นอกเหนือจากนั้นจะเป็นสีขาวทั้งชุด มีความตื่นเต้นในชุดเสื้อคลุมกับรองเท้าบูทคู่ใหญ่ ฉันคิดว่าน่าคือสิ่งสำคัญในการรวมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน
รายละเอียดการถ่ายทำ / ข้อมูลต่างๆ ในภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่อง TRAP เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเอเรียล โดโนฮิวกับผู้กำกับฯ เพื่อพูดคุยกันเรื่องความเป็นไปได้ในการรับบทไรลีย์โดยเริ่มจากการไม่พูดคุยอะไร ด้วยเทคนิคที่ติดต่อกันผ่าน Zoom โดยไม่เปิดเสียง ในช่วงไม่กี่นาทีแรก เอ็ม. ไนท์ ชยามาลานและโดโนฮิวต้องอาศัยท่าทางในการพยายามสื่อสารกัน
ตามธรรมเนียมภาพยนตร์ของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ก่อนจะเปิดกล้องทีมนักแสดงทั้งหมดจะมารวมตัวกันเพื่ออ่านบทฯ และเรื่อง TRAP ก็มีจุดเริ่มต้นแบบเดียวกัน ผู้อำนวยการสร้างฯ มาร์ค เบียนสตอคเล่าว่า “D ตัวที่ 3 ถ่ายทอดสู่บทภาพยนตร์ในรูปแบบ 2 มิติ ทีมนักแสดงสวมบทตัวละครนั้นและเห็นทุกอย่างในบทอย่างชัดเจน”
ระหว่างถ่ายทำบทพ่อ/ลูกของคูเปอร์และเอเรียลช่วงการแสดงคอนเสิร์ตของเลดี้ เรเวนที่สวมบทโดยซาลีก้าในเรื่อง TRAP ผู้สร้างภาพยนตร์จะทำให้ผู้ชมสัมผัสบรรยากาศรอบตัวจอช ฮาร์ทเน็ตต์และเอเรียล โดโนฮิว เสียงดนตรีในคอนเสิร์ตจะเบากว่าเสียงพูดของนักแสดง ส่วนผู้ชมคอนเสิร์ตคนอื่นยังคงสนุกไปกับเสียงดนตรีและจังหวะบนเวที
คอนเสิร์ตจะไม่มีการสร้างบรรกยากาศได้อย่างไร? สำหรับเอ็ฟเฟ็กต์หนึ่งที่ใช้จริงในฉาก เครื่องทอดแบบความร้อนสูงสำหรับเฟรนช์ฟรายถูกนำมายกตัวอย่างในเรื่องนี้ การสร้างความปลอดภัยให้ลวดสลิงที่ใช้สำหรับสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์และเลียนแบบน้ำมันที่กำลังเดือดอยู่ จะมีการเติมน้ำเย็นย้อมสีลงไปเพื่อจำลองน้ำมันที่กำลังเดือด ซึ่งมันดูเหมือน “เดือด” ได้จากการปั๊มไนโตรเจนผ่านท่ออากาศที่อยู่ด้านล่างถัง
สำหรับการสร้างคอนเสิร์ตของเลดี้ เรเวน (ซาลีก้า) ที่จำหน่ายบัตรหมดในเรื่อง TRAP ขึ้นมา ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ วิล ทาวลีเริ่มจากการใช้ LiDAR (เครื่องตรวจสอบค่าแสงและความผันแปร) สแกนเพื่อสร้างสถานที่นั้นขึ้นมาในแบบ 3 มิติ นักแสดงจะถ่ายทำกันบนกรีนสกรีน และมีการสร้างภาพผู้ชมคอนเสิร์ตแบบ 2 มิติด้วยท่าทางที่หลากหลาย (ปรบมือ ส่งเสียงเชียร์ แสดงความชื่นชมแบบเงียบๆ ฯลฯ) โมเดล 3 มิติถูกผลิตขึ้นมาด้วย เพื่อให้ผู้สร้างภาพยนตร์เห็นภาพที่จะเกิดขึ้นจากการเรนเดอร์ 2 มิติ (เช่น หากมีการถ่ายทำจากอีกมุมหนึ่ง แสงไฟจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้เพราะมีการเตรียมไว้ใช้กับกลุ่มผู้ชมแล้ว) มีการใช้โมชั่นแคปเจอร์เพื่อสร้างภาพโมเดลคอมพิวเตอร์กราฟฟิค 3 มิติในท่าทางการเคลื่อนไหวต่างๆ มีการนำเทคนิคง่ายๆ มาใช้ร่วมด้วย โดยเทคนิคเหล่านี้จะทำให้สร้างภาพผู้ชมคอนเสิร์ต 300 คนเพิ่มมาอยู่ในที่นั่ง 15,000 จุดที่คูเปอร์ (ฮาร์ทเน็ตต์) พาไรลีย์ (โดโนฮิว) ไปดูเลดี้ เรเวนได้
สุดท้ายมีการใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์มากกว่า 250 ฉาก (ส่วนใหญ่จะเป็นฉากแฟนๆ ของเลดี้ เรเวน) ในเรื่อง TRAP
ในบริเวณที่เลดี้ เรเวน (ซาลีก้า) ทำการแสดงไปจนถึงพื้นที่มีผู้คนหนาแน่น จะเห็นสปอนเซอร์และโฆษณาที่สร้างขึ้นสำหรับเรื่อง TRAP ผู้กำกับศิลป์ สตีเวน เดปโค เล่าว่า “ทุกสิ่งสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อบริษัทเหล่านี้ จากนั้นมีการตกแต่งฉากเพื่อให้ได้ภาพลักษณ์โดยรวมและสีที่ถูกต้อง”
ธีมหนึ่งของเรื่อง TRAP ที่ถ่ายทอดผ่านการออกแบบเวทีของเลดี้ เรเวน (ซาลีก้า) ผู้กำกับศิลป์ฯ สตีเฟน เดปโคเล่าว่า “โทรศัพท์มือถือคือหนึ่งในการแสดงออกครั้งนี้ มันคือรูปลักษณ์ที่เราถ่ายทอดสู่โลกและเป็นอีกส่วนหนึ่งของเรา แทนที่จะมีการใช้สีเหลี่ยมสีดำเป็นตัวแทนในการนำเสนอ เราเลือกอีกทางหนึ่งที่เหมือนกับท่อต่อเป็นทรงทีวี” ลักษณะสี่เหลี่ยมที่มีมุมกลมนี้จะมีอยู่บนเวทีของป๊อปสตาร์บางช่วง และจะดูเหมือนอยู่ล้อมตัวแดนเซอร์ของเธอ
สำหรับภาพลักษณ์โดยรวมของเรื่อง TRAP เอ็ม. ไนท์ ชยามาลานได้แรงบันดาลใจเรื่องการผสมสีและภาพวาดของศิลปินอิตาเลียนแห่งศตวรรษ อาเมดีโอ โมดิกเลียนี่ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แคโรไลน์ ดันแคน เล่าถึงการออกแบบของเธอและผู้ออกแบบฉากเด็บบี้ เดอวิลล่าเอาไว้ว่า “เราปล่อยให้มันนำพาเราไปสู่โลกที่เราสร้างภาพขึ้นมา”
สำหรับการผลิตเสื้อผ้าที่ คูเปอร์ ตัวละครของจอช ฮาร์เน็ตต์เป็นผู้สวมใส่ไปคอนเสิร์ตในเรื่อง TRAP ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แคโรไลน์ ดันแคน สังเกตจากมุมความจริงว่า “เขาเป็นคุณพ่อที่มีความรักมอบให้อย่างเต็มเปี่ยม มีความอบอุ่น เป็นคนที่เราเข้าใจเขาได้ เขาไม่ใช่พ่อที่ดูเท่ขนาดนั้น และมีการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเขา… แต่ในการเปิดเผยสิ่งนั้นออกมา อันที่จริงเขาไม่ได้พยายามหลบซ่อนตัวในฝูงชนเลย เราเลือกให้เขาสวมเสื้อขนสัตว์ที่มีริ้ว ดูธรรมดาและไม่กลัวการถูกจับกุมตัวเลย”
สำหรับการออกแบบท่าเต้นในเรื่อง TRAP ของโคร่า โคซาริส เริ่มจากการคิดท่าเต้นและการเคลื่อนไหวให้เลดี้ เรเวน (ซาลีก้า) บนโชว์ที่สนามกีฬา เธอปรับเหล่านักเต้นให้กลายเป็นกรีกคอรัส “ฉากคอนเสิร์ตมีการแสดงบนพื้นที่จุคนได้ 15,000 คน ฉะนั้นทุกการเคลื่อนไหวต้องดูยิ่งใหญ่ มีความตื่นเต้น เหล่านักเต้นต้องออกมาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่ ในลมหายใจเดียวกัน ทาเต้นต้องมีรายละเอียดและชวนมองการเคลื่อนไหวของตัวละครบนเวที เพลงประกอบภาพยนตร์ตลอดทั้งเรื่องออกมาจากประสบการณ์ส่วนตัวหรือความเจ็บปวดและความสัมพันธ์ของเลดี้ เรเวน รมมถึงการสร้างตัวละครนำที่มีความเข้มข้นและสิ่งที่พวกเขาจะได้สัมผัสบนเวที”
ประวัตินักแสดง
จอช ฮาร์ทเน็ตต์ (คูเปอร์) เกิดที่ซานฟรานซิสโก โตที่มินเนียโพลิส มินเนโซต้า เขาได้รับความสนใจจากผู้ชมครั้งแรกในบท ไมเคิล “ฟิตซ์” ฟิตซ์เจอรัลด์ ในทีวีซีรีส์ Cracker แสดงภาพนตร์ครั้งแรกปี 1998 ร่วมกับเจมี่ ลี เคอร์ทิส ในเรื่อง Halloween: H20 ผลงานของ Miramax ปีเดียวกันนั้นเขาได้ชิงรางวัล MTV Movie Award สาขา Best Breakthrough Performance ปี 1998 เขาแสดงในเรื่อง The Faculty กำกับฯ โดยโรเบิร์ต โรดริเกซ ผลงานของ Miramax ปี 1999 เขาแสดงในผลงานแบล็คคอมเมดี้ของ Paramount Classics ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ The Virgin Suicides คู่กับเคอร์สเทน ดันสต์ ผลงานกำกับฯ ครั้งแรกของโซเฟีย คอพโพลล่า
ปี 2001 เขาได้รับความนิยมอย่างมากโดยการแสดงภาพยนตร์ 3 เรื่อง รับบทคู่ปรับในผลงานของ Lionsgate เรื่อง O เวอร์ชันปัจจุบันของ Othello การรับบทที่มีความลึกลับและน่ากลัวของฮิวโก้ทำให้เขาได้รับคำชมอย่างมาก จากนั้นรับบทในผลงานของเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ เรื่อง Pearl Harbor ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 1 พันล้านเหรียญให้ Disney หลังจากนั้นเดินทางไปโมรอคโคเมื่อแสดงในผลงานของ Sony เรื่อง Black Hawk Down ของผู้กำกับฯ ริดลีย์ สก็อตต์ และเป็นผลงานของเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์อีกครั้งในการผลิต ภาพยนตร์อิงจากนยายของมาร์ค โบว์เดน ปี 1999 ที่สร้างจากเรื่องจริงในชื่อเดียวกัน ถ่ายทอดเรื่องราวภารกิจของผู้มีมนุษยธรรมสหรัฐฯ ในโซมาเลีย เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 1993 ปี 2002 ทาง National Theater Owners ได้มอบรางวัล ShoWest 2002 Male Star of Tomorrow Award ให้เขา
ต่อมามีผลงานของ MGM เรื่อง Wicker Park กำกับฯ โดยพอล แม็คกุยแกน ผลงานของ Miramax เรื่อง Sin City ของผู้กำกับฯ โรเบิร์ต โรดริเกซ และ Mozart and the Whale เขียนบทโดยรอน บาส (เรื่องราวความรักระหว่างคนสองคนที่เป็นโรคแอสเพอร์เกอร์) เขายังแสดงในเรื่อง Lucky Number Slevin ร่วมกับมอร์แกน ฟรีแมน และ บรูซ วิลลิส ผลงานของ Weinstein Company และ The Black Dahlia ของผู้กำกับฯ ไบรอัน เดอ พัลม่า คู่กับสการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน ฉายโดย Universal Pictures เมื่อเดือนกันยายน 2006
ปี 2008 จอชแสดงในผลงานแนวอินดี้ดราม่า เรื่อง August ฉายครั้งแรกในงาน Sundance Film Festival เรื่องราวเกี่ยวกับ 2 พี่น้องที่พยายามประคองบริษัทช่วงแรกเริ่มของพวกเขาในซัมเมอร์ปี 2001 ก่อนเกิดเหตุการณ์ 9/11 ปีนั้นเขารับบทชาร์ลี แบบบิตต์ในผลงานดัดแปลงจากละครเวที เรื่อง Rain Man ใน London’s West End ที่ Apollo Theatre คู่กับผู้ชิงรางวัล Olivier นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษ อดัม กอดลีย์
ระหว่างปี 2014 และ 2016 เขารับบทอีธาน แชนด์เลอร์ในซีรีส์ที่ได้รับการยกย่องมากทาง Showtime เรื่อง Penny Dreadful
ภาพยนตร์เรื่องอื่นที่สร้างชื่อเสียงให้เขา ได้แก่ Hollywood Homicide; 40 Days and 40 Nights; Blow Dry; Town and Country; Here on Earth; I Come with the Rain กำกับฯ โดยทราน อาห์ จัก (Scent of the Green Papaya); Bunraku; Singularity; Parts Per Billion; Wild Horses; 6 Below; Resurrecting the Champ และผลงานของ Sony เรื่อง 30 Days of Night ล่าสุดเขาแสดงในเรื่อง Oh Lucy!; Target Number One ผลงานกำกับฯ โดยกาย ริตชี่ เรื่อง Wrath Of Man and Operation Fortune: Ruse de Guerre และผลงานภาพยนตร์สารคดี 4 ตอนทาง HBO/Raoul Peck เรื่อง Exterminate All the Brutes
