Blink Twice – บลิงก์ทไวซ์ ซิกอันตราย
เข้าฉาย 22 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

 

โซอี้ คราวิทซ์ กำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในผลงานทริลเลอร์ระทึกขวัญแนวใหม่ของทาง Amazon MGM Studios เรื่อง “Blink Twice”  

ทีมนักแสดงในเรื่องยังรวมถึง นาโอมี่ แอ็คกี้ เจ้าของรางวัล BAFTA (“The End of the F***ing World,” “Whitney Houston: I Wanna Dance with Somebody”) แชนนิ่ง เททัม (ภาพยนตร์ “Magic Mike”, “The Lost City”) คริสเตียน สเลเตอร์ เจ้าของรางวัล Golden Globe (“Mr. Robot”) ไซมอน เร็กซ์ (“Red Rocket”) เอเดรีย อาร์โจน่า (“Andor”) ไคลี แม็คแลชแลน (“Fallout,” “The House with the Clock in Its Walls”) พร้อมด้วยจีน่า เดวิส เจ้าของรางวัล Oscar (“The Accidental Tourist”) และเอเลีย ชอว์แคท (“Drift,” “Search Party”)

เมื่อเศรษฐีพันล้านด้านเทคโนโลยี สเลเตอร์ คิง (เททัม) ได้พบกับสาวเสิร์ฟค็อกเทล ไฟรด้า (แอ็คกี้) ที่งานกาล่าเพื่อนักลงทุนของเขาและเกิดอาการปิ๊งทันที เขาชวนเธอไปร่วมวันหยุดในฝันบนเกาะส่วนตัวของเขาพร้อมกับเพื่อนๆ นับว่าเป็นสวรรค์เลยทีเดียว ค่ำคืนที่มีแต่ความสนุกผสมกับแสงแดดที่สาดส่องช่วงกลางวัน ทุกคนต่างมีความสุขจนไม่มีใครอยากให้ทริปนี้สิ้นสุดลง แต่เริ่มมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ไฟรด้าเริ่มตั้งข้อสงสัยความจริงที่เกิดขึ้นกับเธอ มีบางสิ่งที่ผิดปกติเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ เธอต้องค้นหาความจริงให้เจอหากต้องการให้ปาร์ตี้นี้ดำเนินต่อไป

บทภาพยนตร์เรื่อง “Blink Twice” มาจากคราวิทซ์ และ อี.ที. ฟีเกนบวม (“High Fidelity”) อำนวยการสร้างฯ โดยบรูซ โคเฮน, ทิฟฟานี่ เพอร์สันส์, การ์เร็ต เลวิตซ์, คราวิทซ์ และ เททัม อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย สเตซี่ เพอร์สกี้, จอร์แดน ฮาร์คินส์ และ วาเนีย สโคลเจล

ทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของคราวิทซ์ รวมถึงผู้กำกับภาพที่เคยชิงรางวัล Camerimage มาแล้วอย่างอดั นิวพอร์ท-เบอร์ร่า (“The Last Black Man in San Francisco”) ผู้ออกแบบฉาก โรเบอร์โต โบเนลลี่ (“Placa de Acero,” กำกับศิลป์ได้รับรางวัล Ariel จากเรื่อง “Bardo: False Chronicle of a Handful of Truths”) ผู้ลำดับภาพ แคทธริน เจ. ชูเบิร์ต (“Out of the Blue,” “Bad Things”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เคียร์สเทน ฮาร์โกรเดอร์ (“Borat Subsequent Moviefilm,” “Supergirl”) ดนตรีโดย แชนดา แดนซี่ (“Whitney Houston: I Wanna Dance with Somebody”)

AMAZON MGM STUDIOS นำเสนอผลงานจาก a FREE ASSOCIATION / this is important / BOLD CHOICES Production เรื่อง “Blink Twice” ภาพยนตร์จะจัดจำหน่ายในต่างประเทศโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และฉายในโรงภาพยนตร์เท่านั้นเริ่มวันที่ 22 สิงหาคม 2024

คำแถลงจาก โซอี้ คราวิทซ์ ผู้กำกับฯ

ทั้งชีวิตของฉันมักจะได้เข้าไปสัมผัสกับโอกาสที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีอำนาจมาก ตอนเป็นเด็กเราจะเห็นสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่มีความจริงใจที่สุด เมื่อเราอายุมากขึ้นทุกสิ่งกลับดูเป็นสีเทามากขึ้น จนดูเป็นเรื่องปกติ ช่างเย้ายวนใจ

เมื่อฉันโตจากเด็กสาวคนหนึ่งสู่ผู้หญิงคนหนึ่งในจักรวาลแห่งนี้ ฉันเข้าใจความซับซ้อนของเกมอย่างแท้จริงเมื่อต้องเผชิญ ฉันได้คุยกับผู้หญิงที่ฉันรู้จักหรือบางครั้งฉันก็ไม่รู้จักผ่านแววตาของพวกเรา ภาษาที่พวกเราทุกคนต่างใช้มันได้ดี เพราะไม่ปลอดภัยนักหากจะพูดในสิ่งที่คิดเอาไว้ออกมาเสียงดัง การทำอะไรแบบนั้นอาจเป็นการทำลายกฎกติกาของเกมได้

ฉันอยากเห็นเรื่องราวที่ไปสำรวจสิ่งที่อาจเกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงหยุดเล่นตามกติกา จะเกิดอะไรขึ้นหากอีฟตื่นขึ้นมาพบว่าสวนแห่งเอเดนเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ เดี๋ยวนะ อันที่จริงที่นี่มันห่วยจะตาย และเดี๋ยวนะ อดัม เธอก็ช่างแย่ซะเหลือเกิน และเดี๋ยวนะ… 

ที่นี่คือจินตนาการเหมือนแมทริกซ์อย่างเต็มตัวเลย และเดี๋ยว! อีฟไม่ใช่อีฟ อีฟคือนีโอ และสาวที่กินแอปเปิ้ลผลนั้นตามสัตว์เลื้อยคลาน เข้าใจเรื่องบ้าๆ นั้นแล้วก็ออกไปจากที่นั่นเลย!

