TAKLEE GENESIS “ตาคลีเจเนซิส”
เปิดจองบัตรล่วงหน้าแล้ววันนี้!
เปิดรอบพิเศษ 11 กันยายน รอบ 19.00 น. เป็นต้นไป
ฉายจริง 12 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์ระบบปกติ, DOLBY ATMOS และ IMAX
#TakleeGenesis #ตาคลีเจเนซิส
#Neramitnungfilm #WarnerBrosTH #StudioCommuan

 

 

TAKLEE GENESIS

ตาคลี เจเนซิส

เนรมิตรหนัง ฟิล์ม เสนอ  

สตูดิโอ คำม่วน สร้าง

นักแสดง : พอลล่า เทย์เลอร์ / ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล / วนรัตน์ รัศมีรัตน์ / ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน / เจนจิรา ไวด์เนอร์ / ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล / นารา เทพนุภา / ภูษิตา วัฒนากรแก้ว / นุชนภา สร้อยดารา / กิตติศักดิ์ ปฐมบูรณา / อินทิรา เจริญปุระ

ตัดต่อ : ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล / รัตพงษ์ อภิชัย

ออกแบบงานสร้าง : มณฑล พงษ์ภาพ 

กำกับภาพ : ชูเกียรติ ณรงค์ฤทธิ์ / นภนต์ ทิพย์ปัญญา

ออกแบบเครื่องแต่งกาย : กัญญา  ผ่องภักดี

ดนตรีประกอบ : ชัพวิชญ์ เต็มนิธิกุล

วิชวลเอฟเฟ็กต์ : FATCAT

ควบคุมงานสร้าง : โมไนย ธาราศักดิ์ / นคร โพธิ์ไพโรจน์ / กวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ

ร่วมควบคุมงานสร้าง : ชูยศ เมืองยศ 

อำนวยการสร้างบริหาร : กนกวรรณ วัชระ 

บทภาพยนตร์ : ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล / ฐานะมาศ เถลิงสุข / สรวิชญ์ เมืองแก้ว

กำกับภาพยนตร์ : ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล

แนวภาพยนตร์ : ไซ-ไฟ, แอ็กชั่น, ผจญภัย

วันเข้าฉาย : 12 กันยายน 2024

 

เรื่องย่อ : 

 

ในช่วงสงครามเวียดนาม กองทัพอเมริกันได้สร้างสถานีสื่อสารขนาดใหญ่ ณ ค่ายรามสูร ว่ากันว่ามันเป็นสถานที่ทดลองการเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง ในชื่อโปรเจ็คต์ Taklee Genesis

 

สเตลล่า (พอลล่า เทย์เลอร์) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ชีวิตกำลังอยู่ในช่วงพลิกผัน เธอได้รับโทรศัพท์จาก อิษฐ์ (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) เพื่อนสมัยเด็กของเธอ ขอร้องให้สเตลล่ากลับไปดูแล ดวงพร (เจนจิรา  ไวด์เนอร์) แม่ที่กำลังป่วยหนัก ณ หมู่บ้านดอนหาย สถานที่ที่เธอจากมาตั้งแต่ยังเด็กพร้อมความทรงจำอันเลวร้าย เมื่อเธอเป็นประจักษ์พยานการหายตัวไปอย่างลึกลับของพ่อภายในป่าต้องห้าม แต่ไม่มีใครเชื่อเธอเลย 30 ปีต่อมา สเตลล่ากลับบ้านมาพร้อม วาเลน ( ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน) ลูกสาวที่พยายามพิสูจน์ตัวเองกับแม่ของเธอ ที่ดอนหาย สเตลล่ายังได้เจอกับ จำนูญ (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) หัวหน้าชุมชน และ ก้อง (วนรัตน์ รัศมีรัตน์) ลูกชายของเขา ซึ่งทั้งคู่ยังมีรูปร่างหน้าตา ไม่ต่างจากเมื่อ 30 ปีก่อนอย่างไม่น่าเชื่อ

 

ในคืนหนึ่ง สเตลล่าได้รับการติดต่อกลับมาจากพ่อของเธออีกครั้ง ผ่านวิทยุสื่อสารเครื่องเก่า ซึ่งแม้เวลาผ่านมา 30 ปีแล้ว แต่ในที่ที่พ่อของเธออยู่นั้น เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ 30 นาที สเตลล่าตั้งใจจะช่วยพ่อกลับมายังโลกปัจจุบันให้ได้ โดยภารกิจคือเธอต้องกลับไปเปิดเครื่อง Taklee Genesis อีกครั้ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นการผจญภัยสู่อดีตถึงอนาคต ที่กินระยะเวลานับพันปี  

 

ผลงานสุดทะเยอทะยาน วาระครบรอบ 20 ปีการทำหนังของ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ประเดิมผลงานกำกับและเขียนบทหนังยาวฉายโรงเรื่องแรก คือ “คน ผี ปีศาจ” (2004) ซึ่งในวันนั้น เขามีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ชูเกียรติได้ผลิตหนังที่เป็นหมุดหมายสำคัญต่อวงการภาพยนตร์ไทยอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “13 เกมสยอง” (2006) ที่ได้รับการซื้อสิทธิไปรีเมคเป็นฉบับฮอลลีวูด ในชื่อ 13 Sins (2014), “รักแห่งสยาม” (2007) โดยหนังสามารถกวาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากทุกเวทีรางวัลในปีนั้น นอกจากนี้ยังมี “โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ”  (2012), “เกรียนฟิคชั่น” (2013) และ “ดิว ไปด้วยกันนะ” (2019)

 

ไม่เพียงงานกำกับเท่านั้น ชูเกียรติยังมีส่วนร่วมในงานเขียนบทภาพยนตร์เรื่องดัง อย่าง “บอดี้ ศพ#19” (2007) งานกำกับของ ปวีณ ภูริจิตปัญญา ซึ่งเขียนบทร่วมกับ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ ที่เคยสร้าง “13 เกมสยอง” ด้วยกันมาแล้ว และ “แสงกระสือ” (2019) ผลงานการกำกับของ สิทธิศิริ มงคลศิริ

 

ในปี 2024 นี้ ชูเกียรติกลับมาอีกครั้งในผลงานที่ทะเยอทะยานที่สุดในชีวิตการทำหนังในรอบ 20 ปี นั่นคือ Taklee Genesis “ตาคลี เจเนซิส”

 

อะไรคือเเรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้?

 

ด้วยความที่ชอบหนังไซไฟอยู่เเล้ว และก็มีการติดตามอ่านบทความเกี่ยวกับ โลก จักรวาล อวกาศ มิติต่างๆ ทำให้เราพบว่า เรื่องพวกนี้มันเป็นสิ่งที่เร้นลับพอๆ กับเรื่องผีเลยนะ จนมาถึงจุดที่เราสนใจเรื่องพวกนี้มากกว่าเรื่องผีด้วยซ้ำ เพราะกับเรื่องผี เรารู้สึกว่าความเป็นไปได้ของมันสามารถไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด อาจจะเหนือความเป็นจริงไปเลยก็ได้ แต่กับหนังไซไฟ ความเป็นไปได้มันจะต้องถูกอธิบายด้วยอะไรบางสิ่งบางอย่าง และสิ่งนี้มันคือเสน่ห์ของวิทยาศาสตร์

 

เวลาที่เราอยู่ ชีวิตที่เราดำเนินไปทุกวันเนี่ย มันมีอยู่จริงมั้ย ตัวเราเอง เราเป็นคน เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นกลุ่มก้อนทางชีววิทยา หรือจริงๆ เราเป็นภาพสะท้อนของอะไรบางอย่าง สิ่งเหล่านี้มัน inspired เรามานานเเล้ว เเละเราก็หาโอกาสที่จะทำเป็นหนังสักเรื่อง 

 

พอได้มีโอกาสคุยกับทาง เนรมิตรหนัง ฟิล์ม เค้าอยากให้ทำอะไรแบบนี้ เราก็งงเลย เพราะว่าหนังแนวนี้เป็นหนังแสลงสำหรับคนไทยพอสมควร แต่เราก็ไม่คิดว่าคนไทยจะไม่เก็ตเรื่องพวกนี้นะ ก็เลยรวบรวมสิ่งที่เขียนไว้มาทำเป็นบทขึ้นมา

“ตาคลี เจเนซิส” คืออะไร? โลกมันใหญ่ขนาดไหน? อยากให้ลองอธิบายให้ฟังหน่อย

 

“ตาคลี เจเนซิส” ในเรื่อง มันคือโครงการทดลองของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเวียดนาม เหตุที่ชื่อ “ตาคลี” เพราะว่าในยุคนั้น อ.ตาคลี เป็นฐานทัพสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือจริงๆ ฐานทัพมันมีหลายที่นะ อย่างที่ สัตหีบ อุดรธานี แต่สำหรับฐานทัพตาคลี เราคิดว่าสถานที่ที่มันใหญ่ขนาดนั้น มันอาจจะมีอะไรบางอย่าง แล้วหลังๆ ก็มีสมมติฐานมากมายเกี่ยวกับความลับในตาคลี เช่นว่า ตาคลีมีมนุษย์ต่างดาวอยู่ตรงนั้น เฮ้ย อันนี้มีคนพูดจริงนะ ไปดูได้ในยูทูป (หัวเราะ)

 

เเต่สำหรับตัวหนัง ไม่ได้อยู่เเค่ในพื้นที่ตาคลีนะ เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเเถวภาคอีสานมากกว่า ซึ่งเราได้ไปเจอสถานีเรดาร์ร้างที่ค่ายรามสูร จ.อุดรธานี ดูเเล้วมัน inspired มาก ในโลกนี้มีอยู่ 7 แห่งเองนะ ที่เป็นเสาล้อมๆ แบบนี้ โดยสถานีเรดาร์ ค่ายรามสูร เนี่ย ถูกพูดถึงในหลายๆ เหตุการณ์สำคัญของไทยด้วย ในยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา

 

สำหรับหนัง “ตาคลี เจเนซิส” จักรวาลแรกเริ่มต้นที่สงครามเย็น หลังจากนั้นพอมันพูดถึงการทดลองเพื่อที่จะควบคุมเวลาได้ เราก็เลยลองพามันไปไกลสุด ก็น่าจะ 75 ล้านปี แล้วก็เป็นแสนปี ห้าพันปี เเล้วก็ไปในอนาคตอีกสองถึงสามร้อยปีอะไรแบบนี้ เป็นความท้าทายว่าเราจะเขียนเรื่องให้มันเกี่ยวเนื่องกันยังไง ใน Time scale ที่มันกว้างใหญ่ขนาดนั้น

 

ที่พูดมาถึงขนาดนี้ “ตาคลี เจเนซิส” มีทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ มีทั้งวิทยาศาสตร์ การรีเสิร์ชหนักหน่วงขนาดไหน?

 

โอ้ กว่าจะมาเป็นบทหนัง ใช้เวลานานมากเหมือนกันนะ ก็เก็บเล็กผสมน้อย เวลาเราเกิดไอเดียอะไรก็จะจดเอาไว้เป็นหัวข้อๆ วันหนึ่งก็จะหยิบมันขึ้นมาขยายบ้าง ซึ่งไอเดียพวกนี้ มันอยู่ในที่จดของเราเยอะมาก มันเป็นก้อนความคิดเต็มไปหมดเลย เเล้วทุกอย่างมันเชื่อมโยงถึงกันได้หมด

 

แล้วเราก็ทั้งดูยูทูป ทั้งอ่านหนังสือ อย่าง “ต่วย’ตูน พิเศษ” ที่เราอ่านตั้งเเต่เด็ก มัน  inspired เรามากเลย เพราะมันมีทั้งเรื่องในอดีต เรื่องในอนาคต เรื่องสัตว์ดึกดำบรรพ์ อะไรแบบนี้ เราว่ามันน่าจะเป็นจุดแรกที่จุดประกายเราให้สนใจเรื่องพวกนี้ก่อน

 

เสร็จเเล้ว พอมีคนบ้าไปด้วยกันเเล้ว เราก็ไปหาคนบ้าหลายๆ คนที่เนิร์ดในสิ่งเดียวกัน หนึ่งในนั้นก็มี “น้องพีพี” (พัทน์ ภัทรนุธาพร ผู้ช่วยวิจัยแห่ง MIT สหรัฐอเมริกา) เป็นน้องจาก MIT ตอนนั้นน้องเค้ากำลังเรียนดอกเตอร์อยู่ที่โน่น ก็คือคุยกับใครไม่รู้เรื่อง ต้องไปคุยกับเด็ก MIT แล้วเขาก็อินไปด้วยกัน สิ่งที่รีเสิร์ชมีตั้งเเต่อเมริกาทำอะไรกับใครไว้บ้างในช่วงสงครามเย็น การทดลองนี้มันมีจริงหรือเปล่า แล้วถ้าเกิดมันมีอารยธรรมต่างดาวที่เขาสามารถควบคุมความเร็วเหนือแสงได้ มันจะนำไปสู่อะไร จะนำไปสู่การควบคุมเวลา ควบคุมการเดินทางไปที่นั่นที่นี่ในจักรวาล แล้วจักรวาลกว้างไกลเเค่ไหน จักรวาลมีหนึ่งเดียวหรือเปล่า เนิร์ดมากๆ ครับ หนังเรื่องนี้ (หัวเราะ)

 

แล้วถ้าคนไม่เนิร์ด ดูเรื่องนี้ได้มั้ย?