ล่าสุดเขารับบท เออร์เนสต์ ลอว์เรนส์ ในภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลนที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ Oppenheimer
เอเรียล โดโนฮิว (ไรลีย์) นักแสดงชาวออสเตรเลียนผู้มีชื่อเสียงจากบท เอ็มม่า ในทีวีซีรีส์ชื่อดัง Woof Like Me ผลิตโดยอาเบะ ฟอร์ไซธ์ นำแสดงคู่กับอิสลา ฟิชเชอร์ และ จอช แกด (ชิงรางวัลปี 2024 Silver Logie)
ผลงานเรื่องอื่นที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ทีวีซีรีส์ทาง Stan เรื่อง C*A*U*G*H*T และภาพยนตร์เรื่อง Blueback กำกับฯ โดยโรเบิร์ท คอนนอลลี่ เอเรียลยังแสดงภาพยนตร์เรื่องสั้นอีกมากมาย เช่น Tough กำกับฯ โดยเทย์เลอร์ เฟอร์กูสัน และเรื่อง Crossing Paths กำกับฯ โดย เจเจ วินเลิฟ ทั้งสองเรื่องฉายในงาน Sydney Film Festival
เธอกำลังจะมีผลงานแสดงนำคู่กับจอช ฮาร์ทเน็ตต์ ในผลงานล่าสุดของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เรื่อง และเพิ่งถ่ายทำเรื่อง Cooee คู่กับมีอา อาร์ทีมิส
หากเสียงดนตรีออกมาจากเงาและแสงจันทร์ได้ ซาลีก้า (เลดี้ เรเวน) คือผู้ร่ายเวทมนตร์สร้างเสียงดนตรีจากการฝึกซ้อมเพลงคลาสสิคตั้งแต่สมัยยังเด็ก เธอมีความหลงใหลในแนวเพลง R&B และแนวอินเดียนของเธอ ตอนอายุเพียง 4 ขวบ เธอมีแววเป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักเปียโนโดยเริ่มเรียนหลักสูตรเปียโน นอกจากนั้นยังใช้เวลา 4 ชั่วโมงต่อวันกับเครื่องดนตรี และสไตล์อื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเธอ เธอฟังทั้งเพลงของ JAY-Z, Etta James, Amy Winehouse และ Jeff Buckley กับคุณพ่อ และซึมซับความหลงใหลภาพยนตร์บอลลีวูดและเพลงลาตินมาจากคุณแม่ ระหว่างที่พัฒนาด้านการฝึกดนตรีคลาสสิคระดับมหาวิทยาลัย เธอได้พบกับความชอบในการเรียบเรียงและแต่งเพลงขึ้นมา
เธอเรียนที่ Brown University ด้านการแต่งเพลง การควบคุมและหลักการ หลังจากเรียนจบได้มีผลงานอิสระครั้งแรก LP, Séance เป็นการแนะนำน้ำเสียง การแต่งเพลง และการผลิตของเธอ เธอได้รับคำชมจาก WWD, Rated R&B และอีกมากมาย นิตยสาร Forbes ยกย่องว่า “สร้างความทึ่ง” และทาง NYLON ยกย่องให้เธอเป็น “บุคคลน่าจับตามองในวงการ R&B”
นอกจากการสนับสนุน GIVĒON, Andra Day, Boyz II Men, Summer Walker และ K. Michelle บนเส้นทางแล้ว เสียงดนตรีของเธอยังปรากฏผ่านภาพยนตร์และผลงานทางทีวี เธอมีส่วนร่วมในเพลงต้นฉบับ 7 เพลงของผลงานทาง Apple TV+ เรื่อง Servant และ “ตราตรึง” ในผลงานฟอร์มยักษ์เรื่อง Old
การแต่งเพลงที่มีความเป็นธรรมชาติและเสียงดนตรีในการแสดงสดที่มีองค์ประกอบอันเหลือเชื่ออย่างทาบลาและฟลุต เธอเป็นแบบอย่างใหม่ให้เสียงดนตรีที่มีความนิยม ซึ่งความตกตะลึงนี้จะถ่ายทอดสู่ตัวละครเลดี้ เรเวนในเรื่อง Trap มีส่วนร่วมในการสร้างอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ (ที่เธอแสดง ร่วมแต่งเพลง และร่วมผลิต) รวมถึงผลงานอีกมากมาย
เฮย์ลีย์ มิลส์ (ดร. จอสไฟน์ แกรนท์) เพิ่งตีพิมพ์ผลงานเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของเธอในฮอลลีวูด และการร่วมงานกับ Walt Disney อย่างยาวนาน เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาเป็นการส่วนตัว
มิลส์ได้รับรางวัล Oscar ตอนอายุ 14 ขวบเมื่อปี 1961 จากการรับบทแสดงนำในเรื่อง Pollyanna ตั้งแต่เธอเริ่มการแสดงอายุ 9 ขวบ เธอถ่ายทำภาพยนตร์ไปแล้ว 33 เรื่องและเข้าชิงรางวัลมากมาย
ผลงานที่ผ่านมาของเธอ ได้แก่ Age of Tony ที่ร่วมงานกับไมเคิล ชีน และ Arthur’s Whisky ที่ร่วมงานกับไดแอน คีตัน, แพทริเซีย ฮอดจ์ และ โจแอนนา เดวิด ซีรีส์ทาง ITVX เรื่อง Unforgotten ซีรีส์ 2 เรื่องของ Wheel of Time และบทบาทในซีรีส์ทาง Channel 5 เรื่อง Compulsion และซีรีส์ทาง BBC 2 เรื่อง ได้แก่ Pitching In และ Death in Paradise
เฮย์ลีย์ออกทัวร์ปีที่แล้วจากการรับบทแสดงนำในเรื่อง The Best Exotic Marigold Hotel และก่อนหน้านั้นเธอเคยแสดงละคร off-Broadway ผลงานคอมเมดี้เรื่องใหม่ Party Face
อลิสัน พิลล์ (ราเชล) ล่าสุดแสดงในเรื่อง Uncle Vanya ผลงานละครบรอดเวย์คู่กับสตีฟ คาเรลล์ กำกับฯ โดยไลล่า นอยเกเบาเออร์ และกำลังจะมีผลงานแสดงของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เรื่อง Trap คู่กับจอช ฮาร์ทเน็ตต์ ล่าสุดเธออ่านบทในผลงานของมาร์ติน แม็คโดนอห์ เรื่อง The Pillowman กำกับฯ โดยไลล่า นอยเกเบาเออร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Main Stage Reading Series สำหรับงาน Williamstown Theatre Festival ปี 2023 พิลล์ยังแสดงในผลงานอินดี้ Eric Larue กำกับฯ โดยไมเคิล แชนนอน คู่กับอเล็กซานเดอร์ ซการ์สการ์ด และ จูดี้ เกรียร์ ฉายครั้งแรกในงาน Tribeca Film Festival 2023 ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม เธอกำลังจะมีผลงานแสดงในภาพยนตร์อินดี้ เรื่อง Young Werther คู่กับดักลาส บูธ
สำหรับผลงานทางทีวี เธอแสดงในเรื่อง Hello Tomorrow! คู่กับบิลลี่ ครูดับ สำหรับทาง Apple TV+ และยังแสดงซีรีส์ในผลงานทาง CBS All Access เรื่อง Star Trek: Picard ถึง 2 ฤดูกาล ซีรีส์ของอเล็กซ์ การ์แลนด์ ทาง FX เรื่อง Devs และซีรีส์ทาง Amazon เรื่อง Them ผลงานอื่นทางทีวีของพิลล์ รวมถึงภาพยนตร์ของไรอัน เมอร์ฟี่ American Horror Story: Cult; ผลงานแนวดราม่าทาง ABC เรื่อง The Family ซีรีส์ของอารอน ซอร์คินที่ได้รับคำชมทาง HBO เรื่อง The Newsroom; ผลงานแนวดราม่าทาง HBO เรื่อง In Treatment; The Book of Daniel และ Life with Judy Garland: Me and My Shadows สำหรับผลงานการพากย์เสียง เธอจะให้เสียงพากย์ในบท ออร่า ซีรีส์แอนิเมชั่นเรื่องใหม่ของ Disney เรื่อง Bad Spellers และ ฟาร์เมอร์ เฟย์ ในผลงานของ Disney เรื่อง Robogobo
ผลงานที่มีชื่อเสียงในอดีต ได้แก่ ภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ เฮดจ์ส เรื่อง The Same Storm; All My Puny Sorrows ฉายครั้งแรกในงาน TIFF ปี 2021 และผลงานแนวประวัติชีวิตที่ชิงรางวัล Oscar เรื่อง Vice เขียนบทฯ และกำกับฯ โดยอดัม แม็คเคย์ คู่กับคริสเตียน เบล, เอมี่ อดัมส์ และ สตีฟ คาร์เรลล์ อลิสันยังแสดงในเรื่อง Miss Sloane, Hail Caesar!, Snowpiercer, Goon, Scott Pilgrim vs. the World, Milk, Dan in Real Life, Dear Wendy และ Pieces of April เสียงของเธอปรากฏในตัวละคร สก็อตต์ พิลกริม ผลงานแอนิเมชั่นรีบูทของ คิม ไพน์ เรื่อง Scott Pilgrim ทาง Netflix เรื่อง Scott Pilgrim Takes Off
อลิสันแสดงละครบรอดเวย์ในผลงานเข้าชิงรางวัล Tony เรื่อง Three Tall Women เขียนบทฯ โดยเอ็ดเวิร์ด อัลบี กำกับฯ โดยโจ แมนเทลโล คู่กับเกล็นดา แจ็คสัน และ ลอว์รี่ เม็ตคาล์ฟ เธอได้ชิงรางวัล Tony Award จากการแสดงบรอดเวย์ครั้งแรกในเรื่อง The Lieutenant of Inishmore และรางวัล Lucille Lortel Award จากเรื่อง On the Mountain เธอได้รับรางวัล Drama Desk Award สาขา Outstanding Ensemble ในสหรัฐฯ จากการฉายรอบแรกของเรื่อง The Distance from Here เธอเป็นตัวแทนของ The Burstein Company และ CAA
ประวัติผู้สร้างภาพยนตร์
ผู้เขียนบทฯ ผู้กำกับฯ และผู้อำนวยการสร้างฯ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (ผู้กำกับฯ / ผู้เขียนบทฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ) ดึงดูดความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกมายาวนานเกือบ 2 ศตวรรษ สร้างภาพยนตร์ที่กวาดรายได้ทั่วโลกมาแล้วมากกว่า 3 พันล้านเหรียญ ผลงานสร้างความตื่นเต้นของเขาได้รวมถึงเรื่อง The Sixth Sense, Unbreakable, Signs, The Village และ The Visit
ชยามาลานเริ่มการสร้างภาพยนตร์ตั้งแต่อายุยังน้อยที่บ้านเกิดของเขาใกล้ฟิลาเดเฟีย และตอนอายุ 16 ปีเขามีการสร้างหนังสั้นไปแล้ว 45 เรื่อง เมื่อจบไฮสคูลเขาศึกษาต่อที่ New York University’s Tisch School of the Arts เพื่อเรียนเรื่องการสร้างภาพยนตร์ ในช่วงปีสุดท้ายที่ NYU เขาเขียนบทฯ Praying with Anger ผลงานบันทึกเรื่องราวของนักเรียนจากสหรัฐฯ ผู้เดินทางไปที่อินเดีย และพบว่าตัวเองเหมือนคนแปลกหน้าในบ้านเกิดตัวเอง ภาพยนตร์มีการฉายที่งาน Toronto International Film Festival พร้อมเรื่อง Reservoir Dogs และ Strictly Ballroom ช่วงหลายปีต่อมาเขาได้เขียนบทเรื่อง Stuart Little ให้กับ Columbia Pictures และเสร็จสิ้นผลงานเรื่องแรก Wide Awake ภาพยนตร์ที่เป็นเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งค้นพบศรัทธาของเขา
ปี 1999 เรื่อง The Sixth Sense นำแสดงโดยบรูซ วิลลิส ทำให้ชยามาลานกลายเป็นดาวเด่นและกลายเป็นผู้สร้างภาพยนตร์อายุน้อยที่ฮอลลีวูดต้องการตัวมาก เรื่อง The Sixth Sense เป็นหนึ่งในภาพยนตร์กวาดรายได้สูงสุดตลอดกาล ได้ชิงรางวัล Academy Award ทั้ง 6 รางวัล รวมสาขา Best Picture, Best Director และ Best Original Screenplay