ฉันเลือกจะถ่ายทอดเรื่องราวน่ากลัวนี้ให้ตัวละครดูมีความโดดเดี่ยว ใช้ “สวน” แห่งนี้เปลี่ยนเป็นเกาะ á la Lord Of The Flies

ฉันเริ่มเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาช่วงซัมเมอร์ปี 2017 ส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าจะไม่เคยมีใครสร้างผลงานมาก่อน (ในบรรยากาศฉากที่ทันสมัย มักจะเห็นว่ามีหลายเรื่องราวที่สำรวจในประเด็นคล้ายกัน บางเรื่องก็เป็นภาพยนตร์เรื่องโปรดของฉัน)

ช่วงเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น ฮาร์วีย์ เวนสเตนได้เปิดเผยเรื่องราวที่น่าทึ่ง!  กระแสในที่สาธารณะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ฉันยังคงเขียนบทและปรับเปลี่ยนเรื่องราวสำหรับโลกหลังจากที่ “หมดเวลา” นั้นแล้ว ช่วงปี 2020 เจฟฟรีย์ เอปสเตนได้ออกมาเปิดเผย ฉันไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขามาก่อนเลย ฉันรู้ว่าปีศาจร้ายแบบนี้มีอยู่ในโลกและรู้สึกกลัว แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป

ฉันขอพูดเพื่อสร้างความชัดเจนว่าหนังเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับใครเป็นพิเศษ เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับผู้คน ผู้หญิงถูกบอกให้ต้องยิ้มทุกวันตลอดเวลา เราหวังว่าจะ “ลืม” ช่วงเวาลอันเจ็บปวด หวาดกลัว และการข่มเหง ทำตัวเหมทือนพวกเรามีความสุขดี และรอที่จะเล่นเกมนั้นอยู่

ในฐานะของคนรักหนังตัวจริง สิ่งสำคัญคือการสร้างเรื่องราวที่สมจริงและมีความสนุกในเวลาเดียวกัน ฉันอยากสร้างหนังสักเรื่องที่ตัวเองอยากดู ได้เข้าไปสำรวจช่วงเวลาที่ชวนอึดอัด ไม่เครียดเกินไป ได้ออกไปสัมผัสโลกภายนอกสักครู่ เพราะโลกใบนี้ช่างน่าจับตามอง มนุษย์ต่างมีความซับซ้อน สร้างเรื่องวุ่นวาย มีความสนุก สวยงาม และป่าเถื่อนทุกคนต่างต้องการอำนาจ ทั้งในสังคม วัฒนธรรม การเงิน การเมือง คำถามคือเราจะได้มันมาได้อย่างไร? เราจะเล่นเกมนี้อย่างไร? นี่ไม่ใช่เรื่องราวของการส่งเสริมอำนาจ แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอำนาจ เท่านั้นเลย

เข้าสู่โลกของ Blink Twice

 

ไฟรด้า (นาโอมี แอ็คกี้) ต้องการชีวิตที่ดีขึ้น เธอได้งานชั่วคราวเป็นพนักงานเสิร์ฟในงานกาล่าที่จัดขึ้นโดย สเลเตอร์ คิง (แชนนิ่ง เททัม) มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี เธอจึงมีแผนบางอย่าง

 

เธอมาพร้อมกับเพื่อนสนิท เจส (อาเลีย ชอว์แคท) ไฟรด้าเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อคลุมยาว และปลอมตัวเป็นแขกในงานที่ดูดีคนหนึ่ง หลังจากได้สัมผัสความสนุกแล้ว เธอเกิดหลงใหลในเสน่ห์ของสเลเตอร์และกลุ่มเพื่อนของเขา พวกเขาจัดปาร์ตี้สนุกกันทั้งคืน หลังจากนั้นสเลเตอร์ได้ยื่นข้อเสนอซึ่งเป็นประสบการณ์สุดพิเศษในชีวิต ไฟรด้าและเจสได้รับเชิญเข้าร่วมทริปบนเกาะส่วนตัวของเขา โดยที่ไฟรด้ารีบคว้าโอกาสนั้นไว้ทันที

เกาะแห่งนั้นคือความฝันจริงหรือ? ไฟรด้าไม่ทันสนใจกับป้ายคำเตือนต่างๆ ทั้งการไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือ และให้สนใจแต่ความหรูหรา ไฟรด้า เจส และผู้หญิงคนอื่นที่รับบทโดยทรูว์ มัลเล็น, ลิซ คาริเบล, และอาเดรีย อาร์โจน่า ทุกคนต่างอยู่ในชุดบิกินี่สีขาวและเสื้อผ้าสีขาว ทุกคนดื่มด่ำกับแชปเปญ อาหารสุดหรู และพักผ่อนกันริมสระน้ำตลอดทั้งวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปช่วงเวลาดีๆ ในความทรงจำของแขกผู้มาเยือนเริ่มลางเลือน จึงเริ่มเห็นทุกอย่างชัดเจนว่าความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น

ภาพยนตร์เรื่องแรกของโซอี้ คราวิทซ์ เกี่ยวกับปาร์ตี้ที่กลายเป็นฝันร้ายนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องความอยากมีอำนาจ การใช้อำนาจข่มเหง และการทวงพลังกลับคืนมา ในเรื่องจะพบการแสดงที่มีเสน่ห์ของแอ็คกี้ผู้รับบทไฟรด้า นางเอกผู้ต้องเผชิญความท้าทายผ่านภาพที่มีความสะดุดตาและโทนที่น่าลัว คราวิทซ์จะพาคุณไปสัมผัสกับโลกที่ยากจะลืมเลือน

เรื่องตื่นเต้นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

 

คราวิทซ์แสดงภาพยนตร์ในปี 2017 ตอนนั้นเธอเริ่มเห็นสิ่งที่กลายมาเป็นเรื่องราวของ Blink Twice ความเคลื่อนไหวใน #MeToo เพิ่งเริ่มต้น แต่ผู้มีชื่อเสียงทั้งฮาร์วีย์ เวนสเตน และ เจฟฟรีย์ เอปสเตน ยังไม่ออกมาเคลื่อนไหวมากนัก “ช่วงระหว่างนั้นเราได้เห็น พบเจอประสบการณ์ อ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเพื่อน ฉันรู้สึกว่ามันขาดการพูดคุยกันเรื่องพลังระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย” คราวิทซ์กล่าว

 