 

จริงๆ แก่นของมัน ก็คือเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีปมในชีวิตมากมาย เป็นเรื่องของคนธรรมดา มันอาจจะเป็นตัวเราเอง เป็นเพื่อนเรา เป็นพี่สาวเรา เป็นแม่เรา ที่กำลังบาลานซ์วิกฤตในชีวิตวัยกลางคน ลูกยังเล็ก สามีทิ้งไป แล้วก็มีปัญหาในที่ทำงาน แต่จริงๆ ปัญหาของเธอทุกวันนี้ มันมีอะไรบางอย่างที่ส่งมาจากวัยเด็ก ที่มีปมเรื่องพ่อ เรื่องการเผชิญหน้ากับสิ่งลึกลับเเล้วไม่มีใครเชื่อ จนเเธอต้องเชื่อแต่ตัวเอง แล้วการเชื่อแต่ตัวเองนำเธอไปสู่ปัญหาโน้น ปัญหานี้ แล้วการที่เธอได้มาเจอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง พิสูจน์ได้ว่า มันมีสิ่งที่เหนือความจริง เหนือธรรมชาติ เหนือสิ่งที่คนรับรู้ เกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ เกิดขึ้นมาจริงๆ เเล้วเธอเองสามารถควบคุมสิ่งนั้นได้ เธอจะเอามันกลับมาควบคุมชีวิตตัวเองหรือเปล่า มันก็เหมือนเป็นสิ่งที่เราทุกคนเจอนั่นแหละ เเละถ้าตกอยู่ในสถานะเดียวกัน เราก็น่าจะเอาตัวเองไปเชื่อมโยงกับตัวละครนั้นได้

 

ขอเจาะไปถึง Production Design กว่าที่จะได้โลกแบบที่อยากให้เป็น ไม่ว่าจะในยุคไหน ใช้เวลานานมากมั้ย?

 

นานนะ ใช้เวลารีเสิร์ชมาเยอะเเยะ แต่เราไม่ได้พาไปสู่ซีนสงครามในอดีตอะไรที่มันจริงจังขนาดนั้น เพราะแก่นของเรื่องมันอยู่ที่ตัวละคร “สเตลล่า” เธอจะเป็นคนพาเราไปสู่ตรงนั้นตรงนี้ โดยมันก็จะมีโลกโบราณยุคดึกดำบรรพ์ ที่ได้รับผลกระทบจากไอ้เครื่องนี้ (“ตาคลี เจเนซิส”) ในโลกอนาคตก็เช่นกัน โดยมันจะมีความซ้อนเหลื่อมของสิ่งต่างๆ ที่ไม่ควรจะอยู่ในช่วงเวลานั้นขึ้นมา

 

หนังเรื่องนี้ ศูนย์กลางจริงๆ มันอยู่ที่ตัวละคร แม้เราจะเซ็ตทุกอย่างไว้ใหญ่โต แต่ในมุมมองของเรา เราจะเห็นตัวละครไปสู่สิ่งเหล่านี้ เเล้วแบคกราวน์ของมันจะเป็นเรื่องในลักษณะที่ให้เราลุ้นว่า เมื่อผู้หญิงคนนี้เข้าไปในสถานการณ์นั้นๆ เธอจะเอาอยู่มั้ย จะไหว จะรอดไปจากตรงนี้หรือเปล่า? 

 

อย่างในห้าพันปีก่อน มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์เขาอยู่กันยังไง ก็ไปรีเสิร์ชมา ปรากฎว่า มันก็ไม่ได้ต่างจากทุกวันนี้เท่าไหร่ ไม่ได้แปลว่าเขามีมือถือหรืออะไรแบบนี้ เเต่เขาก็เเต่งตัวกันจัดเหมือนกัน ผ้าก็ทอกันเอง มีลูกปัด มีศิลปะ กล่าวคือ mindset ก็เหมือนคนในทุกวันนี้เนี่ยแหละ ในแง่การหาข้อมูล เราก็ไปดูพิพิธภัณฑ์ ไปดูเขาขุด พวกถ้วยชามรามไหอะไรที่เขาเอาขึ้นมาจริงๆ แล้วก็มีภาษาโบราณ ที่เราสร้างขึ้นมาใหม่เหมือนกัน

 

หรือกระทั่งว่า ถ้ามนุษย์ต่างดาวทำของขึ้นมาสิ่งหนึ่ง อันนี้ก็นั่งคิดกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ เเล้วมันคิดว่า อารยธรรมไหนในจักรวาลที่จะได้ไป แล้วต้องใช้มันให้เป็น มันจะทำยังไง ภาษาที่จะปรากฎขึ้นมาบนสิ่งของนั้น หรือวิธีการถ่ายทอด Knowhow ที่ส่งต่อมาในระยะเวลาเป็นล้านปี เเล้วหน้าตามันควรจะเป็นยังไง

 

เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับมะเดี่ยวตั้งเเต่ทำหนังมาเลย อะไรคือส่วนที่ยากที่สุด?

 

มันยากไปทุกส่วนเลย จริงๆ คิดไปคิดมา กูไม่น่าเริ่มต้นเรื่องนี้เลย (หัวเราะ) เเต่เราก็ไม่รู้ว่าถ้าเราไม่ได้ทำในวันนี้ เราจะได้ทำอีกเมื่อไหร่ มันก็ท้าทายการรับรู้ระดับหนึ่งเลยนะ มันท้าทายตั้งเเต่เเรกเเล้วว่าเราจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้คนเข้าใจได้ยังไง หนังมันต้องมีการอธิบายเยอะมากเลยนะ ในเเต่ละสเตจที่ตัวละครต้องไปเจอ เราจะคงความเป็นมนุษย์ของตัวละครยังไงไปจนจบเรื่อง ให้คนดูเอาใจช่วยเขา เเละเห็นพัฒนาการจากปมฝังใจ การต่อสู้ ผิดหวัง สูญเสีย ลุกขึ้นมาใหม่ จุดนี้เราจะพาคนดูไปยังไง ท่ามกลางการที่เขาดูเเล้วต้องเกิดคำถามเเน่เลยว่า ไอ้นั่นคืออะไรวะ ไอ้นี่คืออะไร ทำไมมาอยู่ตรงนั้นตรงนี้ อันนี้คือความยากของการเล่าเรื่อง 

 

และด้วยงานสร้างที่ค่อนข้างจะมีหลากหลายเซ็ตที่อยู่ในช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งวิธีคิดของคนที่อยู่ใน เเต่ละยุคสมัยเป็นอย่างไร วิธีการสื่อสารถึงกันมันควรเป็นแบบไหน รวมไปถึงเรื่องการทำเสียง sign ของการข้ามเวลา การที่มีสัตว์ประหลาดโผล่ เสียงของทุกสิ่งทุกอย่างที่มาประกอบกัน มันเป็นเรื่องใหญ่โตมากเลยครับ

 

เหตุผลอะไรที่ทำให้เลือกนักแสดงชุดนี้ ตอนเขียนบทได้คิดมาในหัวมั้ย

 

เราเคยร่วมงานกับพี่พอลล่า พี่ปีเตอร์ เมื่อ 2-3 ปีก่อน แล้วเราคิดว่า อยากให้แก (พอลล่า) ได้เล่นหนัง เพราะว่าแกมีความ cinematic มาก แล้วก็เป็นสัญลักษณ์ของ rom-com (หนังโรเเมนติกคอเมดี้) ในยุคนึง แล้วแกเป็นคนเก่ง มีบุคลิกที่น่าเอาใจช่วย โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย (หัวเราะ) และอีกอย่างคือตัวละครที่พอลล่ารับบท ก็เป็นมรดกตกทอดมาจากสงครามเวียดนาม ก็เลยต้องมีความเป็นลูกครึ่ง เป็นฝรั่งในเมืองไทย สมัยนั้นก็มีความแปลกแยกนะ จะถูกบูลลี่ ถูกนั่น ถูกนี่ ดังนั้น Race ของตัวละคร เผ่าพันธุ์ของตัวละคร ก็มีความสำคัญต่อการเล่าเรื่องอยู่เหมือนกัน

 

รู้ว่าทุกอย่างมันยาก แต่ฉากไหนที่มะเดี่ยวคิดว่ากำกับยากที่สุด

 

แต่ละฉากก็มีความยากแตกต่างกัน เเต่ที่ยากเลย เหนื่อยเลย ก็คือฉากที่บ้านเชียงที่เป็น 5,000 ปีก่อน เป็นต้นตออารยธรรมที่เกิดอะไรบางอย่างขึ้น ทำให้ล่มสลายไป ตอนนั้นบ้านเชียงก็คือกลุ่มคาราวานกลุ่มหนึ่ง ที่เราจะต้องไปถ่ายกันที่เหมืองหินร้อนๆ ซีนนั้นใช้เวลาถ่ายทำ 3 วัน ทั้งที่ในหนังโผล่มาวูบเดียวเอง แต่ผลที่ออกมา เราโอเคกับมันมากเลย เพราะว่ามันสวย มันเป็นหายนะที่สวยงาม ตัวละครฆ่ากันบรรลัย เเต่มันรู้สึกว่า แสง มู้ดโทน ภาพ มันทำให้เราโอเค เอาใจช่วย เเล้วก็ลุ้นตาม ซึ่งบรรยากาศมันร้อนมากตลอด 3 วัน

 

แต่เชื่อมั้ยว่าตอนนั้นทุกคนหน้าเมือก เหงื่อออก เเต่พี่พอลล่าก็ยังสวย สวยจนวันสุดท้ายที่ออกกอง ส่วนเราแบบ กูจะเก็บของเเล้ว กูไม่อยู่เเล้ว เเต่พี่พอลล่ายังถ่ายรูปเซลฟี่ เอาลงไอจี สวยเชียว ก็คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้เนอะ (หัวเราะ) เเล้วเขาก็ทำงานเหนื่อยพอๆ กับเรานะ วิ่งสู้ฟัดตั้งแต่เช้า อยู่กลางแดด ทุกคนไม่บ่น ทุกคนสนุกกับมันมาก มีเเต่เราที่แบบกูไม่ไหวเเล้ว ร้อนๆ (หัวเราะ)

 

แล้วก็ฉากที่ยากก็พวกทำกับ CG เพราะส่วนใหญ่จะไม่เห็นว่ามันเป็นอะไร วิ่งหนีอะไรก็ไม่รู้แหละ นักแสดงก็จะเห็นแค่รูปที่เอาให้ดูว่ามันจะตัวประมาณนี้ จินตนาการเอาแล้วกัน

 

ด้วยความที่หนังมันใหญ่มาก มีวิธีคุยกับนักแสดงยังไง ให้ทุกคนมองไปในทิศทางเดียวกัน?

 

อุปสรรคอย่างเเรกเลยคือ ทั้งพี่ปีเตอร์เเละพี่พอลล่าอ่านภาษาไทยไม่ค่อยเเตก เพราะเขาก็ไม่ค่อยได้อ่านภาษาไทยอยู่เเล้ว ก็เลยต้องเเปลบทบางส่วนเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็จะมีวันที่มานั่ง Read through กัน ก็คือนักแสดงมานั่งอ่านบทด้วยกันทั้งหมด เราก็อธิบายไปทีละฉาก ก็ดีนะ ทำงานกับนักแสดงรุ่นนี้ เค้า professional มาก

 

สำหรับพี่ปีเตอร์ เขาเป็นคนรีเสิร์ชด้วย หาข้อมูลเอง แล้ว correct เราด้วย เช่นว่า “มะเดี่ยว มันไม่ใช่ล้านกว่าปีนะ มัน 75-76 ล้านปี” เออ แก correct ข้อมูลบางอย่างในบทให้ด้วย น่ารักมาก แกก็เนิร์ดพอกันนะ แกเข้าใจทุกสิ่งอย่าง ก็เซอร์ไพร์สเรามาก ที่ทำไมพี่เก็ตหมดเลย คือแกก็สนใจเรื่องพวกนี้อยู่

 

ส่วนพี่พอลล่า เราก็บอกเขาว่าตัวละครนี้ก็เป็นผู้หญิงที่ทำงานทางวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่เฉยๆ ไม่ได้เก่งกาจหรือรู้อะไรขนาดนั้น แต่เป็นแม่ที่พร้อมไฟท์ทุกอย่างให้ลูก เออ emotional มาก ดังนั้น บทนี้จึงไม่จำเป็นต้องเข้าใจ The whole process ของเรื่องว่ามันคืออะไร เพราะมันเป็นหน้าที่คนอื่นอธิบาย ยูแบกเรื่องนี้ไว้ หน้าที่ของยูก็คือปกป้องลูก

ถ้าให้เทียบกันระหว่าง มะเดี่ยว – ปีเตอร์ – วอร์ ใครเนิร์ดสุด เพราะเห็นว่าทุกคนชอบ Sci-fi กันหมดเลย?