ชยามาลานร่วมงานกับวิลลิสอีกครั้งปี 2000 ในเรื่อง Unbreakable นำแสดงโดยซามูเอล แอล. แจ็คสัน ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวในอนาคต เรื่อง Unbreakable กลายเป็นผลงานฮิตในหลายปีหลังจากที่มีการฉาย เขาเปิดการสำรวจความคิดของผู้ชายคนหนึ่งที่สงสัยในศรัทธาของตัวเองอีกครั้ง ในผลงานปี 2002 ที่สร้างความสำเร็จให้บ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่อง Signs นำแสดงโดยเมล กิ๊บสัน และ วาคีน ฟีนิกซ์
ปี 2004 ชยามาลานเปิดตัวเรื่อง The Village นำแสดงโดยไบรซ์ ดอลลาส โฮเวิร์ด และ วาคีน ฟีนิกซ์ ภาพยนตร์เกี่ยวกับสังคมอันโดดเดี่ยว และข้อตกลงที่พวกเขามีร่วมกับสิ่งมีชีวิตลึกลับที่อยู่รอบป่า ในผลงานเรื่องต่อไปของเขา Lady In the Water ชยามาลานได้สำรวจโลกกของเรื่องเหนือธรรมชาติในนิทานก่อนนอนที่มีความลึกลับ ปี 2008 เขาเขียนบทฯ กำกับฯ และอำนวยการสร้างฯ The Happening นำแสดงโดยมาร์ค วาห์ลเบิร์ก ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งกับครอบครัวของเขาที่พยายามหนีออกจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ยากจะอธิบายได้
ผลงานอื่นที่มีชื่อเสียงของเขายังรวมถึงเรื่อง The Last Airbender ผลงานแรกที่ก้าวสู่ความบันเทิงแห่งครอบครัว และเรื่อง After Earth ผลงานไซไฟต้นฉบับเกี่ยวกับคุณพ่อและลูกชาย นำแสดงโดยวิล สมิธ และ จาเด็น สมิธ
ปี 2015 เขาร่วมทีมกับ Universal ในผลงานสยองขวัญ The Visit สร้างรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกไปเกือบ 100 ล้านเหรียญ เรื่อง The Visit เป็นหนึ่งในผลงานสยองที่กวาดรายได้สูงสุดแห่งปี ชยามาลานยังมีผลงานทริลเลอร์ร่วมกับ Universal Studios ที่ขึ้นอันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศเป็นเวลา 3 สัปดาห์ติดต่อกัน เดือนมกราคม 2019 ชยามาลานมีผลงานเรื่อง Glass ซึ่งเป็นตอนที่ 3 จากผลงานไตรภาคที่รวมถึงเรื่อง Unbreakable และ Split
ก้าวแรกของเขาสู่วงการทีวีเกิดขึ้นเมื่อปี 2015 ช่วงที่อำนวยการสร้างบริหารฯ และกำกับฯ เรื่อง Wayward Pines ซีรีส์ 10 ตอนที่มีการรอคอยอย่างมาก สร้างอิงจากนิยายขายดี เป็นรูปร่างขึ้นมาโดยชยามาลานเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2015 ทาง FOX ผลงานนั้นเป็นที่นิยมของแฟนๆ จนกลายเป็นผลงานดราม่าอันดับ 1 ที่มีการชมมากที่สุดในช่วงซัมเมอร์
ปี 2021 ชยามาลานฉายเรื่อง Old ของทาง Universal นำแสดงโดยกาเอล การ์เซีย บาร์นัล, วิคกี้ ครีปส์ และอเล็ซ์ วูล์ฟ สร้างอิงจากนิยายภาพเรื่อง Sandcastle
ล่าสุดชยามาลานกำกับฯ เขียนบทฯ และผลิตเรื่อง Knock at the Cabin ของทาง Universal สร้างอิงจากนิยายปี 2018 เรื่อง The Cabin at the End of the World โดยพอล จี. เทร็มเบลย์ ภาพยนตร์เปิดตัวบ็อกซ์ออฟฟิศอันดับ 1 นำแสดงโดยเดฟ บาวทิสต้า, โจนาธาน กรอฟฟ์, เบ็น อัลดริดจ์, นิคกี้ อามูคา-เบิร์ด, คริสเทน คูอิ, แอ็บบี้ ควินน์ และ รูเพิร์ท กรินท์
สำหรับผลงานทางทีวี ชยามาลานทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารและผู้ควบคุมการแสดง รวมถึงกำกับผลงานทริลเลอร์ระทึกขวัญยอดนิยม 5 ตอนทาง Apple TV+ เรื่อง Servant ผลงานทริลเลอร์ที่มีผู้ชมมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
ชยามาลานยังทุ่มเทเวลาไปกับโปรเจ็กต์การกุศลเพื่อูลนิธิของเขาที่ร่วมกับตั้งกับภรรยา ดร.บาฟนา ชยามาลาน เมื่อปี 2001 มูลนิธิ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน อุทิศเพื่อการสนับสนุนผู้นำที่มีความน่าทึ่งและความพยายามในการสร้างทำลายกำแพงความยากจนและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
ด้วยความรักบ้านเกิดของเขาที่มีอย่างมากมาย ชยามาลานขึ้นชื่อเรื่องการสร้างภาพยนตร์ในฟิลาเดเฟียและพื้นที่โดยรอบ ตอนนี้เขาอาศัยที่เพนซิลวาเนียร่วมกับครอบครัว
แอชวิน ราจาน (ผู้อำนวยการสร้างฯ) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และผลงานทางทีวี รวมถึงประธานฝ่ายการผลิตของ Blinding Edge Pictures บริษัทผลิตภาพยนตร์ให้ผู้เขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ ที่เข้าชิงรางวัล Oscar ถึง 2 ครั้ง เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน
ล่าสุดราจานผลิตเรื่อง Knock at the Cabin ให้กับ Universal สร้างอิงนิยายปี 2018 เรื่อง The Cabin at the End of the World โดยพอล จี. เทรมเบลย์ ภาพยนตร์เปิดตัวบ็อกซ์ออฟฟิศอันดับ 1 นำแสดงโดยเดฟ บาวทิสต้า, โจนาธาน กรอฟฟ์, เบ็น อัลดริดจ์, นิคกี้ อามูคา-เบิร์ด, คริสเทน คูอิ, แอ็บบี้ ควินน์ และ รูเพิร์ท กรินท์
ปี 2021 ราจานผลิตเรื่อง Old สำหรับ Universal ภาพยนตร์เปิดตัวอันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศ นำแสดงโดย กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล, วิคกี้ ครีปส์ และ อเล็กซ์ วูล์ฟ สร้างอิงจากนิยายภาพเรื่อง Sandcastle
แอชวิน ราจานผลิตเรื่อง Glass ผลงานตอนที่ 3 ของไตรภาคที่รวมถึงเรื่อง Unbreakable และ Split เรื่อง Glass ฉายโดย Universal เมื่อเดือนมกราคม 2019 และขึ้นอันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศติดต่อกัน 3 สัปดาห์
ก่อนผลงานเรื่อง Glass ราจานทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ เรื่อง Split ฉายโดย Universal เมื่อเดือนมกราคม 2017 เรื่อง Split ทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศสูงสุด 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ราจานยังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ เรื่อง The Visit ผลงานสยองขวัญที่ประสบความสำเร็จของ Universal กลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่กวาดรายได้สูงสุดในปี 2016
สำหรับผลงานทางทีวี ราจานทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารในซีรีส์ระทึกขวัญยอดนิยมทั้ง 4 ฤดูกาลทาง Apple TV+ เรื่อง Servant ซีรีส์ระทึกขวัญที่มีการรับชมมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เขาทำหน้าที่อำนวยการสร้างบริหารซีรีส์ฮิต Wayward Pines ฉายครั้งแรกทาง FOX เมื่อเดือนพฤษภาคม 2015 ผลงาน Wayward Pines เป็นรูปร่างขึ้นมาโดย เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน และอิงิจากนิยายขายดีเรื่อง Pines เขียนบทโดยเบลค เคราช์ ซีรีส์ความยาว 10 ตอนที่ฉายครั้งแรกและต่อเนื่องมากกว่า 125 ประเทศ ผลงานเรื่อง Wayward Pines เป็นผลงานที่มีการฉายยาวนานของ FOX ที่มีสคริปต์
ราจานโตที่มาโฮแพค นิวยอร์ค และศึกษาที่ John Hopkins University เขาเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และการจัดการธุรกิจ ก่อนจะร่วมงานกับ Blinding Edge Pictures ราจานเป็นเอเจนท์ที่ United Talent Agency (UTA) เขาเป็นตัวแทนผู้สร้างภาพยนตร์ นักแสดง และนักดนตรีหลายคน ตอนนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่ฟิลาเดเฟีย
มาร์ค เบียนสต็อค (ผู้อำนวยการสร้างฯ) ได้กลับมาร่วมงานกับ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เพื่อผลิตเรือง Trap ผลงานเรื่องที่ 6 ที่ร่วมงานด้วยกัน เขาร่วมงานกับชยามาลานมานานนับ 10 ปี เริ่มจากเรื่อง The Visit และรวมถึงเรื่อง Split, Glass, Old และ Knock at the Cabin ผลงานของพวกเขากวาดรายได้เกิด 3 ใน 4 ของพันล้านเหรียญดอลลาร์
ตอนนี้เขากำลังผลิตเรื่อง Countdown ซีรีส์แอ็คชั่นเรื่องใหม่ของ Amazon ผลิตโดยเดเรค ฮาส ก่อนหน้านั้นเบียนสต็อคผลิตเรื่อง Quantum Leap for NBC; ซีรีส์ทาง Apple TV+ เรื่อง Shining Girls นำแสดงโดยเอลิซาเบธ มอส; Charm City Kings ผลงานของวิล สมิธ เรื่อง Overbrook Entertainment/Sony Pictures; Homecoming ซีรีส์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทาง Amazon/UCP และเรื่อง To All the Boys I Loved Before สำหรับ Netflix
เบียนสต็อคทำหน้าที่ผู้บริหารให้คำปรึกษาด้านการผลิตแห่ง Awesomeness TV ตั้งแต่ปี 2015-2017 และ WWE Films ตั้งแต่ปี 2013-2015 เขาได้ผลิตภาพยนตร์และผลงานทางทีวีมากมาย ปี 2011 ได้ร่วมงานกับ Lionsgate Films เพื่อก่อตั้ง Guerilla Films เพื่อผลิตผลงานที่มีต้นทุนขนาดเล็กของ Lionsgate ทำหน้าที่ผลิตและฉายภาพยนตร์ 6 เรื่องช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งปี 2011-2013
ก่อนหน้านั้นมาร์คทำหน้าที่รองประธานฝ่ายผลิตผลงานอินดี้และด้านจัดจำหน่ายต่างประเทศของบริษัท Lightning Entertainment เขาดูแลด้านการสร้างสรรค์และการผลิตทั้งภาพยนตร์และผลงานทางทีวีให้บริษัท ช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง 10 ปีที่ Lightning เขาผลิตภาพยนตร์และทีวีซีรีส์ในเม็กซิโก แคนาดา เอเชีย ยุโรป และทั่วสหรัฐฯ
ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เขาด้านการผลิต ได้แก่ Before I Fall (Awesomeness/Open Road); November Criminals นำแสดงโดยแอนเซล เอลกอร์ต และ โคลอี้ เกรซ โมเรตซ์ (Sony); Body Cam (Paramount); All Saints (Sony/Affirm); The Trials of Cate McCall นำแสดงโดยเคท เบ็คคินเซล และ นิค โนลเต้; Nurse (Lionsgate); The Remaining (Sony/Affirm); School Dance ที่ร่วมงานกับนิค แคนนอน และ เควิน ฮาร์ท; Quarantine 2: Terminal (Sony); Preacher’s Kid (Warner Bros.); Pathology (MGM/Lakeshore) และแฟรนไชส์เรื่อง Wild Things (Screen Gems)