เธอขอความช่วยเหลือจากเพื่อนและผู้กลายเป็นผู้ร่วมเขียนบทฯ ของเธอในเรื่องนี้ อี.ที. เฟเกนบวม ในการช่วยพัฒนาบทภาพยนตร์ “เราเขียนร่างแรกเสร็จช่วงปลายปีนั้น แต่ในระหว่างนั้นมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นเกี่ยวกับความเห็นด้านเรื่องเพศในฮอลลีวูด และในโลกธุรกิจช่วงเวลานั้น มันช่วยนำเรามาถึงจุดที่ลงตัวเหมาะสม” เฟเกมบวมกล่าว

เฟเกนบวมสนับสนุนให้คราวิทซ์แสดงผลงานของเธอให้พ่ออุปถัมภ์ บรูซ โคเฮน ผู้อำนวยการสร้างฯ เจ้าของรางวัล Academy Award® (ปี 1999 จากภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่อง American Beauty) เขาบอกว่าเห็นความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็น “ภาพยนตร์ไม่ธรรมดา”

 

“ฉันมองว่าเรื่องนี้เป็นผลงานทริลเลอร์สยองขวัญที่สร้างความสนุก มีการพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง การใช้พลังอำนาจนั้นและมันสร้างปัญหาได้มากขนาดไหน” โคเฮนกล่าว

 

เมื่อมีการเริ่มพูดคุยในสังคมเรื่องการปรับเปลี่ยนบทบาททางเพศและผู้หญิง คราวิทซ์สามารถถ่ายทอดสิ่งที่เธออยากเห็นสู่จอภาพยนตร์ได้ “ฉันอยากเห็นกลุ่มของผู้หญิงที่เราให้การตัดสิน อยากเห็นพวกเธอมีบทบาทอย่างเต็มตัว อยากเห็นพวกเธอมีพลังขึ้นมา” เธอกล่าว และเธอยังพิจารณาตัวละครชายที่ในอีกมุมต่างจากที่เธอเห็นมา ทีมงานของสเลเตอร์จะทำตัวหยาบคายไม่ได้ ทำได้แค่เหมือน “ระวังตัวเกินไป” และกังวลว่าจะถูกจับตามองในที่สาธารณะ

 

สเลเตอร์กลายเป็นมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี เขามีความชำนาญจนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนร็อคสตาร์ในยุคนั้น “นั่นคือสิ่งที่ทุกคนเข้าใจได้ดีและอยากจะเห็น” คราวิทซ์กล่าว “เขาเป็นเด็กคนหนึ่งที่ทำงานได้หลายพันล้านดอลลาร์ เขาทำเรื่องที่ผิดพลาด และตอนนี้เขาอยากกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติบนเกาะของเขา อยากออกไปสนุกกับเพื่อนๆ มันเป็นการสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยขึ้นมา ทำให้เราดึงดูดทั้งไฟรด้าและผู้ชมเข้าสู่โลกใบนี้ได้”

ไฟรด้าเองก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามเวลาจนกลายเป็นตัวละครที่เราเห็นในปัจจุบัน “เธออยากได้รับการยอมรับ ไม่อยากเป็นคนอยู่นอกสายตา” คราวิทซ์กล่าว “งั้นจะมีทางใดให้เธอได้สิ่งนั้นมา? มันคือสิงที่เราทุกคนเข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องผิดเลยที่จะอยากได้รับการยอมรับ เป็นที่จับตามอง ไม่ถูกมองข้าม มีคนรินแชมเปญให้ ไม่ใช่เป็นฝ่ายที่ต้องเทแชมเปญนั้น เป็นการสร้างตัวละครที่มีความแข็งแกร่งขึ้นมา เธอรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เธอพร้อมทำหลายสิ่งเพื่อให้ได้มันมา ความปรารถนานั้นคือแรงผลักดันเรื่องราวให้เดินหน้าต่อไป”

 

โคเฮนรู้สึกว่าคราวิทซ์เข้าถึงประเด็นที่มีความโดดเด่นสู่การพัฒนาเรื่องราวนี้ “คุณจะบอกได้เลยว่ามันเป็นเรื่องราวจากเสียงของผู้หญิง จะบอกได้ว่ามาจากผู้หญิงที่มีสีสันคนหนึ่ง และจะสัมผัสได้ว่ามันมีการผสมเข้ากับประสบการณ์จริงของเธอ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องพิเศษแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอจริงๆ แต่เธอคือคนหนึ่งในโลกแบบนั้น และรู้เห็นเรื่องราวเลวร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้น” เขากล่าว 

ความชำนาญในการผสมอารมณ์ขันกับความซับซ้อนวุ่นวายในหลายเรื่องราว” “สำหรับการถ่ายทอดภาพที่มีความโดดเด่นและโทนอารมณ์ของ Blink Twice ออกมา เธอสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่าเธอมีทั้งความแตกต่างและเสียงที่โดดเด่น” เธอกล่าว

 

การปรากฏตัวของผู้กำกับฯ 

 

คราวิทซ์ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์จากผลงานของเธอในเรื่อง The Batman และ High Fidelity เธอมีความสนใจด้านการกำกับฯ และมีสวนร่วมในโลกภาพยนตร์มากกว่าด้านการแสดง “ฉันคิดว่าสิ่งที่คิดได้ระหว่างที่ทุ่มเทการทำงาน คืออยากสร้างผลงานที่ดีที่สุดออกมาเสมอ และฉันรักภาพยนตร์ในทุกด้านเลยค่ะ” เธอกล่าว “การแสดงคือสิ่งที่ฉันรู้ว่าตัวเองสามารถเข้าไปสนับสนุนได้”

 

เมื่อเธอเข้าสู่กระบวนการเขียนเรื่อง Blink Twice ที่ลึกลงไป ยิ่งพบว่ามันยากจะหยุดได้ลง ไอเดียที่ถ่ายทอดสู่ผู้กำกับฯ ที่มีความแตกต่างกลายเป็นผลงานที่ยากจะคาดถึง “ฉันคิดว่ารู้สึกกลัวที่จะส่งเรื่องนี้ไปให้คนอื่น” เธอกล่าว “ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียกับฉันไหม ฉันผ่านการเดินทางอันเหลือเชื่อนี้ เริ่มรู้สึกบางอย่างขึ้นมา และความรู้สึกนั้นเริ่มเข้าไปอยู่ในความฝัน ความคิด และมุมมองต่อสิ่งต่างๆ จากนั้นเราทำให้มันเกิดเป็นภาพจริงขึ้นมาได้…นับเป็นการผจญภัยที่เหลือเชื่อมาก”