 

สำหรับวอร์ เขาก็จะเป็นคนตั้งใจมากๆ เเต่สิ่งที่พัวพันอยู่กับตัวละครของเขา มันเป็นเรื่องของยุคสมัยที่เป็นจุดพีคของสงครามเย็นที่เกิดขึ้นในบ้านเรา วอร์จะไม่ได้ไปสัมผัสกับเรื่องวิทยาศาสตร์อะไรมากมาย แต่เขาจะเกิดความสงสัยบางสิ่งบางอย่าง ในขณะที่อยู่ในสงครามทางความคิดอันเข้มข้น บางสิ่งบางอย่างก็วาบขึ้นมา เเล้วก็ทำให้เขาเปลี่ยนไปเลย วอร์จะ Keep character เขาตั้งใจเล่นมาก เหมือน install อดีตของตัวละครและสถานการณ์ที่รายล้อมตัวเขาไว้ทั้งหมด

 

มีความภูมิใจกับผลงานนี้มากน้อยเเค่ไหน?

 

เป็นงานที่ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้จะได้ทำอะไรแบบนี้อีกหรือเปล่า คือพอทำก็ไม่ง่าย มันเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของหนังไทยแหละ ที่ไม่มีใครจะกล้าหาญเเละบ้าบิ่นให้เราทำอะไรแบบนี้ ก็เต็มที่กับมันมากๆ เลย เเต่จะเรียกว่าเป็นจุดสูงสุดของเราคงไม่ใช่ เพราะอยากให้มันเป็นประตูที่เปิดให้เราทำอะไรที่มันไปไกลกว่านี้ได้อีกมากกว่า แล้วก็อยากให้มันเป็นใบเบิกทางให้กับคนที่ชอบงานไซไฟ ชอบหนังที่มีความท้าทาย ได้เติบโตต่อไปในอนาคต

 

ก็เชิญชวนทุกคนนะครับ มาดู “ตาคลี เจเนซิส” ภาพยนตร์แอคชั่น ดราม่า ไซไฟ ภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี 2024 นี้

 

พอลล่า เทย์เลอร์ รับบท “สเตลล่า”

 

พอลล่า เทย์เลอร์ คืออดีต “ราชินีรอมคอม” จากผลงานการแสดงหนังแนวโรแมนติกคอมิดี้ที่ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Sex Phone คลื่นเหงา/สาวข้างบ้าน” (2003), “รักจัง” (2006), “บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้)” (2010) รวมไปถึงซิตคอมที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุคเรื่องหนึ่ง อย่าง “เนื้อคู่ประตูถัดไป” (2008) และ “เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร” (2010) หลังจากประสบความสำเร็จอย่างงดงาม พอลล่าค่อยๆ ห่างหายจากงานแสดงเพื่อไปมีครอบครัวในต่างประเทศ จนในปีนี้ เธอกลับมารับงานแสดงหนังเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ด้วยบทบาทที่เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่าง สเตลล่า คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวในหนังไซไฟ “ตาคลี เจเนซิส”

 

ช่วยนิยาม “สเตลล่า” หน่อยได้มั้ย ว่าบทบาทและตัวตนของเขาเป็นยังไง?

 

สเตลล่าเป็นคาเรกเตอร์ที่สตรองมาก มีจุดมุ่งหมายชัดเจน เค้าได้บทเรียนในชีวิตจากการมีลูก ที่สอนและให้บทเรียนกับตัวละครนี้ในหลายๆ อย่าง

 

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้พอลล่ารับเล่นหนังเรื่องนี้ ทั้งที่แต่ก่อนก็ไม่เคยเล่นหนังสไตล์นี้เลย อีกทั้งยังเป็นการกลับมาเล่นหนังในรอบ 10 ปี?

 

จริงๆ มันก็เป็นเเนวหนังที่เราไม่ได้คุ้นเคยมาก ทั้งกับการดูและก็เล่นด้วย เเต่ว่าเราไปนั่งคุยกับพี่มะเดี่ยว แล้วเห็น passion ของพี่มะเดี่ยวที่เขาเล่าเรื่อง คือแบบไม่ต้องมีสคริปต์ ไม่ต้องมีอะไรนะ ทุกอย่างออกจากหัวพี่มะเดี่ยว มันเห็น passion ที่เขามีต่อบท ภาพที่เค้าเห็นมันทำให้เรา ว้าว! คือไม่เข้าใจเลยนะว่าทำอะไรอยู่ but I’m in with your passion ค่ะ

 

เเล้วการเป็นแม่มีส่วนในการตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้ด้วยมั้ย?

 

ไม่เกี่ยวนะคะ คือจริงๆ เเล้ว พี่มะเดี่ยวเป็นคนที่ทำให้อยากเล่นเรื่องนี้มาก พี่เขารักเเละอินมาก ก็เลยอยากอินไปด้วยค่ะ

 

ด้วยความที่ “ตาคลี เจเนซิส” เป็นหนังไซไฟ แตกต่างจากสไตล์ที่เป็นรอมคอมหรือผลงานที่ผ่านมาของพอลล่ามากๆ แล้วได้ทำการบ้านหรือทำความเข้าใจกับ “ตาคลี เจเนซิส” ยังไง?

 

จริงๆ ต้องคุยกับพี่มะเดี่ยวตลอดเลยค่ะ เพราะทุกอย่างอยู่ในหัวพี่เขา เป็นโลกของเขาจริงๆ การทำความเข้าใจก็จะใช้วิธีเข้าไปคุยกับเขาบ่อยๆ และก็คุยกับปีเตอร์ด้วย เพราะปีเตอร์เค้าก็จะอินกับไซไฟอะไรแบบนี้อยู่เเล้ว

 

นี่เป็นการโคจรกลับมาเจอกันของพอลล่ากับปีเตอร์ (“เนื้อคู่ประตูถัดไป”) รู้สึกยังไงบ้าง ที่ได้มาร่วมงานกันอีกครั้ง?

 

กลับมาเล่นกับปีเตอร์ก็สนุกดี เพราะปีเตอร์เขาเป็นคนที่ number one สนุกอยู่เเล้ว เเละก็อีกอย่างนึง เค้าเป็นคนที่เรารู้จักคุ้นเคย เพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีความเคอะเขินอะไร มันทำให้เรามั่นใจมากยิ่งขึ้น คือถ้าเป็นคนที่เราไม่รู้จักทั้งทีมก็อาจจะมีเขินๆ หน่อย อันนี้พอเป็นปีเตอร์ก็เลยไม่มีความเขินอะไร ทักกัน Hey! What’s up? ได้ตลอด สนุกค่ะ

 

เเล้วการร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหม่อย่าง วอร์ วนรัตน์ และ น้องนีน่า เป็นไงบ้าง?

 

สำหรับวอร์กับนีน่า นี่เป็นครั้งเเรกที่เจอกัน เค้าน่ารักมาก จริงๆ ทีมงานก็น่ารักทุกคนเลย เป็นโชคดีของเรามาก

 

พอลล่าได้แนะนำเรื่องการแสดงให้น้องๆ หรือคนรอบตัวบ้างมั้ย?

 

ได้เห็นนีน่าเล่นหรือยังคะ คนนั้นไม่ต้องมีการเเนะนำอะไรเลย เค้าเป็นเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็กที่เก่งมาก ทุกครั้งที่เราเห็นเขา เห็นผลงานของเขา เรารู้สึกว่าเขาเก่งมาก สำหรับวอร์ ก็เป็นครั้งเเรกที่เราเจอเขา ทุกคนตั้งใจทำงานมาก

 

นีน่าบอกว่า พอลล่าแนะนำการร้องไห้ให้กับเขา

 

ส่วนนี้พอลล่าเคยอ่านเจอมาว่า ถ้าอยากร้องไห้ในฉาก ต้องอย่าร้องไห้ ต้องกลั้น don’t try cry คือพอเราห้ามตัวเองไม่ให้ร้อง มันจะมา เเต่ถ้าเราไปพยายามบีบๆ มันจะไม่เวิร์ก

 

จากที่ผ่านผลงานมามากมาย แต่สำหรับในเรื่องนี้ มีส่วนไหนที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีกบ้างมั้ย?

 

ด้วยบทที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ก็ได้รู้เรื่องอวกาศเยอะขึ้นมาก เพราะมันมีบางบทบางฉากที่ต้องพูดเรื่องพวกนี้เยอะมาก ก็จะได้ความรู้มา so when I see the stars ก็จะ I know a little bit about that. (หัวเราะ)

 

ร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งนี้เป็นไงบ้าง?

 

สนุกค่ะ เรารู้สึกว่าพี่มะเดี่ยวเป็นคนที่สามารถดึงตัวเราออกมาไปยังจุดที่เขาอยากให้เราไปถึงได้ ก็เลยชอบค่ะ พอลล่ารู้สึกว่าได้ทำอะไรใหม่ๆ ยิ่งได้กลับมาทำงานกับพี่มะเดี่ยวอีก ก็เป็นอะไรที่ภูมิใจ

 

อยากให้ทุกคนมาลองดูนะคะ เชื่อว่าทุกคนไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน หวังว่าจะได้อินกับ passion และ vision ของพี่มะเดี่ยวที่พอลล่าก็อินไปด้วยค่ะ

 

 

ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล รับบท “อิษฐ์”

 

ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล คือร็อคสตาร์ที่มีผลงานเพลงอัลบั้มแรก “หินผา กา ดาบ” เมื่อปี 1997 ซึ่งทำยอดขายเกินล้านตลับ ด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และรูปร่างหน้าตาที่ดูดีในระดับเคยเป็นนายแบบมาก่อน ทำให้ปีเตอร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในช่วงปลายยุค 90 ต่อเนื่องมาถึงยุค 2000 มีเพลงฮิตมากมาย อาทิ “เจ้าทุยอยู่ไหน”, “ชายคนหนึ่ง” และ “กุมภาพันธ์” เป็นต้น ในฐานะนักแสดง ปีเตอร์เคยได้ประกบกับนางเอกแถวหน้า ทั้ง อารยา เอ ฮาร์เก็ต ใน “หนุ่มบ้านไร่กับหวานใจไฮโซ” (2012), กับ แอน ทองประสม ใน “แอบรักออนไลน์” (2014) กับ อุรัสยา เสปอร์บันด์ ใน “ลิขิตรัก” (2018) และละครที่กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์อย่าง “กระเช้าสีดา” (2021) ขณะที่ในวงการภาพยนตร์ ปีเตอร์เคยรับบทนำในหนังฮิต “30 กำลังแจ๋ว” (2011) โดยรับบทนำร่วมกับ พัชราภา ไชยเชื้อ ซึ่งในปี 2024 นี้ ปีเตอร์กลับมาแสดงภาพยนตร์อีกครั้ง ในหนังฟอร์มยักษ์แห่งปี Taklee Genesis

 

ช่วยนิยาม “อิษฐ์” ให้เราฟังหน่อยได้มั้ย ว่าบทบาทและตัวตนของเค้าเป็นยังไง?

 

จริงๆ แล้ว อิษฐ์จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ เป็นคนที่ชีวิตมีปมอะไรบางอย่าง เพราะชีวิตเขาไม่ได้เดินไปในทางที่ต้องการ อาชีพเขาคือ ครูสอนเด็กประถมอยู่ต่างจังหวัด เเต่จริงๆ แล้ว เขาอยากเป็นนักโบราณคดี ซึ่งเขาก็จะศึกษาในเวลาว่างของเขา พอศึกษาเรื่องพวกนี้ เขาก็จะมีความรู้รอบตัวค่อนข้างเยอะ แต่ว่าก็ยังไม่ได้ทำตามที่เขาฝันจริงๆ

เเล้วคาเรกเตอร์นี้แตกต่างจากตัวคุณมากน้อยเเค่ไหน จากที่เป็นร็อกเกอร์ ต้องกลายมาเป็นครูสอนเด็กประถม?

 

จริงๆ แล้ว ด้วยนิสัยก็คงต้องบอกว่าต่างกันพอสมควร เพราะว่าการจะทำอาชีพเป็นนักร้องเพลงร็อก ก็ต้องมีความมั่นใจระดับนึง ถึงแม้จะไม่มีก็ต้องขึ้นเวทีด้วยความมั่นใจ ที่เราอาจต้องสร้างขึ้นมาเอง ก็จะชินที่ต้องใช้ชีวิตด้วยความมั่นใจ เเต่กับอิษฐ์เนี่ย เขาจะมีลังเลตลอดเวลา ไม่มั่นใจ เเล้วจะเป็นคนที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัวพอสมควร ไม่นึกถึงคนอื่น ด้วยสิ่งที่เขาขาดในชีวิตทำให้ต้องดิ้นรนเพื่อตัวเองซะส่วนใหญ่

 

ด้วยความที่ “อิษฐ์” ต่างจาก “ปีเตอร์” พอสมควร เเล้วอะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจรับบทนี้?