มาร์ค เบียนสต็อคเริ่มกำกับมิวสิควีดีโอและโฆษณาหลังจากเรียนจบที่ NYU’s Tisch School of the Arts เมือปี 1987 เขายังกำกับภาพยนตร์อีก 2 เรื่อง ได้แก่ The Beneficiary และ Indiscreet ก่อนจะเปลี่ยนมาสนใจด้านการผลิตภาพยนตร์เมื่อปี 1998
สยมภู มุกดีพร้อม (ผู้กำกับภาพ) เกิดเมื่อปี 1970 ช่างภาพชาวไทยจบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ เอกภาพยนตร์และภาพนิ่ง เขาร่วมงานกับผู้กำกับฯ อภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล และ ลูก้า กวาดาญีโน่
เขาได้รับคำชมจากต่างประเทศในผลงานที่ได้รับรางวัล 2010 Palme d’Or จากเรื่อง Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives ได้รับรางวัล Best Cinematography ในงาน Dubai International Film Festival เขายังมีชื่อเสียงจากผลงานเรื่อง Blissfully Yours (Un Certain Regard Award) และ Syndromes and a Century (Asian Film Award ปี 2007 Best Cinematography) เขายังร่วมงานในผลงานไตรภาคของมิกูเอล โกเมส เรื่อง Arabian Nights (Vol 1-3)
ปี 2017 และ 2018 เขาร่วมงานกับลูก้า กวาดาญีโน่ในเรื่อง Suspiria และ Call Me by Your Name (รางวัล Oscar สาขา Best Adapted Screenplay ปี 2018) ที่เขาได้รับรางวัล Best Cinematography ในงาน Independent Spirit Awards 2 ปีติดต่อกัน เขาร่วมงานกับกวาดาญีโน่อีกครั้งในผลงานล่าสุด Challengers (2024) และผลงานที่กำลังจะฉายเรื่อง Queer สร้างอิงจากนิยายของวิลเลียม เอส. เบอร์โรห์ส
ปี 2021 เขาได้ร่วมงานกับอภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล ในเรื่อง Memoria จัดจำหน่ายโดย NEON เขาได้รับรางวัล Platino Award สาขา Best Cinematography ปี 2022
เขายังร่วมงานกับรอน โฮเวิร์ดในเรื่อง Thirteen Lives สร้างอิงจากเรื่องจริงของภารกิจช่วยชีวิตในถ้ำหลวงปี 2018 และกลับมาร่วมงานกับมิกูเอล โกเมสในผลงานปี 2024 เรื่อง Grand Tour
ผู้ออกแบบฉาก เด็บบี้ เดอ วิลล่า (ผู้ออกแบบฉาก) ได้ฝึกความสามารถและมุมมองของเธอในหลายโปรเจ็กต์ ล่าสุดในผลงานทริลเลอร์ของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เรื่อง Trap นำแสดงโดย จอช ฮาร์ทเน็ตต์ และ Caddo Lake กำกับฯ โดยซีลีน เฮลด์ และ โลแกน จอร์จ ผลิตโดยชยาลาน เส้นทางการทำงานของเธอมีผลงานอินดี้ที่โดดเด่น เรื่อง Skins (Sundance 2002) และผลงานของโจชัว มาร์สตัน เรื่อง Maria Full of Grace (Sundance 2004) พร้อมด้วยผลงานชื่อดังของเคนท์ โจนส์ เรื่อง Diane (Tribeca 2018) นำแสดงโดยแมรี่ เคย์ เพลส และ ผลงานดราม่าของเจนนิเฟอร์ ฟ็อกซ์ สำหรับ HBO เรื่อง The Tale (Sundance 2018) นำแสดงโดยลอว์ร่า เดิร์น ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ว่าเป็น “ผลงานที่สร้างความประทับใจให้ช่วงเวลานี้” ในการปลุกกระแส #MeToo เด็บบี้ยังออกแบบภาพยนตร์ในสหรัฐฯ และทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
โนมี่ เพรสเวิร์ก (ผู้ลำดับภาพ) เป็นที่รู้จักจากการร่วมงานของเธอกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานในหลายโปรเจ็กต์ เช่น Trap, Knock at the Cabin ผลงานทั้ง 1-4 ฤดูกาลทาง Apple TV+ เรื่อง Servant กำกับฯ โดยชยามาลาน คู่กับอิซาเบล อีคลอฟ ซีลีน เฮลด์ และ ดีแลน โฮล์มส วิลเลียมส์ ผลงานของเธอที่มีชื่อเสียงยังรวมถึงผลงานอินดี้ เรื่อง Something You Said Last Night กำกับฯ โดยลูอิส เดอ ฟิลลิปปิส และ Semret กำกับฯ โดยแคเทอรีน่า โมนา
ซาลีก้า ไนท์ ชยามาลาน (แต่งเพลงต้นฉบับ โปรดิวซ์และทำการแสดง) คือผู้ร่ายเวทมนตร์สร้างเสียงดนตรีจากการฝึกซ้อมเพลงคลาสสิคตั้งแต่สมัยยังเด็ก เธอมีความหลงใหลในแนวเพลง R&B และแนวอินเดียนของเธอ ตอนอายุเพียง 4 ขวบ เธอมีแววเป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักเปียโนโดยเริ่มเรียนหลักสูตรเปียโน นอกจากนั้นยังใช้เวลา 4 ชั่วโมงต่อวันกับเครื่องดนตรี และสไตล์อื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเธอ เธอฟังทั้งเพลงของ JAY-Z, Etta James, Amy Winehouse และ Jeff Buckley กับคุณพ่อ และซึมซับความหลงใหลภาพยนตร์บอลลีวูดและเพลงลาตินมาจากคุณแม่ ระหว่างที่พัฒนาด้านการฝึกดนตรีคลาสสิคระดับมหาวิทยาลัย เธอได้พบกับความชอบในการเรียบเรียงและแต่งเพลงขึ้นมา
เธอเรียนที่ Brown University ด้านการแต่งเพลง การควบคุมและหลักการ หลังจากเรียนจบได้มีผลงานอิสระครั้งแรก LP, Séance เป็นการแนะนำน้ำเสียง การแต่งเพลง และการผลิตของเธอ เธอได้รับคำชมจาก WWD, Rated R&B และอีกมากมาย นิตยสาร Forbes ยกย่องว่า “สร้างความทึ่ง” และทาง NYLON ยกย่องให้เธอเป็น “บุคคลน่าจับตามองในวงการ R&B”
นอกจากการสนับสนุน GIVĒON, Andra Day, Boyz II Men, Summer Walker และ K. Michelle บนเส้นทางแล้ว เสียงดนตรีของเธอยังปรากฏผ่านภาพยนตร์และผลงานทางทีวี เธอมีส่วนร่วมในเพลงต้นฉบับ 7 เพลงของผลงานทาง Apple TV+ เรื่อง Servant และ “ตราตรึง” ในผลงานฟอร์มยักษ์เรื่อง Old
การแต่งเพลงที่มีความเป็นธรรมชาติและเสียงดนตรีในการแสดงสดที่มีองค์ประกอบอันเหลือเชื่ออย่างทาบลาและฟลุต เธอเป็นแบบอย่างใหม่ให้เสียงดนตรีที่มีความนิยม ซึ่งความตกตะลึงนี้จะถ่ายทอดสู่ตัวละครเลดี้ เรเวนในเรื่อง Trap มีส่วนร่วมในการสร้างอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ (ที่เธอแสดง ร่วมแต่งเพลง และร่วมผลิต) รวมถึงผลงานอีกมากมาย
เฮอร์ดิส สเตฟานส์ดอตเตอร์ (ผู้ประพันธ์ดนตรี) เป็นนักแต่งเพลงภาพยนตร์ชาวไอซ์แลนด์ โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลง เธอจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ New York University เมื่อปี 2017 หลังจากจบการศึกษาได้แต่งเพลงให้ภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ผลงานของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เรื่อง Knock at the Cabin เธอได้รางวัลและเข้าชิงรางวัลมากมายจากผลงานของเธอ รวมถึงรางวัล Icelandic Music Awards, Icelandic Academy Awards และชิงรางวัล World Soundtrack Awards และ Hollywood Music in Media Awards
ล่าสุดมีผลงานที่กลับไปร่วมงานกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานในภาพยนตร์ของ Warner Bros. เรื่อง Trap
เธอฝึกงานกับผู้ประพันธ์ดนตรีเข้าชิงรางวัล Oscar โจฮาน โจฮานสัน ที่เบอร์ลินระหว่างเขาสร้างผลงานในเรื่อง Arrival (2016) และแต่งเพลงประกอบหนังสั้นมากมาย มีการฉายครั้งแรกในงานเทศกาลอันดับต้นๆท วโลก เช่น Berlinale, TIFF, Sundance และ Palm Springs International Film Festival
เธอได้ปล่อยผลและผลิตผลงานดี่ยวภายใต้ชื่อศิลปิน Kongulo ตอนนี้กำลังสร้างผลงานเดี่ยวของตัวเอง โปรเจ็กต์แนวศิลปะที่ผ่านมาของเธอยังมีดูโออิเล็คโทร-ป๊อป East of My Youth ดนตรีของพวกเขาได้รับการอธิบายว่ากระตุ้นความรู้สึกและเปลี่ยนความรู้สึกได้รวดเร็ว (JaJaJaMusic) ทั้งคู่มีแสดงงานที่ SXSW, Eurosonic Noorderslag, KEXP, Sonar Reykjavík และ Iceland Airwaves
เธอเกิดที่เรคยาวิค ประเทศไอซ์แลนด์ ตอนนี้อาศัยระหว่างลอสแองเจลิสและเรคยาวิค
แคโรไลน์ ดันแคน (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ล่าสุดออกแบบในผลงานดัดแปลงของลิซ่า แทดดีโอทาง Showtime เรื่อง Three Women ผลงานของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลา เรื่อง Knock at the Cabin รวมถึงซีรีส์ทาง Apple TV+ เรื่อง Servant ก่อนหน้านั้นเธอออกแบบในผลงานของเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เรื่อง Old และผลงานของแคท คอยโร เรื่อง Marry Me นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ โลเปซ และ โอเวน วิลสัน
ดันแคนจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Yale ด้วยปริญญาด้านภาษาอังกฤษ และเรียนจบด้านแฟชั่นจาก Parsons School of Design ในนิวยอร์ค เธอเริ่มทำงานแผนกเสื้อผ้าในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น American Gangster, 27 Dresses, War of the Worlds และ Little Children
ดันแคนได้ออกแบบทีวีซีรีส์หลายเรื่อง เช่น ผลงานดราม่าที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ของ Showtime เรื่อง The Affair, Rescue Me, Royal Pains และซีรีส์เรื่องดังทาง Showtime เรื่อง Masters of Sex กำกับฯ โดยจอห์ฯ แมดเด็น
ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงของเธอ รวมถึงภาพยนตร์เข้าชิงรางวัล Oscar ของเจ. ซี. แชนเดอร์ เรื่อง Margin Call นำแสดงโดยทีมนักแสดงทั้งพอล เบ็ททานี่, เจเรมี่ ไอรอนส์, ซัคคารี่ ควินโต, ไซมอน เบคเกอร์, แมรี่ แม็คดอนเนลล์ และ เดมี่ มัวร์ ภาพยนตร์ของเจมส์ พอนโซลด์ เรื่อง Off the Black นำแสดงโดยนิค โนลเต้ และ Dare กำกับฯ โดยอดัม แซลกี้ นำแสดงโดยเอ็มมี่ รอสซัม และ รูนี่ มาร่า
ดันแคนมีทั้งสัญชาติหสรัฐฯ และแอฟริกาใต้ เธออาศัยอยู่ที่นิวยอร์คร่วมกับลูกชายฝาแฝด
Warner Bros. Pictures presents a new experience in the world of M. Night Shyamalan—“Trap”—featuring performances by rising music star Saleka.