แม้แต่ระหว่างการเขียนบทฯ โคเฮนเล่าว่าเขาเริ่มเห็นความเป็นผู้กำกับฯ ในตัวคราวิทซ์ที่เริ่มปรากฏให้เห็น  “เธอมีจินตนาการในทุกแง่มุมของหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม” เขากล่าว

 

แอ็คกี้ผู้รับบทไฟรด้าเห็นด้วย เธออธิบายว่าคราวตซ์มีส่วนร่วมในทุกแง่มุมของการถ่ายทำจริง “เธอใส่ใจเป็นพิเศษเพื่อสร้างความแน่นอนว่าเส้นผมของฉันอยู่ตำแหน่งที่เหมาะสม และแต่ละฉากดูมีความลงตัวเป็นพิเศษกับเนื้อเรื่อง เธอต้องใส่ใจเป็นพิเศษในทุกด้านเพื่อให้ดูเหมือนสิ่งที่เธอใฝ่ฝันเอาไว้” แอ็คกี้กล่าว

 

เฟเก็นบวมเล่าถึงความรับผิดชอบของคราวิทซ์ในการถ่ายทอดไอเดียต่างๆ ให้เป็นรูปร่างขึ้นมา “ผมเห็นการเติบโตของเธอสู่การเป็นผู้กำกับฯ ครั้งแรกอย่างที่ไม่เคยเห็นผู้กำกับฯ คนไหนมาก่อน” เฟเก็นบวมกล่าว “มันประหลาดมากในความสำเร็จของเธอ เธอเป็นคนที่มีความพิเศษและมีจินตนาการไม่เหมือนใคร และเธอถ่ายทอดแนวคิดอันเป็นรากฐานทางสังคมในเรื่องราวนี้ได้อย่างต่อเนื่อง”

 

เพอร์สันส์รู้จักคราวิทซ์ตั้งแต่เธออายุ 17 ปี ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อคราวิทซ์ก้าวมาอยู่เบื้องหลังกล้อง “เธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และนาจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้อย่างแท้จริง” เพอร์สันส์กล่าว

 

การคัดเลือกนักแสดงบทไฟรด้าและสเลเตอร์

 

เมื่อไฟรด้าคือตัวละครเอกของเรื่อง ตัวละครแรกที่ทำการคัดเลือกคือสเลเตอร์ คิง คราวิทซ์ต้องการแชนนิ่ง เททัมอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นเธอยังไม่รู้จักเขา แต่อยากเห็นเขาแสดงอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และคิดว่าเขาจะเหมาะสมลงตัวกับบทสเลเตอร์ ด้วยท่าทางโดยธรรมชาติที่ดูดีของเขาจะชวนผู้ชมหลงใหล รวมถึงไฟรด้าบนเกาะแห่งนี้ด้วย

คราวิทซ์ตามหาใครสักคนที่มีเสน่ห์และทำให้ผู้ชมรู้สึกอุ่นใจ “จะมีใครหากไม่ใช่แชนนิ่ง เททัม?” เธอกล่าว “โลกทั้งใบต้องตอบว่า ใช่ ฉันจะออกไปพักร้านกับคุณและรู้สึกอุ่นใจแน่นอน ดูเขาไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด”

 

คราวิทซ์เองก็รู้สึกว่าเททัมมีพลังต่อผู้หญิง ต้องขอบคุณผลงานของเขาจากเรื่อง Magic Mike ที่ทำให้เขาดึงดูดผู้ชมสาวๆ ได้ นั่นหมายความว่าเขาต้องดูดีในฉาก และเสน่ห์ของเขาในบทสเลเตอร์จะต้องยากเกินห้ามใจ

 

“โซอี้มองเห็นบางอย่างที่คนส่วนใหญ่อาจมองไม่เห็น” เพอร์สันเล่าถึงเททัม “สำหรับเธอแล้วการดึงเขามารับบทนี้นับเป็นตัวเลือกที่ดีมาก มองไม่เห็ฯเลยว่าใครจะเหมาะกับบทนี้”

เมื่อบทภาพยนตร์ตกไปอยู่ในมือของเททัม เขาพบว่ามีทั้งความ “น่าตื่นเต้น” และ “น่ากลั” สเลเตอร์เสนอความท้าทายครั้งใหม่ให้เขาแบบที่ตรงกับตัวเขา ไม่มีใครจะเหมือนเขาได้เลย “แทบจะทุกตัวละครที่ผมเคยเล่นมา จะต้องมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกับตัวละครเหล่านั้น” เขากล่าว “ไม่มีอะไรในตัวสเลเตอร์ที่น่ารักเลยสักอย่าง เขามีแต่ความโรคจิตอยู่ในตัว”

 

เททัมเองก็รู้สึกสนใจในการแสดงแบบอื่นที่มีความท้าทาย สำหรับคราวิทซ์เขาได้สัมผัสการร่วมงานที่มีความกระตือรือร้นและสร้างความท้าทายให้ตัวเอง “เราคุยหลายเรื่องเกี่ยวกับสเลเตอร์ในมุมต่างๆ” เขากล่าว “สิ่งหนึ่งที่เราเห็นด้วยตรงกันคือไม่ต้องการสร้างหนังที่มีความจำเจในการนำเสนอภาพของคนที่โหดร้าย”

 

การค้นหาตัวตนของไฟรด้าเหมือนกับ “การผจญภัยอีกรูปแบบ” สำหรับคราวิทซ์ “มันคือสิ่งที่ยาก” คราวิทซ์กล่าว  “เธอมีหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เราไม่เคยเจอคแบบเธอแน่นอน เธอมีวิธีรับมือกับมันอย่างไร? ไม่ทันตั้งตัวได้อย่างไร? เธอเป็นคนร้ายหรือไม่? เธอคือเหยื่อหรือม่? ในตัวละครนี้มีรายละเอียดมากมาย” เธอรู้ว่าต้องการนักแสดงหญิงผิวสีดำ เพราะเธอเขียนเรื่องออกมาจากมุมของตัวเอง และหลังจากคุยกันพักหนึ่ง ผู้กำกับแคสติ้ง คาร์เม็น คิวบา ได้เสนอชื่อ: นาโอมี แอ็คกี้ นักแสดงจากเรื่อง Lady Macbeth และ Whitney Houston: I Wanna Dance With Somebody คราวิทซ์ไม่คุ้นตากับผลงานของแอ็คกี้นัก แต่เมื่อเธอดูโปรเจ็กต์อื่น เช่น Master of None และ The End of the F***ing World เธอรู้สึกทึ่งไปเลย “ฉันรู้สึกว่า ‘น่ากลัวอะไรขนาดนี้!'” คราวิทซ์กล่าว  “ใบหน้าของเธอคุ้นบนหน้าจอมาก”