 

เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจรับบทนี้ก็มีอยู่หลายเรื่อง อย่างแรกนะครับ พี่มะเดี่ยว เราเคยร่วมงานกันอยู่เเล้ว รู้สึกประทับใจมาก พอโครงการใหญ่อย่างนี้ เเล้วพี่มะเดี่ยวกำกับ ก็มั่นใจว่ามันต้องออกมาดีมากๆ เเน่ๆ

 

เหตุผลที่สองคือบท ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา ไม่เคยรู้ว่าหนังไทยจะทำในคอนเซปต์นี้และสเกลนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นมันถึงมีเเรงดึงดูดมาก

 

เหตุผลที่สามนะครับ ก็นักแสดง วอร์ วนรัตน์ ก็กำลังฮอตฮิตเลยนะครับ ก็ชื่นชอบในผลงาน น้องนีน่า ก็กำลังฮอตฮิตเหมือนกันครับ เเล้วก็เป็นน้องที่เเสดงเก่งมาก อยากจะร่วมงานด้วย โดยเฉพาะ พอลล่า ก็เคยร่วมงานกันอยู่เเล้ว เป็นคนที่เเสดงเก่งมาก แล้วก็มีความรู้สึกว่าอยากร่วมงานด้วยอีกครั้ง

 

ด้วยองค์ประกอบทุกอย่าง รวมถึงค่ายเนรมิตรหนัง ฟิล์ม ก็เป็นบริษัทที่กำลังมาแรง องค์ประกอบลงตัวมาก เป็นโครงการที่ปฏิเสธไม่ได้ครับ (หัวเราะ)

 

นี่เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของพอลล่ากับปีเตอร์ รู้สึกยังไงบ้าง มีเขิน มีตื่นเต้นมั้ย?

 

การกลับมาเจอกันอีกครั้งก็ไม่ได้ตื่นเต้น ไม่ได้เขินอะไรนะครับ เพราะว่าจริงๆ เเล้วก็เจอกันตั้งเเต่ “เนื้อคู่ประตูถัดไป” มีพวก “คลับฟรายเดย์” อะไรแบบนี้อะครับ นอกเหนือจากงานที่ร่วมผลงานกัน มันก็เจอกันตามครั้งตามคราวอยู่เเล้วครับ ก็เลยรู้สึกสนุกกันมากกว่า

 

เเล้วกับนักแสดงคนอื่นละ ด้วยความที่เค้าเป็นรุ่นน้อง เราเป็นรุ่นพี่ ทำงานด้วยเเล้วมีความหนักอกหนักใจอะไรมั้ย?

 

เฮ้ย รุ่นเดียวกัน (หัวเราะ) ไม่มีความหนักใจครับ อาจจะด้วยอายุการทำงานก็จะนิ่งๆ อยู่เเล้วนะครับ ก็รู้สึกว่าสนุกดีครับ เพราะว่านักแสดงก็มี 3 รุ่นเนอะ ก็มีพอลล่าก็รุ่นใกล้ๆ กัน วอร์ วนรัตน์ก็รุ่นน้อง นีน่าก็รุ่นเด็ก เเล้วการร่วมงานกับเด็ก ก็เป็นอะไรที่สนุกมาก คือถ้าเด็กมาก เราจะไม่รูว่าเขาจะยังไง เราก็ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ แต่ต้องชมเลยว่านีน่าเขาเเสดงเก่งมาก นิ่ง เเล้วก็ตั้งใจ ช่วงที่อยู่ในบทนะ พอนอกบท โอ้โห วิ่งน่าดูเลย (หัวเราะ) น่ารักมาก

 

เเล้วการกลับมาร่วมงานกับมะเดี่ยว แตกต่างจากครั้งเเรกมั้ย เครียดมั้ย มีส่วนไหนที่รู้สึกว่าเล่นไม่ได้ เล่นยากจังเลย?

 

ต้องบอกว่าวิธีการทำงานของพี่มะเดี่ยวจะค่อนข้างฝรั่งนะครับ เราจะมีการ read through แล้วก็จะมีการบรีฟ อะไรคร่าวๆ เเล้วก็พี่มะเดี่ยวจะค่อนข้างปล่อย คือปล่อยให้นักแสดงซึ่งรู้เครื่องมือของตัวเองดีอยู่เเล้ว เอามานำไปใช้ในซีนด้วยสิ่งที่มันเหมาะสม เเล้วก็ปรับจูนนิดหน่อย ก็ไม่ได้เกร็งไม่ได้อะไรนะครับ เเต่ว่ารู้สึกสนุก รู้สึกว่าเป็นงานที่ทุกคนตั้งใจทำมากจริงๆ

 

ความท้าทายของเรื่องมันเลยไม่ได้เป็นการแสดงและกำกับ ความท้าทายของเรื่องนี้มันจะเป็นการแสดงกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะว่า CG เยอะมาก สัตว์ประหลาด ปีศาจ โน่นนี่ ที่มีปรากฎอยู่ในเรื่อง ตอนแสดงเราจะยังไม่เห็นนะครับ หรือว่าบางทีมันจะมีเเค่บางอย่างมาอยู่ในฉาก อย่างเช่น ของมากำหนด point of view หรือว่าเป็น eye line ของเรา ซึ่งที่เหลือเราต้องจินตนาการเอง ว่ามันจะขยับเคลื่อนไหว ขยับตัวยังไง โดยที่อาจจะมีภาพประกอบให้ดูบ้าง บางทีถ้ามันไม่มี eye line ให้มอง 2-3 คนที่อยู่ในฉากต้องนัดกัน เรามองตรงโน้นนะ เรามองตรงนี้นะ (หัวเราะ) สนุกมากครับ

 

ด้วยความที่หนังเป็นไซไฟ ต้องใช้จินตนาการช่วยในการทำงานเยอะ ปีเตอร์มีวิธีดีลหรือทำการบ้านกับมันยังไงบ้าง?

 

ต้องบอกว่าจริงๆ ผมเป็นสายวิทย์อยู่เเล้ว ผมศึกษาเรื่องเคมีนะครับ (ปีเตอร์เรียนด้านวิศวกรเคมีมาตอนไฮสคูล) ซึ่งก็ต้องผ่านพวกฟิสิกส์และชีววิทยาอะไรพวกนี้อยู่เเล้ว ซึ่งผมว่าในนักแสดงทั้งหมดเนี่ย ผมน่าจะเก็ตสุด (หัวเราะ) คนอื่นก็จะคอยวิ่งมาถามผม “อันนี้มันอย่างงี้ใช่มั้ย?” “อันนั้นมันอย่างงี้ใช่มั้ย?” เอาจริงๆ ทฤษฎีของเรื่องทั้งหมด ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้สำหรับผมมัน make sense ทั้งหมดเลยอะ ตอนอ่านบท อ่านไปอ่านมา มันจะเห็นภาพค่อนข้างชัด ถ้าเรามีเทคโนโลยีที่มันถึงเนี่ย มันจะเป็นไปได้ทั้งหมดตามเรื่องในบทนี้อะครับ

 

ฝากเชิญชวนคนมาดูหนัง

 

สำหรับ Taklee Genesis เป็นหนังที่เหนือระดับจริงๆ ครับ ด้วยโปรดักชั่น ด้วยคอนเซปต์ หนังไซไฟที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าเคยมีแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า ซึ่งเรื่องของการถ่ายทำเนี่ย เต็มที่กันมาก เชื่อว่าทุกคนไม่เคยเห็นหนังแบบนี้มาก่อนแน่นอน ซึ่งจะบอกว่าเป็นหนังไทย มันก็อาจจะยังไม่พอ มันเป็นหนังไทยที่ต้องออกไปสู่ global นะครับ ที่แน่ๆ ตอนนี้ก็ไปเอเชียก่อนเแล้วเรียบร้อย เเล้วก็มีความมุ่งมั่นที่จะไปถึงชาวโลกจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเชียร์หนังเรื่องนี้นะครับ เป็นหนังที่ห้ามพลาดจริงๆ

 

 

วอร์-วนรัตน์ รัศมีรัตน์ รับบท “ก้อง”

 

จากพระเอกซีรีส์วายที่โด่งดังมาจากซีรีส์ชุด “En of Love” ทั้ง “รักวุ่นๆ ของหนุ่มวิศวะ” และ “กลรักรุ่นพี่” ที่ทำให้เกิดคู่จิ้นกับ หยิ่น-อานันท์ หว่อง หลังจากนั้น หยิ่น-วอร์ ก็ได้มีผลงานร่วมกันตามมาอีกมากมาย และได้รับการสนับสนุนจากแฟนคลับที่มีอยู่ทั่วโลกเป็นอย่างดี โดยก่อนหน้านี้ วอร์-วนรัตน์ เคยร่วมงานกับมะเดี่ยวมาแล้ว จากซีรีส์ “มนต์ฮักทรานซิสเตอร์ สะออนซอนเด” เมื่อปี 2018 และภาพยนตร์เรื่อง “ผ้าผีบอก” ที่มะเดี่ยวเป็นโปรดิวเซอร์ ซึ่งออกฉายเมื่อปี 2022 ฉะนั้น Taklee Genesis จึงถือเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของทั้งคู่

 

แนะนำตัวเองและตัวละคร

 

สวัสดีครับ ผม วอร์ วนรัตน์ รับบทเป็น “ก้อง” ครับ คาแรกเตอร์ของก้อง สั้นๆ ก็เป็น introvert น่ะครับ คือเขาไม่รู้ที่มาของตัวเอง อยู่ดีๆ ความทรงจำตอนวัยเด็กถึงวัยรุ่นเขาก็หายไปเลย พ่อก็จะบอกกับเขาเสมอว่า เขาเกิดอุบัติเหตุความจำเลยหายไป เเต่จริงๆ มันก็มีเงื่อนงำอะไรมากกว่านั้น ทำให้เขารู้สึกว่าต้องเชื่อฟังพ่อ เพราะว่าพ่อปลูกฝังมาโดยตลอดว่าต้องเชื่อพ่อ ไม่งั้นมันจะเกิดอันตราย เขาก็เลยจะเป็นคนที่เก็บตัว ไม่สุงสิงกับใครเลยในหมู่บ้าน

 

เเต่ว่าลึกๆ ในใจเขาก็รู้ว่า ที่พ่อปลูกฝังเขาไว้ว่าเกิดอุบัติเหตุ มันไม่ได้เป็นความจริงเลย เขาก็เลยอยากค้นหาความจริงของตัวเอง ว่าตัวเองเป็นใคร มายังไงกันเเน่

 

แล้ว “ก้อง” แตกต่างจากตัวตนของ “วอร์” ขนาดไหน?

 

แตกต่างนะ มันแปลกตรงที่ก้องเป็นคนที่เหมือนผ่านเวลา ผ่านอายุมาเยอะเเล้ว เเต่ว่าบุคลิกหน้าตาเขาก็ยังเหมือนถูกสตาฟเอาไว้ เมื่อ 30 ปีที่แล้วเป็นยังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้น มันก็เลยเป็นความลึกลับ เเล้วก็ต่างกันตรงที่เขาจะเป็นคนที่เงียบมาก ไม่สุงสิงกับใคร

 

เเล้วเราล่ะ?

 

เราก็เงียบนะ ถ้าเกิดเป็นคนที่ไม่รู้จัก ไม่สนิทจริงๆ เราก็ไม่กล้าเข้าไปคุย แต่กับคนนี้ ก็จะปลีกตัวเลย จะไม่ยุ่งกับใครเท่าไหร่ครับ

 

ได้ข่าวมาว่าวอร์เป็นเนิร์ดไซไฟ เเล้วรู้สึกยังไงที่ได้เล่นหนังไซไฟ?

 

รู้สึกดีใจมากๆ เลย มากๆ ตั้งเเต่พี่มะเดี่ยวติดต่อมาว่าอยากชวนทำโปรเจคท์นี้ แล้วเราได้ยินคำว่า “ไซไฟ” ปุ๊ป ก็คือไปบอกผู้จัดการเลยว่า “เอา ทำๆๆ” ทีมบอก “ใจเย็น ดูบท ดูสัญญา ดูอะไรก่อนมั้ย?” เราแบบ.. “พี่ ผมต้องเล่น ผมต้องเล่นให้ได้” เออ ตอนนั้นก็ใจเย็นก่อน เเล้วเข้าไปวิดีโอคอลคุยเรื่องราว เรื่องย่อ เราก็ตาเป็นประกายเลย เราฟังเเล้วก็ถามๆๆ จนพี่มะเดี่ยวบอก “เฮ้ย! พอ เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยไปอธิบายรายละเอียดตอนดีลเสร็จเเล้วก็ได้” อ่ะได้ครับ ดีใจเเล้วก็ตื่นเต้นมากครับ

เเล้วอะไรที่ทำให้เราชอบไซไฟขนาดนี้?