A father and teen daughter attend a pop concert, where they realize they’re at the center of a dark and sinister event.
Written and directed by M. Night Shyamalan, “Trap” stars Josh Hartnett, Ariel Donoghue, Saleka Night Shyamalan, Hayley Mills and Allison Pill. The film is produced by Ashwin Rajan, Marc Bienstock and M. Night Shyamalan. The executive producer is Steven Schneider.
The director of photography is Sayombhu Mukdeeprom (“Call Me by Your Name”). The production designer is Debbie DeVilla (“The Hating Game”). It is edited by Noëmi Preiswerk (“Knock at the Cabin”). The original songs are written, produced and performed by Saleka Night Shyamalan. The music is by Herdĭs Stefănsdŏttir (“Knock at the Cabin”) and the music supervisor is Susan Jacobs (“Old”). The costume designer is Caroline Duncan (“Old”). The VFX supervisor is Javier Marcheselli (“Dune”). The casting is by Douglas Aibel (“Asteroid City”).
Warner Bros. Pictures Presents A Blinding Edge Pictures Production, An M. Night Shyamalan Film: “Trap.” The film will be distributed worldwide by Warner Bros. Pictures, in theaters only nationwide on August 2, 2024, and internationally beginning on 31 July 2024.
IN CONVERSATION WITH M. NIGHT SHYAMALAN (DIRECTOR / WRITER / PRODUCER)
Genesis…
- Night Shyamalan: “Trap” was created by me and my daughter Saleka from our conversations together about music and movies. It basically started us thinking about doing a music movie together that would also function as a thriller. I started to wonder, “Could we do a thriller about music?” I thought that Saleka could write an album and we could experience that music the way you would if you were at a concert, and then intertwine that with a thriller. Could those two things coexist? I started noodling on it, and I pitched Saleka—she was really into it. We started building on that… so we follow a father and daughter to the concert, and we keep mixing together the concert and the dark things happening there. And that’s how “Trap” was developed.
Josh Hartnett…
- Night Shyamalan: I have come to think of the way I make movies as a reinvention of myself, reinvention of tone, reinvention of a genre every single time. That’s what gets me excited. To do that, I look to do things differently. I offer the opportunity to make smaller, provocative movies, and maybe we can connect with people from around the world. I look for someone who’s at the right place in their life and is willing to take a real risk. I think the result of that is then an audience gets to see something rare and extraordinary, and that’s another reason to come to the movies. I think Josh Hartnett exactly fits this description—he lives in England with his family. He’s an incredibly thoughtful and philosophical man. When I met him, he looked me in the eye, and I just knew he was ready to do anything—there was an energy, an electricity coming off of him. To play Cooper, this particular role, I needed someone that was all in and was ready to take a risk. I think for audiences, one of the great reasons to come to this movie is seeing the amazing performance that Josh gives.
The character of Cooper…
- Night Shyamalan: I think we’re fascinated by complex, very dark characters. I am as well. There are dark individuals that live amongst us. It’s real. In a way, I think it’s why people love dinosaurs so much. Because they existed—real-life monsters that lived in the past. Well, there are real-life monsters in the present. Writing dark characters—and playing dark characters—is fascinating, because it is still on the continuum of the human experience. For me, it’s finding that bit of humanity in a character that does extremely dark things. It’s challenging and wonderful, and locating that humanity is what resonates with audiences. Finding that human understanding about why somebody does something very dark, it makes us have empathy for each other… because if we can see each other as versions of ourselves, that recognition is a very moving thing. It’s also a bit of wish fulfillment, at least on my part—that even in the darkest person, is there a way to get to their heart?
Lady Raven sings…
- Night Shyamalan: Although we set out to create Lady Raven, a fictional pop star, it started with letting Saleka write, produce and record an album. It’s such an amazing thing to watch an artist do something that’s inspired. I think of her as an artist who’s fierce and uncorrupted. I look at my daughters and think that as they’re learning their craft and battling their demons, the one thing they’re not compromising is authenticity. They’re teaching me that again. I think that as soon as you have success, you unconsciously want to be accepted. You might lose sight of yourself. You might tell yourself things that aren’t true. So, they are teaching me this lesson of authenticity again. And so, Lady Raven, what I wanted her to be, I knew it was going to be because Saleka is pure in her artistry. I said, “Saleka, this is the situation. This is who I think this fictional character it. She feels this way to her audience. This is who loves her, and why. This is her latest album. Can you write with this angle on this character?” We would continue these discussions, and then one song after another, Saleka would write them. Every time she said, “I have another song,” it would be like Christmas and I couldn’t wait to hear it. And every time, I was in awe. When you’re with an artist—whether it’s Josh or Saleka—who are at that place, that perfect pitch place where they can hear their own voices, just get a little bit out of the way as a director and creator. I hope the audiences will feel that authenticity and magic from the music.
Ariel Donoghue…
- Night Shyamalan: The experience of finding actors like Ari has happened so many times in my life. I’m extremely lucky. It’s like a lightning bolt. She is just amazing. I can’t tell you how much I think of her. She’s just a sweet, sweet human being, on top of being an incredibly, intuitively gifted actor. Most child actors that I work with, I am not working with craft that much. It’s more working with this kind of pure, raw energy. I try to get them to empathize with the character and sort of guide them: “This is what happened. What do you think that means?” When I see it in their eyes, we roll cameras. And Ari has craft on top of this thing that we’re talking about. I think she can do anything. She’s effervescent and the camera loves her. I’m so lucky that these wonderful young performers keep showing up for me.
Shooting film…
- Night Shyamalan: I don’t know if I can fully articulate why I love film so much over digital. I’ll start with I love limitations. Working with them, I feel, is how we create the best. Film, because it involves chemicals, it’s a real, organic thing that happens. It’s alive, in a way. It captures life and experiences in a way that digital doesn’t do. Film feels like a representation of life. And ironically, digital has much more detail than film. So, maybe in there is the answer: we only need this much to represent what something looks like, what something feels like, and we do the rest. We fill it in with our experiential knowledge. The computer says that this is what the color red looks like, and this is what hair feels like. But in its limitation, film creates this relationship with the audience that I think makes it alive. Too much information makes us confused and we shut down. Film is just the right amount of storytelling information in the frame. What’s in the frame? The characters, the lighting, everything. So, it’s always about keeping it a bit incomplete. It could be as simple as that. It could also be that all of my favorite films from my childhood were done on film, and I feel those that way.
It’s amazing to feel a film breathing and moving; because it’s slightly out of focus, it’s alive and undulating. I think it creates a very distinct experience.
Filming the concert…
- Night Shyamalan: I’m not a big CGI guy, so when I decided to do the concert, I kept telling everybody, “We’re going to put on and shoot a real concert, and we’re not going to cheat.” And by cheating, I’m a very point-of-view driven filmmaker. Our main characters are watching this concert from not great seats. So, that’s how they’re watching the concert, and that’s where we’re going to stay. But how can we get to see what’s on screen the way everybody in bad seats gets to see them, which is there on the monitors? This was the challenge—to keep my integrity, I had to find the way to do this. I ended up directing the live show of what you’re seeing on the screens on each take. So, the actors are acting and I’m on a headset with everyone, “Go to the zoom cut there,” and we did it like a real live concert. What’s onscreen at the moment that Cooper and Riley are speaking is what was happening—it makes it real, because it is real. It’s not CGI; it wasn’t thought of later. We took it seriously early on in pre-production. The songs, the costumes, the choreography, the show lighting—it was a Herculean effort to put on a concert and nail it right as we’re shooting a thriller. A scene going on between Josh and Ari, while there’s a whole group of people dancing in a musical performance with light changes… It’s something that I’ve never had the opportunity to do. And I don’t think I’ve ever pushed myself that much to do something that’s just a part of the storytelling. It was incredibly challenging, but incredibly rewarding. It was a beautiful thing to create this whole art form and then put that at the center of this art form.
Working with cinematographer Sayombhu Mukdeeprom…
- Night Shyamalan: Sayo, first of all, as a human being, is almost like meeting the Buddha. He’s so joyful, peaceful and spiritual. He lives in Thailand in a fishing village. This is who he is, you know? He loves film and he just loves to make films, and he makes them in Asia and he makes them in Europe. I really loved “Call Me by Your Name.” I thought it was very daring. They shot it with one lens and they did all these incredible things, and I like thinking like that. He’s also a naturalist, which I really like as well. I’d like to think of myself as someone who really finds wonder in the universe. And he does, too. He is just so easy to work with. He made the process of moviemaking on this project feel easy. We both lean towards film as well. You need a cinematographer who lives in what it’s like to expose light in this way and how much to push and pull film. And how much grain we want and what the depth of field is… and to intuitively understand all of that. And he does. I think he brought a real textural quality to this thriller that you feel, and it accumulates during the watching of the movie. And in the end, you’re left with kind of this gothic Americana.
Working with production designer Debbie DeVilla…
- Night Shyamalan: I produced a film in the South where Debbie was the production designer. Her work was amazing. Beautiful. I could tell she was thinking of things in a deep way that went beyond what you see. The set was a house under construction that had been abandoned—the couple it was meant for were no longer together. I marveled at what walls were up, which weren’t; where ivy had grown and where it hadn’t. It was so beautiful. And talking to her, I found her to be delicate in that incredible way—someone who had gone through life and was still gentle, vulnerable and delicate. That makes you a superhero to me. I could tell she would feel this movie in her heart and in her soul. And the things that she brought to me had this realism to them. And she created a full, real concert that you would buy tickets to. To accomplish that with her, with all of my film artists, is one of the most satisfying things I’ve ever done.
Working with editor Noëmi Preiswerk…
- Night Shyamalan: Noëmi started on “Servant” and then became the editor on “Knock at the Cabin.” She has this thing that I look for, which is a combination of extreme intellect and extreme gut and instinct. I would also add something that Sayo says—a singular perspective and unique accent on the way she thinks about things. She doesn’t have a generalized way of thinking about things. She has—as do all of the people I use—the ability to do something that, when I see it, I always say, “Well, I could never do that.” For me, that’s when a movie is at its best: when I say, “I could never do what that person just did.” She brings this very specific way of thinking. And she’s a beast—she just works. I like to believe that I work harder than anybody, but I can’t keep up with her. She just keeps on driving and she’s super-fast. And so, I think we’re really kind of a great team.
Working with costume designer Caroline Duncan…
- Night Shyamalan: Caroline has done my costumes for a long time now—on “Servant” and my last few movies. I find her intellectual, and then passionate and visceral in how she approaches things. That’s a tough balance, because if you’re as smart as Caroline is, that can become a problem, thinking too much. But she balances them all. They say you should go with your gut when it’s a complex issue. When it’s a simpler thing, you should think it through. In talking about colors and textures and patterns, and how they react to the lighting, how they relate to the themes of the film, and the added consideration of within a concert with movement… That is incredibly complex. She came from the gut and then used intellect to bring form to the things we discussed. We’re very connected in the way we think about art. I love working with her, and she did an incredible job on this.