 

แอ็คกี้จำสิ่งที่คุยกับคราวิทซ์ในช่วงแรกที่กลายเป็นการคุยกันนานถึง 2 ชั่วโมงเกี่ยวกับไอเดียต่างๆ ในเรื่องได้

 

“มีการพูดคุยหลายเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการไล่ตามอำนาจ เกี่ยวข้องกับเรื่องคุกคามทางเพศ แต่ก็เกี่ยวกับความต้องการของไฟรด้าที่เพิ่มมากขึ้นด้วย” แอ็คกี้กล่าว “ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสัญลักษณ์แห่งอำนาจอย่างสเลเตอร์ มันส่งผลถึงเธออย่างไร และทำให้เธอตาบอดมองไม่เห็นบางสิ่งอย่างไร มีหลายเรื่องราวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไรเมื่อมีประเด็นเกี่ยวกับสถานะและเงิน พวกเขาต่างข่มเหงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราพูดถึงไฟรด้าในมุมที่สร้างความสนุก เป็นตัวละครที่ไม่สมบูรณ์แบบ และนั่นทำให้เธอกลายเป็นเหยื่อที่น่าสนใจได้อย่างไร

แอ็คกี้อธิบายว่าเธอเชื่อไฟรด้าคือตัวละครที่แปลกใหม่บนหน้าจอ เธอมีพลังในการสร้างความเห็นใจจากผู้ชมในวิธีที่ต่างไปจากปกติ “ฉันคิดว่านี่เป็นตัวละครแรกที่เคยเห็นในสถานการณ์แบบนี้ค่ะ ผู้ชมจะรู้สึกว่าอยู่ในจุดที่ดูอ่อนแอ ไม่ใช่เพราะเรื่องสถานะ แต่อ่อนแอเพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการในชีวิต” เธอกล่าว “ตอนที่ได้ดูฉันคิดว่า  ‘ว้าว นี่คือหนังที่เหมาะกับคนที่พูดว่า “เธอไม่น่าสวมกระโปรงแบบนั้นเลย”'”

 

เมื่อพูดถึงเททัม แอ็คกี้พบว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่คอยให้การช่วยเหลือตลอด “ฉันคิดว่าเราทั้งคู่รู้ดีว่าจะต้องเผชิญกับเรื่องที่ยากลำบากแน่” แอ็คกี้กล่าว “ตัวละครของเขามีความน่ากลัวและต้องทำเรื่องที่เลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง ส่วนตัวละครของฉันคือคนที่เจ็บปวดจากเรื่องราวร้ายๆ ต่างๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ เราต้องหาจุดสมดุลระหว่างการทำตัวเซ่อๆ กับการสร้างความแน่ใจว่าทุกคนรู้สึกปลอดภัยดี”

 

สำหรับแอ็คกี้ เททัมพูดถึงเธอว่า “น่าจะเป็นคนหนึ่งที่มีความสามารถมากเท่าที่ผมเคยร่วมงานด้วย” เขากล่าวเสริม “เธอเดินเข้ามาในฉากและรู้สึกว่านี่ต้องเป็นฉากที่ยากแน่ ส่วนเธอก็แค่เดินเข้ามาเฉยๆ เหมือนไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด”

 

คราวิทซ์เล่าว่าแอ็คกี้ถ่ายทอดความอ่อนหวานในตัวไฟรด้าออกมาได้อย่างที่เธอคาดไม่ถึง “นับเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่กว่าที่ฉันคิดเอาไว้ จากที่ดูแสบซ่าสู่จุดที่เธอเป็นอยู่” คราวิทซ์กล่าว “ในตัวเธอมีความใสซื่อที่เห็นได้จากใบหน้าของเธอเช่นกัน”

 

การรวมทีมนักแสดง

 

สำหรับเหล่าตัวละครที่รายล้อมไฟรด้าและสเลเตอร์ สาวๆ ที่อยู่ในนตำแหน่งของไฟรด้าและหนุ่มๆ ที่อยู่ในทีมของสเลเตอร์ คราวิทซ์ตั้งใจรวมทีมนักแสดงที่ผู้ชมอยากออกไปสนุกด้วย สร้างสีสันให้ปาร์ตี้ก่อนจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

“สิ่งสำคัญมากคือต้องดูเหมือนเป็นกลุ่มใหญ่” เธอกล่าว ซึ่งเธอต้องเสาะหาผู้ที่มีบุคลิกหลากหลายแบบ คริสเตียน สเลเตอร์ รับบทวิค คนน่ารำคาญที่คนอื่นไม่อยากสนใจ ส่วนฮาลีย์ โจเอล ออสเมนต์ รับบททอม ผู้ดูอ่อนโยนแต่ค่อยๆ จู่โจมเข้าหา ส่วนไซมอน เร็กซ์ รับบทโคดี้ คนที่คราวิทซ์ใช้คำว่า “ค่อนข้างน่ารำคาญ” เพราะเขาชอบพูดแต่เรื่องอาหารเย็นที่เขาทำ ส่วนเลวอน ฮอว์ค รับบทลูคัสผู้ไร้เดียงสา

 

ไฟรด้าเดินทางมาถึงพร้อมกับ เจส เพื่อนสนิทของเธอ รับบทโดยอาเลีย ชอว์แคท “เจสเหมือนคนที่คอยเป่านกหวีด” ชอว์แคทกล่าว “เธอเป็นคนแรกที่รู้สึกตัวได้ ตลอดทั้งเรื่องจะคิดว่าเธอเสียสติ หลังจากนั้นจะพบว่าเธอพูดความจริงมาตลอด”

 

แอ็คกี้เล่าว่า “บรรยากาศความเป็นเพื่อนสนิท” กับชอว์แคทเกิดขึ้นง่ายดาย “เราพบว่ามีอารมณ์ขันคล้ายกัน” แอ็คกี้กล่าว “เราเต้นรำด้วยกัน เราดื่มด้วยกัน คุยกันเรื่องไร้สาระ คุยกันเรื่องศิลปะ คุยกันเรื่องมิตรภาพ”

 