 

ด้วยที่ว่า ตอนเด็กๆ ผมชอบอะไรที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อยู่เเล้ว คลั่งไคล้มากๆ เกี่ยวกับดวงดาว อะไรพวกนี้ ตอนเด็กๆ คือต้องไปพิพิธภัณฑ์ ดูท้องฟ้าจำลอง สนใจไซไฟ สนใจทั้งวิทยาศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์มาตั้งเเต่เด็กอยู่เเล้วครับ

 

พอได้คลุกคลีกับหนังไซไฟ มันทำให้รู้สึกว่า เออ มันเป็นจินตนาการที่มีกรอบของความเป็นจริงนะครับ คือทุกอย่างมันอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ว่าเทคโนโลยีในตอนนี้มันยังไม่ถูกค้นพบ ว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า หรือเป็นเเค่คอนเซ็ปต์ ซึ่งมันน่าสนใจมาก มันทำให้จินตนาการเราหลุดไปไกล เลยรู้สึกว่าชอบในด้านนี้ครับ

 

เมื่อครู่ได้สัมภาษณ์ปีเตอร์ ซึ่งเขาอ้างตัวเลย ว่าตัวเองเป็นกูรูในเรื่องไซไฟ วอร์มีอะไรจะค้านเขามั้ย?

 

เอาจริงๆ นะ ตอนที่ทำงานด้วยกันกับพี่ปีเตอร์ เรียกได้ว่าพี่เขาเป็นวิกิพีเดียเคลื่อนที่ก็ว่าได้ คือถ้าเกิดคุยกันเรื่องวิทยาศาสตร์ ตาเขาจะเป็นประกายเลยครับ เขารู้เยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องวิทย์ เเล้วเรื่องเนี้ย (หนัง) มันเกี่ยวกับ Time-travel เรื่องเกี่ยวกับการท่องเวลาใช่มั้ยครับ เราก็คุยกัน โหย สนุกมาก

 

เหมือนกับเจอเพื่อนซี้คอเดียวกัน?

 

ใช่ ก็จริง พี่เขากูรูจริงครับ

 

ในฐานะนักแสดงรุ่นน้อง ได้ร่วมเเสดงกับนักแสดงรุ่นใหญ่ๆ อย่าง พี่ปีเตอร์ พี่พอลล่า รวมถึงแสดงกับน้องน้อยอย่าง นีน่า รู้สึกกดดันมั้ย หรือรู้สึกว่ามีอะไรที่ได้จากพี่ๆ น้องๆ บ้าง อย่างเรื่องเคล็ดลับการเเสดง?

 

ได้เยอะมากๆ ครับ ได้ทักษะการเเสดงเพิ่มเยอะมาก เเล้วก็ได้เพื่อนเพิ่ม น้องนีน่าก็เป็นเพื่อนสนิทในกองเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นพี่พอลล่า พี่ปีเตอร์ พี่วิทย์ (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) หรือใครก็เเล้วเเต่ที่มาเเสดง คือเราเคยเห็นผลงานเขามานานมาก ตอนแรกต้องยอมรับว่าเกร็งมากๆ ครับ เฮ้ย เราจะวางตัวยังไงดีวะ ให้ดูไม่เด็กเกิน จะไปทำอะไรสะเหล่อๆ หรือเปล่า แล้วผมก็วางตัว ไม่ค่อยเล่น ไม่อะไร ทั้งที่จริงๆ ผมเป็นคนติดเล่นมากๆ เลย

 

แล้วมีวันนึง ในฉากมันต้องวิ่งเข้าไปในอุโมงค์กับพี่พอลล่า เสร็จเเล้วผมก็เผลอเล่นพิเรนทร์ไป ผมเดินนำใช่มั้ย แล้วอุโมงค์มันแคบประมาณเท่าเนี้ย (ทำมือให้ดู แคบขนาดหนึ่งคนเดินผ่าน) ก็เลย.. เอ้อ เราจะลองปีนอุโมงค์แบบนี้ดีมั้ยน้า (ทำมือให้ดู เอามือทาบกำแพงอุโมงค์) ซึ่งรักษาภาพพจน์มาทั้งวันเลยนะ ฟึ้บบบ (สุดท้ายก็เล่น) เเล้วมานึกขึ้นได้ “อ้าว..กูทำอะไรลงไป เเล้วข้างหลังกูคือตำนานนางเอก ‘เนื้อคู่ประตูถัดไป’ ที่เราติดตามมา เฮ้ย เค้าจะมองเราเป็นยังไงวะ” ผมก็เลยลง เเล้วหันไป ภาพที่เห็นคือ พอลล่า เทย์เลอร์ (ทำท่าเดียวกันกับวอร์) อยู่อย่างงี้เหมือนกัน (หัวเราะ) ปีนกำแพงเหมือนกัน ผมก็เลย “อ่อ โอเค ถ้างั้นต่อไปผมก็ไม่ต้องวางตัวอะไรละ” (หัวเราะ) ก็เล่นกันสนุก คือเป็นกองที่สนุกมากครับ นีน่าก็ชวนถ่ายติ๊กต่อก ถ่ายอะไรตอนว่าง พี่ปีเตอร์ก็ เราก็คุยเรื่องนั้นแหละ แบบได้ความรู้เยอะมาก ครับผม

 

แล้วมาร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งที่ผ่านมาๆ หรือเปล่า มีความเกร็ง หรือ มีการที่ต้องคุยกันมากกว่าเดิมหรือเปล่า?

 

ถ้าเกิดถามถึงตัวผมเองก่อน ก็คือต่างครับ เรื่องแรกก็คือ เป็นก้อนหิน เรื่องนี้เป็นต้นไม้ไปเเล้วครับ (หัวเราะ) ก็คือ เราก็เก็บเกี่ยวชั่วโมงบินมาเรื่อยๆ ดีใจที่พี่เขาให้โอกาสตั้งเเต่ซีรี่ส์เรื่องนั้น (“มนต์ฮักทรานซิสเตอร์ สะออนซอนเด”) ทำให้เราฝึกฝน มีโอกาสได้เเสดงมาเรื่อยๆ จนมาเจอเรื่องนี้ เราก็คิดว่าชั่วโมงบินเราก็พอสมควร แต่ว่ายังไม่ได้เก่งเท่าไหร่ พอได้รับมอบหมาย มันก็ทำให้เราเข้ากับคาแรกเตอร์นี้ได้ ทำตามที่ได้รับมอบหมายได้ครบนะครับ ดีไม่ดีไม่รู้ เเต่ว่าเราทำเต็มที่ ก็ดีใจที่ได้มาทำงานกับพี่มะเดี่ยวอีกครั้ง

 

โห… เขากับเรื่องนี้นะ รู้สึกว่าเขาจริงจังมาก ตอนเล่นตอนพักก็คือสนุกเลยครับ เเต่ว่าตอนถ่ายก็คือจริงจังมาก มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องทำเต็มที่ว่ะ

 

ฉากไหนที่วอร์ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้?

 

ผมชอบฉาก.. (คิดนาน) โห จริงๆ ชอบหลายฉากมากเลยนะ เเต่ที่ตราตรึงเราคือ ฉากจบของช่วงๆ นึงละกัน มันมีการส่งต่ออะไรบางอย่างให้พี่พอลล่าไปทำภารกิจ ก็คือเป็นเหตุการณ์ที่จริงๆ เเล้วมันอิงกับประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนน่ะครับ เเล้วเราก็ไปศึกษาประวัติศาสตร์นั้นมาพอสมควร ก่อนที่จะมาเล่นเรื่องนี้ เเล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นการส่งต่อที่สวยงาม มันเหมือนเราได้อยู่ในช่วงเวลานั้นจริงๆ นั่นแหละ ก็รู้สึกประทับใจ

 

แล้วฉากที่รู้สึกว่าเล่นยากที่สุดล่ะ?

 

จริงๆ มีเยอะนะ อย่างฉากบู๊ คือเรามีประสบการณ์ด้านแอคชั่นน้อยมากครับ เเล้วเรื่องนี้มันต้องเล่นบู๊ด้วย อย่างเช่น ฉากที่ต้องต่อสู้กับ.. นั่นแหละ ใครก็แล้วแต่.. เเล้วเราก็จะใส่ไปเต็มที่เลยไง เเล้วก็ไม่สนเรื่องมุมกล้องมุมอะไรเลย (หัวเราะเขิน)

 

นี่แหละ ผู้ที่มีประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็น พี่วิทย์ พี่ปีเตอร์ หรือพี่พอลล่า เขาก็จะบอกว่า “วอร์หันหน้าเข้ากล้องหน่อย” กล้องมันจับไม่ได้เลย เราเล่นแล้วมันใส่สุด มันก็จะไม่ได้ เราก็ต้องมีสติด้วยว่า เอ๊ะ บู๊มันก็ต้องบู๊นะ เเต่ว่าช่วยหันหน้าเข้ากล้องนิดนึง จะได้เห็นหน้าเราในจอด้วย (หัวเราะเขิน)

 

ฝากเชิญชวนทุกคนมาดูหนังเรื่องนี้ในโรงกัน

 

ก็อยากเชิญชวนให้ทุกคนมาดู ใครที่เป็นคอไซไฟหรือว่าไม่ใช่ก็ได้ ผมว่าเป็นหนังที่ดีเลย สำหรับส่วนตัวผมนะ คือเป็นพล็อตเรื่องที่ชอบ เเล้วผมคิดว่ายังไม่มีหนังไทยเรื่องไหนทำเกี่ยวกับพล็อตเรื่องแบบนี้ ซึ่งมันเชื่อมโยงกันไปหมดเลยครับ มันครบรสมากๆ ทั้งไซไฟ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ แล้วก็ครอบครัว มิตรภาพ ความบันเทิงอะไรทุกอย่าง มันครบใน Taklee Genesis เเล้วก็ เออ มันมีฉากที่สวยงามมากจริงๆ

 

จริงๆ เเล้วเสน่ห์ของมัน สำหรับผมด้วย ก็คือ “ตาคลี” เนี่ย คือเมืองๆ นึงในนครสวรรค์นะฮะ ที่กองทัพอเมริกาเข้าไปทำอะไรสักอย่าง พอเสร็จสิ้นสงครามก็ปล่อยตรงนั้นร้างไปเลย คือมันสามารถใส่ไอเดีย ไซไฟ อะไรลงไปได้เยอะมากๆ เเล้วตาคลี เจเนซิส ก็เป็นเรื่องนึงที่เล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้อะครับ คือมันเป็นเสน่ห์มากๆ ครับ อยากให้ทุกคนติดตามว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงครับ

 

เห็นวอร์บอกว่าคนที่ไม่ใช่คอไซไฟก็ดูได้ เเล้วสำหรับคนที่ไม่เนิร์ดเรื่องพวกนี้ดูได้ใช่มั้ย หรือเค้าต้องทำการบ้านมาก่อนมั้ย?

 

ผมว่าไม่เนิร์ดก็ดูได้ครับ เเต่ว่าถ้าเกิดคุณทำการบ้านมาก่อน ถ้าเกิดดูอะไรเกี่ยวกับการท่องเวลา มันจะสนุกกว่า ถ้าเกิดเราไปเสพเเล้วเรามีความรู้เรื่องนั้นๆ มันจะยิ่งทำให้หนังสนุกมากๆ

 

แต่ว่าถ้าเกิดดูเเบบปล่อยใจ ปล่อยสมองไปเลย ก็สนุกเหมือนกันครับ ผมว่ามันได้อะไร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันครบรสมากครับ

 

 ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน นักแสดงผู้รับบท “วาเลน”

 

ณัฐชา เจสสิก้า พาโดวัน หรือ “นีน่า” นักแสดงเด็กที่รับบท “วาเลน” ตอนอายุเพียง 9 ปีเท่านั้น เธอเริ่มเป็นที่รู้จักจากบทสำคัญในภาพยนตร์ “ภาพหวาด” (2022) และในปี 2023 เธอได้รับการจับตาจากบทน้องสาวคนเล็กในภาพยนตร์ที่ทำเงินถล่มทลายเรื่อง “ธี่หยด” (2023) นีน่านับเป็นนักแสดงเด็กที่มากพรสวรรค์ จนพี่ๆ นักแสดงทุกคนใน Taklee Genesis ต่างชื่นชมถึงความสามารถอันหลากหลายของเธอ

 

เรื่องนี้รับบทเป็น “วาเลน” ลูกสาวของ “สเตลล่า” ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง เพื่อรับบทนี้?