The humor…
- Night Shyamalan: “Trap” is related to some of my movies in that there is quite a bit of humor at the center of it. It’s a combination of tones that is really unusual. In the early days, like in “Unbreakable,” I maybe didn’t trust the humor, and extricated almost all of it. My instinct was to mix dark humor with something wondrous and emotion in a thriller all together. Only when I got older did I think, “Wait, the audience will dig this if you get the vibe just right.” So “The Visit” was the first time I really pressed on the humor and mixed it with the horror and the emotion to get this cocktail. “Split” was the second. And then in “Servant,” it was throughout the show. In that way, “Trap” is related to those movies. It has a buoyancy because of that, and also because of the nature of it—it has music at its center. It’s new and very different from my other movies. It was a particular moment of how I was feeling… a kind of mania, that was coming from joy and playfulness. I think you have to be honest about where you are. I can’t be more joyous than I am, or pretend to be dark when I’m not. So, “Trap” is a little mischievous. That was the space I was in as I wrote it. And I hope audiences feel that.
Moviegoing experience…
- Night Shyamalan: I believe that the stories that have impacted me the most have happened in the movie theater. “Trap” is intended for the movie theater experience. My job within that experience is to provoke the audience and give them something original, something they’ve never seen before. There are certain types of movies where you are getting spectacle, or you’re getting something that you might have seen before, but in a big, physical way, with huge CGI. Those aren’t the reasons to come to my movies in the movie theater. Mine are meant for you to experience something provocative, something funny, something shocking. And maybe, I want you to be slightly uncomfortable, trying to figure things out. Or shocked by something that a character does. “He did that!? This is what’s happening!?” That kind of group gasp, I guess, is the thing that I’m addicted to. And that’s what makes watching “Trap” in a movie theater a great experience with everyone there.
IN CONVERSATION WITH JOSH HARTNETT (COOPER)
Finding the tone…
Josh Hartnett: I first read the script just before meeting with Night and had an understanding of what his approach would be beforehand. I knew that the script was a type of blueprint for the storyboards that he was going to draw, but I needed to speak to him to get a sense of the film’s tone and flavor. There is a lot in the script that feels larger-than-life, wild and unusual, and some of it is very dark. It feels heightened, but I knew that Night was going to be able to pull everything together and make it something surprising and of a whole. But I really wanted to hear his perspective. My whole process was trying to find the buoyancy and the lightness within that, and to understand what this character could be going through. But really, at its heart, I think that this film is a father/daughter love story, how they care about each other. They’re going to see his daughter’s favorite singer in concert. And then, it grows into something that is much more nefarious and wild.
Working with M. Night…
Josh Hartnett: I was incredibly familiar with Night’s work, because I was coming up at about the same time that he was making his first films, and they were massive. I went to the premiere of “The Village” in New York, because I had friends who were in it. And afterwards, we all went to dinner together with Night, and he and I talked for an hour or so with other people. I thought he was great. He was amazing, and he’s obviously an incredible filmmaker. We never saw each other again, until I got a call about this.
I’ve seen everything he’s done since then—he’s one of the true original filmmakers of our time, along with the fact that he continually puts out these films with excellent concepts and terrific performances. And he gets audiences in to see them. There aren’t many people that can do that. He also has a singular perspective. There’s nobody like Night and you’ve got to respect that. It is an enormous achievement to be able to create a signature style within this industry. Yet, he’s always exploring something that’s unique to him. You can see over the course of his whole career the arc of who he is and what he’s aiming toward. I think he would admit that he’s a big Hitchcock fan and you see that influence, but you also see something else, something different, that I really respond to. It’s rare that you get to work with somebody with that command of the film language. Also, he’s a really nice guy, which is probably the most important thing when you’re making a film like this where it’s really intense. We’re on set every day and my character is in every scene. But he makes it so easy. He’s just such a gem of a human being, too. I find it enormously gratifying to be a part of this.
Cooper…
Josh Hartnett: Cooper is a firefighter by trade, and he’s got a lot going on outside of his domestic obligations and his role in society. He’s a father and he loves his daughter very much. And he finds himself in a pretty tricky situation in this film—as the title suggests, he finds himself in a trap, so he’s got to find his way out. My job is to get into his head, feel this all from his perspective and give him the benefit of the doubt, even though he is basically irredeemable. But for me, I can’t look at him that way. Ultimately, I’ve got to get to know him and to like him in some respects. And that’s been a process. I researched and read a lot of books, trying to learn about people who are like this and possibly why they’re like this… and then making it as dynamic and fun a character onscreen as possible.
P.O.V…
Josh Hartnett: The movie’s built around this character, and the concept of this character is something that Night was really interested in exploring—he doesn’t do many films that are single perspective films, and this is pretty much just from the perspective of Cooper. In order to do that, we had to make him as fascinating, as layered, as possible. It’s a very tricky but fun character to play. If it leans one way or another, you could lose the goodwill of the audience or you could lose the sense of danger. It really needs to be on that fine line, a high wire act. And I think that’s why Night wanted to take it on. That’s definitely what appealed to me. There are so many challenges. It’s been a lot of fun to find that balance with Night, because I think we both have a similar sensibility about these characters and the desire to play something that is so dangerous. You know, “Let’s see if we can pull it off!”
Ariel Donoghue…
Josh Hartnett: I love Ari. She’s such a dynamic human being. A lot of actors are affected by what they perceive to be their role in this business. But Ari is totally unaffected. I love it. She’s so open—everything she thinks just comes out of her mouth, and it makes it so much fun to be on set with her, because you never know what’s going to happen next. Sometimes, there’s a propensity with younger actors to not want to repeat the same thing over and over. She’s a professional and she gets it. But she’s also this energetic presence that changes the dynamic of every day, every time she’s on set. And I think that her presence onscreen is astounding. It’s exciting to see her doing her thing.
Saleka…
Josh Hartnett: Saleka is an extraordinarily talented human being who has had, except outside of Night, probably the most to do on this film. She wrote and recorded an album, and then learned all of the choreography for the stage performance. Basically, she had to go on tour. She also had to create a character. None of this is from her perspective, and what she’s also doing with the music is soundtracking my character’s interactions and the way he’s understanding what’s happening to him. All of the songs—which are amazing in their own right—have to do with what Cooper is going through in the course of the film. They don’t sound overt or cheesy, and you don’t quite get it at first. It’s not in your face. It’s a remarkable achievement. She’s done all of that, and it’s her first film, plus she’s being directed by Night. I think that’s a Herculean effort that she’s put in and it’s an inspiration.
The process…
Josh Hartnett: Night is a really sweet person, and I think that he recognizes that this experience is a privilege, not a right. To be able to come to work every day and make stories is what we’re all here for, and he enjoys it very much. He prepares like no one I’ve ever worked with. He knows exactly what shots he needs every day—he’s written the entire movie and storyboarded before we started. I was talking to the makeup and hair people and they said they had a meeting with him at the beginning of this film, and he said that there were going to be 811 shots, and I think he stuck to it. I think they are all there. I was given a big ream of the storyboards, which is basically the film. You could flip through it and you could see every shot… for someone to come that prepared and then show up and actually live within it… I think he does that because he feels what the actors are going through. You can see him behind the camera, really experiencing it, wanting to be there 100%, to see how it will be experienced by the audience. Later, he can then put it together in a way that’s going to be most effective for the audience. It just shows what a master he is of this craft. And I think because of all that, he really enjoys the process.
IN CONVERSATION WITH SALEKA (LADY RAVEN / ORIGINAL SONGS BY)
Genesis…
Saleka: This is a very personal project, because it was an idea that my dad and I had a long time ago—to bring music and film together, which are things that go together very much in our culture from Bollywood films. It’s something that feels very natural. But we wanted to do it in our way. Something that felt more “Shyamalan.” That was the seed. Then, he came up with the idea of a serial killer at a concert, where the concert is a trap. That really began this project. He wrote the script with spots for songs, and I ended up writing an album for it.
The script…
Saleka: When I first read the script, well, it was shocking, because it was the first time I was reading a script and thinking of myself as a character—I usually read his scripts and am in awe of his work and imagining what the film is going to be like. There was a personal element that was different, but it was just so enthralling, even more than I thought it was going to be. I couldn’t stop turning the pages and it was very exciting—I was kept guessing the whole time.
Who is Lady Raven? …
Saleka: Before we even got into rehearsing and finding the sound for the album, the initial point was to figure out who this character was and where she was coming from. And yes, she’s a pop artist, but this music is unique. It’s dark and it’s edgy, it’s fun and it’s carefree, and that was the first inkling of putting the pieces together for who Lady Raven is. And then, as we got into rehearsing, we started working on the differences between me and Lady Raven, how I might say something and how she might say something. I think it’s kind of funny—in some ways, I think my dad wrote this character to be a braver, more confident version of me. A little more self-assured, but the same kind of morality that I have. I think it’s his way of urging me to let go of some of the insecurities I have, because Lady Raven does not have those. She is certain and goes for it. I thought that was really interesting.
Working with M. Night…
Saleka: My dad’s passion for filmmaking is one of the purest things that I’ve ever seen anyone have a passion for—it’s something he’s had since he was a little kid. It’s the thing that he loves. He thinks about it all the time, morning to night. When we were kids, he used to make up scary stories and build all these characters, and tell them to us over months, with every night being a different chapter. That’s who he is. He’s a storyteller. What’s interesting to me is that he tells such dark stories, because I think he is such a positive person. You see that positivity in the context of these dark situations, and you know that he thinks the universe is good. It’s a key throughline in a lot of his movies. And I think this is another example of that. It’s beautiful to watch. That makes me feel safe on set, and it makes a lot of people feel happy and joyous to be here. It’s like we’re living the dream. He feels that and so we remember that every day.
The concert…
Saleka: It was crazy—we basically prepped a stadium tour. There was no detail left out. There were the songs, full choreography, full costumes, full screens, all the transitions, multiple different sets. A lot of time was spent putting that together. It wasn’t the normal production design for a movie. It was, “All right, let’s make a tour. What is this character’s tour like? What’s the opening song? Where does it go from there? What are the points where the audience is surprised, having fun—the ups and downs? What is the order of the songs to create an arc for the show within the movie?” And I had to think of several things that were important as I was writing the songs—they needed to function as storytelling, in what was going on with Cooper as he’s trying to escape, but also as scoring, because there’s really no scoring in a big chunk of the movie. The songs have to function in both ways. It was fun—super challenging, but fun.
Songs as storytelling…
Saleka: The tension in the plot becomes more intense—it escalates as Cooper becomes more desperate and tries crazier things to get out of this situation. At the same time, the songs are rising in energy and getting a little bit more extreme, as are the sets, the dancing and the costumes. My dad wrote the script very specifically, and I needed to find the music to match, lyrically and sonically. Every scene is very specific in the emotions. At one point, Cooper basically scams a guy to get his daughter onstage—so what does that feel like? He’s plotting, he’s having fun, so the song has a bit of mischief. Then, when the situation gets more intense—he’s grabbed a walkie-talkie and he hears how things might be closing in—the song is more rhythmic, a little bit dark and searching. I was always thinking about music as an amplification of the story.
Crafting Lady Raven…
Saleka: We were considering a bunch of names for the character, but Lady Raven was my favorite. The raven is a symbol in our family of this thing that’s dark but beautiful, and also strong and majestic. So, finding her sound… it’s pop, but it’s edgy, and you can have fun with it. She’s an artist who wants to teach her audience and the girls that follow her the strength to believe in who you are and not to be afraid, to go for things. Figuring out that messaging was really important in creating the through line. And in her costumes, we didn’t want to copy or create things that we’ve seen before. To find Lady Raven’s uniqueness, it needed to be in her look as well. So, what was the look going to be? We landed on this bold, all white look, except at one moment where that changes, when she’s being vulnerable and talking about her childhood. But other than that, she’s the fully formed white raven in her outfits. And there’s drama in the capes, the big boots. I think that was a big aspect that really brought everything together.
ABOUT THE PRODUCTION / Film Facts
TRAP’s Ariel Donoghue’s first meeting with her prospective director to discuss the possibility of playing Riley began without talking. A technical difficulty left their Zoom call without audio, so for the first few minutes, M. Night Shyamalan and Donoghue resorted to mime to try and communicate.
As is customary on the films of M. Night Shyamalan, prior to cameras rolling, the full cast is assembled for a table read of the script—and TRAP began the same way. It’s at this point, per producer Marc Bienstock, that “the third D is brought into the 2D of the script—the cast are breathing life into the characters that have only existed on the page.”
While shooting the father/daughter dialogue of Cooper and Ariel during the concert performance of Lady Raven—as embodied by Saleka—in TRAP, filmmakers supplied the audience members around Josh Hartnett and Ariel Donoghue with earwigs, so that the concert music could be lowered for the actors’ dialogue to be picked up, while the concertgoers could continue to groove in rhythm to the music coming from the stage.