นอกจากไฟรด้าและเจสแล้ว สาวๆ คนอื่นบนเกาะยังรวมถึงอาเดรีย อาร์โจน่า ผู้รับบทซาร่าห์ ผู้รอดชีวิตที่สาวๆ คนอื่นรู้สึกว่าต้องแข่งขันด้วย รวมถึงลิซ คาริเบล เซียร์ร่า และ ทรูว์ มัลเล็น ผู้รับบทคามิล่าและฮีเธอร์ที่รักความสนุกสนาน สำหรับฮีเธอร์ คราวิทซ์เติมเต็มความฝันของเธอที่อยากสร้าง “ตัวละครหญิงที่มีความแกร่งขึ้นมา”

 

“ผู้คนมีทุกรูปแบบอิงจากที่ฉันเคยรู้จัก และมีบุคลิกต่างกันไปแต่กลับลงตัวกันได้เหมือนจิ๊กซอว์” คราวิทซ์กล่าว

 

จีน่า ดาวิส ผู้รับบทสเตซี่ พี่น้องคนหนึ่งของสเลเตอร์ที่ร่วมส่งเสริมการกระทำของเขา ดาวิสคอยสนับสนุนผู้หญิงรอบตัวในเรื่อง การแสดงออกของเธอจะบ่งบอกความนัยบางอย่างถึงผู้ชม “ฉันเป็นแฟนตัวยงของจีน่าตลอดกาล” คราวิทซ์กล่าว “เธอเป็นคนหนึ่งที่ฉันคุยเรื่องนี้ด้วยมาก่อน อันที่จริงเมื่อเธอได้อ่านบทก็เข้าใจและอยากมีส่วนร่วมในเรื่อง ฉันรู้สึกดีมากเลยค่ะ”

 

สำหรับความสามารถของทีมนักแสดง โคเฮนเล่าเสริมว่า “เราทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ได้ทีมนักแสดงมาร่วมงานในเรื่องตรงตามบท แม้จะเป็นบทเล็กๆ แต่พวกเขาก็ให้ความสนใจ”

 

การคัดเลือกนักแสดงคือสิ่งที่เพอร์สันส์เล่าว่าเป็น “การสร้างความมหัศจรรย์ขึ้นมา”

พื้นที่ปลอดภัยในฉาก

 

สถานที่ฮาเซียนดาสร้างความท้าทายในการถ่ายทำ ทั้งเรื่องความร้อนระอุและฝนตกกระหน่ำ แต่ประสบการณ์นั้นก็สร้างความสนุกสนานให้คราวิทซ์และทีมนักแสดงได้มากเช่นกัน พวกเขาแยกย้ายกันไประหว่างสุดสัปดาห์ แต่ระหว่างการทำงานสามารถพักผ่อนได้ที่ฮาเซียนดา มันเป็นการเพิ่มพลังให้ฉากต่างๆ ได้มากขึ้น “แม้ทุกคนไม่ได้ทำงานก็ยังมีการออกไปข้างนอกกัน” คราวิทซ์กล่าว “เราออกไปหาอะไรกินด้วยกันแทบทุกวัน ฉันคิดว่าคุณจะสัมผัสบรรยากาศในฉากเหล่านั้นได้ พวกเราตัวติดกันตลอด” แอ็คกี้จำได้ “หัวเราะเยอะมาก” ในฉาก

 

“ช่วงวันศุกร์ก็มีความสุขเพราะเราทุกคนจะนั่งเล่นดนตรี ฟังเพลง ทีมงานทั้งหมดจะกลับบ้านกัน พวกเราก็ครองพื้นที่ทั้งหมดเป็นของเรา” เททัมกล่าว “ผมไม่คิดว่าจะได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้จากหนังเรื่องไหนอีก พวกเราอยู่ด้วยกันและกลายเป็นเพื่อนร่วมบ้านเดียวกันเลย”

 

เพราะทีมงานรู้สึกอุ่นใจในกันและกัน มันช่วยทำให้ฉากที่ถ่ายทำยากๆ ผ่านไปได้ด้วยดี “เรามีกลุ่มพูดคุยกันหลายกลุ่มเกี่ยวกับทิศทางเรื่องราวนี้ เราทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร และความสำคัญของมันคืออะไร” คราวิทซ์กล่าว “บรรดาผู้ชายจะคอยถามว่าต้องแสดงออกแบบไหน และคอยดูแลผู้หญิงตลอดการทำงาน ส่วนผู้หญิงก็ต้องขอบคุณผู้ชายในการมีส่วนร่วมในขั้นตอนนี้ ช่วยทำให้ผ่านจุดที่ยากลำบากเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวออกมา พวกเราสื่อสารเข้าใจตรงกันตลอด”

 

เททัมอธิบายว่าทีมนักแสดงทั้งหมดมากองถ่ายด้วย “มุมมองที่เปิดกว้าง” และ “การพูดคุยอย่างเปิดใจ” “สิ่งต่างๆ ที่คุยกันมักเริ่มโดยโซอี้ และผู้อำนวยการสร้างฯ คนหนึ่งของเราคือทิฟฟานี่ เพอร์สันส์” เททัมกล่าว “พวกเขาลงตัวกันมากในการควบคุมเรื่องราวนี้ และความสนุกของหนังเรื่องนี้คือมันมีประเด็นที่ชวนเครียดซ่อนอยู่”

 

เพอร์สันส์เล่าว่าจะมีค่ำคืนสำหรับสาวๆ ที่นักแสดงหญิงจะพูดคุยกันว่าฉากนั้นเป็นอย่างไร และมีค่ำคืนสำหรับหนุ่มๆ ที่พูดคุยแบบนั้นเหมือนกัน “การได้เห็นและได้ยินทีมนักแสดงชายแสดงความรู้สึกออกมา ในฐานะนักแสดงและมนุษย์ที่ต้องแสดงความโหดร้ายผ่านตัวละครของพวกเขามีความสำคัญและจำเป็นมาก รวมถึงการคุยกันในประเด็นที่หนักๆ ของเรื่อง มันเป็นการสะท้อนถึงความรับผิดชอบของทีมนักแสดงในการสร้างบรรยากาศของเรื่องขึ้นมา และ

สร้างบรรยากาศของการกดขี่ทางเพศ แสดงอารมณ์และความรู้สึกออกมาได้ชัดเจน” เธอกล่าว

ทีมนักแสดงได้ร่วมงานกับอย่างใกล้ชิด และเมื่อถึงเวลาถ่ายทำภาพยนตร์ในฉากสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางเพศ ทุกคนต่างจับมือกันและใช้เวลาร่วมกัน คราวิทซ์กล่าว “มันเป็นภาพที่งดงามมาก” เธอกล่าว “ทุกคนใส่ใจดูแลกัน สิ่งต่างๆ ออกมาจากแต่ละคน รู้สึกได้รับการสนับสนุนจากทีมงาน ทีมนักแสดง และทุกคน”