 

การเตรียมตัว หนูต้องกลับไปทำการบ้านให้ตัวเองมีทั้งความกลัวและความกล้า เพราะสเตลล่าเคยบอกวาเลนไว้ว่า “ต้องเเข็งแกร่ง” กลับบ้านไปก็ต้องฝึกว่า เฮ้ย เราต้องกลัวด้วย ต้องกล้าหาญไปด้วย สองอย่างต้องมาพร้อมๆ กันค่ะ คือกลับบ้านไปก็ เฮ้อ (ถอนหายใจ) ก็ทำการบ้านอะค่ะ

 

ตอนทำการบ้าน หนูมียึดหลักอะไรบ้าง ในการแสดงออกเรื่องความกลัวกับความหวัง มีทริค เเยกความเเตกต่างยังไง? แล้วแอบได้ยินมาว่า ตัวละครเราก็มีความสำคัญในเรื่องด้วย

 

ความแตกต่างก็คือ ความน่ากลัวเนี่ย มันก็จะมี.. (หยุดคิด) บางซีนเนี่ย มันก็จะมีเเต่ความกลัว บางซีนเนี่ย มันก็จะมีเเต่ความกล้าหาญ แต่พอมันมีบางซีนที่เราต้องมาผสมกันมันก็แบบ.. ฉันๆ ฉันต้อง.. (พยายามหาวิธีอธิบาย)

 

คือมันมีซีนที่หนูอยู่ในกระท่อมค่ะ เเล้วตอนนั้นหนูกลัวมากๆ ตอนนั้นหนูแบบ.. (มือทาบอก หายใจแรง) แบบนี้เลยอะ หนูบอกตัวเอง เออ ต้องกล้าหาญนะ แล้วก็ต้องกลัวไปพร้อมๆ กัน คือตอนนั้นหนูก็ต้องกลัว แต่ก็ต้องวิ่ง วิ่งออกไปจากกระท่อม มันคือเอาชีวิตรอดไรงี้ค่ะ

 

ในฐานะที่เป็นนักแสดงรุ่นเล็กที่สุดในเรื่อง มีความกังวลในการเเสดงกับพี่ๆ มั้ย เเล้วพี่ๆ ได้เเนะนำเรื่องการแสดงอะไรให้บ้าง?

 

ค่ะ ก็เวลาหนูแสดงบางซีนที่พี่เค้าไม่ได้อยู่ในซีนก็จะแบบ.. หนูรู้สึกว่าหนูยังเล่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หนูก็จะไปถามพี่ๆ บ้าง ว่าหนูต้องปรับแก้ตรงไหนมั้ย ก็จะถามพี่พอลล่าค่ะ ถามว่า ถ้าเราต้องกลัว คือมันจะมีกลัวหลายแบบ หนูก็จะถาม ถ้าต้องกลัวแบบนี้ ต้องทำยังไง พี่เค้าก็จะให้คำตอบมาดีมากๆ เลยค่ะ เเล้วซีนก็ turn out ออกมาได้ดีมากๆ ค่ะ

 

เห็นว่าเรื่องนี้ได้ไปถ่ายทำในภาคอีสาน เเล้วเราพูดอีสานได้มั้ย?

 

พูดได้ค่ะ เว้า.. เเต่ว่าเว้าบ่ค่อยได้ แม่น เว้าบ่ค่อยได้ (ทำหน้าขี้เล่น)

 

แล้วกินอาหารอีสานได้มั้ย?

 

กินส้มตำค่ะ (เอามือปัดผม) คือเเซ่บอีหลี ใส่ปลาร้าแบบ.. (ทำมือวนๆๆ สื่อสารถึงความนัว) มันเเซ่บอะ ชอบอาหารอีสานมากค่ะ

 

ร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวครั้งนี้เป็นยังไง มีความเครียดบ้างมั้ย?

 

พี่มะเดี่ยวเป็นคนที่ใจดีมากๆ เลยค่ะ เวลาที่หนูมีปัญหาอะไร เข้าไปถาม เค้าให้ไอเดียกลับมาด้วย ซึ่งดีมากๆ เลยค่ะ หนูชอบมากๆ พี่มะเดี่ยวน่ารักมากๆ เลยค่ะ

แล้วตัวหนูที่ยังเรียนหนังสืออยู่ (ยังเด็กอยู่) มีความเข้าใจเกี่ยวกับไซไฟยังไงบ้าง?

 

คือตอนแรกหนูไม่รู้จักอะไรกับไซไฟเลยค่ะ หนูเเค่อยู่ป.4 หนูไม่รู้อะไรเลยอะ หนูคือเรียนทั่วไป เขาไม่ได้สอนว่าแบบ เออ หนังมันมีเเต่ละสไตล์ หนูยังไม่รู้เลย หนูได้ยินคำนี้ครั้งเเรก หนูแบบ (เอามือเท้าหัว ทำหน้างงค้าง) “ไซไฟคืออะไร?”

 

สิ่งที่หนูได้ข้อมูลกลับมานะ ก็คือเรื่องนี้จะมีการวาร์ปไป วาร์ปมา เเต่เรื่องอื่นก็จะเป็นแบบธรรมดา ขับรถ นั่งเครื่องบินอะไรแบบนี้ เเต่หนังเรื่องนี้ก็คือมันสุดยอดอะ มันย้อนยุค มันทุกอย่างเลยค่ะ หนูชอบมาก หนังไซไฟอะ คือหนูเป็นคนที่ชอบหนังเเบบนี้อยู่แล้วแล้วพอรู้จักว่าสไตล์นี้คำมันคืออะไรอะ แล้วเเบบ เอ้ย! หนูขอเล่นหนังไซไฟทุกวัน (หัวเราะ) หนูชอบในการเทเลพอร์ต หนูชอบสิ่งใหม่ๆ หนูชอบการย้อนยุค และชอบมุ่งไปข้างหน้า

 

หลายคนชมว่าการแสดงหนูดีมาก ไปเอาพรสวรรค์ด้านนี้มาจากไหน เล่าให้ฟังหน่อย

 

มีเเต่คนถามหนูว่าไปเรียนแอคติ้งที่ไหน หนูไม่เคยเรียนแอคติ้งเลยค่ะ ไม่เคยเรียนเลย คือตั้งเเต่ตอนประมาณ 3 ขวบ 4 ขวบ หนูเป็นคนที่ชอบดูทีวี ชอบดูหนัง พอเห็นเค้าแอคติ้ง ก็อยากเป็นมั่ง หนูไม่ได้เรียน แต่หนูฝึกเอง ไม่ได้โดนบังคับให้ฝึกด้วย บางครั้งอยู่ในห้องน้ำก็พูดกับกระจกว่า “เธอจะทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้..” คือพูดบทที่คิดขึ้นมาเอง คือมันก็น่าจะเป็นพรสวรรค์นั่นแหละมั้งคะ เเต่ก็ยังต้องพัฒนาอีกค่ะ

 

แล้วตั้งเเต่มาถ่ายเรื่องนี้ รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาในเรื่องไหนบ้าง พี่ๆ เขาช่วยเเนะนำอะไรบ้าง?

 

หนูคิดว่าหนูพัฒนาในเรื่องการร้องไห้ค่ะ เพราะปกติหนูเป็นคนที่ร้องไห้ออกเสียง ก็คือเป็นแบบ เง้อออออ เง้อออออ อะไรแบบนี้ ซึ่งหนูก็เพิ่งมารู้ว่า เออ มันจะทำให้เราร้องไห้แบบเฟค ก็ได้คำแนะนำจากทุกคนเลยค่ะ พี่พอลล่า พี่ปีเตอร์ พี่วอร์ ว่าถ้าเราร้องไห้แบบเเค่มีน้ำตา แต่ไม่ต้องออกเสียง มันจะทำให้เราร้องไห้ให้ดู realistic ขึ้นค่ะ

 

ในมุมมองของหนูกับหนังเรื่องนี้ มันมีความสนุกยังไงบ้าง?

 

มุมมองของหนู ความสนุกก็คือ การเทเลพอร์ตนี่แหละค่ะ คือหนูอะ ชอบมากๆ หนูชอบตั้งเเต่เด็กแล้ว ตอนหนูเด็กๆ นี่คือเรื่องตลกนะ หนูชอบทำตัวเองวาร์ปไปวาร์ปมาในบ้าน คือแบบอยู่ตรงโซฟา อยู่ดีๆ ก็วาร์ปไปตรงห้องครัว คือชอบในการวาร์ปมาก เเล้วพอได้มารับเรื่องนี้ รู้สึกดีใจค่ะ คือดีใจที่ได้มาทำให้มันดู realistic จริงๆ

TAKLEE GENESIS 

Neramitnung Film Presents  

A Studio Commuan Production 

Cast : Paula Taylor / Peter Corp Dyrendal / Wanarat Ratsameerat / Nuttacha Jessica Padovan / Jenjira Widner / Phutharit Prombandal /Nara Thepnupa / Phusita Watthanakornkaew / Noutnapha Soydala / Kittisak Patomburana / Inthira Charoenpura 

Edited by : Chookiat Sakveerakul / Rattapong Apichai 

Production Designer : Monthon Pongpab

Director of Photography : Chukiat Narongrit / Napon Tippanya

Costume Designer : Kanya Phongpakdee 

Music by : Chapavich Temnitikul

Special VFX :FATCAT

Producers : Monaiya Tharasak / Nakorn Phopairoj / Kaweenipon Ketprasit 

Co-Producer : Chuyot Mueangyot 

Executive Producers : Kanogwan Watchara 

Written by : Chookiat Sakveerakul / Thanamas Dhalerngsuk / Sorawit Muangkaew 

Directed by : Chookiat Sakveerakul

Genre : Sci-fi, Action, Adventure

Release date : 12 September 2024

 

Synopsis: 

During the Vietnam War, the US Armed Forces built a large Radio Research Field Station (RRFS) at Ramasun Camp. It’s believed to be a test site for the warp-speed teleporter by the name of “Taklee Genesis.”

 

Stella (Paula Taylor), a single mom experiencing a twist of fate, receives a call from her childhood friend Ith (Peter Corp Dyrendal) asking her to return to her hometown to care for her critically ill mother Duangphon (Jenjira Widner). Plagued by bad memories, Stella left Ban Don Hai when she was a child who testified how her father had mysteriously disappeared in a forbidden forest, to no one’s belief. Now, 30 years later, she is back with her daughter Valen (Nuttacha Jessica Padovan) who tries to prove herself to her mom. Here, she also meets community leader Chamnun (Phutharit Prombandal) and his son Kong (Wanarat Ratsameerat) both of whom, incredibly, look exactly like they did three decades ago.

 

One night, Stella’s dad contacts her on an old radio. 30 years have passed here; it’s only 30 minutes where he is. She wants to bring him back to the present world and her mission is to time travel back to switch on the Taklee Genesis. And that’s the beginning of an adventure from the past to the future spanning a thousand years.  

 

An ambitious project for the 20th anniversary of Chookiat “Matthew” Sakveerakul’s filmmaking career

 

20 years ago, Chookiat “Matthew” Sakveerakul, only 23 years old, made his feature-length film directing and screenwriting debut with “Evil” (2004). Throughout the years, he has made many films regarded as Thai cinema milestones, such as “13: Game of Death” (2006) which was remade as a Hollywood film “13 Sins” (2014), “The Love of Siam” (2007) which won the Best Film awards in all local competitions that year, as well as “Home: Love, Happiness, Remembrance” (2012), “Grean Fiction” (2013) and “Dew” (2019).

 

Apart from his directing works, Chookiat co-wrote with Eakasit Thairaat with whom he made “13: Game of Death” the screenplay of “Body” (2007), directed by Paween Purijitpanya, and “Inhuman Kiss” (2019), directed by Sitisiri Mongkolsiri.

 

This year, Chookiat is back with the most ambitious project in his 20-year filmmaking career “Taklee Genesis.”

 

What’s your inspiration for this film?

 

To begin with, I love sci-fi movies. Having read articles about the world, universe, space and different dimensions, I find that they’re as mysterious as ghost stories. Actually, it comes to the point that I’m more interested in the former than the latter. The possibilities for ghost stories are infinite and they can be beyond reality but those for sci-fi ones need to be explained somehow. That’s the appeal of science.

 

Our time and our daily life—do they really exist? Are we human beings, flesh and blood, biological masses or in fact reflections of something? These thoughts have been inspiring me for a long time and I’ve been looking for an opportunity to turn them into a film.

 

Then I had a meeting with Neramitnung Film who were keen on supporting me with this genre of film and I was perplexed. It’s not Thai moviegoers’ cup of tea but I don’t think they don’t get it and so I put together what I’d been writing into the screenplay.

 

What is “Taklee Genesis”? How big is its world? Please elaborate.

 

In the film, the “Taklee Genesis” is an American experiment project during the Vietnam War. The name “Taklee” is because the Taklee district is where the largest US base in Southeast Asia was at the time. There were others too like the ones in Sattahip district and Udon Thani province. I think for such a large base as that in Taklee there must be something else. Recently, there have been many speculations about Taklee’s secrets—for example, extra-terrestrials lived there. Hey, people have talked about these. Check YouTube (laughs).