What would a concert be without concessions? For one practical effect, a deep fryer in a French fry stand becomes a plot point. To safely rig the SFX and simulate boiling oil, the friers were filled with cold water dyed to simulate cooking oil, which was “boiled” by pumping nitrogen through a manifold with air valves at the bottom of the vat.
To create the sold-out concert of Lady Raven (Saleka) in TRAP, visual effects supervisor Will Towle began with a LiDAR (light detection and ranging) scan to create a 3D version of the venue itself. Performers were then filmed against a green screen, and 2D sprites were created of concertgoers engaging in a variety of activities (clapping, cheering, silently appreciating, etc.). 3D models were also created, which allowed filmmakers to overcome the limitations inherent in 2D renders (e.g., if shooting from a different angle, the lighting cannot be modulated as it’s already pre-baked into the sprites). Motion capture was done to provide the 3D CG models a range of movements and reactions. The simple technique of tiling was also used. By employing all of these techniques, 300 concertgoers could be multiplied to fill the 15,000-seat house where Cooper (Hartnett) takes Riley (Donoghue) to see Lady Raven.
In the end, there were more than 250 visual effects shots (mostly involving the crowds of Lady Raven fans) in TRAP.
In the arena where Lady Raven (Saleka) is performing to a sold-out crowd, all of the visible signage of sponsors and advertising was production curated and created for TRAP. Per art director Stephen Depko, “Everything was custom-made for these individual companies, and then set decorated on top of that to get the looks and the colors right.”
One of TRAP’s themes—compartmentalization—found expression in the stage design of Lady Raven (Saleka). Art director Stephen Depko says, “Cell phones are one expression of this—that’s the face we put forward to the world and it’s another part of us. Instead of using this black rectangle as a representation of that, we decided to go in another direction of something more like an iconic tube TV shape.” These boxy shapes with rounded corners sometimes punctuate the stage picture of the pop star and seem to surround her dancers.
For the look of TRAP, M. Night Shyamalan found inspiration in the palette and paintings of turn-of-the-century Italian artist Amedeo Modigliani. Per costume designer Caroline Duncan, for her and production designer Debbie DeVilla, “We let that push and guide us into the world that we were visually creating.”
To create the costume that Josh Harnett’s Cooper wears to the concert in TRAP, costume designer Caroline Duncan sought to craft a look that projected the reality of “a loving and doting father, warm, unassuming—someone who feels both relatable and maybe even a little bit dorky. Not a cool hip dad. And it’s all meant to hide his true character… but to show that, in fact, he’s not trying to hide in the crowd at all. We landed on this bold stripe in the sweater. He’s out in plain sight and he has no fear of being caught.”
For TRAP choreographer Cora Kozaris—charged with creating the dance and movement in Lady Raven’s (Saleka) stadium show—she sought to turn the dancers into a Greek chorus of sorts: “The concert scenes are playing to an arena that holds 15,000 people, so all the movement has to be extremely exaggerated. Larger than life. The dancers are coming with huge pulses of energy. In the same breath, the choreography also takes on very intimate details and blinks at what the characters are going through off the stage. And the soundtrack is scoring the entire film and really pulls from Lady Raven’s personal/relationship experiences or her traumas, and also builds the intensity of the lead characters and what they’re experiencing off the stage.”
ABOUT THE CAST
JOSH HARTNETT (Cooper) was born in San Francisco and raised in Minneapolis, Minnesota. He first came to audiences’ attention as Michael “Fitz” Fitzgerald in the television series Cracker. He made his feature film debut in 1998, co-starring with Jamie Lee Curtis in Halloween: H20 for Miramax. That same year, he received an MTV Movie Award nomination for Best Breakthrough Performance. Also in 1998, Josh starred in The Faculty, directed by Robert Rodriguez, again for Miramax. In 1999, he starred in Paramount Classics critically acclaimed black comedy The Virgin Suicides, opposite Kirsten Dunst, Sofia Coppola’s directorial debut.
In 2001, Hartnett hit a stride by starring in three features. He portrayed the antagonist in the Lionsgate film O, a modern-day version of Othello; his portrayal of the dark and dangerous character Hugo earned him widespread praise. He then landed a role in the Jerry Bruckheimer blockbuster Pearl Harbor, which earned over $1 billion dollars worldwide for Disney. He segued to Morocco, where he starred in Sony’s Black Hawk Down for director Ridley Scott, again, a Jerry Bruckheimer production; the film, which was based on Mark Bowden’s 1999 nonfiction novel of the same name, told the story of an ill-fated U.S. Humanitarian mission in Somalia that took place on October 3, 1993. In 2002, the National Theater Owners awarded him with the ShoWest 2002 Male Star of Tomorrow Award.
He followed with MGM’s Wicker Park for director Paul McGuigan, Miramax’s Sin City for director Robert Rodriguez, and Mozart and the Whale, written by Ron Bass (a love story between two people with Asperger’s Syndrome). He also starred in Lucky Number Slevin with Morgan Freeman and Bruce Willis for the Weinstein Company and The Black Dahlia for director Brian De Palma, opposite Scarlett Johansson, which was released by Universal Pictures in September 2006.
In 2008, Josh was seen in the independent drama August, which first premiered at the Sundance Film Festival; it is the story of two brothers struggling to keep their young company afloat in the summer of 2001, just before the 9/11 attacks. Also that year he starred as Charlie Babbitt in the stage adaptation of Rain Man in London’s West End at the Apollo Theatre, alongside Olivier nominated British actor Adam Godley.
Between 2014 and 2016, Hartnett starred as Ethan Chandler in the much-lauded Showtime series Penny Dreadful.
His additional film credits include Hollywood Homicide; 40 Days and 40 Nights; Blow Dry; Town and Country; Here on Earth; I Come with the Rain, directed by Tran Anh Jung (Scent of the Green Papaya); Bunraku; Singularity; Parts Per Billion; Wild Horses; 6 Below; Resurrecting the Champ; and Sony’s 30 Days of Night. More recently, he starred in Oh Lucy!; Target Number One; the Guy Ritchie-directed Wrath Of Man and Operation Fortune: Ruse de Guerre; and the HBO/Raoul Peck four-part documentary Exterminate All the Brutes.
Most recently Hartnett portrayed Ernest Lawrence in the critically acclaimed Christopher Nolan film Oppenheimer.
ARIEL DONOGHUE (Riley) is an Australian actor best-known for her role as Emma in the acclaimed TV series Woof Like Me, created by Abe Forsythe and starring opposite Isla Fisher and Josh Gad (2024 Silver Logie Nomination).
Donoghue’s other screen credits include the Stan TV Series C*A*U*G*H*T and the feature film Blueback, directed by Robert Connolly. Ariel has also appeared in a number of short film projects, including Tough, directed by Taylor Ferguson, and Crossing Paths, directed by JJ Winlove, both of which screened at Sydney Film Festival.
She will next be seen as the lead alongside Josh Hartnett in M. Night Shyamalan’s latest film Trap and recently shot the feature film Cooee, alongside Mia Artemis.
As if channeling music out of the shadows and into the moonlight, SALEKA (Lady Raven) conjures an incomparable sound from a confluence of classical training since childhood, a lifelong passion for R&B, and her Indian heritage. At just four-years-old, the Pennsylvania-born singer, songwriter, producer and pianist commenced piano lessons. Beyond spending four hours per day at the instrument, other styles surrounded her. She listened to the likes of JAY-Z, Etta James, Amy Winehouse, and Jeff Buckley with her father, while she also absorbed her mother’s passion for Bollywood movies and Latin music. In between visiting conservatories to potentially continue her classical training at the college level, she recognized a deep desire to compose and write songs.
Attending Brown University, she studied music production, engineering and theory. Following her graduation, she crafted her independent full-length debut LP, Séance. It introduced her voice, songwriting, and production. Garnering praise from WWD, Rated R&B and many more: Forbes hailed it as “stunning,” and NYLON christened her “a figure to watch in the R&B space.”
Beyond supporting the likes of GIVĒON, Andra Day, Boyz II Men, Summer Walker and K. Michelle on the road, her music surged through film and television. She contributed seven original tunes to the Apple TV+ favorite Servant and “Remain” to the big screen blockbuster Old.
Accenting earthy production and live instrumentation with unexpected elements like tablas and flute, she envisions a new paradigm for popular music. This vision gets shocked to life via her star turn as Lady Raven in Trap, accompanying soundtrack album (which she performed, co-wrote and co-produced), and more to come.
HAYLEY MILLS (Dr. Josephine Grant) recently published her autobiography about her childhood years in Hollywood and her long-standing association with Walt Disney. She’s one of the few people to still remember him in person.
Mills won an Oscar at the age of 14 in 1961 for her leading performance in Pollyanna. Since starting her career at the age of 9, she has shot 33 feature films and been nominated for many awards.
Her recent work includes the features Age of Tony, with Michael Sheen, and Arthur’s Whisky, with Diane Keaton, Patricia Hodge and Joanna David; the ITVX series Unforgotten; series two of Wheel of Time; and a role in the Channel 5 series, Compulsion, and in two BBC series, Pitching In and Death in Paradise.
Hayley toured last year playing the leading role in The Best Exotic Marigold Hotel and prior to that, she performed off-Broadway in a new comedy play, Party Face.
ALISON PILL (Rachel) most recently starred in Uncle Vanya on Broadway, opposite Steve Carell and directed by Lila Neugebauer, and will soon star in M. Night Shyamalan’s Trap, opposite Josh Hartnett. She recently did a reading of Martin McDonagh’s The Pillowman, directed by Lila Neugebauer, as part of the Main Stage Reading Series for Williamstown Theatre Festival’s 2023 season. Pill also starred in the independent feature Eric Larue, directed by Michael Shannon and opposite Alexander Skarsgård and Judy Greer, which recently premiered at Tribeca Film Festival 2023 to terrific reviews. She will next star in the independent feature film Young Werther, opposite Douglas Booth.
On TV, she can recently be seen starring in Hello Tomorrow!, opposite Billy Crudup for Apple TV+, and she was also a series regular in two seasons of the CBS All Access series Star Trek: Picard, Alex Garland’s FX limited series Devs and the Amazon series Them. Pill’s other television work includes Ryan Murphy’s American Horror Story: Cult; the ABC drama The Family; the acclaimed Aaron Sorkin HBO series The Newsroom; the HBO drama In Treatment; The Book of Daniel; and Life with Judy Garland: Me and My Shadows. As for voiceover work, she will next be heard as Aura in Disney’s new animated series Bad Spellers and as Farmer Faye in Disney’s Robogobo.
Recent film credits include the Peter Hedges film The Same Storm; All My Puny Sorrows, which premiered at TIFF in 2021; and the Oscar-nominated biopic Vice, written and directed by Adam McKay, opposite Christian Bale, Amy Adams and Steve Carrell. Alison can also be seen in Miss Sloane, Hail Caesar!, Snowpiercer, Goon, Scott Pilgrim vs. the World, Milk, Dan in Real Life, Dear Wendy and Pieces of April. She can be heard voicing her original Scott Pilgrim character of Kim Pine in the anime reboot for Netflix, Scott Pilgrim Takes Off.
Alison starred on Broadway in the Tony-nominated production of Three Tall Women, written by Edward Albee, directed by Joe Mantello and opposite Glenda Jackson and Laurie Metcalf. She was nominated for a Tony Award for her Broadway debut in The Lieutenant of Inishmore and for a Lucille Lortel Award for On the Mountain. She won the Drama Desk Award for Outstanding Ensemble in the U.S. premiere of The Distance from Here. She is represented by The Burstein Company and CAA.
ABOUT THE FILMMAKERS
Screenwriter, director and producer M. NIGHT SHYAMALAN (Director / Writer / Producer) has captured the attention of audiences around the world for almost two decades, creating films that have amassed more than $3 billion worldwide. His thrillers include The Sixth Sense, Unbreakable, Signs, The Village and The Visit.
Shyamalan began making films at a young age in his hometown near Philadelphia and by 16 he had completed 45 short films. Upon finishing high school, he attended New York University’s Tisch School of the Arts to study filmmaking. During his final year at NYU, Shyamalan wrote Praying with Anger, a semi-autobiographical screenplay about a student from the U.S. who goes to India and finds himself a stranger in his homeland; the film was screened at the Toronto International Film Festival alongside Reservoir Dogs and Strictly Ballroom. In the years that followed, Shyamalan wrote Stuart Little for Columbia Pictures and completed his first mainstream feature, Wide Awake, a film that explored a boy’s search to discover his faith.