 

หลังจากผ่านฉากต่างๆ เพอร์สันเล่าว่าพวกเขาต้องใช้เวลาคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น “เราใช้เวลาอยู่บนพื้นดินและคำนวณใหม่อีกครั้ง” เธอกล่าว 

 

ตามหาเกาะของพวกเขา

 

สำหรับการสร้างความรู้สึกของเกาะส่วนตัวที่มีความลึกลับให้สมจริง เหมือนอยู่ในดินแดนลับของโลก คราวิทซ์และทีมออกแบบต้องสถานที่จริงที่เหมาะสมเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ พวกเขาได้พบกับสิ่งที่ตามหาในยูกาตัน ประเทศเม็กซิโก โรงแรมแห่งหนึ่งที่ทีมนักแสดงใช้อาศัยและถ่ายทำ “มันมีความสมจริงมาก” ผู้ออกแบบฉาก โรเบอร์โต โบเนลลี่ กล่าว

 

คราวิทซ์ต้องการให้ที่ซ่อนตัวของสเลเตอร์สร้างความรู้สึกต่างจากมหาเศรษฐีคนอื่น เธออยากจะเลี่ยงความเรียบหรูและดูเกินจริง สเลเตอร์ที่เธอคิดเอาไว้พยายามจะเดินถอยหลังแทนที่จะเดินไปข้างหน้า และต้องกลับไปใช้สิ่งดูเรียบง่ายที่สุด แต่เพิ่มความเครียดลงไปอย่างที่คราวิทซ์คิดว่ามันสร้างความสนุกสนานขึ้นมาได้

 

“ฉันชอบฉากหลังของการล่าอาณานิคมแบบนี้” เธอกล่าว “และการกดขี่ การแสดงออกต่อการ และความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่นั่น” ขณะเดียวกันบรรยากาศของบริเวณที่เราถ่ายทำก็มีความงดงามมาก คราวิทซ์กล่าวว่า “มันมีพลังในสถานที่เหล่านั้นอย่างยิ่งใหญ่”

 

ในความเป็นจริงแล้วบรรยากาศที่พวกเขาเลือกใช้ มีอะไรหลายอย่างให้ทีมงานต้องจัดการ “มันเหมือนการสร้างความทรงจำ” คราวิทซ์กล่าว “เมื่อเราพบว่าที่นั่นมีโทนสีและทุกสิ่งที่เราต้องการ”

 

สำหรับที่ดินผืนนั้น พวกเขาพบพื้นที่สำหรับห้องให้สเลเตอร์ คิงจัดปาร์ตี้อันป่าเถื่อนให้ผู้มาเยือนในบ้านมายาโบราณที่เคยใช้เก็บของ “เรารื้อทุกอย่าง ทำความสะอาด และสร้างชั้นวางหนังสือที่มีแสงไฟในตัวขึ้นมา” โบเนลลี่อธิบาย

 

แต่ในความงดงามของสถานที่โดยธรรมชาตินั้น พวกเขาต้องเพิ่มความเป็นสเลเตอร์ คงลงไปบางอย่าง เพื่อสร้างความแน่ใจว่าเกาะหลังนั้นมีกลิ่นอายของเศรษฐีพันล้าน โบเนลลี่และคราวิทซ์ได้แรงบันดาลใจจากผู้สร้างรสนิยมจนเกิดตัวละครที่ไม่เคยเห็นบนหน้าจอ “ผู้ออกแบบภายนอกของสเลเตอร์คือผู้สร้างรีสอร์ทให้เหมาะกับรสนิยมของเขา “สเลเตอร์ คิงมีความเสแสร้างในตัว และเขาพยายามทำให้ดูเหมือนตัวเองมีรสนิยมดีมาก” โบเนลลี่กล่าว

 

ตัวอย่างหนึ่งคือพวกเขาต้องออกแบบเก้าอี้ที่สร้างความอึดอัดให้สเลเตอร์ตลอดทั้งเรื่อง “เราสร้างเก้าอี้ขึ้นมา 3 ตัว เพราะมันต้องถูกลากตลอดเวลา” โบเนลลี่กล่าว

 

โบเนลลี่ยังมีการสร้างบรรยากาศภายในของบ้านไร่ขึ้นมาใหม่บนโรงถายในเม็กซิโกซิตี้ เพื่อให้พวกเขาสามารถจุดไฟเผาอย่างยิ่งใหญ่ได้ แรงบันดาลใจยังคงมาจากสถานที่จริงที่พวกเคยเพิงถ่ายทำ เพื่อสร้างบรรยากาศในเรื่องให้ได้อย่างที่พวกเขาต้องการ “ฉันยังคิดด้วยซ้ำว่าเราได้แรงบันดาลใจจากสิ่งต่างๆ ในสถานที่แห่งนั้น” โบเนลลี่กล่าว

การทำงานร่วมกับตัวแปรต่างๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาให้สอดคล้องกับสไตล์ของสเลเตอร์ โบเนลลี่และคราวิทซ์ยังสร้างความแตกต่างของโทนสีในโลกของสเลเตอร์ด้วย “สีแดงเหมือนสีของเลือด แต่มักปรากฏให้เห็นบนดอกไม้เป็นส่วนใหญ่ มีบนกำแพงที่ดูไม่โดดเด่นมากนัก” โบเนลลี่กล่าว “สีที่สะดุดตาส่วนใหญ่จะเป็นสีฟ้าที่เห็นได้ทั่วไป” พวกเขาทาสีห้องในโรงแรมใหม่และย้ายเฟอร์นิเจอร์ มีการใช้หินอ่อนท้องถิ่นจากยูกาตันปูพื้นด้านข้างสระน้ำด้วย

 

เพราะภาพยนตร์มีความมืดเป็นส่วนสำคัญ คราวิทซ์เล่าว่าเธอร่วมงานกับผู้กำกับฉาก อดัม นิวพอร์ท-เบอร์ร่า เพื่อสร้างความสว่างมากขึ้นเป็นพิเศษ เธออยากให้ภาพที่งดงามรู้สึกได้ถึง “การรุกราน” 

 