 

The film is not set exclusively in the Taklee district, though—actually in northeastern Thailand in general. We found a deserted communication station at Ramasun Camp in Udon Thani province which looks really inspiring. There are only seven RRFSes like this in the world, with radar posts in a circle. This Ramasun Camp RRFS has been mentioned in many important incidents of Thailand since the Cold War.

 

The first universe of “Taklee Genesis” begins with the Cold War. Later on, with the experiment to control the time, I try taking it as far back as I can—to 75 million years ago, then 100,000 years, 5,000 years, and then two to three centuries into the future. In terms of screenwriting, it’s a challenge to connect different stories in such a vast time scale.

 

It sounds like, by far, “Taklee Genesis” comprises both historical and scientific stories. How exhaustive was your research?

 

Oh, it took me a long time before I could finish the screenplay. I’d been collecting bits from here and there. Whenever I had an idea, I’d write it down and later expand it. There are lots of these ideas in my notebooks. These chunks of thoughts are all connected.

 

I also watch a lot of YouTube clips and read books like “Tuay Toon Special” magazine since my childhood. They’re all very inspiring. These articles are about the past, the future, prehistoric animals and so on. I think it’s how I got hooked by these types of stories.

 

After I got some crazy people on board this project, I searched for more geeks of the same field. One of them is Pat “P.P.” Pataranutaporn (a research assistant at MIT, USA) who’s working on his PhD at the time. Perhaps I couldn’t talk to anyone else so I had to find an MIT student who shares the same interest. Our research was on what the US did to countries during the Cold War. Did this teleporter experiment really exist? If an extra-terrestrial civilization could control warp-speed travel, what would it lead to? Time control? Travel to different places in the universe? How vast is the universe? Is there only one universe? This film is truly geeky (laughs).

 

Would non-geeks enjoy this film?

 

At the core of this film is a woman who has many life problems. This ordinary person could be yourself, your friend, your elder sister or your mother who’s trying to find a balance in her mid-life with a young child, left by her husband and problems at work. Actually, her current problems are somewhat related to her childhood when her father and she faced a mystery. No one believed her and since then she’s only believed in herself and this has led to many problems. Facing the situations in the story, she can prove that there exists something beyond reality, beyond nature, beyond human perception and comprehension. It really exists and she can control it. Can she use it to control her life? This is like what all of us are experiencing. If we were in her shoes, we’d be able to relate to her character.  

 

In terms of production design, did it take a long time to develop before it looks the way you want, no matter which age?

 

Yes, we spent a long time doing research on many different aspects but this hasn’t led to serious depiction of war scenes. At the core of the story is the character “Stella” who leads the audience to here and there. You’ll get to see a prehistoric world that’s affected by this transporter (“Taklee Genesis”), the same for a future world. You’ll see how things overlap, things that don’t belong in that particular time period.

 

The real core of this film is its characters. Although we set everything on such a large scale of production, in our perspective we’ll witness how the characters journey into them. The background of the story provides us with suspense and we’ll find out if this woman can handle and eventually survive those situations.    

 

For example, we did a research on how people lived 5,000 years ago and found that it’s not very different from now. I’m not saying they used mobile phones but they dressed up to the nines. They weaved their own fabrics and made beads: it’s their art. In other words, they have the same mindset as ours. In our research, we visited museums and observed how utensils were excavated. We also created an ancient language.

 

Also, we’re seriously thinking if the extra-terrestrials created something, which civilization in the universe would get it and how they could make use of it. Moreover, we’re figuring out what kind of language would appear on it, how this knowhow could be transferred for a million years and how it should look.

 

For this most challenging filmmaking project of yours, which part did you find most daunting?

 

All of it. Come to think of it, I shouldn’t have started this project (laughs). But I don’t know when I’d get to do it if not now. It’s a challenge for my communication skills, to a certain extent. From the start, it’s a challenge how to explain it to the audience so that they understand. The film requires a lot of explanation in every situation the characters face. How can we sustain their humanity until the end so that the audience empathizes with them and see how they develop from their deep-rooted problems to fights, disappointment, losses and resilience? How can we take the audience on this journey while they’re asking, “What the hell is that?”, “What’s this?” and “Why is it here?”? This is a storytelling challenge.

 

Given our production design with sets in different time periods, we also have to figure out how different people’s ways of thinking and communication means are. These include the sound design of time travel, appearance of monsters and all other things combined. It’s such a big project.

 

Why did you cast these actors? Did you have anyone in mind while writing the screenplay?

 

I worked with Paula and Peter a few years ago. I want Paula to perform in a film because she has a strong cinematic charisma and was a symbol of rom-com in a certain period. She’s also adept and effortlessly sympathetic (laughs). Also, her character is a Vietnam War legacy, a half-breed who looks like a Caucasian woman in Thailand. At the time, they faced discrimination and were bullied and so on. The character’s race and ethnicity play an important part in the storytelling.

 

I realize that all parts are challenging. As a director, which scene is the most difficult?

 

The difficulty varies from one scene to another but the most difficult and exhausting one is that at Ban Chiang 5,000 years ago. Something happened in this birthplace of our civilization and it fell. At the time Ban Chiang was a settlement of a caravan. We shot the scene in a very hot quarry. We spent three days shooting it even though it only appears briefly in the film. I really like it because it’s beautiful. It’s a beautiful disaster. The characters kill the hell of one another but its lighting, mood and tone and visuals make me satisfied and empathize with them while it’s really hot for the whole three days.

 

Believe it or not, while others’ faces were oiled up and sweating, Paula’s was still flawless. She remains beautiful until the last shot there. I was ready to pack up and leave but she’s still taking selfies and posting them on her Instagram. How beautiful they are! Well, we just cannot choose how we’re born (laughs). She’s as exhausted as all of us, running around since the morning and working in broad daylight. No one complained and each person enjoyed it tremendously. It’s only me who couldn’t take it anymore. It’s too hot (laughs).

 

The scenes with CG are also difficult as we couldn’t see on the set how it would finally look. The actors were running away from something they didn’t actually see there. They only got to see its photos and the rest was purely their imagination.

 

In such a big film production, how did you communicate with your actors so that all shared the same vision?

 

The first obstacle was that both Peter and Paula couldn’t really read the Thai-language script as they don’t usually read much Thai. Parts of the script were then translated into English. We had a read-through for all cast members, and I explained the film scene by scene. It’s good to be working with actors of that generation: they’re truly professional.

 

Peter also did some research for more background information. He even corrected my mistakes, saying, “Matthew, it’s not a million years ago: it’s actually 75-76 million.” Well, he also made corrections of some details in the script. So nice of him! He’s as geeky as me: he understood everything in the script. I was very surprised how he got it all: he’s also interested in this kind of thing.

 

I told Paula her character works in a scientific field. She’s just one of the staff, neither brilliant nor knowledgeable. She’s a mom who can fight with everything for her daughter, though. Well, it’s really emotional. Portraying this character, Paula didn’t have to know the whole process of the story. Other characters would explain it to her. I told her, “You put it all on your shoulders and your job is to protect your daughter.”

 

Among you, Peter and War, who’s the biggest sci-fi geek? I know you’re all sci-fi fans.

 

War was highly determined but his character was involved with the peak period of the Cold War in Thailand and so he’s not really involved in scientific matters. He had some doubts while being involved in intense ideological warfare. Something flashed and changed him completely. He could keep his character and was really focused. It’s like the character’s past and circumstances were installed in him.

 

How proud are you of this film?

 

It’s the kind of project I don’t know if I’d ever have a chance to work on again. I realized it’s not easy when I was doing it. It’s another milestone for Thai films. Who else would be courageous and crazy enough to support me to do it? I’m all for it but I wouldn’t call it the acme of my career. I’d rather it be a door which opens opportunities for my more ambitious projects in the future and for those who love sci-fi and challenging film projects to further develop themselves.

 

So, please come to watch “Taklee Genesis” at a cinema near you. This action-drama-sci-fi is a major film of 2024.

 

Paula Taylor as “Stella”

 

Paula Taylor is a former “Rom-Com Queen,” thanks to a number of her successful romantic comedy films like “Sex Phone & the Lonely Wave” (2003), “The Memory” (2006) and “The Little Comedian” (2010) as well as hit TV sit-coms like “True Love Next Door” (2008) and “True Love Next Door: Soulmate” (2010). After such immense success, Paula, however, stopped performing to spend time with her family overseas. This year, she’s back on the silver screen for the first time in 10 years in a much more mature role like Stella, a single mom in the sci-fi movie “Taklee Genesis.”

 

Introduce yourself and your character please.

 

Hi, I’m Paula Taylor and I play Stella. Stella is a very strong-willed young woman and I guess her big life lesson is her daughter.  

 

What is the reason for your decision to act in this movie, especially considering you’ve never acted in this genre? Additionally, it’s a return to acting after a ten year hiatus, isn’t it?

 

I haven’t done a movie for so long and then this one came around. I actually fell in love with the passion, spirit and excitement of Matthew, the director. He was just so intuitive in the way he was telling his vision and just everything. He was so passionate, and I told him “You know what I want? To be a part of your passion. I wanna be in whatever you’ve seen.” I joined this project not because I wasn’t familiar with this genre, but because he was so passionate.

 

“Taklee Genesis” is a sci-fi movie. It’s quite different from your past works as a queen of romantic comedy. How did you prepare yourself for this role?

 

As I was saying, it’s a genre I’m not that used to. So, I had to talk to Matthew a lot. I always had to ask him to explain “What is happening? What is happening in your vision?” We’re talking a lot about it.  

 

How do you feel about reuniting with Peter, War and Nina for this project?

 

I feel really lucky that in this role I got to play with some co-stars that I’ve worked with a lot, Peter and I have worked together for many, many years and it’s just nice to do a project with someone you know. I feel like it helped relax you already.

 

And then we had Nina and War. Everyone was super nice on set. So, it was a lovely feeling to be with a group of people who were having fun and were really into the script.

 

I’ve heard that Peter gave you some information on sci-fi, right?

 

Yes, I wouldn’t say I’m a sci-fi fan. It’s not what I gravitate towards but Peter and Matthew are so obsessed with that. So, every time we’re shooting I was like “W-What’s happening?” and Peter was like “Remember when this happened, that happened and so this will happen.” I was like “Okay, guys, take me along with you” (laughs).

 

Nina said that you recommended her tips for crying. How was that?

 

I read somewhere that if you try to stop yourself from crying, you well up, you tear up more. So, I was telling Nina “Instead of trying to push out tears, try NOT to do so, like to hold them.” I think it worked (laughs).

 

What did you learn from acting in this movie?

 

I think I know a lot more about the stars and a bit of time travel now. So, let’s see (laughs).

 

Please invite the audience to watch “Taklee Genesis.”

 

I hope you guys get a chance to come to see this. It is something I’ve never doubted and I really hope you give it a chance, come in and enjoy the passion and the love that Matthew and everyone put into it. See you soon in the cinema.

 

Are you proud to be part of this project?

 

I’m super happy that Matthew cast me in this role because I haven’t acted for probably… (thinks)…I think my last movie was maybe 10 years ago. Anyway, it’s a very long time ago. I felt very privileged that he thought of me and I’m very happy to be part of this project. I’ve seen some scenes teasers. I’m literally super excited and I can’t wait for the film to be released.

 

Peter Corp Dyrendal as “Ith”

 

Peter Corp Dyrendal is a rock star whose debut album “Hinpha ka dap” (1997) sold more than one million cassette tapes. His unique voice and model looks made him highly popular in the late 1990s and 2000s with hits like “Chao thui yu nai”, “Chai khon nueng” and “February.” 

As an actor, he’s shared the screen with leading superstars like Araya A. Hargate in “Num banrai & wanchai hi-so” (2012), Ann Thongprasom in “Secret Love Online” (2014) and Urassaya Sperbund in “The Crown Princess” (2018) as well as a TV series which became an online hit “Only You I Need” (2021). For films, Peter co-starred with Patchrapa Chaichua in a box-office hit “Fabulous 30” (2011). This year, Peter’s back on the big screen with the megaproject film “Taklee Genesis.” 

 

Introduce yourself and your character please.

 

Hi, I’m Peter and in this movie, I play “Ith.”

 

Ith is a schoolteacher. He has dreams of becoming an archeologist. So, he spends his free time studying and being consumed with this ambition. He is the kind of guy who thinks of himself first and foremost, which you will see clearly at the beginning of the movie. He’s never been able to fulfill his dreams, so he’s quite insecure, but he does everything he can to try and improve his life, which makes him quite selfish.

 

In comparison to my personality, I think we’re quite different actually. I have worked in the entertainment business for 30 years. Working, first and foremost, as a Rock singer needs a lot of confidence, which is a big contrast to Ith because he’s quite insecure. Once I read the script and the character’s description, it was a question of adapting [myself to fit this role] and personally I thought it went quite smoothly.

 

What’s the reason for your decision to take this role?

 

First and foremost, the director, Matthew, is brilliant. I worked with him before on a short project and I wanted to work with him again, so this was a perfect opportunity.