In 1999, The Sixth Sense, starring Bruce Willis, catapulted Shyamalan into stardom and he became one of the most sought-after young filmmakers in Hollywood. The Sixth Sense was one of the highest-grossing films of all time and received a total of six Academy Award nominations, including Best Picture, Best Director and Best Original Screenplay.
Shyamalan collaborated with Willis again in 2000 on the film Unbreakable, which also starred Samuel L. Jackson. A film ahead of its time, Unbreakable has become an underground hit in the years since its release. Shyamalan once again explored the idea of a man questioning his faith in the 2002 box office success Signs, starring Mel Gibson and Joaquin Phoenix.
In 2004, Shyamalan released The Village, starring Bryce Dallas Howard and Joaquin Phoenix; the film explores an isolated community and the treaty they hold with the mysterious creatures living in the surrounding forest. In his next film, Lady In the Water, Shyamalan explored the supernatural world of a dark bedtime story. In 2008, Shyamalan wrote, directed, and produced The Happening, starring Mark Wahlberg; the film follows a man and his family as they try to escape from an inexplicable natural disaster.
Other feature credits of Shyamalan’s include The Last Airbender, Shyamalan’s first foray into family entertainment, and After Earth, an original sci-fi father and son story which starred Will Smith and Jaden Smith.
In 2015, Shyamalan teamed up with Universal on the horror hit The Visit. Bringing in close to 100M at the worldwide box office, The Visit was one of the highest grossing horror films of the year. Shyamalan released the thriller Split with Universal Studios, which was number one in the box office for three weeks in a row. In January of 2019, Shyamalan released Glass, the third installation of a trilogy that includes both Unbreakable and Split.
Shyamalan’s first foray into television also took place in 2015, when he executive produced and directed the pilot Wayward Pines. The highly anticipated 10-episode event series, based on a bestselling novel, was brought to life by Shyamalan in May of 2015 on FOX. The show quietly turned into a fan favorite, becoming the #1 most watched drama of the summer.
In 2021, Shyamalan released Old for Universal, starring Gael García Bernal, Vicky Krieps, and Alex Wolff, based on the graphic novel, Sandcastle.
Most recently Shyamalan directed, wrote, and produced Knock at the Cabin for Universal, which was based on the 2018 novel The Cabin at the End of the World by Paul G. Tremblay. The film, which opened to #1 at the box office, starred Dave Bautista, Jonathan Groff, Ben Aldridge, Nikki Amuka-Bird, Kristen Cui, Abby Quinn and Rupert Grint.
On the TV side, Shyamalan served as EP and showrunner, and also directed five episodes of Apple TV+’s popular thriller series Servant. The thriller was one of the streamer’s most watched series.
Shyamalan also devotes his time to the philanthropic projects of his foundation, which he co-founded with his wife, Dr. Bhavna Shyamalan, in 2001. The M. Night Shyamalan Foundation is dedicated to supporting remarkable leaders and their grassroots efforts to remove the barriers created by poverty and inequality in their communities.
With a great love for his hometown, Shyamalan is known for filming his movies in Philadelphia and the surrounding area. He currently resides in Pennsylvania with his family.
ASHWIN RAJAN (Producer) is a film and television producer, as well as the President of Production for Blinding Edge Pictures, the production company for two-time Oscar-nominated writer/director M. Night Shyamalan.
Most recently, Rajan produced Knock at the Cabin for Universal, which was based on the 2018 novel The Cabin at the End of the World by Paul G. Tremblay. The film, which opened to #1 at the box office, starred Dave Bautista, Jonathan Groff, Ben Aldridge, Nikki Amuka-Bird, Kristen Cui, Abby Quinn and Rupert Grint.
In 2021, Rajan produced Old for Universal. The film, which opened to #1 at the box office, starred Gael García Bernal, Vicky Krieps and Alex Wolff, and was based on the graphic novel, Sandcastle.
Ashwin Rajan produced Glass, the third installation of a trilogy that includes both Unbreakable and Split. Glass was released by Universal in January of 2019 and was #1 at the box office for three weeks in a row.
Prior to Glass, Rajan executive produced Split, which was released by Universal in January 2017. Split topped the box office for three weeks in a row as well. Rajan also executive produced The Visit, the box office horror success for Universal that became the highest grossing original horror film of 2016.
On the TV side, Rajan served as executive producer for all four seasons of Apple TV+’s popular thriller series Servant. The thriller was one of the streamer’s most watched series.
Previously, Rajan executive produced the hit event series Wayward Pines, which premiered on FOX in May of 2015. Wayward Pines was brought to life by M. Night Shyamalan and was based on the bestselling novel Pines, written by Blake Crouch. The 10-episode event series debuted simultaneously in more than 125 countries. The global Wayward Pines debut was FOX’s largest day-and-date launch for a scripted series ever.
Rajan grew up in Mahopac, New York and attended John Hopkins University, where he majored in economics and business management. Prior to joining Blinding Edge Pictures, Rajan was an agent at United Talent Agency (UTA), where he represented filmmakers, actors and musicians. He currently resides in the Philadelphia area.
MARC BIENSTOCK (Producer) has reteamed with M. Night Shyamalan to produce Trap, their sixth film together. Bienstock’s collaboration with Shyamalan dates back a decade. It began with The Visit and also includes Split, Glass, Old and Knock at the Cabin. Their work together has grossed over three-quarters of a billion dollars.
Bienstock is currently producing Countdown, a new action series for Amazon, created by Derek Haas. Prior to that, Bienstock produced Quantum Leap for NBC; the Apple TV+ limited series Shining Girls, starring Elizabeth Moss; Charm City Kings for Will Smith’s Overbrook Entertainment/Sony Pictures; Homecoming, the critically acclaimed limited series for Amazon/UCP; and To All the Boys I Loved Before for Netflix.
Bienstock has served as a consulting production executive for Awesomeness TV from 2015-2017 and WWE Films from 2013-2015, where he managed production for film and television projects. In 2011 Bienstock joined with Lionsgate Films to launch Guerilla Films, Lionsgate’s micro-budget division, which produced and released six films during his tenure from 2011-2013.
Prior to that, Marc served as the Senior Vice President of Production for the independent production and foreign sales company Lightning Entertainment; he managed all creative and production activities for the company’s film and television divisions. During his ten-year tenure at Lightning, Bienstock produced films and television series in Mexico, Canada, Asia, Europe and throughout the United States.
His additional producing credits include: Before I Fall (Awesomeness/Open Road); November Criminals, starring Ansel Elgort and Chloë Grace Moretz (Sony); Body Cam (Paramount); All Saints (Sony/Affirm); The Trials of Cate McCall, starring Kate Beckinsale and Nick Nolte; Nurse (Lionsgate); The Remaining (Sony/Affirm); School Dance with Nick Cannon and Kevin Hart; Quarantine 2: Terminal (Sony); Preacher’s Kid (Warner Bros.); Pathology (MGM/Lakeshore); and the Wild Things franchise (Screen Gems).
Marc Bienstock began his career directing music videos and commercials after graduating from NYU’s Tisch School of the Arts in 1987. He also directed two feature films, The Beneficiary and Indiscreet, prior to shifting his attention to producing in 1998.
Born in 1970, SAYOMBHU MUKDEEPROM (Director of Photography) is a Thai Cinematographer who graduated from the Communication Arts of Chulalongkorn University in Bangkok, majoring in motion picture and still photography. He frequently collaborates with directors Apichatpong Weerasethakul and Luca Guadagnino.
He earned international acclaim for his work on the 2010 Palme d’Or winner Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives, for which he was awarded Best Cinematography at the Dubai International Film Festival. He is also known for his work on Blissfully Yours (Un Certain Regard Award) and Syndromes and a Century (Asian Film Award, 2007 Best Cinematography). He also worked on Miguel Gomes’ trilogy, Arabian Nights (Vol 1-3).
In 2017 and 2018, Sayombhu collaborated with Luca Guadagnino on Suspiria and Call Me by Your Name (Oscar for Best Adapted Screenplay, 2018) for which he consecutively won Best Cinematography at the Independent Spirit Awards two years running. He joined Guadagnino again on his most recent Challengers (2024), and his soon-to-be-released Queer, based on the novel of William S. Burroughs.
In 2021, his most recent collaboration with Apichatpong Weerasethakul, Memoria, was released with NEON distributing it. He received the Platino Award for Best Cinematography in 2022.
Mukdeeprom also worked with Ron Howard on Thirteen Lives, based on the true events of the Tham Luang Cave rescue in 2018. He also rejoined Miguel Gomes for 2024’s Grand Tour.
Production designer DEBBIE De VILLA (Production Designer) has infused her skill and vision into a diverse range of projects, most recently M. Night Shyamalan’s thriller Trap, starring Josh Hartnett, and Caddo Lake, directed by Celine Held and Logan George, also produced by Shyamalan. Her career features standout indies such as Skins (Sundance 2002) and Joshua Marston’s heart-wrenching Maria Full of Grace (Sundance 2004), alongside acclaimed works like Kent Jones’ Diane (Tribeca 2018), starring Mary Kay Place, and Jennifer Fox’s impactful feature drama for HBO, The Tale (Sundance 2018), starring Laura Dern, which was hailed by critics as “made for this moment” in the wake of #MeToo. Debbie continues to design feature films in the U.S. and around the globe.
NOËMI PREISWERK (Editor) is known for her collaborations with M. Night Shyamalan on projects including Trap, Knock at the Cabin and Seasons one to four of the Apple TV+ series Servant, directed by Shyamalan alongside Isabella Eklöf, Celine Held and Dylan Holmes Williams. Her other credits include independent features Something You Said Last Night, directed by Luis De Filippis, and Semret, directed by Caterina Mona.
SALEKA NIGHT SHYAMALAN (Original Songs Written, Produced and Performed by) (See “About the Cast”)
HERDǏS STEFǍNSDǑTTIR (Composer) is an Icelandic film composer, producer and songwriter. Stefánsdóttir graduated with an M.A. degree in film scoring from New York University in 2017. Since graduation, she has scored feature films, including M. Night Shyamalan’s Knock at the Cabin. She has earned multiple awards and nominations for her music, including the Icelandic Music Awards, the Icelandic Academy Awards and nominations for the World Soundtrack Awards and Hollywood Music in Media Awards.
Herdís’ most recent project sees her reunite with M. Night Shyamalan for the Warner Bros. title Trap.
Herdís interned for the Oscar-nominated composer Jóhann Jóhannsson in Berlin while he was working on the film Arrival (2016) and she has scored numerous short films that have premiered at top-tier festivals around the world, like Berlinale, TIFF, Sundance and Palm Springs International Film Festival.
Herdís releases and produces her solo work under artist name Kongulo; she is currently working on her first solo record. Previous art projects include electro-pop duo East of My Youth. Their music has been described as sensual and addictive as getting your tongue frozen to a glacier of pure honey (JaJaJaMusic). The duo has showcased at SXSW, Eurosonic Noorderslag, KEXP, Sonar Reykjavík and Iceland Airwaves.
Born in Reykjavík, Iceland, Herdís currently lives between Los Angeles and Reykjavík.
CAROLINE DUNCAN (Costume Designer) most recently designed Showtime’s adaptation of Lisa Taddeo’s Three Women, M. Night Shyamalan’s Knock at the Cabin, as well as his Apple TV+ series, Servant. Prior to those, she designed M. Night Shyamalan’s Old and Kat Coiro’s Marry Me, starring Jennifer Lopez and Owen Wilson.
Duncan graduated from Yale University with a degree in English, and subsequently earned a degree in fashion studies from Parsons School of Design in New York. She started in the costume department working on such films as American Gangster, 27 Dresses, War of the Worlds and Little Children.
Duncan has designed multiple television series, including Showtime’s critically acclaimed drama The Affair, Rescue Me, Royal Pains and the pilot for the popular Showtime series Masters of Sex, directed by John Madden.
Her film credits include J.C. Chandor’s Oscar-nominated film Margin Call, starring an ensemble cast including Paul Bettany, Jeremy Irons, Zachary Quinto, Simon Baker, Mary McDonnell and Demi Moore; James Ponsoldt’s Off the Black, starring Nick Nolte; and Dare, directed by Adam Salky, featuring Emmy Rossum and Rooney Mara.
Duncan has both US and South African citizenship, and lives in New York with her twin sons.