“ยิ่งมีความสดใสเท่าไหร่ก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น” เธอกล่าว “และต้องการสร้างความระทึกขวัญสั่นประสาทที่รู้สึกสดใสงดงาม” 

 

กองถ่ายมีการใช้สถานที่จริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างฉากเปิดตัวและปิดตัวจะเป็นบรรยากาศงานกาล่าของสเลเตอร์ โบเนลลี่เลือกใช้พิพิธภัณฑ์ในเม็กซิโกซิตี้ “ที่นั่นต้องทำให้เราพูดได้ว่าดูมีความเป็นศิลปะและรสนิยมดีมาก” โบเนลลี่กล่าว ระหว่างที่คราวิทซ์เสริมบางอย่างที่ดู “มีความทันสมัย” ลงไป เพื่อสร้างความแตกต่างให้โรงแรม

 

ภายในพิพิธภัณฑ์พวกเขาสร้างรูปปั้นที่ต้องใช้กล่องติดตั้งไฟด้านบนเพื่อให้ดูมีความพิเศษอย่างที่พวกเขาต้องการ “เราใส่รายละเอียดของสีแดงลงไปหลายจุด” โบเนลลี่กล่าว สีแดงมีการสื่อถึงสิ่งที่กำลังจะมาเยือน รวมถึงภายในเจ็ทส่วนตัวของสเลเตอร์ที่พวกเขาสร้างตั้งแต่โครงด้วย

 

การสร้างบรรยากาศของเสียงที่น่ากลัว

 

สำหรับการร่วมงานกับคราวิทซ์ ผู้ประพันธ์ดนตรี แชนด้า แดนซี่ ได้แต่งเพลงที่มีความทันสมัย เพื่อสร้างบรรยากาศเสียงที่ชวนตกใจให้การเดินทางของไฟรด้าสู่ความลึกลับที่บ้านของสเลเตอร์ คิง

 

“มันไม่ได้เป็นทางการว่าภาพเป็นแบบนี้ เราจะมาแต่งเพลงประกอบภาพนี้กัน” แดนซี่กล่าว “มันเหมือนกับมาสร้างเสียงที่มีความเท่ให้หนังเรื่องนี้กันดีกว่า จึงมีรายละเอียดบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับภาพ เราสร้างบรรยากาศขึ้นมา เรามีการดึงมันมาใช้ได้บ้างหรือจะใช้ทั้งหมดเลยก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้การแต่งเพลงประกอบเรื่องนี้มีความโดดเด่นขึ้นมา

 

หลังจากที่ได้อ่านบท แดนซี่เกิดแรงบันดาลใจจะสร้างความสมจริงที่แฝงความมหัศจรรย์ขึ้นทันที การผสมกับรายชื่อเพลงที่จะโผล่ขึ้นมาในหนังด้วย มันมีทุกอย่างตั้งแต่ Igor Stravinsky ไปจนถึงธีมของ Fantasy Island และเสียงดนตรีของญี่ปุ่น

 

แดนซี่ยังรวมความชอบของคราวิทซ์เอาไว้ด้วย เพราะมันไม่มีความชัดเจนว่าเกาะของสเลเตอร์ คิงเป็นแบบใด แดนซี่ฟังเพลงจากหลากหลายวัฒนธรรม “มันไม่ได้รวมเอาไว้ในผลงานขั้นสุดท้ายทั้งหมด แต่สร้างแรงบันดาลใจให้ฉันเริ่มคิดถึงความแตกต่างจากออร์เคสตร้าแบบเดิม” เธอกล่าว “การสร้างเสียงเคาพขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีเคาะ”

 

หนึ่งในสิ่งสำคัญที่เธอเลือกใช้คือไวโอลินของเธอเอง แต่เธอมักจะสร้างเสียงที่ไม่ใช่เสียงอย่างที่เราคิดว่าจะออกมาจากเครื่องดนตรีนั้น นอกจากนั้นแล้วเธอและคราวิทซ์ยังทำการทดลองกันตลอดด้วย “มันเหมือนกับกล่องทรายขนาดใหญ่ เราเล่นด้วยกันไปพร้อมกับเสียงดนตรี” แดนซี่กล่าว “แค่ส่งตัวอย่างความคิดบางส่วนให้โซอี้ จากนั้นเธอจะรวบรวมความคิดของเธอมาให้ฉัน เราส่งต่อกันแบบนี้”

 

แทนที่จะคิดถึงเรื่องการสร้างความเครียดผ่านเสียงที่เป็นลางร้ายของหนังสยองขวัญทั่วไป แดนซี่และคราวิทซ์คิดถึงเรื่อง “รายละเอียด” เหนือสิ่งอื่นใด แดนซี่ คราวิทซ์ และผู้เรียบเรียงเสียงดนตรี กิสเบิร์ก สเมียเล็ก ได้พัฒนาภาษาที่พวกเราใช้สื่อสารกันขึ้นมา ซึ่งเป็นเสียงที่ได้ยินตลอดทั้งเรื่อง “มันเหมือนับรอยเปื้อนของการแต่งแต้มสีสัน” แดนซี่กล่าว

 

แดนซี่พัฒนาธีมขึ้นมาเพื่อไฟด้าในช่วงแรก “มันมีความน่ารัก เซ็กซี่เล็กน้อย กวนใจนิดหน่อย” แต่เธอไม่ต้องการให้เพลงประกอบวนเวียนอยู่ในหัวของไฟรด้า “เราอยากซึมซับบรรยากศบนเกาะของสิ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้” แดนซี่กล่าว “เรามีเสียงที่ชวนแปลกใจ ฟังแล้วคล้ายกับเสียงคำรามของสัตว์” เธอกล่าว “เราอยากให้ผู้ชมสัมผัสความรู้สึก: ขอให้ไม่ใช่มันนะ มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ทุกคนต้องออกไปแล้ว”

 

สำหรับคราวิทซ์ นับเป็นเรื่องยากที่จะก้าวออกจากดนตรีประกอบภาพยนตร์แบบเดิมอย่างที่แดนซี่เคยสร้างเอาไว้ แต่เมื่อขั้นตอนหลังการถ่ายทำดำเนินต่อไป เธอพบว่าอยากหลีกหนีจากความรู้สึกนั้น “ฉันพบว่าตัวเองชอบความรู้สึกนี้ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ” คราวิทซ์กล่าว  “เราพบกับเสียง 4 แบบและฉันรู้สึกว่า:  ต้องแบบนี้แหละ “