 

The second reason is the script. I don’t think there’s ever been a movie like this in Thailand before. It’s a sci-fi project that includes time travels, monsters and a lot of challenges, a lot of computer graphics. I know it’s a very enticing project.

 

Thirdly, My co-actor Paula is fantastic. I’ve worked with her a few times before and we always had good chemistry and everything went very smoothly. Then, “War” Wanarat is an upcoming actor and has a lot of interesting things going on. So, it was a pleasure to work with him as well as Nina who’s a fantastic actress for her age. She’s really good and personally I believe she has a long way to go.

 

So, the cast itself is fantastic and altogether I believe it’s a project that I just could not miss out on.

 

How do you feel about reuniting on screen with Paula? And how is it like working with other actors of different ages?

 

For this project, yet again, I get to work with Paula. We’ve worked together on a few projects before which were quite successful. Our chemistry is really good. She’s a great actress so I wasn’t worried about that. We’ve been friends from way back so that’s pretty smooth.

 

As for the other actors, the ages are different. But of course, I did my homework and I checked up on both War and Nina and they’re both really good actors. There are a lot of things going on, but from the looks of it, from the first impression, there should be no problem, and everything went as expected. Everything was super smooth. The shooting was very fast because there’s great acting from everybody.

 

And how’s working with Matthew in this project?

 

As the director, Matthew’s very serious about working and he’s very meticulous, and I personally like that. It’s a great working relationship. He briefed everybody from the beginning. He works with an internal mindset.

 

The way he works is very similar to that of international directors. He lets the actors bring the best of them out on screen and guides them, but in a way that’s slightly different from that of other Thai directors. He won’t tell you, “You have to do this and that.” He gives you guidelines and lets you do things. That’s great, from an actor’s point of view, because you have the freedom to use the tools that you know best.

 

It’s really great to have worked with him again. I was looking forward to this for a long time.

 

“Taklee Genesis” is a sci-fi movie. How did you prepare yourself for this role that’s quite different from your other current roles?

 

The way I prepared myself for this role actually wasn’t too difficult. Back in the day, I majored in chemistry, so I’m quite a science guy. I studied chemistry in addition to physics and biology, so it wasn’t too difficult for me to relate to this movie.

 

Personally, I do think that if we have the technology and the machines, if we’re able to build those machines, we can do the things that happen in this movie. It could be real.

 

Anyway, it wasn’t too difficult for me to relate to the movie. Reading the script, first and foremost, I could picture everything straight away, probably more than the other actors. On set, they always came running to me asking, “Is it like this?”, “What happened?” and “Where exactly are we now?” (laughs) So, it wasn’t too difficult for me. It’s quite a lot of fun.

 

Please invite the audience to watch “Taklee Genesis.”

 

I really think that everybody should come and enjoy “Taklee Genesis.” It’s a Thai movie that’s more than a Thai movie. It’s really a project that’s ready to go international. For sure right now several countries in Asia are going to show this movie. And I know for fact that the team is going to take it as far as they can, hopefully all around the world. It’s a movie that has a lot of exciting things going on. It has a very interesting concept and most interestingly it has the probability to become real. So, hopefully you’ll come and watch this movie. Thank you.

 

Wanarat “War” Ratsameerat as “Kong”

 

His breakthrough performance in Boys-Love (BL) drama series “En of Love,” including “My Engineer” and “Love Mechanics” led fans to imagine him and co-star Anan “Yin” Wong as a real-life couple. Since then, Yin and War have starred in many BL series well received by their fans worldwide. War worked with Matthew in the TV series “Monhak transistor sa-on son de” (2018) and the film “The Fabric” (2022), co-produced by Matthew. “Taklee Genesis” is then their reunion.

 

Introduce yourself and your character please.

 

Hi, I’m “War” Wanarat portraying the role of Kong. Briefly, Kong is an introvert who doesn’t know his background as his memory of childhood and teenage have vanished. His dad tells him it’s because of an accident but in fact there’s something else. He believes he has to obey his dad, the way he’s always been taught to do, or he may risk some danger. That’s why he’s become an introvert who doesn’t socialize with anyone in the village.

 

Deep down Kong knows his dad’s claim of his accident isn’t true and so he wants to find out who he is and where he’s from.

 

How different is “Kong” from “War” then?

 

Quite different. Kong seems to have been through a lot and yet he looks exactly like he was 30 years ago as if he’s frozen in time. That’s a mystery. Another difference is that Kong is very quiet and doesn’t socialize with anybody.

 

And you?

 

I’m a quiet person who wouldn’t start a conversation with someone I don’t know or I’m not close to. Kong would just walk away. He doesn’t want to mingle with anyone.

 

I’ve heard that you’re a sci-fi geek. How do you feel now that you’re in a sci-fi movie?

 

I was over the moon. When Matthew first contacted me and mentioned the word “sci-fi”, I told my manager, “Let’s do it!” My team then said, “Calm down! Let’s look at the script and contract first, shall we?”, and I was like “I’ve got to. I’ve just gotta be in this film.” Then I calmed down and made a video call to talk about the script and synopsis. With my eyes sparkling, I listened to Matthew and asked so many questions that he said, “Hey! Enough for now. I can explain more when we reach a deal.” “Oh, okay.” I was very happy and excited.

 

What made you love sci-fi this much?

 

I was a science-loving kid, to begin with. I was crazy about the moon and the stars or something like that. I frequented the science museum and planetarium. I’ve been interested in sci-fi, science and the history of scientists from the time I was a kid.

 

Having worked in a sci-fi film, I realize that it’s an exercise of our imagination within the bounds of reality. Science can explain everything but certain technologies haven’t been discovered for us to be able to conclude that it’s reality or just a concept. This is very intriguing: our imagination can wander afar. That’s why I like it.

 

I just finished interviewing Peter who claims that he’s a sci-fi guru. Do you have any problem with his claim?

 

Having worked with Peter, I can call him a mobile Wikipedia. When we talk about science, his eyes light up. He’s very knowledgeable in history and science. This film is about time travel and so we talked a lot. It’s much fun.

 

Like you’ve met a best friend with the same interest?

 

That’s true. He’s a real guru.

 

As a young actor in the same cast with your seniors like Peter and Paula and your junior like Nina, were you nervous? Or, what have you learned from your seniors and juniors here, like acting tips?

 

A lot. I’ve learned a lot more acting techniques. I’ve had more friends too. Nina’s my best friend in the production. I’d watched Paula, Peter, Wit (Phutharit Prombandal) and others in many works and so at the beginning of the shoot I was really nervous. I was wondering how I should compose myself so that I didn’t look too young or clumsy. And so, I kept my cool and didn’t joke around while I’m actually a very playful person.

 

One day we were shooting a scene in which Paula and I had to run into a tunnel. I suddenly lost it and started joking with her. I was in front of her and the tunnel was this narrow (gestures with his hands to show that the tunnel is only for one person at a time). Then, well, I was thinking if I should try climbing up the wall (puts his hands on the tunnel wall). I’d been keeping my composure all day. Whew! (finally jokes around) Then I realized, “What? What the hell did I just do? Behind me is a legendary actress from the TV series ‘True Love Next Door’ I’ve been watching. Hey! What would she think of me now?” I came down and turned back. What I saw was Paula Taylor (in the same gesture as War’s) like this (laughs), trying to climb the wall. Then I went, “Well, then, I stop keeping cool from now on.” (laughs) We had a great time playing with one another: it’s a fun production. Nina often asked to shoot TikTok clips and others when we’re on a break. For Peter, we discussed that. I’ve learned a lot.

 

Was working with Matthew this time different from the previous ones? Were you nervous or did he need to explain more than the previous ones?

 

For me, it’s different: in the first one I was stiff as a rock, now I’ve become a tree (laughs). I’ve been gaining more acting experience. I was happy he gave me a chance to perform in that TV series (“Monhak transistor sa-on son de”). I had a chance to practice and hone my skills and had had acting jobs since then. For this film, I think I’m quite experienced. I’m still not that good but when I was assigned this role I made myself become the character. I did everything I was asked to do. I’m not sure if it turns out good or bad but I did my best. I’m happy to have worked with Matthew again.

 

Whoa…he’s very serious with this film. During a break, we can have fun goofing around but during the shoot he’s really intense. That made me feel that I had to give it my all.

 

What’s your favorite scene in this film?

 

I like the scene in which…(thinks for a long while) Oh, actually, I like many scenes but I’m mesmerized by the final scene of one part which sends off Paula’s character onto her mission. It’s based on an actual historical incident. I’d been studying about that history before performing in this film and I could feel that it’s a beautiful send-off. It’s as if I were in that incident: I was really impressed.

 

And the most difficult one to perform?

 

Quite a lot, like the fight scenes. I had little experience doing action scenes and in this film I had to fight with, well, whoever that was. I gave it my all and didn’t care about the camera angle at all (laughs embarrassedly).

 

Then, the more experienced actors—Wit, Peter or Paula—would say “War, open up for the camera.” It couldn’t capture my facial expressions. I couldn’t just put it all in: I had to be conscious that while I was fighting I had to open up for the camera so that my face would later appear on the screen (laughs embarrassedly).

 

How would you invite the audience to watch this film in the cinema?

 

Everybody, please come to watch it. It doesn’t matter if you’re a sci-fi fan or not. Personally, I think it’s a good film. I like its plot. I don’t think there’s ever been a Thai film with this kind of plot. All elements are well connected. It’s full-flavored. Sci-fi, science, history, family, friendship and entertainment are all in “Taklee Genesis.” Oh, also, its production design is very beautiful.

 

For me another charming aspect of this film is “Taklee,” a small town in Nakhon Sawan province where the US Armed Forces built something and abandoned it after the war. Here we can fill in ideas for sci-fi and many others. The film “Taklee Genesis” plays on this and it’s very charming. I’d like to invite everyone to see how the story turns out.

 

You say that non-sci-fi fans can also enjoy it. Would non-sci fi geeks understand this kind of story? Do they need to prepare anything before watching it?

 

Non-geeks can enjoy it too. Of course, if you prepare yourself by, for example, watching some clips about time travel, you’ll enjoy it even more. If we know something about the film before watching it, the film will be much more fun.

 

But if you just let your mind and your brain free and watch it, it’ll be fun too. You’ll get something as the film is full-flavored.

 

Nuttacha Jessica Padovan as “Valen”

 

Nuttacha Jessica Padovan portrayed the character of “Valen” when she was only nine years old. First known for her performance in the film “Cracked” (2022), her portrayal of the youngest sister character attracted the audience in the box-office sensation “Death Whisperer” (2023). Nina is a highly talented child actor whose diverse range of skills are well admired by all cast members of “Taklee Genesis.” 

 

Introduce yourself and your character please.

 

Hi, my name is “Nina” Nutthacha and I perform the role of“Valen.”

 

In this movie, playing the role of “Valen,” “Stella’s” daughter, how did you prepare yourself?

 

Valen is Stella’s daughter so I had to be brave because my mother told me so. “You have to be strong. You have to be a good girl.” In every scene that I had to cry, I had to be sad and strong at the same time. So, it’s very hard for me.

 

As the youngest actress, how do you understand the sci-fi world in “Taklee Genesis”?

 

I didn’t know what sci-fi meant. I got a role in this movie and then they told me it’s sci-fi. I went home and searched what sci-fi means and I was like “Oh my God!” It’s teleporting and all that stuff. When I was younger, I really liked teleporting and doing all that cool stuff and so I was so excited to do this movie.

 

Which scene did you enjoy acting in the most?

 

The fun part of this movie was the running. When it had dead people falling from the sky, that was so much fun, but it was scary at the same time. I really liked the running and the screaming and all that stuff.

 

Is that scene the most challenging one to act in?

 

Yeah, it’s also the hardest part of the movie because I had to run and cry and all that stuff. Dead bodies were falling from the sky, and I had to see them and they’re so disgusting. It’s also fun at the same time but it’s so hard for me.  

 

As a young actress playing alongside adults, did other actors give you acting advice?

 

Paula and Peter told me, “If you cry, you have to cry without a voice because it will make you look like you’re crying. You’re actually not…(groans)…like that. It does not look realistic.” And they told me, “If you cry with no sound, your tears are falling like…like…or something, it will make you look realistic. It’ll make you cry realistically, like if you lost your mom or something like that.”

 

Among the cast members, who are you closest to?

 

I’m close to Paula. Yes, I played with her. I did TikTok with her. She’s so much fun. She’s so funny. She’s like another big sister to me. Yes, she’s the best.

 

And how was working with Matthew on this project?

 

Working with Matthew was so much fun. He’s so nice to me. Every time I had a problem in the movie, when I didn’t understand how to cry, how to play it, I asked him and he’s like, “Yeah, maybe you should do it like this,” and I got so many ideas from him. He’s the best.  

 

Please invite the audience to watch “Taklee Genesis.”

 

A: Don’t forget to come to watch “Taklee Genesis.” It’s going to be really enjoyable.